title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 28
181k
| raw
stringlengths 39
181k
| url
stringlengths 0
53
|
|---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต ย้ำ มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ดร.สาธิต ย้ํา มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ํานโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ชวนคนไทยตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และปฏิบัติตามหลัก 5 ทํา 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ํานโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ชวนคนไทยตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และปฏิบัติตามหลัก 5 ทํา 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง
วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) ที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดกิจกรรม “DMS Cancer Prevention Day เนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” พร้อมทั้งสื่อสารนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม”
ดร.สาธิตกล่าวว่า วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” ซึ่งโรคมะเร็ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย มีแนวโน้มอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี พบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เฉลี่ย 122,757 รายต่อปี เสียชีวิตเฉลี่ย 80,665 ราย เฉลี่ยวันละ 221 ราย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถเข้ารับบริการได้ทันทีเมื่อแจ้งเปลี่ยนหน่วยบริการ มีโปรแกรม Thai Cancer-based plus เป็นเครื่องมือในการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยมะเร็ง และพัฒนาแพลทฟอร์ม The ONE สําหรับโรงพยาบาลสืบค้นข้อมูลและประเมินศักยภาพการให้บริการของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ และจองคิวการรักษาผ่านแพลทฟอร์มนี้ได้ทันที ผู้ป่วยมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ ได้รับความสะดวก ไม่แออัด และลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ป่วยมะเร็งได้
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมการแพทย์ เร่งรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ปฏิบัติตามหลัก 5 ทํา 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง และเชิญชวนให้ไปการตรวจสุขภาพประจําปี รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้ตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีโอกาสการรักษาให้หายขาดสูง
ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ ได้จัดกิจกรรม “DMS Cancer Prevention Day เนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” 10 ธันวาคม นี้ เพื่อตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องการป้องกันและการคัดกรองโรคมะเร็งให้กับบุคลากรด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นบุคลากรที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพของประเทศ นําไปถ่ายทอดความรู้และเป็นต้นแบบในการดูแลสุขภาพแก่ประชาชน
สําหรับหลัก “5 ทํา 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง” 5 ทํา ได้แก่ 1.ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ 2.ทําจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด 3.กินผักผลไม้ 4.กินอาหารหลากหลาย 5.ตรวจร่างกายเป็นประจํา ส่วน 5 ไม่ ได้แก่ 1.ไม่สูบบุหรี่หรือสูดดม ควันบุหรี่ 2.ไม่มั่วเซ็กซ์ 3.ไม่ดื่มสุรา 4.ไม่ตากแดดจ้า 5.ไม่กินปลาน้ําจืดดิบ รวมทั้งหมั่นสังเกตความผิดปกติของตนเองจาก 7 สัญญาณอันตรายโรคมะเร็ง ได้แก่ 1.ระบบขับถ่าย ที่เปลี่ยนแปร 2.แผล ที่ไม่รู้จักหาย 3.ร่างกาย มีก้อนตุ่ม 4.กลุ้มใจเรื่องการกลืนกินอาหาร 5.ทวารทั้งหลาย มีเลือดไหล 6.ไฝ หูด ที่เปลี่ยนไป และ7.ไอ และเสียงแหบ จนเรื้อรัง หากมีอาการเหล่านี้เกิน 3 สัปดาห์ควรรีบไปพบแพทย์
************************************* 9 ธันวาคม 2563
***********************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต ย้ำ มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ดร.สาธิต ย้ํา มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ํานโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ชวนคนไทยตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และปฏิบัติตามหลัก 5 ทํา 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ํานโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ชวนคนไทยตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และปฏิบัติตามหลัก 5 ทํา 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง
วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) ที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดกิจกรรม “DMS Cancer Prevention Day เนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” พร้อมทั้งสื่อสารนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม”
ดร.สาธิตกล่าวว่า วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” ซึ่งโรคมะเร็ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย มีแนวโน้มอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี พบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เฉลี่ย 122,757 รายต่อปี เสียชีวิตเฉลี่ย 80,665 ราย เฉลี่ยวันละ 221 ราย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถเข้ารับบริการได้ทันทีเมื่อแจ้งเปลี่ยนหน่วยบริการ มีโปรแกรม Thai Cancer-based plus เป็นเครื่องมือในการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยมะเร็ง และพัฒนาแพลทฟอร์ม The ONE สําหรับโรงพยาบาลสืบค้นข้อมูลและประเมินศักยภาพการให้บริการของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ และจองคิวการรักษาผ่านแพลทฟอร์มนี้ได้ทันที ผู้ป่วยมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ ได้รับความสะดวก ไม่แออัด และลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ป่วยมะเร็งได้
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมการแพทย์ เร่งรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ปฏิบัติตามหลัก 5 ทํา 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง และเชิญชวนให้ไปการตรวจสุขภาพประจําปี รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้ตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีโอกาสการรักษาให้หายขาดสูง
ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ ได้จัดกิจกรรม “DMS Cancer Prevention Day เนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” 10 ธันวาคม นี้ เพื่อตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องการป้องกันและการคัดกรองโรคมะเร็งให้กับบุคลากรด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นบุคลากรที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพของประเทศ นําไปถ่ายทอดความรู้และเป็นต้นแบบในการดูแลสุขภาพแก่ประชาชน
สําหรับหลัก “5 ทํา 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง” 5 ทํา ได้แก่ 1.ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ 2.ทําจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด 3.กินผักผลไม้ 4.กินอาหารหลากหลาย 5.ตรวจร่างกายเป็นประจํา ส่วน 5 ไม่ ได้แก่ 1.ไม่สูบบุหรี่หรือสูดดม ควันบุหรี่ 2.ไม่มั่วเซ็กซ์ 3.ไม่ดื่มสุรา 4.ไม่ตากแดดจ้า 5.ไม่กินปลาน้ําจืดดิบ รวมทั้งหมั่นสังเกตความผิดปกติของตนเองจาก 7 สัญญาณอันตรายโรคมะเร็ง ได้แก่ 1.ระบบขับถ่าย ที่เปลี่ยนแปร 2.แผล ที่ไม่รู้จักหาย 3.ร่างกาย มีก้อนตุ่ม 4.กลุ้มใจเรื่องการกลืนกินอาหาร 5.ทวารทั้งหลาย มีเลือดไหล 6.ไฝ หูด ที่เปลี่ยนไป และ7.ไอ และเสียงแหบ จนเรื้อรัง หากมีอาการเหล่านี้เกิน 3 สัปดาห์ควรรีบไปพบแพทย์
************************************* 9 ธันวาคม 2563
***********************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37516
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช และจ.สุราษฎร์ธานี
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช และจ.สุราษฎร์ธานี
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้ประสบภัย พร้อมแจกถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย จํานวน 500 ชุด ประกอบด้วยข้าวสารอาหารแห้ง และเครื่องใช้ส่วนตัวที่จําเป็น พร้อมมอบหญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้แก่พี่น้องเกษตรกร และประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว องค์การบริหารส่วนตําบลหูล่อง ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช วิทยาลัยการอาชีพ ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช
และที่ว่าการอําเภอกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มีการเร่งเยียวยา โดยให้ทางเกษตรจังหวัดเร่งเข้าสํารวจความเสียหาย ทั้งภาคการเกษตร ภาคการประมง และภาคปศุสัตว์ พืชไร่พืชสวนที่ได้รับความเสียหาย จะมีมาตรการเยียวยาตามระเบียบของกระทรวงต่อไป และจากนโยบายของทางรัฐบาล จะต้องหาแนวทางดําเนินการสร้างโครงการต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับระบบการจัดการน้ําที่ยังไม่สําเร็จ ก็จะต้องเร่งดําเนินการ เพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยในครั้งหน้า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช และจ.สุราษฎร์ธานี
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช และจ.สุราษฎร์ธานี
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้ประสบภัย พร้อมแจกถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย จํานวน 500 ชุด ประกอบด้วยข้าวสารอาหารแห้ง และเครื่องใช้ส่วนตัวที่จําเป็น พร้อมมอบหญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้แก่พี่น้องเกษตรกร และประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว องค์การบริหารส่วนตําบลหูล่อง ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช วิทยาลัยการอาชีพ ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช
และที่ว่าการอําเภอกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มีการเร่งเยียวยา โดยให้ทางเกษตรจังหวัดเร่งเข้าสํารวจความเสียหาย ทั้งภาคการเกษตร ภาคการประมง และภาคปศุสัตว์ พืชไร่พืชสวนที่ได้รับความเสียหาย จะมีมาตรการเยียวยาตามระเบียบของกระทรวงต่อไป และจากนโยบายของทางรัฐบาล จะต้องหาแนวทางดําเนินการสร้างโครงการต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับระบบการจัดการน้ําที่ยังไม่สําเร็จ ก็จะต้องเร่งดําเนินการ เพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยในครั้งหน้า
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37512
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งดำเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน ซ้ำเติมคนหางานช่วงโควิด หลอกไปแคนาดา
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รมว.แรงงาน สั่งดําเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน ซ้ําเติมคนหางานช่วงโควิด หลอกไปแคนาดา
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แจง กรณีปรากฏข่าวทางสื่อโทรทัศน์ช่อง 3 HD รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ กรณีคนงานไทยร้องทุกข์เนื่องจากถูกหลอกลวงไปทํางานต่างประเทศ มอบหมายกรมการจัดหางานตรวจสอบข้อเท็จจริง
พบ คนหางานถูกหลอกไปทํางานประเทศแคนาดา จํานวน 40 คน ค่าเสียหายกว่า 7 ล้านบาท เบื้องต้นประสานสอบปากคําพร้อมส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีแล้ว
นายสุชาติฯ เปิดเผยว่า รู้สึกห่วงใยคนหางานไปทํางานต่างประเทศที่ถูกหลอกลวง ฉวยโอกาสหาประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทั้งจากความไม่รู้ และความหวังที่ต้องการจะเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ เพื่อมีรายได้ส่งกลับมายกระดับฐานะครอบครัว เพราะมีอัตราค่าตอบแทนสูง ซึ่งกระทรวงแรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้สั่งการกรมการจัดหางานให้เร่งรัดตรวจสอบเพื่อดําเนินคดีแล้ว ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญกับแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานต่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มแรงงานที่นํารายได้เข้าประเทศไทย เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน รับข้อสั่งการ เร่งตรวจสอบไปที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิ พบคนหางานไปทํางานต่างประเทศถูกหลอกลวงจํานวน 40 คน ค่าเสียหายทั้งสิ้น 7,570,880 บาท ซึ่งทางสํานักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ สอบปากคําคนหางาน และส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน
“อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางานมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบอย่างเข้มงวด และทํารายงานการสืบสวน ตาม พรบ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 การหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจําคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และการโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน มีความผิด ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ดําเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน จํานวน 78 ราย มีคนหางานร้องทุกข์ กรณีถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวง จํานวน 204 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 16,454,698 บาท และกรมการจัดหางานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ดําเนินคดีผู้โฆษณาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งสิ้น จํานวน 234 เรื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2563) โดยประเทศที่คนหางานตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แคนาดา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ตามลําดับ” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
กรมการจัดหางานแนะนําให้คนหางานที่สนใจจะไปทํางานต่างประเทศ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตําแหน่งงาน นายจ้าง ประเทศที่จะไป และต้องเดินทางไปทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 วิธี คือ 1.การเดินทางไปทํางานต่างประเทศด้วยตนเอง 2.การเดินทางไปทํางานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 3.การเดินทางไปทํางานต่างประเทศโดยกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง ได้แก่ โครงการจ้างตรง :ไต้หวัน โครงการ IM : ประเทศญี่ปุ่น โครงการ EPS: เกาหลี โครงการ TIC 4.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทํางานในต่างประเทศ และ5.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ ทั้งนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางาน ได้ที่ www.doe.go.th และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ประสานการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อคนหางาน กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0 2245 6763 สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งดำเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน ซ้ำเติมคนหางานช่วงโควิด หลอกไปแคนาดา
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รมว.แรงงาน สั่งดําเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน ซ้ําเติมคนหางานช่วงโควิด หลอกไปแคนาดา
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แจง กรณีปรากฏข่าวทางสื่อโทรทัศน์ช่อง 3 HD รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ กรณีคนงานไทยร้องทุกข์เนื่องจากถูกหลอกลวงไปทํางานต่างประเทศ มอบหมายกรมการจัดหางานตรวจสอบข้อเท็จจริง
พบ คนหางานถูกหลอกไปทํางานประเทศแคนาดา จํานวน 40 คน ค่าเสียหายกว่า 7 ล้านบาท เบื้องต้นประสานสอบปากคําพร้อมส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีแล้ว
นายสุชาติฯ เปิดเผยว่า รู้สึกห่วงใยคนหางานไปทํางานต่างประเทศที่ถูกหลอกลวง ฉวยโอกาสหาประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทั้งจากความไม่รู้ และความหวังที่ต้องการจะเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ เพื่อมีรายได้ส่งกลับมายกระดับฐานะครอบครัว เพราะมีอัตราค่าตอบแทนสูง ซึ่งกระทรวงแรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้สั่งการกรมการจัดหางานให้เร่งรัดตรวจสอบเพื่อดําเนินคดีแล้ว ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญกับแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานต่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มแรงงานที่นํารายได้เข้าประเทศไทย เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน รับข้อสั่งการ เร่งตรวจสอบไปที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิ พบคนหางานไปทํางานต่างประเทศถูกหลอกลวงจํานวน 40 คน ค่าเสียหายทั้งสิ้น 7,570,880 บาท ซึ่งทางสํานักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ สอบปากคําคนหางาน และส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน
“อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางานมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบอย่างเข้มงวด และทํารายงานการสืบสวน ตาม พรบ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 การหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจําคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และการโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน มีความผิด ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ดําเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน จํานวน 78 ราย มีคนหางานร้องทุกข์ กรณีถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวง จํานวน 204 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 16,454,698 บาท และกรมการจัดหางานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ดําเนินคดีผู้โฆษณาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งสิ้น จํานวน 234 เรื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2563) โดยประเทศที่คนหางานตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แคนาดา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ตามลําดับ” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
กรมการจัดหางานแนะนําให้คนหางานที่สนใจจะไปทํางานต่างประเทศ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตําแหน่งงาน นายจ้าง ประเทศที่จะไป และต้องเดินทางไปทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 วิธี คือ 1.การเดินทางไปทํางานต่างประเทศด้วยตนเอง 2.การเดินทางไปทํางานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 3.การเดินทางไปทํางานต่างประเทศโดยกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง ได้แก่ โครงการจ้างตรง :ไต้หวัน โครงการ IM : ประเทศญี่ปุ่น โครงการ EPS: เกาหลี โครงการ TIC 4.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทํางานในต่างประเทศ และ5.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ ทั้งนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางาน ได้ที่ www.doe.go.th และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ประสานการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อคนหางาน กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0 2245 6763 สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37527
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 11.15 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ ได้บุญ” โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็กเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และคนไร้ที่พึ่ง รวมทั้งภาคีเครือข่าย มาออกร้านจําหน่ายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–11 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ที่บริเวณลาน Avenue โซน A ชั้น G ศูนย์การค้า MBK Center เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า กระทรวง พม. มีภารกิจหลักในการพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่แรกเกิด เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม อีกทั้งการเสริมสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็งและสร้างระบบที่เอื้อต่อการพัฒนาคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และการส่งเสริมภาคีเครือข่ายอย่างเป็นระบบสู่การเป็นหุ้นส่วนทางสังคม ซึ่งขณะนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษกิจและสังคมต่อประชาชนคนไทยในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของ กระทรวง พม. ที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ร่วมกับบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) จัดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ ได้บุญ” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายมาออกร้านจําหน่ายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าและสร้างรายได้ให้กลุ่มบุคคลที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. และภาคีเครือข่าย นอกจากนี้ ยังสามารถร่วมทําบุญบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อส่งต่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับกลุ่มเด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ จํานวน 6,464 คน อีกทั้งมีการเปิดรับสมัครอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพื่อร่วมเป็นภาคีเครือข่ายในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมต่อไป
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนแต่งชุดไทยมาช้อปสินค้าฝีมือคนไทย ชิมอาหารไทย และชมโชว์แบบไทย จากกลุ่มบุคคลที่ต้องการโอกาสจากสังคม ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวง พม. พร้อมอิ่มบุญอิ่มใจกับการส่งมอบความสุขได้ที่งาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ระหว่างวันที่ 9 – 11 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10:00-20:00 น. ณ บริเวณลาน Avenue โซน A ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 11.15 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ ได้บุญ” โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็กเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และคนไร้ที่พึ่ง รวมทั้งภาคีเครือข่าย มาออกร้านจําหน่ายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–11 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ที่บริเวณลาน Avenue โซน A ชั้น G ศูนย์การค้า MBK Center เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า กระทรวง พม. มีภารกิจหลักในการพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่แรกเกิด เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม อีกทั้งการเสริมสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็งและสร้างระบบที่เอื้อต่อการพัฒนาคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และการส่งเสริมภาคีเครือข่ายอย่างเป็นระบบสู่การเป็นหุ้นส่วนทางสังคม ซึ่งขณะนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษกิจและสังคมต่อประชาชนคนไทยในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของ กระทรวง พม. ที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ร่วมกับบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) จัดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ ได้บุญ” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายมาออกร้านจําหน่ายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าและสร้างรายได้ให้กลุ่มบุคคลที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. และภาคีเครือข่าย นอกจากนี้ ยังสามารถร่วมทําบุญบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อส่งต่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับกลุ่มเด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ จํานวน 6,464 คน อีกทั้งมีการเปิดรับสมัครอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพื่อร่วมเป็นภาคีเครือข่ายในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมต่อไป
นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนแต่งชุดไทยมาช้อปสินค้าฝีมือคนไทย ชิมอาหารไทย และชมโชว์แบบไทย จากกลุ่มบุคคลที่ต้องการโอกาสจากสังคม ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวง พม. พร้อมอิ่มบุญอิ่มใจกับการส่งมอบความสุขได้ที่งาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ระหว่างวันที่ 9 – 11 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10:00-20:00 น. ณ บริเวณลาน Avenue โซน A ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37509
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ยื่นดำเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ยื่นดําเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย
ดีอีเอส ยื่นดําเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย
ดีอีเอส ยื่นดําเนินคดี 496 ยูอาร์แอล พบหลักฐานชัดเจนโพสต์ละเมิดผิดกฎหมายความมั่นคงฯ และ พรบ.คอมพ์ฯ ช่วง 13 ต.ค.- 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา เตือนใช้สื่อโซเชียลอย่างสร้างสรรค์ เพราะแม้จะใช้บัญชีอวตาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถสืบทราบตัวบุคคลได้
วันนี้ (9 ธ.ค. 63) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้แถลงข่าวการดําเนินคดีเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ 13 ต.ค. – 4 ธ.ค. 63 ได้รวบรวมหลักฐานและดําเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษดําเนินคดีต่อผู้กระทําความผิด ทั้งสิ้น 496 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 284 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 81 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 130 ยูอาร์แอล และอื่นๆ 1 ยูอาร์แอล
ในส่วนนี้ ได้ดําเนินการพิสูจน์ทราบตัวตนบุคคลแล้ว จํานวน 19 บัญชี แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 15 ราย และ ทวิตเตอร์ 4 ราย โดยส่งข้อมูลผู้กระทําความผิดให้ บก.ปอท. ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายแล้ว
สําหรับผลการทํางานดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยกองป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปท.) กองกฎหมาย ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งได้ร่วมกันตรวจสอบการกระทําที่อาจเข้าข่ายความผิดบนสื่อสังคมออนไลน์ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ในช่วงวันที่ 13 ต.ค. - 4 ธ.ค. 63
“ขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นบัญชีจริงหรืออวตาร เจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์ทราบตัวตนบุคคลได้ การโพสต์ใดๆ ควรเป็นไปอย่างมีวิจารณญาณสร้างสรรค์และเคารพกฎหมาย” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ขณะที่ การดําเนินการของเพจอาสา จับตา ออนไลน์ ในเดือน พ.ย. 63 ได้รับแจ้งเบาะแสการกระทําความผิดกฎหมายจากประชาชน จํานวนทั้งสิ้น 11,914 ยูอาร์แอล โดยจากการตรวจสอบ พบว่า ซ้ําซ้อน/ไม่พบยูอาร์แอลนั้นๆ /ไม่เข้าข้อกฎหมาย จํานวน 11,088 ยูอาร์แอล
และมีจํานวนที่เข้าข้อกฎหมาย 826 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 357 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 231 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 160 ยูอาร์แอล, Tiktok 4 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 74 ยูอาร์แอล โดยศาลมีคําสั่งแล้วจํานวน 765 ยูอาร์แอล และอยู่ระหว่างประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 61 ยูอาร์แอล
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ดําเนินการตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (แพลตฟอร์ม) ที่ไม่ดําเนินการปิด/ลบเนื้อหาผิดกฎหมายภายใน 15 วัน ตามที่มีการส่งหนังสือไปแจ้งเตือนให้ดําเนินการ โดยในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา มีการดําเนินการส่งหนังสือแจ้งเตือนไปแล้ว 2 ชุด และคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะมีการทําหนังสือแจ้งเตือนอีก 1 ชุด
โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนชุดที่ 5 และครบกําหนดไปแล้วเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 63 จํานวน 718 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 487 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 98 ยูอาร์แอล คงเหลือ 389 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 137 ยูอาร์แอล ปิดแล้วทั้งหมด, ทวิตเตอร์ 81 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 8 ยูอาร์แอล คงเหลือ 73 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 13 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 6 ยูอาร์แอล คงเหลือ 7 ยูอาร์แอล โดยในชุดที่ 5 นี้ อยู่ระหว่างขอความเห็นชอบมอบหมายผู้แทนร้องทุกข์กล่าวโทษตามมาตรา 27 ต่อ ปอท. ต่อไป
สําหรับชุดที่ 6 ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 63 และครบกําหนด 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา จํานวน 312 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 167 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 49 ยูอาร์แอล คงเหลือ 118 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 111 ยูอาร์แอล ปิดแล้วทั้งหมด, ทวิตเตอร์ 28 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 5 ยูอาร์แอล คงเหลือ 23 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 6 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 1 ยูอาร์แอล คงเหลือ 5 ยูอาร์แอล จากนี้เตรียมรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอความเห็นชอบร้องทุกข์กล่าวโทษตามมาตรา 27 กับเจ้าของแพลตฟอร์มที่ไม่ดําเนินการตามคําสั่งศาลต่อไป
ขณะที่ ภายในสัปดาห์นี้ เตรียมทําหนังสือแจ้งเตือนต่อแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นชุดที่ 7 จํานวน 607 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 331 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 22 ยูอาร์แอล คงเหลือ 309 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 144 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 65 ยูอาร์แอล คงเหลือ 79 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 128 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 6 ยูอาร์แอล คงเหลือ 122 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 4 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 2 ยูอาร์แอล คงเหลือ 2 ยูอาร์แอล
********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ยื่นดำเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ยื่นดําเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย
ดีอีเอส ยื่นดําเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย
ดีอีเอส ยื่นดําเนินคดี 496 ยูอาร์แอล พบหลักฐานชัดเจนโพสต์ละเมิดผิดกฎหมายความมั่นคงฯ และ พรบ.คอมพ์ฯ ช่วง 13 ต.ค.- 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา เตือนใช้สื่อโซเชียลอย่างสร้างสรรค์ เพราะแม้จะใช้บัญชีอวตาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถสืบทราบตัวบุคคลได้
วันนี้ (9 ธ.ค. 63) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้แถลงข่าวการดําเนินคดีเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ 13 ต.ค. – 4 ธ.ค. 63 ได้รวบรวมหลักฐานและดําเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษดําเนินคดีต่อผู้กระทําความผิด ทั้งสิ้น 496 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 284 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 81 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 130 ยูอาร์แอล และอื่นๆ 1 ยูอาร์แอล
ในส่วนนี้ ได้ดําเนินการพิสูจน์ทราบตัวตนบุคคลแล้ว จํานวน 19 บัญชี แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 15 ราย และ ทวิตเตอร์ 4 ราย โดยส่งข้อมูลผู้กระทําความผิดให้ บก.ปอท. ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายแล้ว
สําหรับผลการทํางานดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยกองป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปท.) กองกฎหมาย ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งได้ร่วมกันตรวจสอบการกระทําที่อาจเข้าข่ายความผิดบนสื่อสังคมออนไลน์ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ในช่วงวันที่ 13 ต.ค. - 4 ธ.ค. 63
“ขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นบัญชีจริงหรืออวตาร เจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์ทราบตัวตนบุคคลได้ การโพสต์ใดๆ ควรเป็นไปอย่างมีวิจารณญาณสร้างสรรค์และเคารพกฎหมาย” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ขณะที่ การดําเนินการของเพจอาสา จับตา ออนไลน์ ในเดือน พ.ย. 63 ได้รับแจ้งเบาะแสการกระทําความผิดกฎหมายจากประชาชน จํานวนทั้งสิ้น 11,914 ยูอาร์แอล โดยจากการตรวจสอบ พบว่า ซ้ําซ้อน/ไม่พบยูอาร์แอลนั้นๆ /ไม่เข้าข้อกฎหมาย จํานวน 11,088 ยูอาร์แอล
และมีจํานวนที่เข้าข้อกฎหมาย 826 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 357 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 231 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 160 ยูอาร์แอล, Tiktok 4 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 74 ยูอาร์แอล โดยศาลมีคําสั่งแล้วจํานวน 765 ยูอาร์แอล และอยู่ระหว่างประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 61 ยูอาร์แอล
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ดําเนินการตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (แพลตฟอร์ม) ที่ไม่ดําเนินการปิด/ลบเนื้อหาผิดกฎหมายภายใน 15 วัน ตามที่มีการส่งหนังสือไปแจ้งเตือนให้ดําเนินการ โดยในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา มีการดําเนินการส่งหนังสือแจ้งเตือนไปแล้ว 2 ชุด และคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะมีการทําหนังสือแจ้งเตือนอีก 1 ชุด
โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนชุดที่ 5 และครบกําหนดไปแล้วเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 63 จํานวน 718 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 487 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 98 ยูอาร์แอล คงเหลือ 389 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 137 ยูอาร์แอล ปิดแล้วทั้งหมด, ทวิตเตอร์ 81 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 8 ยูอาร์แอล คงเหลือ 73 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 13 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 6 ยูอาร์แอล คงเหลือ 7 ยูอาร์แอล โดยในชุดที่ 5 นี้ อยู่ระหว่างขอความเห็นชอบมอบหมายผู้แทนร้องทุกข์กล่าวโทษตามมาตรา 27 ต่อ ปอท. ต่อไป
สําหรับชุดที่ 6 ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 63 และครบกําหนด 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา จํานวน 312 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 167 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 49 ยูอาร์แอล คงเหลือ 118 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 111 ยูอาร์แอล ปิดแล้วทั้งหมด, ทวิตเตอร์ 28 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 5 ยูอาร์แอล คงเหลือ 23 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 6 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 1 ยูอาร์แอล คงเหลือ 5 ยูอาร์แอล จากนี้เตรียมรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอความเห็นชอบร้องทุกข์กล่าวโทษตามมาตรา 27 กับเจ้าของแพลตฟอร์มที่ไม่ดําเนินการตามคําสั่งศาลต่อไป
ขณะที่ ภายในสัปดาห์นี้ เตรียมทําหนังสือแจ้งเตือนต่อแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นชุดที่ 7 จํานวน 607 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 331 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 22 ยูอาร์แอล คงเหลือ 309 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 144 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 65 ยูอาร์แอล คงเหลือ 79 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 128 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 6 ยูอาร์แอล คงเหลือ 122 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 4 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 2 ยูอาร์แอล คงเหลือ 2 ยูอาร์แอล
********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37508
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร
รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร พร้อมแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําในทุกพื้นที่ โดยไม่ขัดต่อมติ ครม.
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกับพี่น้องชาวจังหวัดกาญจนบุรี ถึงความกังวลใจที่กรมชลประทานจะไม่สนับสนุนน้ําในการทํานาปรัง ว่า จากมติ ครม. ให้บริหารจัดการน้ําในช่วงหน้าแล้งและไม่ให้ทํานาปรังนั้น ทางกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จึงต้องทําตามมติ ครม. แต่จะต้องหาแนวทางในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรด้วย จึงต้องขอนําเรียนในเบื้องต้นว่ามติ ครม. ถือเป็นกฎหมายที่ต้องบังคับใช้ทั้งประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายกรมชลประทานหาวิธีการแก้ไขและต้องมีคําตอบให้พี่น้องเกษตรกรโดยเร็วที่สุด ส่วนไหนที่สามารถดําเนินการได้จะให้ดําเนินการในทันที และให้จัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมสําหรับเข้าไปดูแลพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มที่
"อยากให้พี่น้องเกษตรกรแต่ละพื้นที่ จัดเตรียมแหล่งกักเก็บน้ํา เพื่อสํารองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งจะมอบหมายให้กรมชลประทานเข้าไปช่วยเติมน้ําให้ และหากสามารถเพิ่มพื้นที่แหล่งกักเก็บน้ําได้ ก็จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดําเนินการ นอกจากนี้ จะขอรับเอาข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะจากพี่น้องเกษตรกรเข้าไปหารือกับนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป จึงขอยืนยันกับพี่น้องเกษตรกรว่าเราจะทําให้ดีที่สุด เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องเกษตรกร” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาการแทนอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า สิ่งที่กรมชลประทานสามารถดําเนินการได้ในทันที คือ ในช่วงเวลานี้ยังมีแผนการส่งน้ําตามปกติ ตามแผนการส่งน้ํานาปี จึงขอให้เกษตรกรสํารองน้ําในพื้นที่ให้เต็มพิกัด ถ้าติดขัดอะไรจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลให้เรียบร้อย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีมาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วงเหลือ เช่น การส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ําน้อย หรือการส่งเสริมการทําประมงและการเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ซึ่งโครงการต่าง ๆ เหล่านี้ จะเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในช่วงสถานการณ์ภัยแล้งได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร
รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร พร้อมแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําในทุกพื้นที่ โดยไม่ขัดต่อมติ ครม.
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกับพี่น้องชาวจังหวัดกาญจนบุรี ถึงความกังวลใจที่กรมชลประทานจะไม่สนับสนุนน้ําในการทํานาปรัง ว่า จากมติ ครม. ให้บริหารจัดการน้ําในช่วงหน้าแล้งและไม่ให้ทํานาปรังนั้น ทางกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จึงต้องทําตามมติ ครม. แต่จะต้องหาแนวทางในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรด้วย จึงต้องขอนําเรียนในเบื้องต้นว่ามติ ครม. ถือเป็นกฎหมายที่ต้องบังคับใช้ทั้งประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายกรมชลประทานหาวิธีการแก้ไขและต้องมีคําตอบให้พี่น้องเกษตรกรโดยเร็วที่สุด ส่วนไหนที่สามารถดําเนินการได้จะให้ดําเนินการในทันที และให้จัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมสําหรับเข้าไปดูแลพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มที่
"อยากให้พี่น้องเกษตรกรแต่ละพื้นที่ จัดเตรียมแหล่งกักเก็บน้ํา เพื่อสํารองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งจะมอบหมายให้กรมชลประทานเข้าไปช่วยเติมน้ําให้ และหากสามารถเพิ่มพื้นที่แหล่งกักเก็บน้ําได้ ก็จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดําเนินการ นอกจากนี้ จะขอรับเอาข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะจากพี่น้องเกษตรกรเข้าไปหารือกับนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป จึงขอยืนยันกับพี่น้องเกษตรกรว่าเราจะทําให้ดีที่สุด เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องเกษตรกร” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาการแทนอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า สิ่งที่กรมชลประทานสามารถดําเนินการได้ในทันที คือ ในช่วงเวลานี้ยังมีแผนการส่งน้ําตามปกติ ตามแผนการส่งน้ํานาปี จึงขอให้เกษตรกรสํารองน้ําในพื้นที่ให้เต็มพิกัด ถ้าติดขัดอะไรจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลให้เรียบร้อย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีมาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วงเหลือ เช่น การส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ําน้อย หรือการส่งเสริมการทําประมงและการเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ซึ่งโครงการต่าง ๆ เหล่านี้ จะเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในช่วงสถานการณ์ภัยแล้งได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37510
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่บริเวณลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านคอร์รัปชัน ภายใต้แนวคิด “พม. โปร่งใส”(ANTI-CORRUPTION) เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนมีแนวทางในการปฏิบัติราชการตามเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชันของกระทรวง พม. เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti - Corruption Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ ตนได้นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ว่า จะน้อมนําเอาพระราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราโชวาทแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 มาประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผลเป็นความสุขความเจริญของประเทศชาติ และประชาชนเป็นสําคัญ จะทําหน้าที่นําข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวง พม. ให้ประพฤติปฏิบัติตนให้ตั้งมั่นในความดีตามรอยพระยุคลบาท มุ่งมั่น แน่วแน่แก้ไขปัญหาของชาติและประชาชน เสริมสร้างคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดิน ปฏิบัติงานด้วยความอุตสาหะ เสียสละ ยึดหลักกฎหมาย หนักแน่น เที่ยงตรง มีเกียรติ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นข้าราชการ กล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ไม่คดโกงแผ่นดิน ไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ และไม่ใช้ตําแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง จะปฏิบัติหน้าที่เต็มกําลังความสามารถ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มุ่งประโยชน์ส่วนรวม
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ (The United Nation - UN)ได้ประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti - Corruption Day) สําหรับ ปี 2563 ประเทศไทยโดยรัฐบาล ร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รวมทั้ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รณรงค์เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่อง และเป็นการปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่บริเวณลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านคอร์รัปชัน ภายใต้แนวคิด “พม. โปร่งใส”(ANTI-CORRUPTION) เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนมีแนวทางในการปฏิบัติราชการตามเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชันของกระทรวง พม. เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti - Corruption Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี
นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ ตนได้นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ว่า จะน้อมนําเอาพระราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราโชวาทแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 มาประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผลเป็นความสุขความเจริญของประเทศชาติ และประชาชนเป็นสําคัญ จะทําหน้าที่นําข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวง พม. ให้ประพฤติปฏิบัติตนให้ตั้งมั่นในความดีตามรอยพระยุคลบาท มุ่งมั่น แน่วแน่แก้ไขปัญหาของชาติและประชาชน เสริมสร้างคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดิน ปฏิบัติงานด้วยความอุตสาหะ เสียสละ ยึดหลักกฎหมาย หนักแน่น เที่ยงตรง มีเกียรติ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นข้าราชการ กล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ไม่คดโกงแผ่นดิน ไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ และไม่ใช้ตําแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง จะปฏิบัติหน้าที่เต็มกําลังความสามารถ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มุ่งประโยชน์ส่วนรวม
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ (The United Nation - UN)ได้ประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti - Corruption Day) สําหรับ ปี 2563 ประเทศไทยโดยรัฐบาล ร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รวมทั้ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รณรงค์เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่อง และเป็นการปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37507
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 9
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นํา ACMECS ครั้งที่ 9
คํากล่าวของนายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นํา ACMECS ครั้งที่ 9 วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เวลา 08.30 – 10.00 น. ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล ผ่านระบบการประชุมทางไกล
คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในการประชุมผู้นํา ACMECS ครั้งที่ 9
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เวลา 08.30 – 10.00 น.
ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล ผ่านระบบการประชุมทางไกล
ฯพณฯ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
ฯพณฯ ทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ฯพณฯ อู วิน มยิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ฯพณฯ เหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ฯพณฯ ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ็อก ฮอย เลขาธิการอาเซียน
และท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมยินดีที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังการประชุมผู้นําอาเซียน และขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ได้จัดการประชุมผู้นํา ACMECS ครั้งที่ 9 ซึ่งผมเชื่อว่าผลการประชุมครั้งนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะขับเคลื่อน ACMECS ให้ก้าวหน้า มีพลวัต และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และความท้าทายรูปแบบใหม่ต่อไป
ท่ามกลางวิกฤต Covid-19 ในปัจจุบัน ผมภูมิใจที่ประชาคมโลกยอมรับว่าอนุภูมิภาคนี้เป็นแบบอย่างของการรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างดี ทั้งเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดและการร่วมมือกันเฝ้าระวังตามแนวชายแดน ซึ่งความสําเร็จดังกล่าวมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากความร่วมมือระหว่างกันที่มีมานาน ถือเป็นจุดแข็งหนึ่งของอนุภูมิภาคที่อยากจะขอให้ทุกท่านช่วยกันรักษาเอาไว้ ประการสําคัญผมเชื่อว่าการที่เรามุ่งมั่นดําเนินการตาม 3 เสาหลักของแผนแม่บท ACMECS ได้ส่งผลให้เรารับมือกับวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมยินดีที่ทุกท่านเห็นพ้องกับหลักการใหม่ที่ไทยเสนอ เรื่อง“อนุภูมิภาคที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้” ให้เป็นอีกหนึ่งสาขาความร่วมมือภายใต้แผนแม่บท ACMECS โดยผมเห็นว่าเราต้องให้ความสําคัญกับประเด็นต่าง ๆ ที่จําเป็นสําหรับการพัฒนาในอนาคต เช่น การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจพร้อมกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ ในอนาคต เราต้องพลิกวิกฤติโควิด-19 ให้เป็นโอกาสเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงภาพลักษณ์ของอนุภูมิภาค และส่งเสริมให้ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยโอกาสที่หุ้นส่วนภายนอกจะเข้ามาร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา ตลอดจนสามารถสัญจรไป-มาระหว่างกันได้อย่างมั่นใจ นอกจากนั้น เราต้องยกระดับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความท้าทายอื่น ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาหมอกควัน และการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ําที่มีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ
เพื่อนําไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นผมขอเสนอให้ ACMECS กระชับความร่วมมือกันใน 3 ประเด็น ดังนี้
ประการแรก ผมเห็นว่า “การพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติ” ทั้งด้าน hardware software และ digital ยังคงเป็นหัวใจสําคัญของการขับเคลื่อน ACMECS และความร่วมมือ 3 เสาภายใต้แผนแม่บท ที่เราได้ร่วมรับรองในการประชุมผู้นําครั้งที่แล้วที่กรุงเทพฯ เนื่องจากมีความจําเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เพราะถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการเสริมสร้างประชาคมอาเซียน ผ่านการสอดประสานกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียนได้อย่างไร้รอยต่อ
ผมยินดีที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นพัฒนาการของความเชื่อมโยงด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนข้ามพรมแดน การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สําหรับ Micro SMEs เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะนําไปสู่การลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างกันได้ นอกจากนี้ เพื่อเชื่อมโยงอนุภูมิภาคของเราเข้ากับห่วงโซ่มูลค่าของโลก ไทยจะใช้จุดแข็งเรื่องที่ตั้งของอนุภูมิภาคผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทยกับอันดามัน และโครงการสะพานไทย เพื่อเชื่อมโยง EEC กับ SEC ด้วย
นอกจากนี้ ผมยินดีที่การเชื่อมโยงประเทศสมาชิก ACMECS และมิตรประเทศอื่น ๆ มีความแข็งแกร่งและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ขณะที่การดําเนินการตามแผนแม่บท ACMECS ในมิติอื่น ๆ ก็คืบหน้าไปมาก เมื่อปีที่แล้ว เราได้ตกลงร่วมกันในการจัดทําเอกสารสําคัญที่จะขับเคลื่อน ACMECS อาทิ เอกสารขอบเขตการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS เอกสารกลไกการทํางานของคณะกรรมการประสานงาน 3 เสา และการรวบรวมรายชื่อโครงการจําเป็นเร่งด่วน ที่สําคัญคือ เราได้รับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลีย และในปีนี้ นิวซีแลนด์และอิสราเอลก็จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มที่สองอีกด้วย โดยไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาจะเร่งประสานงานกับประเทศสมาชิก ในการจัดทําแผนความร่วมมือระหว่างกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ประเทศภายนอกภูมิภาคมีต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงของเราอย่างเป็นรูปธรรม
ทุกท่านครับสําหรับการขับเคลื่อนแผนแม่บท ACMECS ในระยะต่อไป ผมเห็นว่าเราต้องยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขที่ได้ทํามาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วภายใต้เสาที่ 3 ของแผนแม่บท ขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นและมีความยั่งยืนมากขึ้น ที่ผ่านมาเรามีโครงการแบ่งปันประสบการณ์ และถ่ายทอดความรู้ผ่านเครือข่ายการแพทย์ข้ามพรมแดน และการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นเร่งด่วน แต่ผมอยากให้เรานึกถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขร่วมกันในระยะยาวด้วย ทั้งการพัฒนาบุคลากรร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขีดความสามารถด้านการค้นคว้าวิจัยวัคซีนและยารักษาโรค เพื่อให้เราพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางสาธารณสุขในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
โอกาสนี้ ผมมีความยินดีที่จะเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ไทยได้ ลงนามกับบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งคาดว่า น่าจะได้รับอนุญาตให้ใช้และผลิตได้ในช่วงกลางปี 2564 และเมื่อถึงเวลานั้น ไทยพร้อมสนับสนุนให้ยาและวัคซีนดังกล่าวเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ในราคาที่สมเหตุสมผล
ประการที่สอง เราต้องมีกลไกทางการเงินที่จะสนับสนุน การพัฒนา ACMECS โดยผมยินดีที่เราได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS ในการประชุมผู้นําครั้งที่ผ่านมา และวันนี้ผมขอย้ําความสําคัญของการจัดตั้งกองทุนนี้ เพื่อเป็นกลไก การพัฒนาที่เป็นรูปธรรม และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของอนุภูมิภาค ผมยินดีที่ทุกประเทศเห็นชอบในหลักการของการร่วมสนับสนุนเงินทุน และขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศเร่งดําเนินกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยไทยขอยืนยันคํามั่นที่จะสนับสนุนเงินจํานวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุนเพื่อใช้ขับเคลื่อนโครงการที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่ออนุภูมิภาคและประชาชนของเรา
ประการสุดท้าย เพื่อให้ ACMECS สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผมเห็นว่าเราต้องมีกลไกกลาง เพื่อทําหน้าที่ผู้ประสานงานหลัก ทั้งในกลุ่ม ACMECS เอง และระหว่าง ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ดังนั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่เราจะเร่งศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสํานักเลขาธิการ ACMECS เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จัดทํายุทธศาสตร์ขับเคลื่อนโครงการ และประสานการทํางานร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะเล็งเห็นถึงความ สําคัญของการจัดตั้งสํานักเลขาธิการ ACMECS เช่นเดียวกับผม และจะสนับสนุนให้การจัดตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ
ผมเชื่อว่าการพบปะของพวกเราสมาชิก ACMECS และท่านเลขาธิการ อาเซียนในวันนี้ เป็นการส่งสัญญาณสําคัญให้ประชาคมโลกได้รับทราบว่า ในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะควบคุม ACMECS พร้อมที่จะผนึกกําลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างแข็งขัน ให้สมกับการเป็นสมาชิกประชาคมระหว่างประเทศที่มีความรับผิดชอบ มีบทบาทที่สร้างสรรค์ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ
สุดท้ายนี้ ผมขอยืนยันความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ของไทย ในการทํางานร่วมกับประเทศสมาชิก ACMECS ทั้งในด้านการสอดประสานเชิงนโยบายและการส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เราบรรลุข้อตกลงที่สําคัญต่าง ๆ ผมเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถสร้างประชาคมแม่โขงที่เชื่อมโยง เข้มแข็ง และมีความยืดหยุ่น เพื่อให้เป็นอนุภูมิภาคเศรษฐกิจใหม่ที่สามารถขับเคลื่อนพลวัตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
*************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 9
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นํา ACMECS ครั้งที่ 9
คํากล่าวของนายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นํา ACMECS ครั้งที่ 9 วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เวลา 08.30 – 10.00 น. ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล ผ่านระบบการประชุมทางไกล
คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในการประชุมผู้นํา ACMECS ครั้งที่ 9
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เวลา 08.30 – 10.00 น.
ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล ผ่านระบบการประชุมทางไกล
ฯพณฯ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
ฯพณฯ ทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ฯพณฯ อู วิน มยิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ฯพณฯ เหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ฯพณฯ ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ็อก ฮอย เลขาธิการอาเซียน
และท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมยินดีที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังการประชุมผู้นําอาเซียน และขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ได้จัดการประชุมผู้นํา ACMECS ครั้งที่ 9 ซึ่งผมเชื่อว่าผลการประชุมครั้งนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะขับเคลื่อน ACMECS ให้ก้าวหน้า มีพลวัต และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และความท้าทายรูปแบบใหม่ต่อไป
ท่ามกลางวิกฤต Covid-19 ในปัจจุบัน ผมภูมิใจที่ประชาคมโลกยอมรับว่าอนุภูมิภาคนี้เป็นแบบอย่างของการรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างดี ทั้งเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดและการร่วมมือกันเฝ้าระวังตามแนวชายแดน ซึ่งความสําเร็จดังกล่าวมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากความร่วมมือระหว่างกันที่มีมานาน ถือเป็นจุดแข็งหนึ่งของอนุภูมิภาคที่อยากจะขอให้ทุกท่านช่วยกันรักษาเอาไว้ ประการสําคัญผมเชื่อว่าการที่เรามุ่งมั่นดําเนินการตาม 3 เสาหลักของแผนแม่บท ACMECS ได้ส่งผลให้เรารับมือกับวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมยินดีที่ทุกท่านเห็นพ้องกับหลักการใหม่ที่ไทยเสนอ เรื่อง“อนุภูมิภาคที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้” ให้เป็นอีกหนึ่งสาขาความร่วมมือภายใต้แผนแม่บท ACMECS โดยผมเห็นว่าเราต้องให้ความสําคัญกับประเด็นต่าง ๆ ที่จําเป็นสําหรับการพัฒนาในอนาคต เช่น การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจพร้อมกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ ในอนาคต เราต้องพลิกวิกฤติโควิด-19 ให้เป็นโอกาสเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงภาพลักษณ์ของอนุภูมิภาค และส่งเสริมให้ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยโอกาสที่หุ้นส่วนภายนอกจะเข้ามาร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา ตลอดจนสามารถสัญจรไป-มาระหว่างกันได้อย่างมั่นใจ นอกจากนั้น เราต้องยกระดับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความท้าทายอื่น ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาหมอกควัน และการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ําที่มีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ
เพื่อนําไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นผมขอเสนอให้ ACMECS กระชับความร่วมมือกันใน 3 ประเด็น ดังนี้
ประการแรก ผมเห็นว่า “การพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติ” ทั้งด้าน hardware software และ digital ยังคงเป็นหัวใจสําคัญของการขับเคลื่อน ACMECS และความร่วมมือ 3 เสาภายใต้แผนแม่บท ที่เราได้ร่วมรับรองในการประชุมผู้นําครั้งที่แล้วที่กรุงเทพฯ เนื่องจากมีความจําเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เพราะถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการเสริมสร้างประชาคมอาเซียน ผ่านการสอดประสานกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียนได้อย่างไร้รอยต่อ
ผมยินดีที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นพัฒนาการของความเชื่อมโยงด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนข้ามพรมแดน การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สําหรับ Micro SMEs เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะนําไปสู่การลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างกันได้ นอกจากนี้ เพื่อเชื่อมโยงอนุภูมิภาคของเราเข้ากับห่วงโซ่มูลค่าของโลก ไทยจะใช้จุดแข็งเรื่องที่ตั้งของอนุภูมิภาคผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทยกับอันดามัน และโครงการสะพานไทย เพื่อเชื่อมโยง EEC กับ SEC ด้วย
นอกจากนี้ ผมยินดีที่การเชื่อมโยงประเทศสมาชิก ACMECS และมิตรประเทศอื่น ๆ มีความแข็งแกร่งและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ขณะที่การดําเนินการตามแผนแม่บท ACMECS ในมิติอื่น ๆ ก็คืบหน้าไปมาก เมื่อปีที่แล้ว เราได้ตกลงร่วมกันในการจัดทําเอกสารสําคัญที่จะขับเคลื่อน ACMECS อาทิ เอกสารขอบเขตการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS เอกสารกลไกการทํางานของคณะกรรมการประสานงาน 3 เสา และการรวบรวมรายชื่อโครงการจําเป็นเร่งด่วน ที่สําคัญคือ เราได้รับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลีย และในปีนี้ นิวซีแลนด์และอิสราเอลก็จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มที่สองอีกด้วย โดยไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาจะเร่งประสานงานกับประเทศสมาชิก ในการจัดทําแผนความร่วมมือระหว่างกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ประเทศภายนอกภูมิภาคมีต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงของเราอย่างเป็นรูปธรรม
ทุกท่านครับสําหรับการขับเคลื่อนแผนแม่บท ACMECS ในระยะต่อไป ผมเห็นว่าเราต้องยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขที่ได้ทํามาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วภายใต้เสาที่ 3 ของแผนแม่บท ขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นและมีความยั่งยืนมากขึ้น ที่ผ่านมาเรามีโครงการแบ่งปันประสบการณ์ และถ่ายทอดความรู้ผ่านเครือข่ายการแพทย์ข้ามพรมแดน และการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นเร่งด่วน แต่ผมอยากให้เรานึกถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขร่วมกันในระยะยาวด้วย ทั้งการพัฒนาบุคลากรร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขีดความสามารถด้านการค้นคว้าวิจัยวัคซีนและยารักษาโรค เพื่อให้เราพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางสาธารณสุขในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
โอกาสนี้ ผมมีความยินดีที่จะเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ไทยได้ ลงนามกับบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งคาดว่า น่าจะได้รับอนุญาตให้ใช้และผลิตได้ในช่วงกลางปี 2564 และเมื่อถึงเวลานั้น ไทยพร้อมสนับสนุนให้ยาและวัคซีนดังกล่าวเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ในราคาที่สมเหตุสมผล
ประการที่สอง เราต้องมีกลไกทางการเงินที่จะสนับสนุน การพัฒนา ACMECS โดยผมยินดีที่เราได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS ในการประชุมผู้นําครั้งที่ผ่านมา และวันนี้ผมขอย้ําความสําคัญของการจัดตั้งกองทุนนี้ เพื่อเป็นกลไก การพัฒนาที่เป็นรูปธรรม และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของอนุภูมิภาค ผมยินดีที่ทุกประเทศเห็นชอบในหลักการของการร่วมสนับสนุนเงินทุน และขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศเร่งดําเนินกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยไทยขอยืนยันคํามั่นที่จะสนับสนุนเงินจํานวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุนเพื่อใช้ขับเคลื่อนโครงการที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่ออนุภูมิภาคและประชาชนของเรา
ประการสุดท้าย เพื่อให้ ACMECS สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผมเห็นว่าเราต้องมีกลไกกลาง เพื่อทําหน้าที่ผู้ประสานงานหลัก ทั้งในกลุ่ม ACMECS เอง และระหว่าง ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ดังนั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่เราจะเร่งศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสํานักเลขาธิการ ACMECS เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จัดทํายุทธศาสตร์ขับเคลื่อนโครงการ และประสานการทํางานร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะเล็งเห็นถึงความ สําคัญของการจัดตั้งสํานักเลขาธิการ ACMECS เช่นเดียวกับผม และจะสนับสนุนให้การจัดตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ
ผมเชื่อว่าการพบปะของพวกเราสมาชิก ACMECS และท่านเลขาธิการ อาเซียนในวันนี้ เป็นการส่งสัญญาณสําคัญให้ประชาคมโลกได้รับทราบว่า ในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะควบคุม ACMECS พร้อมที่จะผนึกกําลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างแข็งขัน ให้สมกับการเป็นสมาชิกประชาคมระหว่างประเทศที่มีความรับผิดชอบ มีบทบาทที่สร้างสรรค์ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ
สุดท้ายนี้ ผมขอยืนยันความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ของไทย ในการทํางานร่วมกับประเทศสมาชิก ACMECS ทั้งในด้านการสอดประสานเชิงนโยบายและการส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เราบรรลุข้อตกลงที่สําคัญต่าง ๆ ผมเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถสร้างประชาคมแม่โขงที่เชื่อมโยง เข้มแข็ง และมีความยืดหยุ่น เพื่อให้เป็นอนุภูมิภาคเศรษฐกิจใหม่ที่สามารถขับเคลื่อนพลวัตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
*************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37489
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจำปี 2563
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจําปี 2563
‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจําปี 2563
มนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้งประจําปี2563ณสนามที่ว่าการอําเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานีพร้อมด้วยนายนพดลพลเสนผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนายอัชฌาสุวรรณนิตย์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นางสาวอัญมณีถิรสุทธิ์รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดร.อาทิตย์เพ็ชรรัตน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกตวรกีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนเข้าร่วมว่าการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมแบบยั่งยืนตลอดจนเพื่อปลูกจิตสํานึกของประชาชนให้เห็นถึงความสําคัญในการรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติให้มีคุณภาพสูงสุดและเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยจัดขึ้นระหว่างวันที่1 – 9ธันวาคม2563ณสนามที่ว่าการอําเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานี
รมช.มนัญญากล่าวต่อไปว่าจังหวัดอุทัยธานีมีพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติรวมทั้งสิ้น9ป่าเนื้อที่รวม2,828,185ไร่คิดเป็นร้อยละ67ของเนื้อที่จังหวัดพื้นที่ดังกล่าวส่วนหนึ่งได้กําหนดเป็นป่าอนุรักษ์ในรูปของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่รวมทั้งสิ้น1,737,587ไร่จึงได้รับการประเมินคุณค่าจากองค์การUNESCOให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกโดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่4กรกฎาคม2538กําหนดให้วันที่9ธันวาคมของทุกปีเป็นวัน“เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง–ทุ่งใหญ่นเรศวรมรดกโลก”จึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของชาวไทยทั้งประเทศโดยเฉพาะชาวจังหวัดอุทัยธานีเป็นอย่างยิ่ง
“เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นแหล่งป่าไม้ที่สําคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีสัตว์ป่าชุกชุมปัจจุบันป่าไม้ของชาติได้ถูกทําลายลงอย่างรวดเร็วจากอดีตที่ผ่านมาจนอยู่ในขั้นวิกฤติทําให้เกิดผลกระทบต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ป่าก่อให้เกิดปัญหาความแห้งแล้งการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติปัญหาการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ป่าจึงเป็นหน้าที่ที่พวกเราทุกคนจะต้องช่วยกันหาวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังเพื่อรักษาพื้นที่ป่าที่ยังสมบูรณ์ผืนนี้มิให้ถูกทําลายอีกต่อไปเพื่อคงสภาพให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอย่างปลอดภัยสมกับเป็นมรดกทางธรรมชาติของชาวจังหวัดอุทัยธานีและชาวโลกตลอดไป”รมช.มนัญญากล่าว
โอกาสนี้รมช.เกษตรฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สิ่งดีดีวิถีวัฒนธรรมจํานวน7อําเภอพร้อมมอบรางวัลขบวนแห่รณรงค์ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติรางวัลนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สิ่งดีดีวิถีวัฒนธรรม ตลอดจนพบปะเกษตรกรและประชาชนที่เข้าร่วมงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจำปี 2563
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจําปี 2563
‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจําปี 2563
มนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้งประจําปี2563ณสนามที่ว่าการอําเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานีพร้อมด้วยนายนพดลพลเสนผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนายอัชฌาสุวรรณนิตย์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นางสาวอัญมณีถิรสุทธิ์รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดร.อาทิตย์เพ็ชรรัตน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกตวรกีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนเข้าร่วมว่าการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมแบบยั่งยืนตลอดจนเพื่อปลูกจิตสํานึกของประชาชนให้เห็นถึงความสําคัญในการรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติให้มีคุณภาพสูงสุดและเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยจัดขึ้นระหว่างวันที่1 – 9ธันวาคม2563ณสนามที่ว่าการอําเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานี
รมช.มนัญญากล่าวต่อไปว่าจังหวัดอุทัยธานีมีพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติรวมทั้งสิ้น9ป่าเนื้อที่รวม2,828,185ไร่คิดเป็นร้อยละ67ของเนื้อที่จังหวัดพื้นที่ดังกล่าวส่วนหนึ่งได้กําหนดเป็นป่าอนุรักษ์ในรูปของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่รวมทั้งสิ้น1,737,587ไร่จึงได้รับการประเมินคุณค่าจากองค์การUNESCOให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกโดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่4กรกฎาคม2538กําหนดให้วันที่9ธันวาคมของทุกปีเป็นวัน“เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง–ทุ่งใหญ่นเรศวรมรดกโลก”จึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของชาวไทยทั้งประเทศโดยเฉพาะชาวจังหวัดอุทัยธานีเป็นอย่างยิ่ง
“เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นแหล่งป่าไม้ที่สําคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีสัตว์ป่าชุกชุมปัจจุบันป่าไม้ของชาติได้ถูกทําลายลงอย่างรวดเร็วจากอดีตที่ผ่านมาจนอยู่ในขั้นวิกฤติทําให้เกิดผลกระทบต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ป่าก่อให้เกิดปัญหาความแห้งแล้งการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติปัญหาการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ป่าจึงเป็นหน้าที่ที่พวกเราทุกคนจะต้องช่วยกันหาวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังเพื่อรักษาพื้นที่ป่าที่ยังสมบูรณ์ผืนนี้มิให้ถูกทําลายอีกต่อไปเพื่อคงสภาพให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอย่างปลอดภัยสมกับเป็นมรดกทางธรรมชาติของชาวจังหวัดอุทัยธานีและชาวโลกตลอดไป”รมช.มนัญญากล่าว
โอกาสนี้รมช.เกษตรฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สิ่งดีดีวิถีวัฒนธรรมจํานวน7อําเภอพร้อมมอบรางวัลขบวนแห่รณรงค์ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติรางวัลนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สิ่งดีดีวิถีวัฒนธรรม ตลอดจนพบปะเกษตรกรและประชาชนที่เข้าร่วมงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37518
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เน้นย้ำการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
นายกฯ เน้นย้ําการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง
นายกฯ เน้นย้ําการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง
วันนี้ (วันที่ 9 ธันวาคม 2563) เวลา 8.30 น. ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมผู้นํายุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (Ayeyawady – Chao Phraya – Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS ) ครั้งที่ 9 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ร่วมกับผู้นําประเทศสมาชิกอีก 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม และเลขาธิการอาเซียน โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการประชุม ดังนี้
การประชุม ACMECS ครั้งที่ 9 เป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความคืบหน้าการดําเนินการภายใต้ 3 สาขาหลักของแผนแม่บท ACMECS ระยะ 5 ปี ได้แก่ (1) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ (Seamless Connectivity) (2) การสอดประสานด้านเศรษฐกิจ (Synchronized ACMECS Economies) และ (3) การพัฒนาภูมิภาคในลักษณะยั่งยืนและมีนวัตกรรม (Smart and Sustainable ACMECS) นอกจากนี้ ยังมีการติดตามความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS และการมีปฏิสัมพันธ์กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ซึ่งหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลีย และในปีนี้ นิวซีแลนด์และอิสราเอลก็จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มที่สอง
ผู้นําสมาชิก ACMECS ยังเห็นพ้องกับหลักการใหม่ที่ไทยเสนอ เรื่อง “อนุภูมิภาคที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้” ให้เป็นอีกหนึ่งสาขาความร่วมมือภายใต้แผนแม่บท ACMECS เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงภาพลักษณ์ของอนุภูมิภาค และส่งเสริมให้ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยโอกาสที่หุ้นส่วนภายนอกจะเข้ามาร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้รับรอง “ปฏิญญาพนมเปญ” ซึ่งให้ความสําคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมยุคหลังโควิด-19 เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคตและความท้าทายรูปแบบใหม่ต่าง ๆ การส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเน้นย้ําการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 3 ประเด็น ดังนี้
ประการแรก “การพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติ” ทั้งด้าน hardware software และ digital ที่มีความจําเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในในระยะยาว โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนข้ามพรมแดน การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สําหรับ Micro SMEs เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างกัน
สําหรับการขับเคลื่อนแผนแม่บท ACMECS ในระยะต่อไป ต้องยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขให้สูง และยั่งยืนมากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งที่ประชุมว่า ไทยได้ลงนามกับบริษัทแอสทราเซเนกาเพื่อจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 คาดว่าจะได้รับอนุญาตให้ใช้และผลิตได้ในช่วงกลางปี 2564 และไทยพร้อมสนับสนุนให้ยาและวัคซีนดังกล่าวเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ในราคาที่สมเหตุสมผล
ประการที่สอง “การจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS” เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของอนุภูมิภาค โดยขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศเร่งดําเนินกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จ และยืนยันคํามั่นที่จะสนับสนุนเงินจํานวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุน เพื่อใช้ขับเคลื่อนโครงการที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและต่ออนุภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยยังส่งเสริมการจัดตั้งสํานักเลขาธิการ ACMECS เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จัดทํายุทธศาสตร์ขับเคลื่อนโครงการ และประสานการทํางานร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สาม “การจัดตั้งสํานักเลขาธิการ ACMECS” ต้องมีกลไกกลางเพื่อทําหน้าที่ผู้ประสานงานหลัก ทั้งในกลุ่ม ACMECS เอง และระหว่าง ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ จะเป็นการส่งสัญญาณสําคัญให้ประชาคมโลกได้รับทราบว่า ในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะควบคุม ACMECS พร้อมที่จะผนึกกําลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างแข็งขัน มีบทบาทที่สร้างสรรค์ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ
ทั้งนี้ ในการปิดประชุม นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ส่งมอบตําแหน่งประธานให้นายกรัฐมนตรี สปป. ลาวในฐานะประธานวาระต่อไป (วาระปี 2564-2566)
***************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เน้นย้ำการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
นายกฯ เน้นย้ําการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง
นายกฯ เน้นย้ําการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง
วันนี้ (วันที่ 9 ธันวาคม 2563) เวลา 8.30 น. ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมผู้นํายุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (Ayeyawady – Chao Phraya – Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS ) ครั้งที่ 9 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ร่วมกับผู้นําประเทศสมาชิกอีก 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม และเลขาธิการอาเซียน โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการประชุม ดังนี้
การประชุม ACMECS ครั้งที่ 9 เป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความคืบหน้าการดําเนินการภายใต้ 3 สาขาหลักของแผนแม่บท ACMECS ระยะ 5 ปี ได้แก่ (1) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ (Seamless Connectivity) (2) การสอดประสานด้านเศรษฐกิจ (Synchronized ACMECS Economies) และ (3) การพัฒนาภูมิภาคในลักษณะยั่งยืนและมีนวัตกรรม (Smart and Sustainable ACMECS) นอกจากนี้ ยังมีการติดตามความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS และการมีปฏิสัมพันธ์กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ซึ่งหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลีย และในปีนี้ นิวซีแลนด์และอิสราเอลก็จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มที่สอง
ผู้นําสมาชิก ACMECS ยังเห็นพ้องกับหลักการใหม่ที่ไทยเสนอ เรื่อง “อนุภูมิภาคที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้” ให้เป็นอีกหนึ่งสาขาความร่วมมือภายใต้แผนแม่บท ACMECS เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงภาพลักษณ์ของอนุภูมิภาค และส่งเสริมให้ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยโอกาสที่หุ้นส่วนภายนอกจะเข้ามาร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้รับรอง “ปฏิญญาพนมเปญ” ซึ่งให้ความสําคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมยุคหลังโควิด-19 เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคตและความท้าทายรูปแบบใหม่ต่าง ๆ การส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเน้นย้ําการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 3 ประเด็น ดังนี้
ประการแรก “การพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติ” ทั้งด้าน hardware software และ digital ที่มีความจําเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในในระยะยาว โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนข้ามพรมแดน การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สําหรับ Micro SMEs เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างกัน
สําหรับการขับเคลื่อนแผนแม่บท ACMECS ในระยะต่อไป ต้องยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขให้สูง และยั่งยืนมากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งที่ประชุมว่า ไทยได้ลงนามกับบริษัทแอสทราเซเนกาเพื่อจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 คาดว่าจะได้รับอนุญาตให้ใช้และผลิตได้ในช่วงกลางปี 2564 และไทยพร้อมสนับสนุนให้ยาและวัคซีนดังกล่าวเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ในราคาที่สมเหตุสมผล
ประการที่สอง “การจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS” เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของอนุภูมิภาค โดยขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศเร่งดําเนินกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จ และยืนยันคํามั่นที่จะสนับสนุนเงินจํานวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุน เพื่อใช้ขับเคลื่อนโครงการที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและต่ออนุภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยยังส่งเสริมการจัดตั้งสํานักเลขาธิการ ACMECS เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จัดทํายุทธศาสตร์ขับเคลื่อนโครงการ และประสานการทํางานร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สาม “การจัดตั้งสํานักเลขาธิการ ACMECS” ต้องมีกลไกกลางเพื่อทําหน้าที่ผู้ประสานงานหลัก ทั้งในกลุ่ม ACMECS เอง และระหว่าง ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ จะเป็นการส่งสัญญาณสําคัญให้ประชาคมโลกได้รับทราบว่า ในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะควบคุม ACMECS พร้อมที่จะผนึกกําลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างแข็งขัน มีบทบาทที่สร้างสรรค์ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ
ทั้งนี้ ในการปิดประชุม นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ส่งมอบตําแหน่งประธานให้นายกรัฐมนตรี สปป. ลาวในฐานะประธานวาระต่อไป (วาระปี 2564-2566)
***************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37492
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เข้าร่วมการประชุม การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เข้าร่วมการประชุม การกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1
นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม การกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ณ ห้องประชุมศูนย์ภาษา-คอมพิวเตอร์ อาคาร 17 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม การกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (อุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลําภู บึงกาฬ) พร้อมด้วย นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย นายประชา มีธรรม อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี นายณัฐ อารีกุล อุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย นายกิติพงษ์ ชลิทธิกุล อุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ณ ห้องประชุมศูนย์ภาษา-คอมพิวเตอร์ อาคาร 17 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เข้าร่วมการประชุม การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เข้าร่วมการประชุม การกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1
นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม การกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ณ ห้องประชุมศูนย์ภาษา-คอมพิวเตอร์ อาคาร 17 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม การกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (อุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลําภู บึงกาฬ) พร้อมด้วย นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย นายประชา มีธรรม อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี นายณัฐ อารีกุล อุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย นายกิติพงษ์ ชลิทธิกุล อุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ณ ห้องประชุมศูนย์ภาษา-คอมพิวเตอร์ อาคาร 17 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37514
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “มาแล้วลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ของขวัญปีใหม่ 64”
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “มาแล้วลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ของขวัญปีใหม่ 64”
ตามที่ได้ปรากฏข่าวแชร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการเปิดลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่เป็นของขวัญปีใหม่สําหรับปี 2564 นั้น กระทรวงการคลังขอเรียนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏข่าวแชร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการเปิดลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่เป็นของขวัญปีใหม่สําหรับปี 2564 นั้น กระทรวงการคลังขอเรียนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
รองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า พาดหัวข่าวและเนื้อหาข่าวดังกล่าวเป็นข้อมูลความคืบหน้าในการลงทะเบียนโครงการเราไม่ทิ้งกันที่ได้ดําเนินการในระหว่างเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม 2563 โดยโครงการเราไม่ทิ้งกันได้ดําเนินการเสร็จสิ้นและมีผู้ได้รับสิทธิ์ทั้งสิ้นจํานวน 15.3 ล้านคนแล้ว และขณะนี้กระทรวงการคลังได้ดําเนินการโครงการคนละครึ่งระยะที่ 2 และโครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 ตามที่คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 30/2563 ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดําเนินโครงการข้างต้นให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดเพื่อจะได้เป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลที่มอบให้แก่ประชาชน
จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ทั้งนี้ สามารถติดตามสืบค้นข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆของกระทรวงการคลังได้จากแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ในเว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง”
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3569 3566 3557 3558
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “มาแล้วลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ของขวัญปีใหม่ 64”
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “มาแล้วลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ของขวัญปีใหม่ 64”
ตามที่ได้ปรากฏข่าวแชร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการเปิดลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่เป็นของขวัญปีใหม่สําหรับปี 2564 นั้น กระทรวงการคลังขอเรียนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏข่าวแชร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการเปิดลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่เป็นของขวัญปีใหม่สําหรับปี 2564 นั้น กระทรวงการคลังขอเรียนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
รองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า พาดหัวข่าวและเนื้อหาข่าวดังกล่าวเป็นข้อมูลความคืบหน้าในการลงทะเบียนโครงการเราไม่ทิ้งกันที่ได้ดําเนินการในระหว่างเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม 2563 โดยโครงการเราไม่ทิ้งกันได้ดําเนินการเสร็จสิ้นและมีผู้ได้รับสิทธิ์ทั้งสิ้นจํานวน 15.3 ล้านคนแล้ว และขณะนี้กระทรวงการคลังได้ดําเนินการโครงการคนละครึ่งระยะที่ 2 และโครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 ตามที่คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 30/2563 ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดําเนินโครงการข้างต้นให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดเพื่อจะได้เป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลที่มอบให้แก่ประชาชน
จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ทั้งนี้ สามารถติดตามสืบค้นข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆของกระทรวงการคลังได้จากแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ในเว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง”
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3569 3566 3557 3558
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37519
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้
วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 10.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งเพิ่มสิ่งกีดขวางระหว่างชายแดน การใช้เทคโนโลยีบินโดรนสํารวจอย่างต่อเนื่อง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือให้ชาวไทยที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย ขอให้ดําเนินการอย่างถูกต้อง รัฐบาลยินดีที่จะดูแลเพื่อเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine 14 วัน สําหรับสถานการณ์ขณะนี้ขอยืนยันว่า ไม่ใช่ Super Spreader เพราะกระบวนการทางสาธารณสุขสามารถติดตามและยังควบคุมได้ ส่วนผู้ที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศไทยในช่องทางธรรมชาติก็จะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย โดยวานนี้ (8 ธ.ค. 63) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางตรวจราชการที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนถึงความปลอดภัย สามารถใช้ชีวิตประจําวันได้ตามปกติ เพียงแต่ยังต้องยึดหลัก ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่าง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง “โครงการคนละครึ่ง เฟส 2” ซึ่งเปิดเพิ่มอีก 5 ล้านสิทธิ โดยเพิ่มวงเงินให้แก่ 10 ล้านสิทธิเดิมด้วย ซึ่งโครงการจะดําเนินไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีแสดงความกังวลถึงการดําเนินการที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบของคนบางกลุ่ม ที่หาผลประโยชน์แทนการใช้จ่ายตามจุดประสงค์ กระทรวงการคลังได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินคดีแล้ว
สําหรับกรณีการเสนอมติของสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ประชาธิปไตยในไทย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นเพียงมติจากสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ บางคน ที่อาจได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน ซึ่งไม่ใช่ท่าทีโดยรวมของรัฐสภาสหรัฐฯทั้งหมด พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยยึดมั่นการชุมนุมอย่างสงบ สันติ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเหมาะสม ส่วนการชุมนุมนั้น รัฐบาลจําเป็นต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมไม่มีใครถูกดําเนินคดีเพียงเพราะการชุมนุมอย่างสงบ สําหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลมีความจริงใจและจะดําเนินการตามกระบวนการ ทั้งนี้ อาจมีการทําประชามติหากจําเป็น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลหวังว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เป็นมิตรประเทศกับไทยมาอย่างยาวนาน จะเข้าใจกระบวนการประชาธิปไตยของไทย และสนับสนุนการดําเนินการของไทย
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวในตอนท้ายว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ที่ออกเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดยาว ระหว่างวันที่ 10 – 13 ธ.ค. 63 นี้ ขอให้ระมัดระวังถึงความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะอาจเกิดความหนาแน่นในหลายพื้นที่ ที่สําคัญ ขอให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากต้องขับขี่ยานพาหนะ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลด้วย
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้
วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 10.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งเพิ่มสิ่งกีดขวางระหว่างชายแดน การใช้เทคโนโลยีบินโดรนสํารวจอย่างต่อเนื่อง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือให้ชาวไทยที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย ขอให้ดําเนินการอย่างถูกต้อง รัฐบาลยินดีที่จะดูแลเพื่อเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine 14 วัน สําหรับสถานการณ์ขณะนี้ขอยืนยันว่า ไม่ใช่ Super Spreader เพราะกระบวนการทางสาธารณสุขสามารถติดตามและยังควบคุมได้ ส่วนผู้ที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศไทยในช่องทางธรรมชาติก็จะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย โดยวานนี้ (8 ธ.ค. 63) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางตรวจราชการที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนถึงความปลอดภัย สามารถใช้ชีวิตประจําวันได้ตามปกติ เพียงแต่ยังต้องยึดหลัก ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่าง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง “โครงการคนละครึ่ง เฟส 2” ซึ่งเปิดเพิ่มอีก 5 ล้านสิทธิ โดยเพิ่มวงเงินให้แก่ 10 ล้านสิทธิเดิมด้วย ซึ่งโครงการจะดําเนินไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีแสดงความกังวลถึงการดําเนินการที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบของคนบางกลุ่ม ที่หาผลประโยชน์แทนการใช้จ่ายตามจุดประสงค์ กระทรวงการคลังได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินคดีแล้ว
สําหรับกรณีการเสนอมติของสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ประชาธิปไตยในไทย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นเพียงมติจากสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ บางคน ที่อาจได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน ซึ่งไม่ใช่ท่าทีโดยรวมของรัฐสภาสหรัฐฯทั้งหมด พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยยึดมั่นการชุมนุมอย่างสงบ สันติ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเหมาะสม ส่วนการชุมนุมนั้น รัฐบาลจําเป็นต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมไม่มีใครถูกดําเนินคดีเพียงเพราะการชุมนุมอย่างสงบ สําหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลมีความจริงใจและจะดําเนินการตามกระบวนการ ทั้งนี้ อาจมีการทําประชามติหากจําเป็น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลหวังว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เป็นมิตรประเทศกับไทยมาอย่างยาวนาน จะเข้าใจกระบวนการประชาธิปไตยของไทย และสนับสนุนการดําเนินการของไทย
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวในตอนท้ายว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ที่ออกเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดยาว ระหว่างวันที่ 10 – 13 ธ.ค. 63 นี้ ขอให้ระมัดระวังถึงความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะอาจเกิดความหนาแน่นในหลายพื้นที่ ที่สําคัญ ขอให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากต้องขับขี่ยานพาหนะ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลด้วย
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37502
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี 64 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรี มอบคําขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี 64 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
นายกรัฐมนตรี มอบคําขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2564 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบคําขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2564 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี 64 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรี มอบคําขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี 64 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
นายกรัฐมนตรี มอบคําขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2564 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบคําขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2564 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37500
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้บริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
การประชุมผู้บริหารของสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมผู้บริหารของสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) เวลา 13.30 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารของสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาเร่งรัดติดตามผลการดําเนินงานในภาพรวมของหน่วยงาน โดยมีผู้อํานวยการกองต่างๆ เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้บริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
การประชุมผู้บริหารของสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมผู้บริหารของสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) เวลา 13.30 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารของสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาเร่งรัดติดตามผลการดําเนินงานในภาพรวมของหน่วยงาน โดยมีผู้อํานวยการกองต่างๆ เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37520
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจำถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจำปี 2564
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจําถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจําปี 2564
ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจําถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจําปี 2564
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารประจําถิ่นวาระพิเศษ เพื่อหารือในการเตรียมการประชุมคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยการไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ในประเด็นการกําหนดโครงสร้างค่าธรรมเนียมและแผนการดําเนินงานในการจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจําปี 2564 รองรับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านไปรษณีย์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และสํานักงานใหญ่สหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ณ ห้องประชุม 702 ชั้น 7 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ
******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจำถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจำปี 2564
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจําถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจําปี 2564
ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจําถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจําปี 2564
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารประจําถิ่นวาระพิเศษ เพื่อหารือในการเตรียมการประชุมคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยการไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ในประเด็นการกําหนดโครงสร้างค่าธรรมเนียมและแผนการดําเนินงานในการจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจําปี 2564 รองรับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านไปรษณีย์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และสํานักงานใหญ่สหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ณ ห้องประชุม 702 ชั้น 7 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ
******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37505
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว
เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว หวังเป็นต้นแบบจุดประกายทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยว
เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว
หวังเป็นต้นแบบจุดประกายทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยว
ออมสินภารกิจลุล่วง ใส่เม็ดเงินเสริมสภาพคล่องกว่า 1,500 ล้านบาทลงพื้นที่อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียบร้อยแล้ว หลังปฏิบัติการลงพื้นที่สํารวจความต้องการ และความเดือดร้อนชาวสมุยแบบปูพรมยกเกาะ ภายใต้โครงการ “ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL มาร่วม 2 เดือน เผย ผู้ประกอบการธุรกิจรายเล็กรายใหญ่ และประชาชนลูกค้ารายย่อย กลุ่มลูกจ้างและอาชีพอิสระ กว่า 2,500 ราย ที่ได้รับความช่วยเหลือ สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ช่วยเสริมสภาพคล่อง และบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง พร้อมให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในด้านต่างๆ ที่เป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับพี่น้องชาวสมุย อาทิ มอบเครื่องอุปโภคบริโภค การอบรมอาชีพ มอบทุนการศึกษา สิ่งของเครื่องใช้ แก่นักเรียนโรงเรียนและชุมชน รวมถึง จัดพื้นที่ให้ออกร้านฟรี สําหรับร้านค้าทั่วไปและ Street Food ขอเชิญชวนคนไทยทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นสมุย และพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศไทย
นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า จากที่ธนาคารออมสินได้ประกาศจัดทําโครงการ ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL เพื่อช่วยเหลือ และพลิกพื้นเศรษฐกิจของสมุยให้กลับคืนมาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และที่เกี่ยวเนื่องนั้น ตลอดช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ดําเนินโครงการประสบความสําเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เริ่มต้นโดยระดมสรรพกําลังทั้งกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานธนาคารออมสิน กว่า 500 ชีวิต ลงพื้นที่แบบเข้าถึงและทั่วถึงในลักษณะปูพรมทั่วทั้งเกาะสมุย เพื่อสํารวจความเดือดร้อน สํารวจความต้องการทั่วทั้งเกาะของลูกค้า ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการเงินทุน เพื่อการประกอบอาชีพ เพื่อหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องให้กิจการ จึงเกิดปรากฏการณ์การอนุมัติสินเชื่อ อนุมัติเสริมสภาพคล่องเป็นกรณีพิเศษอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประชาชนฐานราก ลูกค้ารายย่อย SMEs ลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือให้การสนับสนุน เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจ (CSR) ในหลากหลายโครงการ โดยตั้งใจช่วยพี่น้องชาวสมุยให้สามารถยืนหยัดในช่วงเวลายากลําบาก และเตรียมพร้อมให้สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ต่อไปเมื่อถึงเวลา โดยงานออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
“จากผลสําเร็จของการลงพื้นที่ 2 เดือนที่ผ่านมา จึงถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่ในวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 คณะกรรมการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารออมสิน สํานักงานใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน อยู่ในพื้นที่เกาะสมุย เพื่อประชุมพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเสริมสภาพคล่องเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ประกอบการและรายย่อย ให้สามารถเบิกจ่ายเงินได้เลยทันที สามารถนําเงินไปหมุนเวียนประคองธุรกิจให้อยู่ได้โดยไม่ต้องปิดกิจการ ซึ่งโครงการออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL สามารถอนุมัติสภาพคล่อง หรือสินเชื่อกว่า 2,500 ราย แบ่งเป็นผู้ได้รับวงเงินเสริมสภาพคล่อง 2,000 ราย วงเงิน 1,500 ล้านบาท และเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือด้านภาระหนี้ จํานวน 500 ราย มูลค่าหนี้รวม 446 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินได้โอนเงินสินเชื่อเพื่อสภาพคล่องลูกค้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อ Soft Loan ช่วย SMEs ภาคการท่องเที่ยว สินเชื่อ Soft Loan สําหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด สินเชื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว SAMUI MODEL และสินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน จํานวนรวมกัน 194 ราย วงเงินกว่า 1,300 ล้านบาท และสินเชื่อรายย่อย จํานวน 1,826 ราย วงเงิน 176 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ช่วยเหลือลูกค้าเดิมกว่า 500 ราย ที่มีปัญหาชําระไม่ได้ตามเงื่อนไขเดิมเมื่อครบกําหนดพักหนี้ ภาระหนี้รวม 446 ล้านบาท รวมถึงการไกล่เกลี่ยลูกหนี้หลังการฟ้องที่กรมบังคับคดีอีกจํานวนกว่า 30 ราย ภาระหนี้รวม 2.6 ล้านบาท”
นอกจากนี้ ภายใต้โครงการนี้ ธนาคารยังมอบความช่วยเหลืออื่นๆ แก่ชุมชนและประชาชนบนเกาะสมุย อาทิ
• มอบทุนการศึกษาแก่บุตรที่ผู้ปกครองเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด-19 จํานวน 320 ทุน
• สนับสนุนกิจกรรมตามวิถีพอเพียงให้แก่โรงเรียน อาทิ การมอบฟาร์มไก่ไข่ โรงเรียนเพาะเห็ด และพืชผักสวนครัว เป็นการตั้งต้นให้ครูและนักเรียนสามารถใช้ประโยชน์ต่อไปได้ในระยะยาว
• อุดหนุนสินค้าของชุมชน เช่น ผลิตภัณฑ์จากปลา ไข่ไก่ ปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้ชุมชนมีรายได้ แล้วนําไปแจกจ่ายแก่ประชาชนที่ได้รับไปจํานวนทั้งสิ้น 1,500 ชุด
• ให้การสนับสนุนเครื่องมือทํากินและความรู้เพื่อต่อยอดการดํารงชีพ เช่น มอบรถเข็นร้านค้า 10 คัน ฝึกอบรมอาชีพ 300 ราย สนับสนุนเครื่องจําเป็นแก่ชุมชนประมง (ธนาคารปู) รวมถึงการจัดพื้นที่ออกร้านจําหน่ายสินค้าให้ฟรี สําหรับร้านค้าในพื้นที่ และ Street Food
นายวิทัย กล่าวในตอนท้ายว่า โครงการ ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL นับเป็นอีก 1 โครงการดีๆ ที่เป็นความตั้งใจจริงของธนาคารออมสิน ที่จะช่วยเหลือและเป็นกําลังใจให้พี่น้องชาวสมุยสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลําบากครั้งนี้ไปได้ เป็นกิจกรรมเพื่อสังคมที่จัดใหญ่ทิ้งท้ายของปี 2563 หลังจากนี้ไปมีงานที่ต้องทําต่อเนื่อง คือ “ออมสินชวนเที่ยวสมุย” โดยธนาคารเตรียมจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าของบัตรเครดิตของธนาคารออมสิน เพื่อกระตุ้นและต่อยอดให้มีความต้องการของตลาดในการเดินทางท่องเที่ยวโดยมีจุดหมายปลายทางที่เกาะสมุย ทั้งนี้ คาดหวังเป็นโครงการต้นแบบแก่ทุกภาคส่วนหรือหน่วยงานอื่น ในการช่วยเหลือพื้นที่เศรษฐกิจท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ต่างจากเกาะสมุย โดยเฉพาะที่เป็นจังหวัดรอง 50-60 จังหวัด ให้สามารถฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว
เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว หวังเป็นต้นแบบจุดประกายทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยว
เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว
หวังเป็นต้นแบบจุดประกายทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยว
ออมสินภารกิจลุล่วง ใส่เม็ดเงินเสริมสภาพคล่องกว่า 1,500 ล้านบาทลงพื้นที่อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียบร้อยแล้ว หลังปฏิบัติการลงพื้นที่สํารวจความต้องการ และความเดือดร้อนชาวสมุยแบบปูพรมยกเกาะ ภายใต้โครงการ “ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL มาร่วม 2 เดือน เผย ผู้ประกอบการธุรกิจรายเล็กรายใหญ่ และประชาชนลูกค้ารายย่อย กลุ่มลูกจ้างและอาชีพอิสระ กว่า 2,500 ราย ที่ได้รับความช่วยเหลือ สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ช่วยเสริมสภาพคล่อง และบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง พร้อมให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในด้านต่างๆ ที่เป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับพี่น้องชาวสมุย อาทิ มอบเครื่องอุปโภคบริโภค การอบรมอาชีพ มอบทุนการศึกษา สิ่งของเครื่องใช้ แก่นักเรียนโรงเรียนและชุมชน รวมถึง จัดพื้นที่ให้ออกร้านฟรี สําหรับร้านค้าทั่วไปและ Street Food ขอเชิญชวนคนไทยทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นสมุย และพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศไทย
นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า จากที่ธนาคารออมสินได้ประกาศจัดทําโครงการ ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL เพื่อช่วยเหลือ และพลิกพื้นเศรษฐกิจของสมุยให้กลับคืนมาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และที่เกี่ยวเนื่องนั้น ตลอดช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ดําเนินโครงการประสบความสําเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เริ่มต้นโดยระดมสรรพกําลังทั้งกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานธนาคารออมสิน กว่า 500 ชีวิต ลงพื้นที่แบบเข้าถึงและทั่วถึงในลักษณะปูพรมทั่วทั้งเกาะสมุย เพื่อสํารวจความเดือดร้อน สํารวจความต้องการทั่วทั้งเกาะของลูกค้า ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการเงินทุน เพื่อการประกอบอาชีพ เพื่อหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องให้กิจการ จึงเกิดปรากฏการณ์การอนุมัติสินเชื่อ อนุมัติเสริมสภาพคล่องเป็นกรณีพิเศษอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประชาชนฐานราก ลูกค้ารายย่อย SMEs ลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือให้การสนับสนุน เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจ (CSR) ในหลากหลายโครงการ โดยตั้งใจช่วยพี่น้องชาวสมุยให้สามารถยืนหยัดในช่วงเวลายากลําบาก และเตรียมพร้อมให้สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ต่อไปเมื่อถึงเวลา โดยงานออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
“จากผลสําเร็จของการลงพื้นที่ 2 เดือนที่ผ่านมา จึงถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่ในวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 คณะกรรมการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารออมสิน สํานักงานใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน อยู่ในพื้นที่เกาะสมุย เพื่อประชุมพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเสริมสภาพคล่องเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ประกอบการและรายย่อย ให้สามารถเบิกจ่ายเงินได้เลยทันที สามารถนําเงินไปหมุนเวียนประคองธุรกิจให้อยู่ได้โดยไม่ต้องปิดกิจการ ซึ่งโครงการออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL สามารถอนุมัติสภาพคล่อง หรือสินเชื่อกว่า 2,500 ราย แบ่งเป็นผู้ได้รับวงเงินเสริมสภาพคล่อง 2,000 ราย วงเงิน 1,500 ล้านบาท และเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือด้านภาระหนี้ จํานวน 500 ราย มูลค่าหนี้รวม 446 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินได้โอนเงินสินเชื่อเพื่อสภาพคล่องลูกค้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อ Soft Loan ช่วย SMEs ภาคการท่องเที่ยว สินเชื่อ Soft Loan สําหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด สินเชื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว SAMUI MODEL และสินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน จํานวนรวมกัน 194 ราย วงเงินกว่า 1,300 ล้านบาท และสินเชื่อรายย่อย จํานวน 1,826 ราย วงเงิน 176 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ช่วยเหลือลูกค้าเดิมกว่า 500 ราย ที่มีปัญหาชําระไม่ได้ตามเงื่อนไขเดิมเมื่อครบกําหนดพักหนี้ ภาระหนี้รวม 446 ล้านบาท รวมถึงการไกล่เกลี่ยลูกหนี้หลังการฟ้องที่กรมบังคับคดีอีกจํานวนกว่า 30 ราย ภาระหนี้รวม 2.6 ล้านบาท”
นอกจากนี้ ภายใต้โครงการนี้ ธนาคารยังมอบความช่วยเหลืออื่นๆ แก่ชุมชนและประชาชนบนเกาะสมุย อาทิ
• มอบทุนการศึกษาแก่บุตรที่ผู้ปกครองเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด-19 จํานวน 320 ทุน
• สนับสนุนกิจกรรมตามวิถีพอเพียงให้แก่โรงเรียน อาทิ การมอบฟาร์มไก่ไข่ โรงเรียนเพาะเห็ด และพืชผักสวนครัว เป็นการตั้งต้นให้ครูและนักเรียนสามารถใช้ประโยชน์ต่อไปได้ในระยะยาว
• อุดหนุนสินค้าของชุมชน เช่น ผลิตภัณฑ์จากปลา ไข่ไก่ ปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้ชุมชนมีรายได้ แล้วนําไปแจกจ่ายแก่ประชาชนที่ได้รับไปจํานวนทั้งสิ้น 1,500 ชุด
• ให้การสนับสนุนเครื่องมือทํากินและความรู้เพื่อต่อยอดการดํารงชีพ เช่น มอบรถเข็นร้านค้า 10 คัน ฝึกอบรมอาชีพ 300 ราย สนับสนุนเครื่องจําเป็นแก่ชุมชนประมง (ธนาคารปู) รวมถึงการจัดพื้นที่ออกร้านจําหน่ายสินค้าให้ฟรี สําหรับร้านค้าในพื้นที่ และ Street Food
นายวิทัย กล่าวในตอนท้ายว่า โครงการ ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL นับเป็นอีก 1 โครงการดีๆ ที่เป็นความตั้งใจจริงของธนาคารออมสิน ที่จะช่วยเหลือและเป็นกําลังใจให้พี่น้องชาวสมุยสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลําบากครั้งนี้ไปได้ เป็นกิจกรรมเพื่อสังคมที่จัดใหญ่ทิ้งท้ายของปี 2563 หลังจากนี้ไปมีงานที่ต้องทําต่อเนื่อง คือ “ออมสินชวนเที่ยวสมุย” โดยธนาคารเตรียมจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าของบัตรเครดิตของธนาคารออมสิน เพื่อกระตุ้นและต่อยอดให้มีความต้องการของตลาดในการเดินทางท่องเที่ยวโดยมีจุดหมายปลายทางที่เกาะสมุย ทั้งนี้ คาดหวังเป็นโครงการต้นแบบแก่ทุกภาคส่วนหรือหน่วยงานอื่น ในการช่วยเหลือพื้นที่เศรษฐกิจท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ต่างจากเกาะสมุย โดยเฉพาะที่เป็นจังหวัดรอง 50-60 จังหวัด ให้สามารถฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37526
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครูพี่โอ๊ะ เดินหน้าผลักดันความมั่นคงให้ “ครูสอนเด็กบนท้องถนน” ทั่วประเทศ หวังสร้างกำลังใจในการทำงาน ส่งต่อศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจสู่กลุ่มเป้าหมาย
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ครูพี่โอ๊ะ เดินหน้าผลักดันความมั่นคงให้ “ครูสอนเด็กบนท้องถนน” ทั่วประเทศ หวังสร้างกําลังใจในการทํางาน ส่งต่อศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจสู่กลุ่มเป้าหมาย
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานปิดโครงการสรุปและนําเสนอผลการดําเนินงานโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สําหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2563 เวลา 14.00 น.นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานปิดโครงการสรุปและนําเสนอผลการดําเนินงานโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สําหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมมอบโล่เกียรติคุณให้กับภาคีเครือข่าย โดยมีนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทํางาน รมช.ศธ. นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. ดร.ปรเมศวร์ ศิริรัตน์ ผอ.สํานักงาน กศน.กรุงเทพมหานคร รศ.ดร.ชูเกียรติ ลีสุวรรณ์ ที่ปรึกษาโครงการ Children in Street และ รศ.ดร.นิตติยา ปภาพจน์ หัวหน้าโครงการ Children in Street ให้การต้อนรับ ที่ ห้องกรุงธนบอลล์รูม โรงแรมรอยัลริเวอร์
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า สําหรับนโยบายการช่วยเหลือเด็กบนท้องถนน จะดําเนินการเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ การทํางานในเรื่องนี้มีความจําเป็นต้องร่วมมือกันหลายองค์กร โดยในมิติของกระทรวงศึกษาธิการ มีครู กศน.ทํางานร่วมกับองค์กรเครือข่ายในทั้ง 22 เขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งต้องขอขอบคุณองค์กรมูลนิธิต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง และในส่วนของงานวิจัยและข้อสรุปงานวิจัยระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้ สําหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งที่เกิดจากการเก็บข้อมูล ประเด็นปัญหา เพื่อนําสู่การค้นคว้าวิจัยหาวิธีการจัดระบบช่วยเหลือในรูปแบบที่เหมาะสมและครบถ้วนในทุกมิติ
โดยในส่วนของสํานักงาน กศน. ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้เลขาธิการ กศน.หารือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางดูแลความมั่นคงในการทํางานของครูที่ดูแลกลุ่มเด็กบนท้องถนนทั่วประเทศ ที่มีอยู่กว่า 30 คน ซึ่งข้อสรุปของผลการวิจัย ถือว่ามีประโยชน์ในการสนับสนุนและเป็นเหตุผลความจําเป็นต่อการผลักดันให้ครูกลุ่มนี้ได้รับการประเมินเพื่อเข้าสู่ตําแหน่งพนักงานราชการ ที่จะเกิดความมั่นคงในอาชีพโดยเร็วที่สุด พร้อมมีกําลังใจในการพัฒนาทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะอื่น ที่จะสามารถสร้างศรัทธาและความไว้เนื้อเชื้อใจกลุ่มเป้าหมายในความดูแลได้มากขึ้น
“จากข้อสรุปงานวิจัย พบว่าปัจจุบันมีเด็กบนท้องถนนในเขตกรุงเทพมหานคร จํานวน 5,029 คน แบ่งเป็น เด็กเร่ร่อน 477 คน และเด็กในภาวะยากลําบาก 4,552 คน แต่ข้อมูลเด็กกลุ่มนี้ทั่วทั้งประเทศมีถึงประมาณ 1 แสนคน (ในจํานวนนี้เป็นเด็กเปราะบาง 30,000 คน) ในส่วนของการพัฒนาครู แม้งานวิจัยนี้จะเก็บกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครก็ตาม แต่จะเป็นโมเดลที่กระทรวงศึกษาธิการนําไปใช้พัฒนาครู กศน.กลุ่มนี้ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและบริบทของพื้นที่ อาทิ ศูนย์สร้างโอกาสเด็กและเยาวชน (บ้านเรา) จังหวัดขอนแก่น ที่ได้มีการพัฒนาจนเกิดระบบดูแลที่ลงตัวและเป็นไปด้วยดี ด้วยความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
เพราะเด็กเร่ร่อนและเด็กข้างถนน กว่าจะเชื่อใจใครได้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ดังนั้น ครู กศน. ครูอาสา ตลอดจนครูข้างถนนและผู้ที่ปฏิบัติงานในองค์กรต่าง ๆ จะต้องร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นและไว้ใจให้ได้ พร้อมขยายเครือข่ายการทํางานในหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนเติมเต็มงบประมาณในการขับเคลื่อน โดยใช้ข้อสรุปของงานวิจัยเป็นฐานข้อมูลหลักในการขับเคลื่อนเป็นรูปธรรม
และขอย้ําว่า งานวิจัยนี้นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการนําไปใช้สนับสนุนการผลักดันความมั่นคงให้กับครู กศน.ที่ดูแลกลุ่มเด็กบนท้องถนนต่อรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี โดยมีความตั้งใจที่จะพยายามขับเคลื่อนให้เกิดผลเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพราะครูกลุ่มนี้ถูกทอดทิ้งมานาน และในวันนี้ก็ถือเป็นวันสําคัญในการนําเสนอผลการดําเนินโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สําหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในอาชีพครูของเด็กบนถนน ให้สามารถสร้างสรรค์สังคมของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ด้วยศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจ พร้อมก้าวออกไปเผชิญโลกด้วยทักษะความสามารถด้านวิชาชีพ เพื่อดูแลตนเองและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
จันทนา เชียงทอง: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
สถาพร ถาวรสุข, อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครูพี่โอ๊ะ เดินหน้าผลักดันความมั่นคงให้ “ครูสอนเด็กบนท้องถนน” ทั่วประเทศ หวังสร้างกำลังใจในการทำงาน ส่งต่อศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจสู่กลุ่มเป้าหมาย
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ครูพี่โอ๊ะ เดินหน้าผลักดันความมั่นคงให้ “ครูสอนเด็กบนท้องถนน” ทั่วประเทศ หวังสร้างกําลังใจในการทํางาน ส่งต่อศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจสู่กลุ่มเป้าหมาย
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานปิดโครงการสรุปและนําเสนอผลการดําเนินงานโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สําหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2563 เวลา 14.00 น.นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานปิดโครงการสรุปและนําเสนอผลการดําเนินงานโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สําหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมมอบโล่เกียรติคุณให้กับภาคีเครือข่าย โดยมีนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทํางาน รมช.ศธ. นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. ดร.ปรเมศวร์ ศิริรัตน์ ผอ.สํานักงาน กศน.กรุงเทพมหานคร รศ.ดร.ชูเกียรติ ลีสุวรรณ์ ที่ปรึกษาโครงการ Children in Street และ รศ.ดร.นิตติยา ปภาพจน์ หัวหน้าโครงการ Children in Street ให้การต้อนรับ ที่ ห้องกรุงธนบอลล์รูม โรงแรมรอยัลริเวอร์
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า สําหรับนโยบายการช่วยเหลือเด็กบนท้องถนน จะดําเนินการเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ การทํางานในเรื่องนี้มีความจําเป็นต้องร่วมมือกันหลายองค์กร โดยในมิติของกระทรวงศึกษาธิการ มีครู กศน.ทํางานร่วมกับองค์กรเครือข่ายในทั้ง 22 เขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งต้องขอขอบคุณองค์กรมูลนิธิต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง และในส่วนของงานวิจัยและข้อสรุปงานวิจัยระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้ สําหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งที่เกิดจากการเก็บข้อมูล ประเด็นปัญหา เพื่อนําสู่การค้นคว้าวิจัยหาวิธีการจัดระบบช่วยเหลือในรูปแบบที่เหมาะสมและครบถ้วนในทุกมิติ
โดยในส่วนของสํานักงาน กศน. ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้เลขาธิการ กศน.หารือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางดูแลความมั่นคงในการทํางานของครูที่ดูแลกลุ่มเด็กบนท้องถนนทั่วประเทศ ที่มีอยู่กว่า 30 คน ซึ่งข้อสรุปของผลการวิจัย ถือว่ามีประโยชน์ในการสนับสนุนและเป็นเหตุผลความจําเป็นต่อการผลักดันให้ครูกลุ่มนี้ได้รับการประเมินเพื่อเข้าสู่ตําแหน่งพนักงานราชการ ที่จะเกิดความมั่นคงในอาชีพโดยเร็วที่สุด พร้อมมีกําลังใจในการพัฒนาทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะอื่น ที่จะสามารถสร้างศรัทธาและความไว้เนื้อเชื้อใจกลุ่มเป้าหมายในความดูแลได้มากขึ้น
“จากข้อสรุปงานวิจัย พบว่าปัจจุบันมีเด็กบนท้องถนนในเขตกรุงเทพมหานคร จํานวน 5,029 คน แบ่งเป็น เด็กเร่ร่อน 477 คน และเด็กในภาวะยากลําบาก 4,552 คน แต่ข้อมูลเด็กกลุ่มนี้ทั่วทั้งประเทศมีถึงประมาณ 1 แสนคน (ในจํานวนนี้เป็นเด็กเปราะบาง 30,000 คน) ในส่วนของการพัฒนาครู แม้งานวิจัยนี้จะเก็บกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครก็ตาม แต่จะเป็นโมเดลที่กระทรวงศึกษาธิการนําไปใช้พัฒนาครู กศน.กลุ่มนี้ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและบริบทของพื้นที่ อาทิ ศูนย์สร้างโอกาสเด็กและเยาวชน (บ้านเรา) จังหวัดขอนแก่น ที่ได้มีการพัฒนาจนเกิดระบบดูแลที่ลงตัวและเป็นไปด้วยดี ด้วยความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
เพราะเด็กเร่ร่อนและเด็กข้างถนน กว่าจะเชื่อใจใครได้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ดังนั้น ครู กศน. ครูอาสา ตลอดจนครูข้างถนนและผู้ที่ปฏิบัติงานในองค์กรต่าง ๆ จะต้องร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นและไว้ใจให้ได้ พร้อมขยายเครือข่ายการทํางานในหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนเติมเต็มงบประมาณในการขับเคลื่อน โดยใช้ข้อสรุปของงานวิจัยเป็นฐานข้อมูลหลักในการขับเคลื่อนเป็นรูปธรรม
และขอย้ําว่า งานวิจัยนี้นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการนําไปใช้สนับสนุนการผลักดันความมั่นคงให้กับครู กศน.ที่ดูแลกลุ่มเด็กบนท้องถนนต่อรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี โดยมีความตั้งใจที่จะพยายามขับเคลื่อนให้เกิดผลเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพราะครูกลุ่มนี้ถูกทอดทิ้งมานาน และในวันนี้ก็ถือเป็นวันสําคัญในการนําเสนอผลการดําเนินโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สําหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในอาชีพครูของเด็กบนถนน ให้สามารถสร้างสรรค์สังคมของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ด้วยศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจ พร้อมก้าวออกไปเผชิญโลกด้วยทักษะความสามารถด้านวิชาชีพ เพื่อดูแลตนเองและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
จันทนา เชียงทอง: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
สถาพร ถาวรสุข, อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37497
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563
การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563
วันที่ 8 ธันวาคม 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ปี 2565 ในการจัดทําโครงการที่เน้นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีการลดต้นทุนโลจิสติกส์ การลดต้นทุนด้านบริหารจัดการ และต้นทุนการเก็บสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ยังให้ทบทวนตัวชี้วัดด้านโลจิสติกส์ในภาคอุตสาหกรรมใหม่ให้สะท้อนการลดต้นทุนเชิงประสิทธิภาพ โดยใช้ตัวชี้วัดเป็น “ต้นทุนด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานของสถานประกอบการให้ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ภายในปี 2565
ทั้งนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการในการประเมินผลกระทบระดับมหภาคจากการลดต้นทุนโลจิสติกส์ภาคอุตสาหกรรมด้วยวิธีการประเมินผลกระทบของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมด้วยแบบจําลอง CGE (Computable General Equilibrium Model) และหลักการในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ปี 2566-2570 โดยตั้งคณะทํางานจัดทําร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2566 – 2570
นอกจากนี้ยังได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2563 และรายงานผลการดําเนินงานพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมและแผนการดําเนินงานปี 2564 ได้แก่ สถานการณ์ต้นทุนโลจิสติกส์ของภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม และแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการเร่งรัดติดตามผลการดําเนินการและรายงานต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563
การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563
วันที่ 8 ธันวาคม 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ปี 2565 ในการจัดทําโครงการที่เน้นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีการลดต้นทุนโลจิสติกส์ การลดต้นทุนด้านบริหารจัดการ และต้นทุนการเก็บสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ยังให้ทบทวนตัวชี้วัดด้านโลจิสติกส์ในภาคอุตสาหกรรมใหม่ให้สะท้อนการลดต้นทุนเชิงประสิทธิภาพ โดยใช้ตัวชี้วัดเป็น “ต้นทุนด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานของสถานประกอบการให้ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ภายในปี 2565
ทั้งนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการในการประเมินผลกระทบระดับมหภาคจากการลดต้นทุนโลจิสติกส์ภาคอุตสาหกรรมด้วยวิธีการประเมินผลกระทบของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมด้วยแบบจําลอง CGE (Computable General Equilibrium Model) และหลักการในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ปี 2566-2570 โดยตั้งคณะทํางานจัดทําร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2566 – 2570
นอกจากนี้ยังได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2563 และรายงานผลการดําเนินงานพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมและแผนการดําเนินงานปี 2564 ได้แก่ สถานการณ์ต้นทุนโลจิสติกส์ของภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม และแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการเร่งรัดติดตามผลการดําเนินการและรายงานต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37521
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 412 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.88 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อํานวยการสํานักแผนภาษี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 412 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.88 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 246 คดี ค่าปรับ 2.05 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 126 คดี ค่าปรับ 2.54 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 3 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 15 คดี ค่าปรับ 0.85 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.01 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 13 คดี ค่าปรับ 0.27 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 7 คดี ค่าปรับ 2.14 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 5,047.286 ลิตร ยาสูบ จํานวน 8,900 ซอง ไพ่ จํานวน 67 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 9,695.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 89 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 15 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 8 ธันวาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 5,483 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 105.72 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 3,072 คดี ค่าปรับ 29.59 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,720 คดี ค่าปรับ 40.04 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 136 คดี ค่าปรับ 1.40 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 178 คดี ค่าปรับ 13.33 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 24 คดี ค่าปรับ 0.86 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 241 คดี ค่าปรับ จํานวน 6.27 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 112 คดี ค่าปรับ 14.23 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 83,428.786 ลิตร ยาสูบ จํานวน 142,489 ซอง ไพ่ จํานวน 9,081 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 416,467.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 58,450 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 332 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 412 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.88 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อํานวยการสํานักแผนภาษี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 412 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.88 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 246 คดี ค่าปรับ 2.05 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 126 คดี ค่าปรับ 2.54 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 3 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 15 คดี ค่าปรับ 0.85 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.01 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 13 คดี ค่าปรับ 0.27 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 7 คดี ค่าปรับ 2.14 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 5,047.286 ลิตร ยาสูบ จํานวน 8,900 ซอง ไพ่ จํานวน 67 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 9,695.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 89 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 15 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 8 ธันวาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 5,483 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 105.72 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 3,072 คดี ค่าปรับ 29.59 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,720 คดี ค่าปรับ 40.04 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 136 คดี ค่าปรับ 1.40 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 178 คดี ค่าปรับ 13.33 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 24 คดี ค่าปรับ 0.86 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 241 คดี ค่าปรับ จํานวน 6.27 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 112 คดี ค่าปรับ 14.23 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 83,428.786 ลิตร ยาสูบ จํานวน 142,489 ซอง ไพ่ จํานวน 9,081 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 416,467.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 58,450 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 332 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37522
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ณ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 เวลา 09.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ณ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เฝ้ารับเสด็จฯ และกราบบังคมทูลถวายรายงาน และมีนายอุดม ชูลีวรรณ ผู้อํานวยการโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ
รมช.ศึกษาธิการ กราบบังคมทูลถวายรายงาน ดังนี้
ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทรงทราบฝ่าละอองพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะกรรมการจัดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 คณาจารย์ และผู้แทนนักเรียนจากมหาวิทยาลัยและโรงเรียนศูนย์ภูมิศาสตร์โอลิมปิก สอวน. ที่เฝ้าทูลละอองพระบาทอยู่ ณ ที่นี้ รู้สึกสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดําเนินมา ทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติครั้งที่ 3 ประจําปี พ.ศ. 2563 ในวันนี้
การแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ เป็นการเปิดเวทีให้นักเรียนที่มีความสนใจ มีความรู้ความสามารถในวิชาภูมิศาสตร์ ได้มีสนามในการทดสอบความรู้ ฝึกประสบการณ์ในการแข่งขัน และเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนที่จะเป็นผู้แทนประเทศไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งปีนี้จัดที่สาธารณรัฐตุรกี การแข่งขันครั้งนี้มีนักเรียนตัวแทนจากทุกศูนย์ทั่วประเทศ จํานวน 15 ศูนย์ ประกอบด้วย ศูนย์โรงเรียน 8 ศูนย์, ศูนย์มหาวิทยาลัย 7 ศูนย์ รวมทั้งสิ้น 99 คน อาจารย์หัวหน้าทีม และรองหัวหน้าทีม จํานวน 31 คน และมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการจัดการสอบแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ
ด้านการดําเนินการจัดการแข่งขันมีการจัดสอบ โดยสอดคล้องและใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับนานาชาติ กล่าวคือ ใช้เวลาในการสอบ 4 วัน มีการสอบ 3 หัวเรื่อง คือ ภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์มนุษย์ และภูมิศาสตร์เทคนิค โดยการสอบข้อเขียน การสอบภาคสนาม และการสอบแบบมัลติมิเดีย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่จะเป็นผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันในระดับนานาชาติต่อไป การจัดการแข่งขันในครั้งนี้โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐานระดับนานาชาติ มีความยุติธรรม โปร่งใส และให้ความเสมอภาคแก่ผู้เข้าแข่งขันจากศูนย์ต่าง ๆ ทุกคน
บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตกราบบังคมทูลเบิก นายวัลลพ สงวนนาม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และนายอุดม ชูลีวรรณ ผู้อํานวยการโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย และกราบบังคมทูลเชิญใต้ฝ่าละอองพระบาท พระราชทานพระราชดํารัสเปิดการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ประจําปีพุทธศักราช 2563 เพื่อเป็นสิริสวัสดิ์แก่คณะผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมการแข่งขันสืบไป
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ขอบคุณภาพข่าว: ประชาสัมพันธ์โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ณ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 เวลา 09.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ณ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เฝ้ารับเสด็จฯ และกราบบังคมทูลถวายรายงาน และมีนายอุดม ชูลีวรรณ ผู้อํานวยการโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ
รมช.ศึกษาธิการ กราบบังคมทูลถวายรายงาน ดังนี้
ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทรงทราบฝ่าละอองพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะกรรมการจัดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 คณาจารย์ และผู้แทนนักเรียนจากมหาวิทยาลัยและโรงเรียนศูนย์ภูมิศาสตร์โอลิมปิก สอวน. ที่เฝ้าทูลละอองพระบาทอยู่ ณ ที่นี้ รู้สึกสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดําเนินมา ทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติครั้งที่ 3 ประจําปี พ.ศ. 2563 ในวันนี้
การแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ เป็นการเปิดเวทีให้นักเรียนที่มีความสนใจ มีความรู้ความสามารถในวิชาภูมิศาสตร์ ได้มีสนามในการทดสอบความรู้ ฝึกประสบการณ์ในการแข่งขัน และเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนที่จะเป็นผู้แทนประเทศไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งปีนี้จัดที่สาธารณรัฐตุรกี การแข่งขันครั้งนี้มีนักเรียนตัวแทนจากทุกศูนย์ทั่วประเทศ จํานวน 15 ศูนย์ ประกอบด้วย ศูนย์โรงเรียน 8 ศูนย์, ศูนย์มหาวิทยาลัย 7 ศูนย์ รวมทั้งสิ้น 99 คน อาจารย์หัวหน้าทีม และรองหัวหน้าทีม จํานวน 31 คน และมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการจัดการสอบแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ
ด้านการดําเนินการจัดการแข่งขันมีการจัดสอบ โดยสอดคล้องและใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับนานาชาติ กล่าวคือ ใช้เวลาในการสอบ 4 วัน มีการสอบ 3 หัวเรื่อง คือ ภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์มนุษย์ และภูมิศาสตร์เทคนิค โดยการสอบข้อเขียน การสอบภาคสนาม และการสอบแบบมัลติมิเดีย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่จะเป็นผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันในระดับนานาชาติต่อไป การจัดการแข่งขันในครั้งนี้โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐานระดับนานาชาติ มีความยุติธรรม โปร่งใส และให้ความเสมอภาคแก่ผู้เข้าแข่งขันจากศูนย์ต่าง ๆ ทุกคน
บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตกราบบังคมทูลเบิก นายวัลลพ สงวนนาม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และนายอุดม ชูลีวรรณ ผู้อํานวยการโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย และกราบบังคมทูลเชิญใต้ฝ่าละอองพระบาท พระราชทานพระราชดํารัสเปิดการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ประจําปีพุทธศักราช 2563 เพื่อเป็นสิริสวัสดิ์แก่คณะผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมการแข่งขันสืบไป
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ขอบคุณภาพข่าว: ประชาสัมพันธ์โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37496
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหา
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหา
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหาจากทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถดําเนินโครงการต่อไปได้
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนุญาตให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้มีการหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดโอกาสให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรชี้แจงแนวทางและประเด็นที่ทางสมาคมประมงแห่งประเทศไทยเรียกร้อง รวมถึงได้มอบหมายให้ทั้งสองธนาคารนําประเด็นที่สามารถทบทวนใหม่ได้ นําไปหารือกับผู้บริหารของธนาคารต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงการติดตามการออกประกาศกฎกระทรวง การขอเพิ่มวันทําการประมง และการขอผ่อนผันมาตรการต่าง ๆ ด้วย
“รัฐบาลให้ความสําคัญกับพี่น้องชาวประมง จึงออกมาตรการหรือโครงการต่าง ๆ เข้ามาเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งการหารือร่วมกันในวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่จะนําเรือประมงมาเป็นหลักค้ําประกัน จึงต้องมีการพูดคุยและปรับปรุงแก้ไขเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องชาวประมงและรักษากติกาของธนาคารร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม พร้อมรับข้อเสนอจากทุกฝ่าย และจะนําประเด็นต่าง ๆ ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหา
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหา
รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหาจากทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถดําเนินโครงการต่อไปได้
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนุญาตให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้มีการหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดโอกาสให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรชี้แจงแนวทางและประเด็นที่ทางสมาคมประมงแห่งประเทศไทยเรียกร้อง รวมถึงได้มอบหมายให้ทั้งสองธนาคารนําประเด็นที่สามารถทบทวนใหม่ได้ นําไปหารือกับผู้บริหารของธนาคารต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงการติดตามการออกประกาศกฎกระทรวง การขอเพิ่มวันทําการประมง และการขอผ่อนผันมาตรการต่าง ๆ ด้วย
“รัฐบาลให้ความสําคัญกับพี่น้องชาวประมง จึงออกมาตรการหรือโครงการต่าง ๆ เข้ามาเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งการหารือร่วมกันในวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่จะนําเรือประมงมาเป็นหลักค้ําประกัน จึงต้องมีการพูดคุยและปรับปรุงแก้ไขเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องชาวประมงและรักษากติกาของธนาคารร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม พร้อมรับข้อเสนอจากทุกฝ่าย และจะนําประเด็นต่าง ๆ ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37503
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๑๐ ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
๑๐ ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๑๐ ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
๑๐ ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37515
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 9 ธ.ค.63, 0930 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. เป็นผู้แทน รมว.กห. เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ASEAN-Defence-Ministers’-Meeting:-14th ADMM) ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม โดย กห. สาธารณรัฐเวียดนาม เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น มีผลการประชุมโดยสรุป ดังนี้
การประชุมครั้งนี้ จัดภายใต้แนวคิด “แน่นแฟ้นและตอบสนอง” โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานการดําเนินงานร่วมกันที่ผ่านมา และได้แลกเปลี่ยนมุมมองความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาและลงนามร่วมกันในร่างปฏิญญาร่วมของ รมว.กห.อาเซียน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ เพื่อความแน่นแฟ้นและพร้อมต่อการตอบสนองของอาเซียน โดยมีสาระสําคัญ ในการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันส่งเสริมความแน่นแฟ้น และความพร้อมต่อการตอบสนองของอาเซียน ในการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิยุทธศาสตร์ และภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศสมาชิก รวมทั้งระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยดํารงไว้ซึ่งความเป็นแกนกลางของอาเซียน เคารพในอธิปไตย และหลักการฉันทามติ
นอกจากนั้น ยังได้ร่วมกันให้การรับรองแผนงาน 3 ปีของ กห.อาเซียน ปี 63-65
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 9 ธ.ค.63, 0930 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. เป็นผู้แทน รมว.กห. เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ASEAN-Defence-Ministers’-Meeting:-14th ADMM) ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม โดย กห. สาธารณรัฐเวียดนาม เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น มีผลการประชุมโดยสรุป ดังนี้
การประชุมครั้งนี้ จัดภายใต้แนวคิด “แน่นแฟ้นและตอบสนอง” โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานการดําเนินงานร่วมกันที่ผ่านมา และได้แลกเปลี่ยนมุมมองความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาและลงนามร่วมกันในร่างปฏิญญาร่วมของ รมว.กห.อาเซียน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ เพื่อความแน่นแฟ้นและพร้อมต่อการตอบสนองของอาเซียน โดยมีสาระสําคัญ ในการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันส่งเสริมความแน่นแฟ้น และความพร้อมต่อการตอบสนองของอาเซียน ในการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิยุทธศาสตร์ และภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศสมาชิก รวมทั้งระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยดํารงไว้ซึ่งความเป็นแกนกลางของอาเซียน เคารพในอธิปไตย และหลักการฉันทามติ
นอกจากนั้น ยังได้ร่วมกันให้การรับรองแผนงาน 3 ปีของ กห.อาเซียน ปี 63-65
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37511
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่
คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่ เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการปี 64-65 ยืนยันเดินหน้าร่าง พรบ.เกษตรกรรมยั่งยืน พร้อมอนุมัติหลักการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติและโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองรับมือผลกระทบโควิด19
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนวันนี้ (9 ธ.ค) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ครั้งที่ 3/2563 โดยผ่านระบบการประชุมทางไกล zoom cloud meeting พร้อมด้วย คณะกรรมการและผู้แทน เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุม ได้พิจารณาและมีมติดังนี้
1) พิจารณาเห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการด้านเกษตรกรรมยั่งยืน ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565) เพื่อเป็นกรอบในการดําเนินงาน ซึ่งได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐ และทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านระบบการประชุมออนไลน์ โดยมอบฝ่ายเลขานุการ นําร่างแผนปฏิบัติการ นี้ เข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อกลั่นกรอง ปรับปรุงในรายละเอียดของ ก่อนนําเสนอให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรม พิจารณา เห็นชอบขั้นสุดท้ายภายในเดือนธันวาคมนี้
2) พิจารณาเห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนโดยมอบหมายให้คณะทํางานขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ จัดรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ส่วนได้เสียในการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์ (องค์การมหาชน)
3) เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางสําหรับระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) ซึ่งนําเสนอโดย สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และมอบคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน จัดทําแนวทางการดําเนินการจัดระบบ PGS โดยใช้หลักเกณฑ์กลางที่จัดทําขึ้น เพื่อจะเสนอต่อ คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไป
4) เห็นชอบโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project) ต่อยอดนโยบาย Green City ของรัฐมนตรีเกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน มีเป้าหมายดําเนินการครอบคลุม 77 จังหวัด เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองภายใต้ 5 แนวทางของเกษตรยั่งยืนได้แก่วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสานและเกษตรทฤษฎีใหม่ ทั้งนี้ คณะกรรมการได้มอบหมาย ฝ่ายเลขานุการ ยกร่างคําสั่งแต่งตั้ง "คณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง" นําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
นอกจากนี้ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนปีงบประมาณ 2563
“ที่ประชุมพอใจรายงานความก้าวหน้าของการดําเนินงานในปี 2563 ซึ่งสามารถเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนและจํานวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการตามเป้าหมายที่วางไว้และยังเห็นชอบแผนและเป้าหมายสําหรับปี2564ด้วย”
ในรายงานผลการดําเนินงานปีงบประมาณ2563ระบุว่ามีพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนเพิ่มขึ้น 468,223 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 200,835 ราย โดยในแผนปี2564ได้กําหนดเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน จํานวน 465,750 ไร่
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งถือเป็นการขยายพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่ใหญ่ที่สุดภายใต้รัฐบาลชุดนี้ครอบคลุมทุกตําบลทั่วประเทศโดยกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบ 4,009 ตําบลที่เหลืออีกกว่า 3,000 ตําบลอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย โดยที่ประชุมได้เสนอแนะให้คณะกรรมการบริหารโครงการที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานปรับหลักเกณฑ์ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อให้เกษตรกรที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการสามารถสมัครเข้าร่วมได้เพิ่มขึ้นหากต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงโครงการก็ให้ดําเนินการ
“นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีความเห็นให้ยืนยันมติเดิมในการตราพระราชบัญญัติเกษตรกรรมยั่งยืนต่อคณะรัฐมนตรีโดยปรับปรุงร่างเดิมให้สมบูรณ์มากขึ้นและทําความเข้าใจกับคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีข้อสังเกตให้กระทรวงเกษตรฯ ทบทวน” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่
คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่ เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการปี 64-65 ยืนยันเดินหน้าร่าง พรบ.เกษตรกรรมยั่งยืน พร้อมอนุมัติหลักการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติและโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองรับมือผลกระทบโควิด19
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนวันนี้ (9 ธ.ค) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ครั้งที่ 3/2563 โดยผ่านระบบการประชุมทางไกล zoom cloud meeting พร้อมด้วย คณะกรรมการและผู้แทน เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุม ได้พิจารณาและมีมติดังนี้
1) พิจารณาเห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการด้านเกษตรกรรมยั่งยืน ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565) เพื่อเป็นกรอบในการดําเนินงาน ซึ่งได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐ และทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านระบบการประชุมออนไลน์ โดยมอบฝ่ายเลขานุการ นําร่างแผนปฏิบัติการ นี้ เข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อกลั่นกรอง ปรับปรุงในรายละเอียดของ ก่อนนําเสนอให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรม พิจารณา เห็นชอบขั้นสุดท้ายภายในเดือนธันวาคมนี้
2) พิจารณาเห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนโดยมอบหมายให้คณะทํางานขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ จัดรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ส่วนได้เสียในการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์ (องค์การมหาชน)
3) เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางสําหรับระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) ซึ่งนําเสนอโดย สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และมอบคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน จัดทําแนวทางการดําเนินการจัดระบบ PGS โดยใช้หลักเกณฑ์กลางที่จัดทําขึ้น เพื่อจะเสนอต่อ คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไป
4) เห็นชอบโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project) ต่อยอดนโยบาย Green City ของรัฐมนตรีเกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน มีเป้าหมายดําเนินการครอบคลุม 77 จังหวัด เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองภายใต้ 5 แนวทางของเกษตรยั่งยืนได้แก่วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสานและเกษตรทฤษฎีใหม่ ทั้งนี้ คณะกรรมการได้มอบหมาย ฝ่ายเลขานุการ ยกร่างคําสั่งแต่งตั้ง "คณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง" นําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
นอกจากนี้ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนปีงบประมาณ 2563
“ที่ประชุมพอใจรายงานความก้าวหน้าของการดําเนินงานในปี 2563 ซึ่งสามารถเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนและจํานวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการตามเป้าหมายที่วางไว้และยังเห็นชอบแผนและเป้าหมายสําหรับปี2564ด้วย”
ในรายงานผลการดําเนินงานปีงบประมาณ2563ระบุว่ามีพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนเพิ่มขึ้น 468,223 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 200,835 ราย โดยในแผนปี2564ได้กําหนดเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน จํานวน 465,750 ไร่
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งถือเป็นการขยายพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่ใหญ่ที่สุดภายใต้รัฐบาลชุดนี้ครอบคลุมทุกตําบลทั่วประเทศโดยกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบ 4,009 ตําบลที่เหลืออีกกว่า 3,000 ตําบลอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย โดยที่ประชุมได้เสนอแนะให้คณะกรรมการบริหารโครงการที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานปรับหลักเกณฑ์ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อให้เกษตรกรที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการสามารถสมัครเข้าร่วมได้เพิ่มขึ้นหากต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงโครงการก็ให้ดําเนินการ
“นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีความเห็นให้ยืนยันมติเดิมในการตราพระราชบัญญัติเกษตรกรรมยั่งยืนต่อคณะรัฐมนตรีโดยปรับปรุงร่างเดิมให้สมบูรณ์มากขึ้นและทําความเข้าใจกับคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีข้อสังเกตให้กระทรวงเกษตรฯ ทบทวน” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37504
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยชาวใต้ พร้อมมอบค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ธอส. ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยชาวใต้ พร้อมมอบค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงพื้นที่ส่งกําลังใจมอบความห่วงใยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพพร้อมน้ําดื่ม จํานวน 400 ถุง ในพื้นที่ตําบลท่าพญา อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมมอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย
นครศรีธรรมราช : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงพื้นที่ส่งกําลังใจมอบความห่วงใยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพพร้อมน้ําดื่ม จํานวน 400 ถุง ในพื้นที่ตําบลท่าพญา อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมมอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาบ้านเรือนของลูกค้าธนาคารที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วมขัง จํานวน 8 หลัง ตามเงื่อนไขของมาตรการพิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สําหรับลูกค้าที่ทํากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสําหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ําท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่เกิดสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และวาตภัยในพื้นที่ภาคใต้ ฃึ่งปัจจุบันแม้ระดับน้ําท่วมขังจะลดลงทุกจังหวัด แต่ก็ยังคงพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสร้างความเสียหายต่อลูกค้าและประชาชนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านที่อยู่อาศัยและการประกอบอาชีพ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เร่งให้ความช่วยเหลือชาวใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่อง และนอกจากความช่วยเหลือทางด้านการเงินผ่าน 7 มาตรการ ตาม “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” แล้ว ในวันนี้ (9 ธันวาคม 2563) จึงได้นําทีมผู้บริหาร พร้อมด้วยผู้ปฏิบัติงานของธนาคารในสํานักงานเขตและสาขาในพื้นที่ ลงพื้นที่ไปพบกับลูกค้าประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ตําบลท่าพญา อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยนําถุงยังชีพและน้ําดื่มออกไปแจกจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเป็นการด่วนจํานวน 400 ชุด เพื่อส่งกําลังใจพร้อมกับส่งมอบความห่วงใยให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยที่เดือดร้อนทุกคน
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ร่วมกับ บมจ.อาคเนย์ประกันภัย บมจ.นวกิจประกันภัย และบมจ.ทิพยประกันภัย มอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาบ้านเรือนของลูกค้าธนาคารที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วมขัง จํานวน 8 หลัง ตามเงื่อนไขของมาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สําหรับลูกค้าที่ทํากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสําหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ําท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ โดยผู้เอาประกันยื่นเอกสารแจ้งความเสียหาย จ่ายตามความเสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสําหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่าย แต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ยังให้คําแนะเกี่ยวกับมาตรการความช่วยเหลืออื่น ๆ ของธนาคารอีก 6 มาตรการที่เหลือ ประกอบด้วย 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% ต่อปีนาน 4 เดือนแรก 2) ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก 3) ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน ดอกเบี้ย 0% ต่อปี 4 เดือน ไม่ต้องชําระเงินงวด 4) ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ย 1% ต่อปี 5) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ผ่อนชําระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี และ 6) ที่อยู่อาศัยเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ให้ปลอดหนี้ในส่วนของอาคาร
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการ “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ ปี 2563” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด โดยตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการให้ความสําคัญกับการดําเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร โดยคํานึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปลูกจิตอาสาช่วยเหลือสังคมของพนักงานในองค์กร รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยชาวใต้ พร้อมมอบค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
ธอส. ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยชาวใต้ พร้อมมอบค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงพื้นที่ส่งกําลังใจมอบความห่วงใยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพพร้อมน้ําดื่ม จํานวน 400 ถุง ในพื้นที่ตําบลท่าพญา อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมมอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย
นครศรีธรรมราช : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงพื้นที่ส่งกําลังใจมอบความห่วงใยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพพร้อมน้ําดื่ม จํานวน 400 ถุง ในพื้นที่ตําบลท่าพญา อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมมอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาบ้านเรือนของลูกค้าธนาคารที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วมขัง จํานวน 8 หลัง ตามเงื่อนไขของมาตรการพิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สําหรับลูกค้าที่ทํากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสําหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ําท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่เกิดสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และวาตภัยในพื้นที่ภาคใต้ ฃึ่งปัจจุบันแม้ระดับน้ําท่วมขังจะลดลงทุกจังหวัด แต่ก็ยังคงพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสร้างความเสียหายต่อลูกค้าและประชาชนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านที่อยู่อาศัยและการประกอบอาชีพ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เร่งให้ความช่วยเหลือชาวใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่อง และนอกจากความช่วยเหลือทางด้านการเงินผ่าน 7 มาตรการ ตาม “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” แล้ว ในวันนี้ (9 ธันวาคม 2563) จึงได้นําทีมผู้บริหาร พร้อมด้วยผู้ปฏิบัติงานของธนาคารในสํานักงานเขตและสาขาในพื้นที่ ลงพื้นที่ไปพบกับลูกค้าประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ตําบลท่าพญา อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยนําถุงยังชีพและน้ําดื่มออกไปแจกจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเป็นการด่วนจํานวน 400 ชุด เพื่อส่งกําลังใจพร้อมกับส่งมอบความห่วงใยให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยที่เดือดร้อนทุกคน
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ร่วมกับ บมจ.อาคเนย์ประกันภัย บมจ.นวกิจประกันภัย และบมจ.ทิพยประกันภัย มอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาบ้านเรือนของลูกค้าธนาคารที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วมขัง จํานวน 8 หลัง ตามเงื่อนไขของมาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สําหรับลูกค้าที่ทํากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสําหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ําท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ โดยผู้เอาประกันยื่นเอกสารแจ้งความเสียหาย จ่ายตามความเสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสําหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่าย แต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ยังให้คําแนะเกี่ยวกับมาตรการความช่วยเหลืออื่น ๆ ของธนาคารอีก 6 มาตรการที่เหลือ ประกอบด้วย 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% ต่อปีนาน 4 เดือนแรก 2) ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก 3) ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน ดอกเบี้ย 0% ต่อปี 4 เดือน ไม่ต้องชําระเงินงวด 4) ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ย 1% ต่อปี 5) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ผ่อนชําระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี และ 6) ที่อยู่อาศัยเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ให้ปลอดหนี้ในส่วนของอาคาร
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการ “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ ปี 2563” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด โดยตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการให้ความสําคัญกับการดําเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร โดยคํานึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปลูกจิตอาสาช่วยเหลือสังคมของพนักงานในองค์กร รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37501
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน
"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน
“กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” ประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต พร้อมกําหนดมาตรการ 3 ป. 1 ค. (ปลุกจิตสํานึก ป้องกัน ปราบปรามและสร้างเครือข่าย)
วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ภายใต้แนวคิด “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวเปิดงานว่า คําว่าทุจริตคอร์รัปชัน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเงิน แต่หมายรวมถึงการใช้อํานาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้องร่วมด้วย ดังนั้น ขอให้ข้าราชการในทุกระดับดํารงตนด้วยความมีเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นคนดี มีคุณธรรม ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ อดทน กล้ายืนหยัดทําในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ใช้ตําแหน่งหน้าที่หาประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชน เพื่อให้ ทส.เป็นความหวังและที่พึ่งในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
ทั้งนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวนําการประกาศเจตนารมณ์ ว่า "จะประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทําการทุจริต จะยึดมั่นในความยุติธรรม ถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยจิตอาสา พร้อมทําความดีด้วยหัวใจ”
ในการนี้ ทส. ได้กําหนดมาตรการ 3 ป. 1 ค. (ปลุกจิตสํานึก ป้องกัน ปราบปรามและสร้างเครือข่าย) รวมถึงกําหนดจัดกิจกรรม “ทส. สุขใจ ธรรมะนําทาง ห่างไกลทุจริต” เพื่อกล่อมเกลาจิตใจด้วยธรรมะ ปลุกจิตสํานึกแห่งคุณธรรมและความดี จํานวน 3 ครั้ง ซึ่งครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นในวันที่ 5 มกราคม 2564 โดยนิมนต์พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กลฺยาโณ) มาแสดงธรรมเทศนาการต่อต้านการทุจริต ในวันดังกล่าวด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน
"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน
“กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” ประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต พร้อมกําหนดมาตรการ 3 ป. 1 ค. (ปลุกจิตสํานึก ป้องกัน ปราบปรามและสร้างเครือข่าย)
วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ภายใต้แนวคิด “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวเปิดงานว่า คําว่าทุจริตคอร์รัปชัน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเงิน แต่หมายรวมถึงการใช้อํานาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้องร่วมด้วย ดังนั้น ขอให้ข้าราชการในทุกระดับดํารงตนด้วยความมีเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นคนดี มีคุณธรรม ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ อดทน กล้ายืนหยัดทําในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ใช้ตําแหน่งหน้าที่หาประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชน เพื่อให้ ทส.เป็นความหวังและที่พึ่งในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
ทั้งนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวนําการประกาศเจตนารมณ์ ว่า "จะประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทําการทุจริต จะยึดมั่นในความยุติธรรม ถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยจิตอาสา พร้อมทําความดีด้วยหัวใจ”
ในการนี้ ทส. ได้กําหนดมาตรการ 3 ป. 1 ค. (ปลุกจิตสํานึก ป้องกัน ปราบปรามและสร้างเครือข่าย) รวมถึงกําหนดจัดกิจกรรม “ทส. สุขใจ ธรรมะนําทาง ห่างไกลทุจริต” เพื่อกล่อมเกลาจิตใจด้วยธรรมะ ปลุกจิตสํานึกแห่งคุณธรรมและความดี จํานวน 3 ครั้ง ซึ่งครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นในวันที่ 5 มกราคม 2564 โดยนิมนต์พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กลฺยาโณ) มาแสดงธรรมเทศนาการต่อต้านการทุจริต ในวันดังกล่าวด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37498
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล-ธรรมนัส ควงคู่ช่วยเหลือผู้ถูกน้ำท่วมภาคใต้
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
นฤมล-ธรรมนัส ควงคู่ช่วยเหลือผู้ถูกน้ําท่วมภาคใต้
นฤมล-ธรรมนัส จัดแพ็คคู่ ลุยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี รับฟังปัญหา ความต้องการความช่วยเหลือหลังน้ําลด พร้อมมอบถุงยังชีพกว่า 1,000 ชุด แก่ผู้ประสบภัย สร้างขวัญและกําลังใจสู่ชาวใต้
วันที่ 9 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นําทีมคณะเจ้าหน้าที่มอบถุงยังชีพกว่า 1,000 ชุด ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมรับฟังปัญหาและความต้องการความช่วยเหลือหลังน้ําลด โดยเดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ให้กําลังใจและมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยน้ําท่วมในครั้งนี้ จํานวน 500 ชุด โดยมีนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และหัวหน้าส่วนราชการ ให้การต้อนรับและอํานวยความสะดวกในการลงพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยน้ําท่วมอีกด้วย
สําหรับ อ.ปากพนัง เป็นพื้นที่รองรับน้ําจากตัวจังหวัดชั้นในก่อนไหลออกสู่แม่น้ําปากพนังและระบายออกสู่อ่าวไทย พบอุปสรรคในการระบายน้ําเนื่องจากมีน้ําทะเลหนุนสูงเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และจัดเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวให้แก่ประชาชนที่ประสบปัญหาน้ําท่วมบ้านเรือนที่ขาดที่พักอาศัยชั่วคราว
หลังจากนั้น รมช.แรงงาน และ รมช.เกษตรฯ ได้เดินทางพบปะกลุ่มเกษตรที่ประสบภัยน้ําท่วม ณ ที่ว่าการอําเภอกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด (นายวิชวุทย์ จินโต) และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้การต้อนรับ พร้อมมอบถุงยังชีพแก่ผู้สบภัยอีก 500 ชุด เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยัง ชุมชนคลองไทรพัฒนาและชุมชนเพิ่มทรัพย์ ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมการบริหารจัดการพื้นที่ของชุมชน โดย รมช.เกษตรฯ ได้มอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ ส.ป.ก.ของชุมชนทั้ง 2 แห่ง ด้าน รมช.แรงงาน ได้กล่าวถึงการบูรณาการร่วมกันของกระทรวงแรงงานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีแนวทางการดําเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ต้องการแก้ปัญหาให้แรงงานหลุดพ้นจากความยากจน มีความรู้ไปประกอบอาชีพและไม่เป็นหนี้
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ในกรณีที่แรงงานภาคเกษตรมีความต้องการหาความรู้เพิ่มเติม หรือต่อยอดด้านอาชีพ สามารถติดต่อหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ได้ ซึ่งมีหลายหลักสูตรที่เป็นด้านเทคโนโลยีและช่างฝีมือ รวมถึงงานศิลปะหัตกรรมที่สามารถต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่แรงงานภาคการเกษตรได้ เช่น การขายสินค้าเกษตรผ่านออนไลน์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า สําหรับด้านช่างฝีมือที่สามารถนําไปประกอบอาชีพส่วนตัวช่วงว่างจากฤดูกาล เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างเครื่องปรับอากาศ ช่างซ่อมเครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายด้านแหล่งเงินทุน อาทิ ธนาคารออมสินที่จับมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งทําหน้าที่ค้ําประกันการกู้ยืมอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล-ธรรมนัส ควงคู่ช่วยเหลือผู้ถูกน้ำท่วมภาคใต้
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
นฤมล-ธรรมนัส ควงคู่ช่วยเหลือผู้ถูกน้ําท่วมภาคใต้
นฤมล-ธรรมนัส จัดแพ็คคู่ ลุยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี รับฟังปัญหา ความต้องการความช่วยเหลือหลังน้ําลด พร้อมมอบถุงยังชีพกว่า 1,000 ชุด แก่ผู้ประสบภัย สร้างขวัญและกําลังใจสู่ชาวใต้
วันที่ 9 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นําทีมคณะเจ้าหน้าที่มอบถุงยังชีพกว่า 1,000 ชุด ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมรับฟังปัญหาและความต้องการความช่วยเหลือหลังน้ําลด โดยเดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ให้กําลังใจและมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยน้ําท่วมในครั้งนี้ จํานวน 500 ชุด โดยมีนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และหัวหน้าส่วนราชการ ให้การต้อนรับและอํานวยความสะดวกในการลงพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยน้ําท่วมอีกด้วย
สําหรับ อ.ปากพนัง เป็นพื้นที่รองรับน้ําจากตัวจังหวัดชั้นในก่อนไหลออกสู่แม่น้ําปากพนังและระบายออกสู่อ่าวไทย พบอุปสรรคในการระบายน้ําเนื่องจากมีน้ําทะเลหนุนสูงเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และจัดเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวให้แก่ประชาชนที่ประสบปัญหาน้ําท่วมบ้านเรือนที่ขาดที่พักอาศัยชั่วคราว
หลังจากนั้น รมช.แรงงาน และ รมช.เกษตรฯ ได้เดินทางพบปะกลุ่มเกษตรที่ประสบภัยน้ําท่วม ณ ที่ว่าการอําเภอกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด (นายวิชวุทย์ จินโต) และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้การต้อนรับ พร้อมมอบถุงยังชีพแก่ผู้สบภัยอีก 500 ชุด เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยัง ชุมชนคลองไทรพัฒนาและชุมชนเพิ่มทรัพย์ ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมการบริหารจัดการพื้นที่ของชุมชน โดย รมช.เกษตรฯ ได้มอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ ส.ป.ก.ของชุมชนทั้ง 2 แห่ง ด้าน รมช.แรงงาน ได้กล่าวถึงการบูรณาการร่วมกันของกระทรวงแรงงานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีแนวทางการดําเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ต้องการแก้ปัญหาให้แรงงานหลุดพ้นจากความยากจน มีความรู้ไปประกอบอาชีพและไม่เป็นหนี้
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ในกรณีที่แรงงานภาคเกษตรมีความต้องการหาความรู้เพิ่มเติม หรือต่อยอดด้านอาชีพ สามารถติดต่อหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ได้ ซึ่งมีหลายหลักสูตรที่เป็นด้านเทคโนโลยีและช่างฝีมือ รวมถึงงานศิลปะหัตกรรมที่สามารถต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่แรงงานภาคการเกษตรได้ เช่น การขายสินค้าเกษตรผ่านออนไลน์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า สําหรับด้านช่างฝีมือที่สามารถนําไปประกอบอาชีพส่วนตัวช่วงว่างจากฤดูกาล เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างเครื่องปรับอากาศ ช่างซ่อมเครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายด้านแหล่งเงินทุน อาทิ ธนาคารออมสินที่จับมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งทําหน้าที่ค้ําประกันการกู้ยืมอีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37506
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563
‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563 รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” จ.อุทัยธานี เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ 9
รมช.มนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานวันดินโลกปี2563 “Keep soil alive, protect soil biodiversity :รักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน”พร้อมด้วยนายอัชฌาสุวรรณนิตย์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นางสาวอัญมณีถิรสุทธิ์รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดร.อาทิตย์เพ็ชรรัตน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกตวรกีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีหัวหน้าส่วนราชการประชาชนและเกษตรกรเข้าร่วมณสถานีพัฒนาที่ดินอุทัยธานีตําบลหนองพังค่าอําเภอเมืองอุทัยธานีจังหวัดอุทัยธานีเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรตลอดจนสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรดินและพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและการอนุรักษ์ดินและน้ําให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้มีมติเมื่อวันที่20ธันวาคม2556รับรองให้วันที่5ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก(World Soil Day)ซึ่งประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติกว่า200ประเทศจะจัดงานเฉลิมฉลองวันดินโลกพร้อมกันสืบเนื่องจากการที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรได้รับการถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรมจากสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติหรือIUSSเป็นพระองค์แรกของโลกทรงมีพระอัจฉริยะภาพด้านทรัพยากรดินและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆที่เกี่ยวกับการเกษตรโดยทรงให้ความสําคัญกับทรัพยากรดินและเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์ถึงวิสัยทัศน์พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนกระทรวงเกษตรฯโดยสถานีพัฒนาที่ดินอุทัยร่วมกับจังหวัดอุทัยธานีและหน่วยงานภาคเอกชนจึงได้กําหนดจัดงานวันดินโลกเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
“การจัดนิทรรศการวันดินโลกปี2563ของจังหวัดอุทัยธานีในครั้งนี้เป็นการสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรดินและพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและการอนุรักษ์ดินและน้ําให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนต่อไปนอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมสร้างความรู้ในการทําเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัยเป็นการช่วยให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์โดยภายในงานมีกิจกรรมและนิทรรศการที่น่าสนใจอาทินิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9สืบสานแนวพระราชดําริรักษาและต่อยอดนิทรรศการKeep soil alive, protect soil biodiversityรักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดินตลอดจนนิทรรศการของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง”รมช.เกษตรฯกล่าว
ในการนี้ รมช.มนัญญาร่วมเปิดป้ายโครงการ1ตําบล1กลุ่มทฤษฎีใหม่รวมทั้งมอบบัตรดินดีต้นแบบและมอบปุ๋ยหมักและผลิตภัณฑ์สารเร่งซุปเปอร์พด.ให้กับเกษตรกรจากนั้นเปิดป้ายแปลงสาธิตเกษตรทฤษฎีใหม่ต้นแบบกิจกรรมปล่อยปลาก่อนเดินพบปะเกษตรกรและเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9สืบสานแนวพระราชดําริรักษาและต่อยอดนิทรรศการKeep soil alive, protect soil biodiversityรักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดินและนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563
‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563 รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” จ.อุทัยธานี เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ 9
รมช.มนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานวันดินโลกปี2563 “Keep soil alive, protect soil biodiversity :รักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน”พร้อมด้วยนายอัชฌาสุวรรณนิตย์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นางสาวอัญมณีถิรสุทธิ์รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดร.อาทิตย์เพ็ชรรัตน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกตวรกีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีหัวหน้าส่วนราชการประชาชนและเกษตรกรเข้าร่วมณสถานีพัฒนาที่ดินอุทัยธานีตําบลหนองพังค่าอําเภอเมืองอุทัยธานีจังหวัดอุทัยธานีเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรตลอดจนสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรดินและพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและการอนุรักษ์ดินและน้ําให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้มีมติเมื่อวันที่20ธันวาคม2556รับรองให้วันที่5ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก(World Soil Day)ซึ่งประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติกว่า200ประเทศจะจัดงานเฉลิมฉลองวันดินโลกพร้อมกันสืบเนื่องจากการที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรได้รับการถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรมจากสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติหรือIUSSเป็นพระองค์แรกของโลกทรงมีพระอัจฉริยะภาพด้านทรัพยากรดินและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆที่เกี่ยวกับการเกษตรโดยทรงให้ความสําคัญกับทรัพยากรดินและเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์ถึงวิสัยทัศน์พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนกระทรวงเกษตรฯโดยสถานีพัฒนาที่ดินอุทัยร่วมกับจังหวัดอุทัยธานีและหน่วยงานภาคเอกชนจึงได้กําหนดจัดงานวันดินโลกเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
“การจัดนิทรรศการวันดินโลกปี2563ของจังหวัดอุทัยธานีในครั้งนี้เป็นการสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรดินและพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและการอนุรักษ์ดินและน้ําให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนต่อไปนอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมสร้างความรู้ในการทําเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัยเป็นการช่วยให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์โดยภายในงานมีกิจกรรมและนิทรรศการที่น่าสนใจอาทินิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9สืบสานแนวพระราชดําริรักษาและต่อยอดนิทรรศการKeep soil alive, protect soil biodiversityรักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดินตลอดจนนิทรรศการของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง”รมช.เกษตรฯกล่าว
ในการนี้ รมช.มนัญญาร่วมเปิดป้ายโครงการ1ตําบล1กลุ่มทฤษฎีใหม่รวมทั้งมอบบัตรดินดีต้นแบบและมอบปุ๋ยหมักและผลิตภัณฑ์สารเร่งซุปเปอร์พด.ให้กับเกษตรกรจากนั้นเปิดป้ายแปลงสาธิตเกษตรทฤษฎีใหม่ต้นแบบกิจกรรมปล่อยปลาก่อนเดินพบปะเกษตรกรและเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9สืบสานแนวพระราชดําริรักษาและต่อยอดนิทรรศการKeep soil alive, protect soil biodiversityรักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดินและนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37499
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวเปิดตัวแอป "U-NAI" (อยู่ไหน) ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคนหายได้อย่างรวดเร็ว
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวเปิดตัวแอป "U-NAI" (อยู่ไหน) ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคนหายได้อย่างรวดเร็ว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตํารวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน U-NAI (อยู่ไหน)
ในวันพุธที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตํารวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน U-NAI (อยู่ไหน) โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารส่วนราชการในสังกัด รวมถึงสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องรับรอง ชั้น ๒ อาคารที่ทําการกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ในการอํานวยความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยต้องการให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม โดยการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ซึ่งส่วนหนึ่งของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนคือ กรณีที่มีคนหาย คนนิรนาม หรือศพนิรนาม สังคมมีคําถามว่ามีการติดตามคนหายอย่างไร หรือมีหน่วยงานใดรับผิดชอบ หรือกรณีคนหาย ถูกฆาตกรรม และถูกลักพาตัว และพบศพในพื้นที่ที่ญาติไม่ทราบ และผู้ที่พบก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร อีกทั้งสภาพของศพไม่สามารถบ่งบอกเพศและบอกไม่ได้ว่าเป็นใครทําให้ยากต่อการสืบสวนติดตามผู้ที่ถูกฆาตกรรม ดังนั้น การพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน "U-NAI" ถือเป็นกลไกที่มีมาตรฐานทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลคนหาย และเข้าถึงงานบริการของภาครัฐได้อย่างเสมอภาค เท่าเทียม โดยสามารถค้นหาคนหาย แจ้งคนหายได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งยังสามารถแชร์ภาพและข้อมูลของคนหายไปยังสื่อสังคมออนไลน์ และติดตามสถานะคดีได้ตลอดเวลาด้วย
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้รับแจ้งคนสูญหาย จํานวน ๓,๑๗๐ ราย คนนิรนาม จํานวน ๑,๕๐๒ ราย และศพนิรนาม จํานวน ๕,๓๖๐ ศพ ซึ่งแอปพลิเคชัน "U-NAI" จะช่วยติดตามคนหายได้ เช่น กรณีนายสยาม ธีรวุฒิ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมทางการเมืองที่หายตัวไป ขณะนี้ไม่ทราบว่าหายที่ไหน อย่างไร โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้มีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้องไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะใช้แอป "U-NAI" เป็นข้อมูลในการติดตามจนกว่าจะพบ
อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงยุติธรรมต้องการพัฒนางานด้านต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรได้อย่างเสมอภาค เท่าเทียม และสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การพัฒนาแอปพลิเคชั่น "U-NAI" จะมีการออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อรองรับการทํางาน ซึ่งจากการทดลองใช้งานก็มีผลในระดับที่น่าพอใจ โดยวันนี้กระทรวงยุติธรรมได้เปิดใช้งาน "U-NAI" อย่างเป็นทางการ ซึ่งประชาชนทุกคนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น "U-NAI" (อยู่ไหน) ได้แล้ววันนี้ที่ Google Play และ App Store
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวเปิดตัวแอป "U-NAI" (อยู่ไหน) ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคนหายได้อย่างรวดเร็ว
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวเปิดตัวแอป "U-NAI" (อยู่ไหน) ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคนหายได้อย่างรวดเร็ว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตํารวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน U-NAI (อยู่ไหน)
ในวันพุธที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตํารวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน U-NAI (อยู่ไหน) โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารส่วนราชการในสังกัด รวมถึงสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องรับรอง ชั้น ๒ อาคารที่ทําการกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ในการอํานวยความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยต้องการให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม โดยการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ซึ่งส่วนหนึ่งของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนคือ กรณีที่มีคนหาย คนนิรนาม หรือศพนิรนาม สังคมมีคําถามว่ามีการติดตามคนหายอย่างไร หรือมีหน่วยงานใดรับผิดชอบ หรือกรณีคนหาย ถูกฆาตกรรม และถูกลักพาตัว และพบศพในพื้นที่ที่ญาติไม่ทราบ และผู้ที่พบก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร อีกทั้งสภาพของศพไม่สามารถบ่งบอกเพศและบอกไม่ได้ว่าเป็นใครทําให้ยากต่อการสืบสวนติดตามผู้ที่ถูกฆาตกรรม ดังนั้น การพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน "U-NAI" ถือเป็นกลไกที่มีมาตรฐานทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลคนหาย และเข้าถึงงานบริการของภาครัฐได้อย่างเสมอภาค เท่าเทียม โดยสามารถค้นหาคนหาย แจ้งคนหายได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งยังสามารถแชร์ภาพและข้อมูลของคนหายไปยังสื่อสังคมออนไลน์ และติดตามสถานะคดีได้ตลอดเวลาด้วย
นายสมศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้รับแจ้งคนสูญหาย จํานวน ๓,๑๗๐ ราย คนนิรนาม จํานวน ๑,๕๐๒ ราย และศพนิรนาม จํานวน ๕,๓๖๐ ศพ ซึ่งแอปพลิเคชัน "U-NAI" จะช่วยติดตามคนหายได้ เช่น กรณีนายสยาม ธีรวุฒิ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมทางการเมืองที่หายตัวไป ขณะนี้ไม่ทราบว่าหายที่ไหน อย่างไร โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้มีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้องไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะใช้แอป "U-NAI" เป็นข้อมูลในการติดตามจนกว่าจะพบ
อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงยุติธรรมต้องการพัฒนางานด้านต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรได้อย่างเสมอภาค เท่าเทียม และสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การพัฒนาแอปพลิเคชั่น "U-NAI" จะมีการออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อรองรับการทํางาน ซึ่งจากการทดลองใช้งานก็มีผลในระดับที่น่าพอใจ โดยวันนี้กระทรวงยุติธรรมได้เปิดใช้งาน "U-NAI" อย่างเป็นทางการ ซึ่งประชาชนทุกคนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น "U-NAI" (อยู่ไหน) ได้แล้ววันนี้ที่ Google Play และ App Store
************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37517
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. สร้างมืออาชีพช่วยขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงาน ให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
กสร. สร้างมืออาชีพช่วยขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงาน ให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
กสร. พัฒนาความรู้ และทักษะให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านแผนงานช่วยให้เป็นมืออาชีพในการกําหนดแผนงาน โครงการ และกิจกรรมการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงานให้สอดคล้อง และบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของกระทรวงแรงงานให้บรรลุผลสําเร็จได้ ภารกิจด้านการคุ้มครองแรงงานที่ส่งผลให้ลูกจ้างทั้งแรงงานไทย และแรงงานข้ามชาติให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้นั้น ย่อมมาจากการขับเคลื่อนของบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการเขียนแผนงานโครงการให้เชื่อมโยงกับ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงนโยบายต่าง ๆ ทั้งของรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้ยังต้องมีความรู้ ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทํางบประมาณ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่จะดําเนินการ
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมได้จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ด้านแรงงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ขึ้น โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านแผนงานของกรม มาพัฒนาความรู้ ทักษะ เพิ่มสมรรถนะให้เป็นมืออาชีพในการเขียนโครงการขับเคลื่อนภารกิจด้านคุ้มครองแรงงานเพื่อให้หน่วยปฏิบัตินําไปดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยปราศจากการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย และการค้ามนุษย์ด้านแรงงานทุกรูปแบบ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. สร้างมืออาชีพช่วยขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงาน ให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
กสร. สร้างมืออาชีพช่วยขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงาน ให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
กสร. พัฒนาความรู้ และทักษะให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านแผนงานช่วยให้เป็นมืออาชีพในการกําหนดแผนงาน โครงการ และกิจกรรมการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงานให้สอดคล้อง และบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของกระทรวงแรงงานให้บรรลุผลสําเร็จได้ ภารกิจด้านการคุ้มครองแรงงานที่ส่งผลให้ลูกจ้างทั้งแรงงานไทย และแรงงานข้ามชาติให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้นั้น ย่อมมาจากการขับเคลื่อนของบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการเขียนแผนงานโครงการให้เชื่อมโยงกับ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงนโยบายต่าง ๆ ทั้งของรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้ยังต้องมีความรู้ ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทํางบประมาณ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่จะดําเนินการ
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมได้จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ด้านแรงงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ขึ้น โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านแผนงานของกรม มาพัฒนาความรู้ ทักษะ เพิ่มสมรรถนะให้เป็นมืออาชีพในการเขียนโครงการขับเคลื่อนภารกิจด้านคุ้มครองแรงงานเพื่อให้หน่วยปฏิบัตินําไปดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยปราศจากการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย และการค้ามนุษย์ด้านแรงงานทุกรูปแบบ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37486
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง และการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง และการกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
ตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐนั้น และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ได้ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ นั้น และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน กรมบัญชีกลางจึงได้กําหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลางและการกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ สําหรับผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คุณสมบัติของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่สามารถยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
1. ประเภทคุณสมบัติทั่วไปและคุณสมบัติเฉพาะ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ทุกแห่ง ยกเว้นหน่วยงานของรัฐ จํานวน 6 แห่ง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทรัพยากรน้ํา และกรมเจ้าท่า
2. ประเภทคุณสมบัติทั่วไป คุณสมบัติเฉพาะ และคุณสมบัติเฉพาะอื่น ๆ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ทุกแห่ง รวมทั้งหน่วยงานของรัฐ จํานวน 6 แห่ง ตามข้อ 1
วิธีการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
1. วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ในกรณีที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีใบทะเบียนฯ ตรงตามสาขางานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกําหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) จะแนบใบทะเบียนดิจิทัล (Digital Certificate) ของผู้ประกอบการในสาขางานนั้นให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ประกอบการไม่ต้องแนบไฟล์ (File) ใบทะเบียนฯ ประกอบการยื่นข้อเสนอแต่อย่างใด
2. วิธีสอบราคา วิธีคัดเลือก และวิธีเฉพาะเจาะจง ผู้ประกอบการงานก่อสร้างสามารถสั่งพิมพ์ใบทะเบียนฯ ในระบบ e-GP ตามสาขางานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกําหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น เพื่อนําไปยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
3. กรณีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ประสงค์จะยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในนามกิจการร่วมค้า จะต้องมีคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมค้าหลักเป็นผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนตรงตามสาขา และชั้นของงานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกําหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น
“สําหรับรายละเอียดขั้นตอนการดําเนินการของหน่วยงานของรัฐ และการกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอและการนําใบทะเบียนฯ ไปยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ นั้น สามารถ Download ได้ที่ www.gprocurement.go.th หัวข้อคู่มือ/คู่มือสําหรับหน่วยงานของรัฐ/ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างในระบบ e-GP ส่วนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง Download ได้ที่ หัวข้อคู่มือ/คู่มือสําหรับผู้ค้ากับภาครัฐ/คู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ งานก่อสร้าง หรือ Download ได้ที่ CGD Application และหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง และการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง และการกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
ตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐนั้น และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ได้ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ นั้น และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน กรมบัญชีกลางจึงได้กําหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลางและการกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ สําหรับผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คุณสมบัติของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่สามารถยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
1. ประเภทคุณสมบัติทั่วไปและคุณสมบัติเฉพาะ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ทุกแห่ง ยกเว้นหน่วยงานของรัฐ จํานวน 6 แห่ง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทรัพยากรน้ํา และกรมเจ้าท่า
2. ประเภทคุณสมบัติทั่วไป คุณสมบัติเฉพาะ และคุณสมบัติเฉพาะอื่น ๆ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ทุกแห่ง รวมทั้งหน่วยงานของรัฐ จํานวน 6 แห่ง ตามข้อ 1
วิธีการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
1. วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ในกรณีที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีใบทะเบียนฯ ตรงตามสาขางานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกําหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) จะแนบใบทะเบียนดิจิทัล (Digital Certificate) ของผู้ประกอบการในสาขางานนั้นให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ประกอบการไม่ต้องแนบไฟล์ (File) ใบทะเบียนฯ ประกอบการยื่นข้อเสนอแต่อย่างใด
2. วิธีสอบราคา วิธีคัดเลือก และวิธีเฉพาะเจาะจง ผู้ประกอบการงานก่อสร้างสามารถสั่งพิมพ์ใบทะเบียนฯ ในระบบ e-GP ตามสาขางานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกําหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น เพื่อนําไปยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
3. กรณีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ประสงค์จะยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในนามกิจการร่วมค้า จะต้องมีคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมค้าหลักเป็นผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนตรงตามสาขา และชั้นของงานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกําหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น
“สําหรับรายละเอียดขั้นตอนการดําเนินการของหน่วยงานของรัฐ และการกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอและการนําใบทะเบียนฯ ไปยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ นั้น สามารถ Download ได้ที่ www.gprocurement.go.th หัวข้อคู่มือ/คู่มือสําหรับหน่วยงานของรัฐ/ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างในระบบ e-GP ส่วนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง Download ได้ที่ หัวข้อคู่มือ/คู่มือสําหรับผู้ค้ากับภาครัฐ/คู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ งานก่อสร้าง หรือ Download ได้ที่ CGD Application และหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37487
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด
จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด
9 ธันวาคม 2563
เวลา 9.30 น.นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้แจ้งชาวนาหรือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกรณีประกาศกระทรวงพาณิชย์ล่าสุด ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 63 อนุมัติให้ปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการจากที่อนุมัติไว้เบื้องต้น จํานวน 18,096 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 28,711 ล้านบาท เป็น 46,807 ล้านบาท
ดังนั้นสําหรับเกษตรกรที่แจ้งวันที่คาดว่าเก็บเกี่ยวในช่วงวันที่ 15 - 29 พ.ย.2563 (งวดที่ 2 บางส่วน งวดที่ 3, 4) ซึ่งยังไม่ได้รับเงินชดเชย จํานวน 2.22 ล้านครัวเรือน ขอแจ้งให้ทราบว่า ธ.ก.ส.จะโอนเงินให้เกษตรกรกลุ่มดังกล่าวเป็นเงิน จํานวน 20,218 ล้านบาท ในวันนี้ คือ วันที่ 9 ธ.ค. 2563
ส่วนงวด ที่ 5 จะโอนประมาณวันจันทร์ 14 ธันวาคม 2563 เนื่องจากประชุมอนุเกณฑ์กลางอ้างอิงประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 แล้ว ธ.ก.ส. จะโอนเงินใน 3 วันทําการหลังจากประชุม ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า โดยประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องกําหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563 / 2564 งวดที่ 5 สําหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายนถึง 6 ธันวาคม 2563 ราคาเกณฑ์กลางต่อตันช่วงนี้คือ เข้าหอมมะลิ 12,232.86 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 11,726 .91 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 9,189.93 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 10,079.73 บาทข้าวเปลือกเหนียว 11,213.54 บาท
เนื่องจากข้าวเปลือกหอมมะลิ ประกันรายได้ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 2,767 บาท จึงได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 38,739 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ประกันรายได้ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 2,273 บาทได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 36,369 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ประกันรายได้ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 810 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 24,302 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ประกันรายได้ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 920 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 23,006 บาท และ ข้าวเหนียวประกันรายได้ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 786 บาท จะได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 12,583 บาท
" ทั้งนี้ชาวนาจะได้ส่วนต่างจํานวนเท่าใดขึ้นอยู่กับปริมาณการแจ้งปลูกไว้ตอนขึ้นทะเบียนและการจ่ายก็ไม่เกินจํานวนตันที่รัฐระบุไว้ สําหรับงวดนี้มีเกษตรกรได้รับชดเชยตามข้อมูลที่ลงทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จํานวน 300,227 ครัวเรือน สําหรับประกันรายได้ชานนา หรือประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวปี 2 นี้นั้น เริ่มจ่ายส่วนต่างมาร่วมเดือนแล้ว โดยงวดที่1 จ่ายเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 มาแล้วจากนั้นทะยอยจ่ายทุกสัปดาห์และเริ่มจ่ายหลังจากเก็บเกี่ยวตามเวลาเก็บเกี่ยวที่ไว้ " ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด
จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด
9 ธันวาคม 2563
เวลา 9.30 น.นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้แจ้งชาวนาหรือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกรณีประกาศกระทรวงพาณิชย์ล่าสุด ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 63 อนุมัติให้ปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการจากที่อนุมัติไว้เบื้องต้น จํานวน 18,096 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 28,711 ล้านบาท เป็น 46,807 ล้านบาท
ดังนั้นสําหรับเกษตรกรที่แจ้งวันที่คาดว่าเก็บเกี่ยวในช่วงวันที่ 15 - 29 พ.ย.2563 (งวดที่ 2 บางส่วน งวดที่ 3, 4) ซึ่งยังไม่ได้รับเงินชดเชย จํานวน 2.22 ล้านครัวเรือน ขอแจ้งให้ทราบว่า ธ.ก.ส.จะโอนเงินให้เกษตรกรกลุ่มดังกล่าวเป็นเงิน จํานวน 20,218 ล้านบาท ในวันนี้ คือ วันที่ 9 ธ.ค. 2563
ส่วนงวด ที่ 5 จะโอนประมาณวันจันทร์ 14 ธันวาคม 2563 เนื่องจากประชุมอนุเกณฑ์กลางอ้างอิงประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 แล้ว ธ.ก.ส. จะโอนเงินใน 3 วันทําการหลังจากประชุม ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า โดยประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องกําหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563 / 2564 งวดที่ 5 สําหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายนถึง 6 ธันวาคม 2563 ราคาเกณฑ์กลางต่อตันช่วงนี้คือ เข้าหอมมะลิ 12,232.86 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 11,726 .91 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 9,189.93 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 10,079.73 บาทข้าวเปลือกเหนียว 11,213.54 บาท
เนื่องจากข้าวเปลือกหอมมะลิ ประกันรายได้ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 2,767 บาท จึงได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 38,739 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ประกันรายได้ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 2,273 บาทได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 36,369 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ประกันรายได้ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 810 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 24,302 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ประกันรายได้ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 920 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 23,006 บาท และ ข้าวเหนียวประกันรายได้ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 786 บาท จะได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 12,583 บาท
" ทั้งนี้ชาวนาจะได้ส่วนต่างจํานวนเท่าใดขึ้นอยู่กับปริมาณการแจ้งปลูกไว้ตอนขึ้นทะเบียนและการจ่ายก็ไม่เกินจํานวนตันที่รัฐระบุไว้ สําหรับงวดนี้มีเกษตรกรได้รับชดเชยตามข้อมูลที่ลงทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จํานวน 300,227 ครัวเรือน สําหรับประกันรายได้ชานนา หรือประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวปี 2 นี้นั้น เริ่มจ่ายส่วนต่างมาร่วมเดือนแล้ว โดยงวดที่1 จ่ายเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 มาแล้วจากนั้นทะยอยจ่ายทุกสัปดาห์และเริ่มจ่ายหลังจากเก็บเกี่ยวตามเวลาเก็บเกี่ยวที่ไว้ " ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37495
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน กำหนดส่งแรงงานไทยกว่าพันคน ทำงานภาคเกษตร รัฐอิสราเอลส่งท้ายปี 63
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
กรมการจัดหางาน กําหนดส่งแรงงานไทยกว่าพันคน ทํางานภาคเกษตร รัฐอิสราเอลส่งท้ายปี 63
วันที่ 9 ธันวาคม 2563 กรมการจัดหางาน จัดส่งแรงงานไทย จํานวน 264 คน เดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)”
เตรียมทยอยเดินทางภายในสิ้นปีนี้อีกกว่า 800 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสิ้น 2,000 คน
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย รัฐบาลอิสราเอลได้แจ้งความต้องการให้แรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตร จํานวน 2,000 คน โดยกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จํานวน 858 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลําพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกําหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น และเตรียมทยอยเดินทางไปอีกในวันที่ 17 และ 24 ธันวาคม 2563 ประมาณ 800 คน
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถือว่าแรงงานที่เดินทางไปทํางานต่างประเทศ เป็นผู้นํารายได้เข้าสู่ประเทศ เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถนําทักษะประสบการณ์การทํางานที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกพบความยากลําบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ยิ่งย้ําให้เห็นว่าแรงงานไทยมีทักษะเป็นที่ต้องการ รวมทั้งประเทศไทยมีนโยบายการบริหารจัดการโรคโควิด-19 เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
สําหรับโครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทํางาน ตามข้อกําหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น)
ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทํางานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน กำหนดส่งแรงงานไทยกว่าพันคน ทำงานภาคเกษตร รัฐอิสราเอลส่งท้ายปี 63
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
กรมการจัดหางาน กําหนดส่งแรงงานไทยกว่าพันคน ทํางานภาคเกษตร รัฐอิสราเอลส่งท้ายปี 63
วันที่ 9 ธันวาคม 2563 กรมการจัดหางาน จัดส่งแรงงานไทย จํานวน 264 คน เดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)”
เตรียมทยอยเดินทางภายในสิ้นปีนี้อีกกว่า 800 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสิ้น 2,000 คน
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย รัฐบาลอิสราเอลได้แจ้งความต้องการให้แรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตร จํานวน 2,000 คน โดยกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จํานวน 858 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลําพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกําหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น และเตรียมทยอยเดินทางไปอีกในวันที่ 17 และ 24 ธันวาคม 2563 ประมาณ 800 คน
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถือว่าแรงงานที่เดินทางไปทํางานต่างประเทศ เป็นผู้นํารายได้เข้าสู่ประเทศ เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถนําทักษะประสบการณ์การทํางานที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกพบความยากลําบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ยิ่งย้ําให้เห็นว่าแรงงานไทยมีทักษะเป็นที่ต้องการ รวมทั้งประเทศไทยมีนโยบายการบริหารจัดการโรคโควิด-19 เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
สําหรับโครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทํางาน ตามข้อกําหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น)
ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทํางานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37488
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ มอบที่ปรึกษาฯ ส่ง 264 แรงงานไทยไปทำงานเกษตรในรัฐอิสราเอลเป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 63
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
‘สุชาติ’ มอบที่ปรึกษาฯ ส่ง 264 แรงงานไทยไปทํางานเกษตรในรัฐอิสราเอลเป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 63
‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ส่งแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล จํานวน 264 คน เป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 2563 สร้างโอกาสทํารายได้ให้ครอบครัว เผย นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศ นํา
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทํางานในภาคเกษตรที่รัฐอิสราเอลภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC)” สร้างรายได้ต่อหัวเดือนละ 48,073 บาท โดยมีนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ภายในท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยที่ปรึกษา รมว.แรงงานกล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสําคัญกับการจัดส่งแรงงานแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งในปี 2564 ประเทศไทยมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศ 100,000 คน โดยในแต่ละปีจะมีรายได้ส่งกลับประเทศกว่า 140,000 ล้านบาท จากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทําให้ต้องชะลอการจัดส่งแรงงานไปทํางานต่างประเทศ จนถึงปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายลง เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้ และในวันนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จัดส่งแรงงานไทย จํานวน 264 คน เป็นชาย 257 คน หญิง 7 คน เดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)” และเตรียมทยอยเดินทางภายในสิ้นปีนี้อีกกว่า 800 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสิ้น 2,000 คน
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถือว่าแรงงานที่เดินทางไปทํางานต่างประเทศ เป็นผู้นํารายได้เข้าสู่ประเทศ เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถนําทักษะประสบการณ์การทํางานที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกพบความยากลําบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ยิ่งย้ําให้เห็นว่าแรงงานไทยมีทักษะเป็นที่ต้องการ รวมทั้งประเทศไทยมีนโยบายการบริหารจัดการโรคโควิด-19 เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
นางธิวัลรัตน์กล่าวกับแรงงานไทยที่จะเดินทางไปอิสราเอลว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ฝากความห่วงใยมายังแรงงานไทยทุกคนที่จะเดินทางไปทํางานในประเทศอิสราเอล โดยขอให้ศึกษากฎหมายวัฒนธรรมประเพณีของประเทศอิสราเอล ที่สําคัญให้หลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อบายมุข เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทําให้เสียงานได้ เนื่องจากกฎหมายของประเทศอิสราเอลมีการลงโทษที่รุนแรง นอกจากนี้ขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศ รู้จักเก็บออมเพื่อนํารายได้ส่งกลับให้ครอบครับ รวมทั้งให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ จะได้รับการสงเคราะห์และช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาในต่างประเทศ ตามอัตราที่กองทุนฯ กําหนด และเน้นย้ําให้แรงงานไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่ทางการกําหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 อีกด้วย ทั้งนี้รัฐบาลอิสราเอลได้แจ้งความต้องการให้แรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตร จํานวน 2,000 คน โดยกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จํานวน 858 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลําพิเศษ สายการบิน El Al เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกําหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น และเตรียมทยอยเดินทางไปอีกในวันที่ 17 และ 24 ธันวาคม 2563 ประมาณ 800 คน
สําหรับโครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทํางาน ตามข้อกําหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น)
ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทํางานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ มอบที่ปรึกษาฯ ส่ง 264 แรงงานไทยไปทำงานเกษตรในรัฐอิสราเอลเป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 63
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
‘สุชาติ’ มอบที่ปรึกษาฯ ส่ง 264 แรงงานไทยไปทํางานเกษตรในรัฐอิสราเอลเป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 63
‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ส่งแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล จํานวน 264 คน เป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 2563 สร้างโอกาสทํารายได้ให้ครอบครัว เผย นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศ นํา
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทํางานในภาคเกษตรที่รัฐอิสราเอลภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC)” สร้างรายได้ต่อหัวเดือนละ 48,073 บาท โดยมีนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ภายในท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยที่ปรึกษา รมว.แรงงานกล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสําคัญกับการจัดส่งแรงงานแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งในปี 2564 ประเทศไทยมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศ 100,000 คน โดยในแต่ละปีจะมีรายได้ส่งกลับประเทศกว่า 140,000 ล้านบาท จากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทําให้ต้องชะลอการจัดส่งแรงงานไปทํางานต่างประเทศ จนถึงปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายลง เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้ และในวันนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จัดส่งแรงงานไทย จํานวน 264 คน เป็นชาย 257 คน หญิง 7 คน เดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)” และเตรียมทยอยเดินทางภายในสิ้นปีนี้อีกกว่า 800 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสิ้น 2,000 คน
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถือว่าแรงงานที่เดินทางไปทํางานต่างประเทศ เป็นผู้นํารายได้เข้าสู่ประเทศ เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถนําทักษะประสบการณ์การทํางานที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกพบความยากลําบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ยิ่งย้ําให้เห็นว่าแรงงานไทยมีทักษะเป็นที่ต้องการ รวมทั้งประเทศไทยมีนโยบายการบริหารจัดการโรคโควิด-19 เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
นางธิวัลรัตน์กล่าวกับแรงงานไทยที่จะเดินทางไปอิสราเอลว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ฝากความห่วงใยมายังแรงงานไทยทุกคนที่จะเดินทางไปทํางานในประเทศอิสราเอล โดยขอให้ศึกษากฎหมายวัฒนธรรมประเพณีของประเทศอิสราเอล ที่สําคัญให้หลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อบายมุข เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทําให้เสียงานได้ เนื่องจากกฎหมายของประเทศอิสราเอลมีการลงโทษที่รุนแรง นอกจากนี้ขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศ รู้จักเก็บออมเพื่อนํารายได้ส่งกลับให้ครอบครับ รวมทั้งให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ จะได้รับการสงเคราะห์และช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาในต่างประเทศ ตามอัตราที่กองทุนฯ กําหนด และเน้นย้ําให้แรงงานไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่ทางการกําหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 อีกด้วย ทั้งนี้รัฐบาลอิสราเอลได้แจ้งความต้องการให้แรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตร จํานวน 2,000 คน โดยกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จํานวน 858 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลําพิเศษ สายการบิน El Al เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกําหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น และเตรียมทยอยเดินทางไปอีกในวันที่ 17 และ 24 ธันวาคม 2563 ประมาณ 800 คน
สําหรับโครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทํางาน ตามข้อกําหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น)
ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทํางานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37494
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้
|
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้
จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้
8 ธันวาคม 2563 เวลา 13.00 น. ที่ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็น ประกันรายได้ยางพารา ซึ่งมีเกษตรกรได้สอบถามมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ว่าสําหรับผู้ถือบัตรสีชมพูจะสามารถได้รับเงินส่วนต่างหรือไม่นั้น วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอ ซึ่งมีผลชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่จะได้รับเงินส่วนต่างจะมีทั้งเกษตรกรชาวสวนยางที่ถือบัตรสีเขียว และที่ถือบัตรสีชมพูด้วย โดยผู้ถือบัตรสีเขียวมีประมาณ 9.6 แสนราย ส่วนผู้ถือบัตรสีชมพู จะมีประมาณ 3.4 แสนราย รวมแล้วจะมีเกษตรกรชาวสวนยางที่จะได้รับเงินส่วนต่างประมาณ 1.3 ล้านรายทั่วประเทศจากทุกภาค
การจ่ายเงินส่วนต่างจะแบ่งเป็น 6 งวด เดือนละ 1 งวด โดยจะเริ่มจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ส่วนเงินส่วนต่างที่ได้มีการคํานวนออกมาสําหรับงวดแรกนั้นก็จะเป็นดังนี้ คือ น้ํายางข้น จะมีเงินส่วนต่าง กก.ละ 4.14 บาท ยางก้อนถ้วย ได้ กก.ละ 3.19 บาท ส่วนยางแผ่นดิบ จะไม่มีเงินส่วนต่างเพราะขณะนี้ราคายางแผ่นดิบทะลุเลย 60 บาทเลยเพดานประกันรายได้ไปแล้ว โดยราคาที่เป็นทางการเมื่อวานนี้ ยางแผ่นดิบชั้น 3 กก.ละ 65 บาท ชาวสวนได้ประโยชน์
สําหรับภาพรวมทั้งหมดของเงินส่วนต่างงวดแรกรวม 1,789 ล้านบาท ซึ่งราคายางในปัจจุบันถือว่ากระเตื้องดีขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว เพราะปีที่ผ่านมา ราคายางแผ่นดิบโดยเฉลี่ย กก.ละ 40 บาท แต่ช่วงเวลานี้มีราคาทรงตัวมาหลายสัปดาห์แล้ว โดยเพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 60 กว่าบาท ส่วนราคาน้ํายาง กก.ละ 55-57 บาท ยางก้อนถ้วยราคาวานนี้ กก.ละ 21.25 บาท บางช่วงมีราคา 22-23 บาท ซึ่งถือว่าราคายางในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
อย่างไรก็ตาม การยางแห่งประเทศไทยรายงานว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะ Kick off จ่ายเงินส่วนต่างพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 11 ธันวาคม 2563 เวลา 10.30 น.โดยจะมีการจัดงานที่อําเภอท้ายเหมืองจังหวัดพังงา ด้วย ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการรับรู้ประชาชนและเกษตรกรชาวสวนยาง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้
จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้
8 ธันวาคม 2563 เวลา 13.00 น. ที่ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็น ประกันรายได้ยางพารา ซึ่งมีเกษตรกรได้สอบถามมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ว่าสําหรับผู้ถือบัตรสีชมพูจะสามารถได้รับเงินส่วนต่างหรือไม่นั้น วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอ ซึ่งมีผลชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่จะได้รับเงินส่วนต่างจะมีทั้งเกษตรกรชาวสวนยางที่ถือบัตรสีเขียว และที่ถือบัตรสีชมพูด้วย โดยผู้ถือบัตรสีเขียวมีประมาณ 9.6 แสนราย ส่วนผู้ถือบัตรสีชมพู จะมีประมาณ 3.4 แสนราย รวมแล้วจะมีเกษตรกรชาวสวนยางที่จะได้รับเงินส่วนต่างประมาณ 1.3 ล้านรายทั่วประเทศจากทุกภาค
การจ่ายเงินส่วนต่างจะแบ่งเป็น 6 งวด เดือนละ 1 งวด โดยจะเริ่มจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ส่วนเงินส่วนต่างที่ได้มีการคํานวนออกมาสําหรับงวดแรกนั้นก็จะเป็นดังนี้ คือ น้ํายางข้น จะมีเงินส่วนต่าง กก.ละ 4.14 บาท ยางก้อนถ้วย ได้ กก.ละ 3.19 บาท ส่วนยางแผ่นดิบ จะไม่มีเงินส่วนต่างเพราะขณะนี้ราคายางแผ่นดิบทะลุเลย 60 บาทเลยเพดานประกันรายได้ไปแล้ว โดยราคาที่เป็นทางการเมื่อวานนี้ ยางแผ่นดิบชั้น 3 กก.ละ 65 บาท ชาวสวนได้ประโยชน์
สําหรับภาพรวมทั้งหมดของเงินส่วนต่างงวดแรกรวม 1,789 ล้านบาท ซึ่งราคายางในปัจจุบันถือว่ากระเตื้องดีขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว เพราะปีที่ผ่านมา ราคายางแผ่นดิบโดยเฉลี่ย กก.ละ 40 บาท แต่ช่วงเวลานี้มีราคาทรงตัวมาหลายสัปดาห์แล้ว โดยเพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 60 กว่าบาท ส่วนราคาน้ํายาง กก.ละ 55-57 บาท ยางก้อนถ้วยราคาวานนี้ กก.ละ 21.25 บาท บางช่วงมีราคา 22-23 บาท ซึ่งถือว่าราคายางในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
อย่างไรก็ตาม การยางแห่งประเทศไทยรายงานว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะ Kick off จ่ายเงินส่วนต่างพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 11 ธันวาคม 2563 เวลา 10.30 น.โดยจะมีการจัดงานที่อําเภอท้ายเหมืองจังหวัดพังงา ด้วย ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการรับรู้ประชาชนและเกษตรกรชาวสวนยาง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37490
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙”
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙”
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙”
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙” โดยมี นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ศิลปินแห่งชาติ แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมพิธี ณ อาคารนิทรรศการ ๓ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร จัดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙” โดยจัดแสดงผลงานชิ้นเยี่ยมของศิลปินชั้นครู ศิลปินแห่งชาติ และศิลปินที่มีชื่อเสียงของไทย อาทิ เฟื้อ หริพิทักษ์, พิมาน มูลประมุข, ชิต เหรียญประชา, จํารัส เกียรติก้อง, บัณจบ พลาวงศ์ โดยเป็นผลงานที่อยู่ในความครอบครองของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป และผลงานที่ได้รับความอนุเคราะห์ให้ยืม รวมถึงผลงานที่ได้รับมอบจากหน่วยงาน องค์กร และบุคคล รวมถึงศิลปิน จํานวน ๘๒ ชิ้น นํามาจัดแสดงในส่วนห้องนิทรรศการที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ตามมาตรฐานสากล โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป วันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ อาคารนิทรรศการ ๓ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙”
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙”
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙”
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙” โดยมี นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ศิลปินแห่งชาติ แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมพิธี ณ อาคารนิทรรศการ ๓ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร จัดนิทรรศการ “ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๙” โดยจัดแสดงผลงานชิ้นเยี่ยมของศิลปินชั้นครู ศิลปินแห่งชาติ และศิลปินที่มีชื่อเสียงของไทย อาทิ เฟื้อ หริพิทักษ์, พิมาน มูลประมุข, ชิต เหรียญประชา, จํารัส เกียรติก้อง, บัณจบ พลาวงศ์ โดยเป็นผลงานที่อยู่ในความครอบครองของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป และผลงานที่ได้รับความอนุเคราะห์ให้ยืม รวมถึงผลงานที่ได้รับมอบจากหน่วยงาน องค์กร และบุคคล รวมถึงศิลปิน จํานวน ๘๒ ชิ้น นํามาจัดแสดงในส่วนห้องนิทรรศการที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ตามมาตรฐานสากล โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป วันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ อาคารนิทรรศการ ๓ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37734
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ติดตามผู้สัมผัสเคสสมุทรสาคร
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
สธ. ติดตามผู้สัมผัสเคสสมุทรสาคร
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามผู้สัมผัสกรณีหญิงติดเชื้อโควิด 19 ที่ตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร 165 ราย พบคนในครอบครัวติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ที่เหลือรอผลตรวจ ปิดตลาดกุ้ง 1 และ 2 ทําความสะอาด 3 วัน ทีมสอบสวนค้นหาผู้สัมผัสเพิ่ม
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามผู้สัมผัสกรณีหญิงติดเชื้อโควิด 19 ที่ตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร 165 ราย พบคนในครอบครัวติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ที่เหลือรอผลตรวจ ปิดตลาดกุ้ง 1 และ 2 ทําความสะอาด 3 วัน ทีมสอบสวนค้นหาผู้สัมผัสเพิ่ม
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และความคืบหน้าการผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่จํานวน 16 ราย รักษาหายเพิ่ม 16 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,297 ราย หายป่วยสะสม 4,005 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 232 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย 5 ราย เมียนมา 4 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 2 ราย อินเดีย เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และตุรกี ประเทศละ 1 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ มีเพียง 1 รายมีอาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ สําหรับผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 67 ปี เจ้าของแพปลา จังหวัดสมุทรสาคร
ทั้งนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ป่วยสะสมรวม 75.2 ล้านราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7.21 แสนราย อาการรุนแรง 107,213 ราย เสียชีวิตรวม 1.66 ล้านราย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 17.6 ล้านราย อินเดีย 9.97 ล้านราย บราซิล 7.11 ล้านราย รัสเซีย 2.76 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.42 ล้านราย ส่วนทวีปเอเชียนั้น อินโดนีเซีย ปากีสถาน ญี่ปุ่น บังกลาเทศ มาเลเซียเมียนมา ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ยังมีผู้ป่วยรายใหม่เกิน 1 พันราย
สําหรับกรณีท่าขี้เหล็กมีผู้ป่วยรวม 71 ราย ระยะหลังเป็นผู้เดินทางเข้ามาสู่ระบบกักกัน รวมแล้ว 72 ราย ติดเชื้อในประเทศเพียง 2 ราย กรณีนี้ถือว่าไม่มีปัญหาแล้ว ประชาชนสามารถไปท่องเที่ยวได้ โดยคงมาตรการใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจากปฏิบัติงานใน ASQ รวม 7 ราย รายสุดท้ายรายงานเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 ผ่านมา 6 วันยังไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ดี ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ในการกักกันเฝ้าระวังอาการให้ครบ 14 วัน ถือว่าเหตุการณ์สงบลง และควบคุมโรคได้แล้ว และมีการดําเนินมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ํา
สําหรับการสอบสวนผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ในประเทศ เพศหญิงอายุ 67 ปี ทํางานที่ตลาดกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร มีอาการป่วย 13 ธันวาคม 2563 ปวดเมื่อย จมูกไม่ได้กลิ่น สอบถามประวัติย้อนหลัง 2 อาทิตย์ก่อนมีอาการป่วย ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ อยู่เฉพาะพื้นที่ขายของในตลาดกุ้งตั้งแต่ 6.00 -11.00 น. เมื่อเริ่มป่วยไปตรวจรักษา รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม เก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 ช่วงค่ํา ทราบผล 22.00 น. พบการติดเชื้อ และส่งตรวจยืนยันอีกครั้งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ผลออกมาตรงกัน จึงส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ รพ.สมุทรสาครในเวลา 02.30 น. และดําเนินการสอบสวนโรค เก็บตัวอย่างกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว จํานวน 165 คน แบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง 26 รายในจํานวนนี้ เป็นคนในครอบครัว 7 คน ตรวจพบติดเชื้อ 3 ราย คือพี่สาว มารดา น้องสะใภ้,กลุ่มที่ทํางานร่วมกันในแพปลาของผู้ป่วย 3 คน คือลูกชาย ตรวจไม่พบเชื้อ ลูกจ้างเมียนมา 2 คนจะทราบผลตรวจวันนี้, กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในรพ.เอกชน 8 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ และแรงงานในตลาดกุ้ง 8 คน รอผลการตรวจ ส่วนกลุ่มเสี่ยงต่ํา 139 คนเป็นแรงงานในตลาดกุ้ง ในจํานวนนี้เป็นคนไทย 14 คน และเมียนมา 125 คน รอผลการตรวจ และจะตรวจเพิ่มในกลุ่มแรงงานตลาดใกล้เคียง
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ขณะนี้ ทางจังหวัดได้สั่งปิดตลาดพื้นที่ที่พบผู้ป่วย 4 ราย เป็นเวลา 3 วัน ระดมทําความสะอาด ในส่วนของมาตรการป้องกันควบคุมโรค มีการตีวงสอบสวนค้นหาผู้สัมผัสและตรวจหาผู้ที่ติดเชื้อ สื่อสารประชาสัมพันธ์ เน้นย้ําป้องกันโรคส่วนบุคคล สวมหน้ากาก 100% ล้างมือ หลีกเลี่ยงไปในที่ชุมชนแออัด ขอให้ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง/ เสี่ยงต่ําอยู่ในสถานที่จํากัด สังเกตอาการป่วยโรคติดต่อทางเดินหายใจ เมื่อป่วยจะนําเข้าสู่การวินิจฉัยในโรงพยาบาลได้ทันที ขยายการเฝ้าระวังไปยัง ร้านขายยา คลินิก ในช่วงนี้ผู้มารับการตรวจรักษาทางเดินหายใจ ที่มีอาการไข้หวัด ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ก็จะทําการตรวจหาเชื้อโควิด รวมทั้งทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทํามาตรการพื้นที่ ทําความสะอาดทุกตลาด คัดกรองก่อนเข้าตลาด เว้นระยะห่าง จัดที่ล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์ สแกนไทยชนะและทําความสะอาดพื้นผิวบ่อย ๆ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ติดตามผู้สัมผัสเคสสมุทรสาคร
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
สธ. ติดตามผู้สัมผัสเคสสมุทรสาคร
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามผู้สัมผัสกรณีหญิงติดเชื้อโควิด 19 ที่ตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร 165 ราย พบคนในครอบครัวติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ที่เหลือรอผลตรวจ ปิดตลาดกุ้ง 1 และ 2 ทําความสะอาด 3 วัน ทีมสอบสวนค้นหาผู้สัมผัสเพิ่ม
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามผู้สัมผัสกรณีหญิงติดเชื้อโควิด 19 ที่ตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร 165 ราย พบคนในครอบครัวติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ที่เหลือรอผลตรวจ ปิดตลาดกุ้ง 1 และ 2 ทําความสะอาด 3 วัน ทีมสอบสวนค้นหาผู้สัมผัสเพิ่ม
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และความคืบหน้าการผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่จํานวน 16 ราย รักษาหายเพิ่ม 16 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,297 ราย หายป่วยสะสม 4,005 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 232 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย 5 ราย เมียนมา 4 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 2 ราย อินเดีย เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และตุรกี ประเทศละ 1 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ มีเพียง 1 รายมีอาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ สําหรับผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 67 ปี เจ้าของแพปลา จังหวัดสมุทรสาคร
ทั้งนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ป่วยสะสมรวม 75.2 ล้านราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7.21 แสนราย อาการรุนแรง 107,213 ราย เสียชีวิตรวม 1.66 ล้านราย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 17.6 ล้านราย อินเดีย 9.97 ล้านราย บราซิล 7.11 ล้านราย รัสเซีย 2.76 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.42 ล้านราย ส่วนทวีปเอเชียนั้น อินโดนีเซีย ปากีสถาน ญี่ปุ่น บังกลาเทศ มาเลเซียเมียนมา ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ยังมีผู้ป่วยรายใหม่เกิน 1 พันราย
สําหรับกรณีท่าขี้เหล็กมีผู้ป่วยรวม 71 ราย ระยะหลังเป็นผู้เดินทางเข้ามาสู่ระบบกักกัน รวมแล้ว 72 ราย ติดเชื้อในประเทศเพียง 2 ราย กรณีนี้ถือว่าไม่มีปัญหาแล้ว ประชาชนสามารถไปท่องเที่ยวได้ โดยคงมาตรการใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจากปฏิบัติงานใน ASQ รวม 7 ราย รายสุดท้ายรายงานเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 ผ่านมา 6 วันยังไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ถือว่าควบคุมสถานการณ์ได้ดี ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ในการกักกันเฝ้าระวังอาการให้ครบ 14 วัน ถือว่าเหตุการณ์สงบลง และควบคุมโรคได้แล้ว และมีการดําเนินมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ํา
สําหรับการสอบสวนผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ในประเทศ เพศหญิงอายุ 67 ปี ทํางานที่ตลาดกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร มีอาการป่วย 13 ธันวาคม 2563 ปวดเมื่อย จมูกไม่ได้กลิ่น สอบถามประวัติย้อนหลัง 2 อาทิตย์ก่อนมีอาการป่วย ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ อยู่เฉพาะพื้นที่ขายของในตลาดกุ้งตั้งแต่ 6.00 -11.00 น. เมื่อเริ่มป่วยไปตรวจรักษา รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม เก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 ช่วงค่ํา ทราบผล 22.00 น. พบการติดเชื้อ และส่งตรวจยืนยันอีกครั้งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ผลออกมาตรงกัน จึงส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ รพ.สมุทรสาครในเวลา 02.30 น. และดําเนินการสอบสวนโรค เก็บตัวอย่างกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว จํานวน 165 คน แบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง 26 รายในจํานวนนี้ เป็นคนในครอบครัว 7 คน ตรวจพบติดเชื้อ 3 ราย คือพี่สาว มารดา น้องสะใภ้,กลุ่มที่ทํางานร่วมกันในแพปลาของผู้ป่วย 3 คน คือลูกชาย ตรวจไม่พบเชื้อ ลูกจ้างเมียนมา 2 คนจะทราบผลตรวจวันนี้, กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในรพ.เอกชน 8 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ และแรงงานในตลาดกุ้ง 8 คน รอผลการตรวจ ส่วนกลุ่มเสี่ยงต่ํา 139 คนเป็นแรงงานในตลาดกุ้ง ในจํานวนนี้เป็นคนไทย 14 คน และเมียนมา 125 คน รอผลการตรวจ และจะตรวจเพิ่มในกลุ่มแรงงานตลาดใกล้เคียง
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ขณะนี้ ทางจังหวัดได้สั่งปิดตลาดพื้นที่ที่พบผู้ป่วย 4 ราย เป็นเวลา 3 วัน ระดมทําความสะอาด ในส่วนของมาตรการป้องกันควบคุมโรค มีการตีวงสอบสวนค้นหาผู้สัมผัสและตรวจหาผู้ที่ติดเชื้อ สื่อสารประชาสัมพันธ์ เน้นย้ําป้องกันโรคส่วนบุคคล สวมหน้ากาก 100% ล้างมือ หลีกเลี่ยงไปในที่ชุมชนแออัด ขอให้ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง/ เสี่ยงต่ําอยู่ในสถานที่จํากัด สังเกตอาการป่วยโรคติดต่อทางเดินหายใจ เมื่อป่วยจะนําเข้าสู่การวินิจฉัยในโรงพยาบาลได้ทันที ขยายการเฝ้าระวังไปยัง ร้านขายยา คลินิก ในช่วงนี้ผู้มารับการตรวจรักษาทางเดินหายใจ ที่มีอาการไข้หวัด ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ก็จะทําการตรวจหาเชื้อโควิด รวมทั้งทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทํามาตรการพื้นที่ ทําความสะอาดทุกตลาด คัดกรองก่อนเข้าตลาด เว้นระยะห่าง จัดที่ล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์ สแกนไทยชนะและทําความสะอาดพื้นผิวบ่อย ๆ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37729
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ชวนเที่ยว “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย ไปได้ทุกที่”
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมช.สาธิต ชวนเที่ยว “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย ไปได้ทุกที่”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” ไม่พบผู้ติดเชื้อ 261 วัน ย้ําระบบสาธารณสุขมีความพร้อม ตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง ขอประชาชนการ์ดไม่ตก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” ไม่พบผู้ติดเชื้อ 261 วัน ย้ําระบบสาธารณสุขมีความพร้อม ตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง ขอประชาชนการ์ดไม่ตก
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จ.แม่ฮ่องสอน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ตรวจเยี่ยมความพร้อมดูแลประชาชนในสถานการณ์โรคโควิด 19 จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ดร.สาธิตกล่าวว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ในพื้นที่กว่า 261 วัน และได้มีการเตรียมความพร้อมระบบสาธารณสุข ที่ผ่านมาได้มีการเฝ้าระวังตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเป้าหมายไปแล้วรวมกว่า 700 ราย อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ต้องขัง พนักงานขับรถ พนักงานประจํารถ และกลุ่มอื่นตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณา รวมทั้งแรงงานต่างด้าว การตรวจก่อนการทําหัตถการในโรงพยาบาล ทั้งหมดไม่พบการติดเชื้อ และในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2564 ได้วางแผนการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อเฝ้าระวังในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น แรงงานต่างด้าวในระบบ/ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตามแนวชายแดน, เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจํา และกลุ่มที่เข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว สําหรับความพร้อมของโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ ขณะนี้ปรับระบบบริการรักษาพยาบาลแบบ New Normal มีคลินิกตรวจเฉพาะโรคทางเดินหายใจ ห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ได้ 32 ตัวอย่างต่อวัน มีห้องแยก/ ห้องความดันลบ/ หอผู้ป่วยเฉพาะโรคโควิด 19 มีระบบรักษาทางไกลสําหรับผู้ป่วยที่ไม่จําเป็นต้องมาโรงพยาบาล เพื่อลดแออัด ลดความเสี่ยงการรับและแพร่กระจายเชื้อ
“ขอเชิญชวนคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” มั่นใจได้ว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มีมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันการติดเชื้อเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีหลายหน่วยงานร่วมกันสอดส่อง และมี อสม. เจ้าหน้าที่รพ.สต. เป็นกําลังสําคัญดูแลในชุมชน” ดร.สาธิตกล่าว
นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้กําหนด 6 มาตรการป้องกันโรคโควิด 19 โดยคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วยที่ด่าน สถานพยาบาล และในชุมชน, เตรียมความพร้อมระบบดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อ ทั้งห้องแยกโรค เครื่องช่วยหายใจ เตียง หอผู้ป่วยแยกโรค ห้องแล็บ บุคลากร และเตรียมสถานที่กักกันโรค (Local Quarantine) 2 แห่ง, ติดตามสถานการณ์ ดําเนินการเฝ้าระวังสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสโรค, การสื่อสารความเสี่ยงสถานการณ์รายวันทางไลน์กลุ่มและเฟสบุ๊คศูนย์ข้อมูลโควิด 19 แม่ฮ่องสอน ให้ข้อมูล คําแนะนําประชาชนทางโทรศัพท์, ใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย โดยออกคําสั่ง/ประกาศจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและควบคุมโรค เช่นการสั่งปิดจุดผ่อนปรนการค้าชั่วคราว 5 แห่งที่ยังมีผลบังคับใช้จนถึงขณะนี้ และมีระบบการประสานงานและจัดการข้อมูลโควิด 19 รายงานผลการดําเนินงานทุกวัน
*************************************** 18 ธันวาคม 2563
********************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ชวนเที่ยว “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย ไปได้ทุกที่”
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมช.สาธิต ชวนเที่ยว “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย ไปได้ทุกที่”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” ไม่พบผู้ติดเชื้อ 261 วัน ย้ําระบบสาธารณสุขมีความพร้อม ตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง ขอประชาชนการ์ดไม่ตก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชวนคนไทยเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” ไม่พบผู้ติดเชื้อ 261 วัน ย้ําระบบสาธารณสุขมีความพร้อม ตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง ขอประชาชนการ์ดไม่ตก
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จ.แม่ฮ่องสอน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ตรวจเยี่ยมความพร้อมดูแลประชาชนในสถานการณ์โรคโควิด 19 จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ดร.สาธิตกล่าวว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ในพื้นที่กว่า 261 วัน และได้มีการเตรียมความพร้อมระบบสาธารณสุข ที่ผ่านมาได้มีการเฝ้าระวังตรวจคัดกรองเชิงรุกกลุ่มเป้าหมายไปแล้วรวมกว่า 700 ราย อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ต้องขัง พนักงานขับรถ พนักงานประจํารถ และกลุ่มอื่นตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณา รวมทั้งแรงงานต่างด้าว การตรวจก่อนการทําหัตถการในโรงพยาบาล ทั้งหมดไม่พบการติดเชื้อ และในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2564 ได้วางแผนการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อเฝ้าระวังในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น แรงงานต่างด้าวในระบบ/ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตามแนวชายแดน, เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจํา และกลุ่มที่เข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว สําหรับความพร้อมของโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ ขณะนี้ปรับระบบบริการรักษาพยาบาลแบบ New Normal มีคลินิกตรวจเฉพาะโรคทางเดินหายใจ ห้องปฏิบัติการชีวโมเลกุล ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ได้ 32 ตัวอย่างต่อวัน มีห้องแยก/ ห้องความดันลบ/ หอผู้ป่วยเฉพาะโรคโควิด 19 มีระบบรักษาทางไกลสําหรับผู้ป่วยที่ไม่จําเป็นต้องมาโรงพยาบาล เพื่อลดแออัด ลดความเสี่ยงการรับและแพร่กระจายเชื้อ
“ขอเชิญชวนคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวปีใหม่ รับอากาศเย็น “แม่ฮ่องสอนปลอดภัย เที่ยวได้ทุกที่” มั่นใจได้ว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มีมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันการติดเชื้อเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีหลายหน่วยงานร่วมกันสอดส่อง และมี อสม. เจ้าหน้าที่รพ.สต. เป็นกําลังสําคัญดูแลในชุมชน” ดร.สาธิตกล่าว
นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้กําหนด 6 มาตรการป้องกันโรคโควิด 19 โดยคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วยที่ด่าน สถานพยาบาล และในชุมชน, เตรียมความพร้อมระบบดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อ ทั้งห้องแยกโรค เครื่องช่วยหายใจ เตียง หอผู้ป่วยแยกโรค ห้องแล็บ บุคลากร และเตรียมสถานที่กักกันโรค (Local Quarantine) 2 แห่ง, ติดตามสถานการณ์ ดําเนินการเฝ้าระวังสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสโรค, การสื่อสารความเสี่ยงสถานการณ์รายวันทางไลน์กลุ่มและเฟสบุ๊คศูนย์ข้อมูลโควิด 19 แม่ฮ่องสอน ให้ข้อมูล คําแนะนําประชาชนทางโทรศัพท์, ใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย โดยออกคําสั่ง/ประกาศจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและควบคุมโรค เช่นการสั่งปิดจุดผ่อนปรนการค้าชั่วคราว 5 แห่งที่ยังมีผลบังคับใช้จนถึงขณะนี้ และมีระบบการประสานงานและจัดการข้อมูลโควิด 19 รายงานผลการดําเนินงานทุกวัน
*************************************** 18 ธันวาคม 2563
********************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37728
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่ออัญเชิญไปในการประกอบกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ประจําปี ๒๕๖๔ โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมพิธี ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพฯ ทั้งนี้ วัฒนธรรมจังหวัดและผู้แทนจากสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมพิธีถวายสักการะอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานหน้าพระรูปสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่ออัญเชิญไปถวายแด่เจ้าคณะจังหวัดต่างๆ นําไปมอบแก่เจ้าอาวาสวัดที่จัดพิธีสวดมนต์ข้ามปีทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการประกอบพิธีระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ถึง ๑ มกราคม ๒๕๖๔
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่ออัญเชิญไปในการประกอบกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ประจําปี ๒๕๖๔ โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมพิธี ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพฯ ทั้งนี้ วัฒนธรรมจังหวัดและผู้แทนจากสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมพิธีถวายสักการะอัญเชิญไฟพระฤกษ์ประทานหน้าพระรูปสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่ออัญเชิญไปถวายแด่เจ้าคณะจังหวัดต่างๆ นําไปมอบแก่เจ้าอาวาสวัดที่จัดพิธีสวดมนต์ข้ามปีทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการประกอบพิธีระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ถึง ๑ มกราคม ๒๕๖๔
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37735
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หารือร่วมคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ วางแผนพัฒนาและสนับสนุนวัคซีนโควิด 19
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
สธ.หารือร่วมคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ วางแผนพัฒนาและสนับสนุนวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นชอบตั้งคณะทํางานร่วม 2 หน่วยงาน วางแผนการดําเนินงานพัฒนาและสนับสนุนวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA เพื่อทําข้อมูลเสนอ ครม.พิจารณา เบื้องต้นอาจทดลองเข็มแรกในม
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นชอบตั้งคณะทํางานร่วม 2 หน่วยงาน วางแผนการดําเนินงานพัฒนาและสนับสนุนวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA เพื่อทําข้อมูลเสนอ ครม.พิจารณา เบื้องต้นอาจทดลองเข็มแรกในมนุษย์หลังสงกรานต์
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ หารือแนวทางการพัฒนาและสนับสนุนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของคนไทย ร่วมกับศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศาสตราจารย์ นายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อํานวยการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แนวทางการดําเนินงานจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อประชาชนไทย มี 3 แนวทาง คือ 1. การทําความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อให้มีโอกาสได้วัคซีนเร็วขึ้น 2. การจัดซื้อวัคซีนเพื่อนํามาใช้ในประเทศ ซึ่งสองแนวทางนี้ประเทศไทยมีความร่วมมือกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จํากัดและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในการจองและซื้อวัคซีนจํานวน 26 ล้านโดส คาดว่าจะฉีดให้แก่ประชาชนไทยกลุ่มเป้าหมายได้ในกลางปี 2564 และ 3. การวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศเพื่อให้ผลิตได้เอง ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน อย่างการพัฒนาวัคซีนชนิด mRNA ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้สนับสนุนงบในการดําเนินการไปแล้ว 355 ล้านบาท
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สําหรับความคืบหน้าการหารือร่วมกับทีมพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีข้อสรุปว่า จะมีการตั้งคณะทํางานร่วม 2 หน่วยงาน 1 ชุด ซึ่งฝั่งกระทรวงสาธารณสุขมีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมควบคุมโรค สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เป็นตัวแทน หารือร่วมกับทีมวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ได้แผนการดําเนินงานการพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด 19 ให้ชัดเจน เพื่อเป็นข้อมูลในการนําเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นหากสามารถดําเนินการได้ตามแผน คาดว่าจะทดลองวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 1 เข็มแรกได้หลังสงกรานต์ 2564
********************************* 18 ธันวาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หารือร่วมคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ วางแผนพัฒนาและสนับสนุนวัคซีนโควิด 19
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
สธ.หารือร่วมคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ วางแผนพัฒนาและสนับสนุนวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นชอบตั้งคณะทํางานร่วม 2 หน่วยงาน วางแผนการดําเนินงานพัฒนาและสนับสนุนวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA เพื่อทําข้อมูลเสนอ ครม.พิจารณา เบื้องต้นอาจทดลองเข็มแรกในม
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นชอบตั้งคณะทํางานร่วม 2 หน่วยงาน วางแผนการดําเนินงานพัฒนาและสนับสนุนวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA เพื่อทําข้อมูลเสนอ ครม.พิจารณา เบื้องต้นอาจทดลองเข็มแรกในมนุษย์หลังสงกรานต์
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ หารือแนวทางการพัฒนาและสนับสนุนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของคนไทย ร่วมกับศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศาสตราจารย์ นายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อํานวยการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แนวทางการดําเนินงานจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อประชาชนไทย มี 3 แนวทาง คือ 1. การทําความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อให้มีโอกาสได้วัคซีนเร็วขึ้น 2. การจัดซื้อวัคซีนเพื่อนํามาใช้ในประเทศ ซึ่งสองแนวทางนี้ประเทศไทยมีความร่วมมือกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จํากัดและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในการจองและซื้อวัคซีนจํานวน 26 ล้านโดส คาดว่าจะฉีดให้แก่ประชาชนไทยกลุ่มเป้าหมายได้ในกลางปี 2564 และ 3. การวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศเพื่อให้ผลิตได้เอง ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน อย่างการพัฒนาวัคซีนชนิด mRNA ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้สนับสนุนงบในการดําเนินการไปแล้ว 355 ล้านบาท
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สําหรับความคืบหน้าการหารือร่วมกับทีมพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีข้อสรุปว่า จะมีการตั้งคณะทํางานร่วม 2 หน่วยงาน 1 ชุด ซึ่งฝั่งกระทรวงสาธารณสุขมีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมควบคุมโรค สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เป็นตัวแทน หารือร่วมกับทีมวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ได้แผนการดําเนินงานการพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด 19 ให้ชัดเจน เพื่อเป็นข้อมูลในการนําเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นหากสามารถดําเนินการได้ตามแผน คาดว่าจะทดลองวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 1 เข็มแรกได้หลังสงกรานต์ 2564
********************************* 18 ธันวาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37730
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ลงพื้นที่ สมุทรสาคร หลังพบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม ส่งรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานเพื่อคัดกรอง 3 คัน
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
อนุทิน ลงพื้นที่ สมุทรสาคร หลังพบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม ส่งรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานเพื่อคัดกรอง 3 คัน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตลาดกลางกุ้ง หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ ที่ จ.สมุทรสาคร ที่มีความสัมพันธ์กับตลาดเพิ่ม ให้กรมควบคุมโรคเร่งสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัส ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่แล้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตลาดกลางกุ้งหลังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ ที่ จ.สมุทรสาคร ที่มีความสัมพันธ์กับตลาดเพิ่ม ให้กรมควบคุมโรคเร่งสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัส ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่แล้ว 3 คัน พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์ เตรียมความพร้อมโรงพยาบาลเพื่อให้การรักษา
ค่ําวันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่ จ.สมุทรสาคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าหลังพบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19ที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร โดยให้สัมภาษณ์ว่าวันนี้ได้มาติดตามความคืบหน้ากรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งขณะนี้ทีมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมทํางานร่วมกับโรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรสาคร และผู้ว่าราชการจังหวัดในการติดตามสอบสวนโรคและตรวจหาเชื้อ ขณะนี้มีความพร้อมค่อนข้างมาก โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณส่งรถตรวจหาเชื้อนิรภัยพระราชทานจํานวน 3 คัน เพื่อทําการตรวจผู้ที่พักอาศัย ในตลาดกลางกุ้งจังหวัดสมุทรสาคร ประมาณ 4,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว ในจํานวนนี้มีคนไทยอยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ขณะนี้ตรวจหาเชื้อไปแล้วกว่า 2,000 คน เบื้องต้นพบผู้ติดเชื้อ 13 ราย ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับตลาด และจะขยายการสอบสวนโรคต่อไป สําหรับผู้ติดเชื้อรายแรกขณะนี้ได้ทราบ timeline ในแต่ละวัน ซึ่งมีอาชีพค้าขายโดยรวบรวมกุ้งไปขายอีกตลาดหนึ่ง ซึ่งจะต้องติดตามหาผู้สัมผัสเพิ่มเติมส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงขณะนี้ได้เข้าระบบกักกันแล้ว
สําหรับสถานการณ์ที่จังหวัดสมุทรสาคร ถือว่ายังไม่เป็นที่กังวล แต่ขอให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงที่อาจเกิดการติดเชื้อ ล้างมือบ่อยๆ เพิ่มความระมัดระวังตนเอง ส่วนกรมควบคุมโรคต้องเร่งสอบสวนโรคและทําการตรวจหาเชื้อให้ได้มากที่สุด เพื่อจํากัดวงการแพร่ระบาด หากประชาชนที่พักอาศัยในบริเวณตลาดกลางกุ้ง มีความประสงค์จะตรวจหาเชื้อ สามารถขอเข้ารับการตรวจได้ฟรี
“ขอย้ําว่าไม่มีปัญหาใดๆ ให้ระบบการควบคุมโรคได้ทํางาน หากพบผู้ป่วย เราก็มียาที่รักษาให้หายได้ ซึ่งผู้ป่วยที่พบไม่ได้แสดงอาการใดๆ ที่น่าเป็นห่วง ได้อยู่ในมือของทีมแพทย์และพยาบาลในเขตจังหวัดสมุทรสาครเรียบร้อยแล้ว อาทิ โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลกระทุ่มแบน พร้อมให้การดูแลรักษา ขณะนี้มีห้องแยกโรค ห้องความดันลบครบ เตรียมรับมือกับสถานการณ์ขอให้มั่นใจ ผู้ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสาคร หรือใช้เป็นทางผ่าน สามารถท่องเที่ยวได้ตามปกติไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่ตลาดกลางกุ้งจ.สมุทรสาคร เพื่อเก็บตัวอย่างประชาชนกลุ่มเสี่ยง จํานวน 3 คัน และสนับสนุนหลอดเก็บตัวอย่าง VTM จํานวน 2,500 หลอด ไม้ swab 2,500 NPS และ Throat swab ชุดตรวจ Rapid Ab test 200 test วัสดุกับ ppe ปรอท 100 ชิ้น กาวน์กันน้ํา 200 ตัว surgical mask 500 ชิ้นหมวกคลุมผม 200 ชิ้น face shield 100 ชิ้น alcohol 5 ลิตร 10 แกลลอน ถุงแดง 5 กิโลกรัม
***************************** 18 ธันวาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ลงพื้นที่ สมุทรสาคร หลังพบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม ส่งรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานเพื่อคัดกรอง 3 คัน
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
อนุทิน ลงพื้นที่ สมุทรสาคร หลังพบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม ส่งรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานเพื่อคัดกรอง 3 คัน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตลาดกลางกุ้ง หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ ที่ จ.สมุทรสาคร ที่มีความสัมพันธ์กับตลาดเพิ่ม ให้กรมควบคุมโรคเร่งสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัส ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่แล้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตลาดกลางกุ้งหลังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศ ที่ จ.สมุทรสาคร ที่มีความสัมพันธ์กับตลาดเพิ่ม ให้กรมควบคุมโรคเร่งสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัส ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่แล้ว 3 คัน พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์ เตรียมความพร้อมโรงพยาบาลเพื่อให้การรักษา
ค่ําวันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่ จ.สมุทรสาคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าหลังพบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19ที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร โดยให้สัมภาษณ์ว่าวันนี้ได้มาติดตามความคืบหน้ากรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งขณะนี้ทีมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมทํางานร่วมกับโรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรสาคร และผู้ว่าราชการจังหวัดในการติดตามสอบสวนโรคและตรวจหาเชื้อ ขณะนี้มีความพร้อมค่อนข้างมาก โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณส่งรถตรวจหาเชื้อนิรภัยพระราชทานจํานวน 3 คัน เพื่อทําการตรวจผู้ที่พักอาศัย ในตลาดกลางกุ้งจังหวัดสมุทรสาคร ประมาณ 4,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว ในจํานวนนี้มีคนไทยอยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ขณะนี้ตรวจหาเชื้อไปแล้วกว่า 2,000 คน เบื้องต้นพบผู้ติดเชื้อ 13 ราย ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับตลาด และจะขยายการสอบสวนโรคต่อไป สําหรับผู้ติดเชื้อรายแรกขณะนี้ได้ทราบ timeline ในแต่ละวัน ซึ่งมีอาชีพค้าขายโดยรวบรวมกุ้งไปขายอีกตลาดหนึ่ง ซึ่งจะต้องติดตามหาผู้สัมผัสเพิ่มเติมส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงขณะนี้ได้เข้าระบบกักกันแล้ว
สําหรับสถานการณ์ที่จังหวัดสมุทรสาคร ถือว่ายังไม่เป็นที่กังวล แต่ขอให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงที่อาจเกิดการติดเชื้อ ล้างมือบ่อยๆ เพิ่มความระมัดระวังตนเอง ส่วนกรมควบคุมโรคต้องเร่งสอบสวนโรคและทําการตรวจหาเชื้อให้ได้มากที่สุด เพื่อจํากัดวงการแพร่ระบาด หากประชาชนที่พักอาศัยในบริเวณตลาดกลางกุ้ง มีความประสงค์จะตรวจหาเชื้อ สามารถขอเข้ารับการตรวจได้ฟรี
“ขอย้ําว่าไม่มีปัญหาใดๆ ให้ระบบการควบคุมโรคได้ทํางาน หากพบผู้ป่วย เราก็มียาที่รักษาให้หายได้ ซึ่งผู้ป่วยที่พบไม่ได้แสดงอาการใดๆ ที่น่าเป็นห่วง ได้อยู่ในมือของทีมแพทย์และพยาบาลในเขตจังหวัดสมุทรสาครเรียบร้อยแล้ว อาทิ โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลกระทุ่มแบน พร้อมให้การดูแลรักษา ขณะนี้มีห้องแยกโรค ห้องความดันลบครบ เตรียมรับมือกับสถานการณ์ขอให้มั่นใจ ผู้ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสาคร หรือใช้เป็นทางผ่าน สามารถท่องเที่ยวได้ตามปกติไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน” นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานลงพื้นที่ตลาดกลางกุ้งจ.สมุทรสาคร เพื่อเก็บตัวอย่างประชาชนกลุ่มเสี่ยง จํานวน 3 คัน และสนับสนุนหลอดเก็บตัวอย่าง VTM จํานวน 2,500 หลอด ไม้ swab 2,500 NPS และ Throat swab ชุดตรวจ Rapid Ab test 200 test วัสดุกับ ppe ปรอท 100 ชิ้น กาวน์กันน้ํา 200 ตัว surgical mask 500 ชิ้นหมวกคลุมผม 200 ชิ้น face shield 100 ชิ้น alcohol 5 ลิตร 10 แกลลอน ถุงแดง 5 กิโลกรัม
***************************** 18 ธันวาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37737
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. หนุน รัฐ-เอกชน ตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทำงาน ลดปัจจัยเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
สธ. หนุน รัฐ-เอกชน ตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน ลดปัจจัยเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ
สธ. หนุน รัฐ-เอกชน ตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน ลดปัจจัยเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ
กระทรวงสาธารณสุข หนุนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทํางานลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ คัดกรองความเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์การประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เครือข่ายการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพจากการประกอบอาชีพกลุ่มวัยแรงงาน โดยมี ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภานายจ้างแห่งประเทศไทย สภาลูกจ้างแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากสํานักงานป้องกันควบคุมโรค ผู้แทนจากโรงพยาบาล สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สถานประกอบการและวิสาหกิจชุมชน นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องจํานวน 320 คน เข้าร่วมประชุม
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้กรมควบคุมโรคดําเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพในกลุ่มวัยทํางาน ทั้งในและนอกระบบจํานวนกว่า 37.5 ล้านคน ซึ่งเป็นกําลังหลักในการขับเคลื่อนสังคม และระบบเศรษฐกิจประเทศ และใช้ชีวิตในสถานที่ทํางานกว่า 1 ใน 3 ของชีวิตประจําวัน โดยให้จัดตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน (Wellness Center) และโครงการสถานประกอบการปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข เพื่อดูแลสุขภาพคนวัยทํางานและลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพจากการประกอบอาชีพ โดยนํานโยบาย 5 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม, โครงการสถานประกอบการปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข, คลินิกโรคจากการทํางาน, ศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน และความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นตัวขับเคลื่อนการดําเนินงาน เริ่มตั้งแต่ปี 2562 ปัจจุบันมีองค์กรต้นแบบในการจัดตั้งศูนย์สุขภาพวัยทํางาน 8 แห่ง และองค์กรภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมโครงการสถานประกอบการปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข 198 แห่ง และเชิญชวนสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ในการดําเนินงานจะเชื่อมโยงงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน ควบคุมโรคระหว่างสถานประกอบการและหน่วยบริการสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนกลุ่มวัยทํางานในสถานประกอบการมีสุขภาพที่แข็งแรงในทุกมิติ สามารถดูแลสุขภาพและบริหารจัดการได้ด้วยองค์กร โดยมีหน่วยบริการสาธารณสุขเป็นที่ปรึกษาให้คําแนะนําด้านสุขภาพ ให้มีพฤติกรรมสุขภาพระหว่างการทํางานที่เหมาะสม มีสภาพแวดล้อมการทํางานที่ดี ลดการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ขอเชิญชวนหน่วยงานและสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้บุคลากรมีความปลอดภัยจากการประกอบอาชีพ มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี เมื่อเจ็บป่วยจะสามารถตรวจพบและเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้เร็ว
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการดําเนินงานศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน ในปี 2562 ที่ผ่านมาทําให้พบรายงานปัญหาสุขภาพที่สําคัญของคนวัยทํางานส่วนใหญ่คือ การสูบบุหรี่ร้อยละ 42.88, สมรรถภาพการได้ยิน ร้อยละ 14.28, น้ําตาลในเลือด ร้อยละ 14.28, โรคติดต่อร้อยละ 14.28,ความดันโลหิตร้อยละ 14.28 และในวันนี้มีการมอบโล่รางวัลต้นแบบแก่ศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน จํานวน 8 แห่ง และรางวัลแก่สถานประกอบการที่ผ่านการประเมินคุณภาพจํานวนนี้ระดับประเทศ ประจําปีงบประมาณ 2562 จํานวน 81 แห่ง แบ่งเป็น สถานประกอบการปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข ระดับโล่เงิน จํานวน 32 แห่ง ระดับโล่ทอง จํานวน 27 แห่ง ระดับโล่ทอง 3 ปีต่อเนื่อง จํานวน 14 แห่ง
**************************** 18 ธันวาคม 2563
************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. หนุน รัฐ-เอกชน ตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทำงาน ลดปัจจัยเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
สธ. หนุน รัฐ-เอกชน ตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน ลดปัจจัยเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ
สธ. หนุน รัฐ-เอกชน ตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน ลดปัจจัยเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ
กระทรวงสาธารณสุข หนุนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทํางานลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ คัดกรองความเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์การประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เครือข่ายการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพจากการประกอบอาชีพกลุ่มวัยแรงงาน โดยมี ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภานายจ้างแห่งประเทศไทย สภาลูกจ้างแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากสํานักงานป้องกันควบคุมโรค ผู้แทนจากโรงพยาบาล สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สถานประกอบการและวิสาหกิจชุมชน นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องจํานวน 320 คน เข้าร่วมประชุม
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้กรมควบคุมโรคดําเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพในกลุ่มวัยทํางาน ทั้งในและนอกระบบจํานวนกว่า 37.5 ล้านคน ซึ่งเป็นกําลังหลักในการขับเคลื่อนสังคม และระบบเศรษฐกิจประเทศ และใช้ชีวิตในสถานที่ทํางานกว่า 1 ใน 3 ของชีวิตประจําวัน โดยให้จัดตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน (Wellness Center) และโครงการสถานประกอบการปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข เพื่อดูแลสุขภาพคนวัยทํางานและลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพจากการประกอบอาชีพ โดยนํานโยบาย 5 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม, โครงการสถานประกอบการปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข, คลินิกโรคจากการทํางาน, ศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน และความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นตัวขับเคลื่อนการดําเนินงาน เริ่มตั้งแต่ปี 2562 ปัจจุบันมีองค์กรต้นแบบในการจัดตั้งศูนย์สุขภาพวัยทํางาน 8 แห่ง และองค์กรภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมโครงการสถานประกอบการปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข 198 แห่ง และเชิญชวนสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ในการดําเนินงานจะเชื่อมโยงงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน ควบคุมโรคระหว่างสถานประกอบการและหน่วยบริการสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนกลุ่มวัยทํางานในสถานประกอบการมีสุขภาพที่แข็งแรงในทุกมิติ สามารถดูแลสุขภาพและบริหารจัดการได้ด้วยองค์กร โดยมีหน่วยบริการสาธารณสุขเป็นที่ปรึกษาให้คําแนะนําด้านสุขภาพ ให้มีพฤติกรรมสุขภาพระหว่างการทํางานที่เหมาะสม มีสภาพแวดล้อมการทํางานที่ดี ลดการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ขอเชิญชวนหน่วยงานและสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้บุคลากรมีความปลอดภัยจากการประกอบอาชีพ มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี เมื่อเจ็บป่วยจะสามารถตรวจพบและเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้เร็ว
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการดําเนินงานศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน ในปี 2562 ที่ผ่านมาทําให้พบรายงานปัญหาสุขภาพที่สําคัญของคนวัยทํางานส่วนใหญ่คือ การสูบบุหรี่ร้อยละ 42.88, สมรรถภาพการได้ยิน ร้อยละ 14.28, น้ําตาลในเลือด ร้อยละ 14.28, โรคติดต่อร้อยละ 14.28,ความดันโลหิตร้อยละ 14.28 และในวันนี้มีการมอบโล่รางวัลต้นแบบแก่ศูนย์สุขภาพดีวัยทํางาน จํานวน 8 แห่ง และรางวัลแก่สถานประกอบการที่ผ่านการประเมินคุณภาพจํานวนนี้ระดับประเทศ ประจําปีงบประมาณ 2562 จํานวน 81 แห่ง แบ่งเป็น สถานประกอบการปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข ระดับโล่เงิน จํานวน 32 แห่ง ระดับโล่ทอง จํานวน 27 แห่ง ระดับโล่ทอง 3 ปีต่อเนื่อง จํานวน 14 แห่ง
**************************** 18 ธันวาคม 2563
************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37724
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภา สบช. พร้อมผลิตกำลังคนด้านสาธารณสุขกว่า 5 พันคน ในปีการศึกษา 2564
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
สภา สบช. พร้อมผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขกว่า 5 พันคน ในปีการศึกษา 2564
สภาสถาบันพระบรมราชชนก พร้อมผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขปี 2564 คณะพยาบาลศาสตร์ 3,686 คน และคณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ 1,875 คน เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพประชาชนในระบบปฐมภูมิ
สภาสถาบันพระบรมราชชนก พร้อมผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขปี 2564 คณะพยาบาลศาสตร์ 3,686 คน และคณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ 1,875 คน เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพประชาชนในระบบปฐมภูมิ
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะนายกสภาสถาบันพระบรมราชชนก เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันพระบรมราชชนก ครั้งที่ 9/2563 และให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบแผนการผลิตนักศึกษาหลักสูตรต่าง ๆ ของสถาบันพระบรมราชชนก ประจําปีการศึกษา 2564 ซึ่งมาจากการวิเคราะห์และสํารวจความต้องการบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทหาร ตํารวจ เป็นต้น เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรตามความต้องการ สอดคล้องกับนโยบายที่จะพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ทั้งการดูแลส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค การฟื้นฟู และการรักษาโรค เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับบริการใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดแออัดในรพ.ใหญ่ รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกําลังคนด้านสาธารณสุขด้วย
ทั้งนี้ ในปีการศึกษา 2564 สถาบันพระบรมราชชนกจะเปิดรับสมัครและคัดเลือกนักศึกษาภายในเดือนมิถุนายน 2564 โดยเปิดรับ คณะพยาบาลศาสตร์ 3,686 คน, คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์รวม 1,875 คน แบ่งเป็นหลักสูตรระดับปริญญาตรีสาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน 360 คน สาขาวิชาทันตสาธารณสุข 340 คน สาขาวิชาการแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ 330 คน สาขาวิชาเวชระเบียน 50 คน สาขาวิชารังสีเทคนิค 55 คน สาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย 50 คน สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ 40 คน และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงสาขาวิชาเทคนิคเภสัชกรรม 320 คน สาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ 210 คน และสาขาวิชาเวชระเบียน 120 คน
************************* 18 ธันวาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภา สบช. พร้อมผลิตกำลังคนด้านสาธารณสุขกว่า 5 พันคน ในปีการศึกษา 2564
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
สภา สบช. พร้อมผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขกว่า 5 พันคน ในปีการศึกษา 2564
สภาสถาบันพระบรมราชชนก พร้อมผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขปี 2564 คณะพยาบาลศาสตร์ 3,686 คน และคณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ 1,875 คน เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพประชาชนในระบบปฐมภูมิ
สภาสถาบันพระบรมราชชนก พร้อมผลิตกําลังคนด้านสาธารณสุขปี 2564 คณะพยาบาลศาสตร์ 3,686 คน และคณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ 1,875 คน เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพประชาชนในระบบปฐมภูมิ
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะนายกสภาสถาบันพระบรมราชชนก เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันพระบรมราชชนก ครั้งที่ 9/2563 และให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบแผนการผลิตนักศึกษาหลักสูตรต่าง ๆ ของสถาบันพระบรมราชชนก ประจําปีการศึกษา 2564 ซึ่งมาจากการวิเคราะห์และสํารวจความต้องการบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทหาร ตํารวจ เป็นต้น เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรตามความต้องการ สอดคล้องกับนโยบายที่จะพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ทั้งการดูแลส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค การฟื้นฟู และการรักษาโรค เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับบริการใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดแออัดในรพ.ใหญ่ รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกําลังคนด้านสาธารณสุขด้วย
ทั้งนี้ ในปีการศึกษา 2564 สถาบันพระบรมราชชนกจะเปิดรับสมัครและคัดเลือกนักศึกษาภายในเดือนมิถุนายน 2564 โดยเปิดรับ คณะพยาบาลศาสตร์ 3,686 คน, คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์รวม 1,875 คน แบ่งเป็นหลักสูตรระดับปริญญาตรีสาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน 360 คน สาขาวิชาทันตสาธารณสุข 340 คน สาขาวิชาการแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ 330 คน สาขาวิชาเวชระเบียน 50 คน สาขาวิชารังสีเทคนิค 55 คน สาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย 50 คน สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ 40 คน และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงสาขาวิชาเทคนิคเภสัชกรรม 320 คน สาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ 210 คน และสาขาวิชาเวชระเบียน 120 คน
************************* 18 ธันวาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37718
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือน อย่าลักลอบเข้าเมือง เปิดโอกาสแสดงความจำนงระยะนี้ไม่เอาผิด
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รัฐบาลเตือน อย่าลักลอบเข้าเมือง เปิดโอกาสแสดงความจํานงระยะนี้ไม่เอาผิด
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลแจ้งเตือนประชาชนที่พํานักอยู่ในต่างแดน แม้จะเคยเป็นผู้กระทําผิดกฏหมายเข้าเมือง หากต้องการเดินทางกลับเข้าประเทศไทยขอให้แจ้งทางการและดําเนินการอย่างถูกกฎหมาย โดยในระยะนี้จะถือว่าไม่มีความผิด เพื่อที่จะได้เข้าสู่การกักกันโรคเป็นเวลา 14 วัน และหากพบว่าเป็นโรคโควิด19 จะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งภาครัฐพร้อมดูแลตั้งแต่บริเวณด่านควบคุมโรค และขอย้ําว่าอย่าลักลอบเข้าประเทศ เพราะจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นในสังคม ทั้งยังเป็นการกระทําผิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และ พ.ร.บ.โรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งจะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย ในส่วนของรัฐบาลนั้นได้เพิ่มความเข้มงวดการตรวจตราตามแนวชายแดนให้มากขึ้น
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือน อย่าลักลอบเข้าเมือง เปิดโอกาสแสดงความจำนงระยะนี้ไม่เอาผิด
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รัฐบาลเตือน อย่าลักลอบเข้าเมือง เปิดโอกาสแสดงความจํานงระยะนี้ไม่เอาผิด
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลแจ้งเตือนประชาชนที่พํานักอยู่ในต่างแดน แม้จะเคยเป็นผู้กระทําผิดกฏหมายเข้าเมือง หากต้องการเดินทางกลับเข้าประเทศไทยขอให้แจ้งทางการและดําเนินการอย่างถูกกฎหมาย โดยในระยะนี้จะถือว่าไม่มีความผิด เพื่อที่จะได้เข้าสู่การกักกันโรคเป็นเวลา 14 วัน และหากพบว่าเป็นโรคโควิด19 จะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งภาครัฐพร้อมดูแลตั้งแต่บริเวณด่านควบคุมโรค และขอย้ําว่าอย่าลักลอบเข้าประเทศ เพราะจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นในสังคม ทั้งยังเป็นการกระทําผิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และ พ.ร.บ.โรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งจะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย ในส่วนของรัฐบาลนั้นได้เพิ่มความเข้มงวดการตรวจตราตามแนวชายแดนให้มากขึ้น
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37714
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรีตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
องคมนตรีตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี
องคมนตรีตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี เป็นโรงพยาบาล Smart Hospital จัดบริการแบบ New Normal ให้บริการกัญชาทางการแพทย์ และการแพทย์แผนไทยครบวงจร ผู้ป่วยพึงพอใจ
องคมนตรีตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรีเป็นโรงพยาบาล Smart Hospital จัดบริการแบบ New Normal ให้บริการกัญชาทางการแพทย์ และการแพทย์แผนไทยครบวงจร ผู้ป่วยพึงพอใจ
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล พร้อมด้วยนายแพทย์สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์เขตสุขภาพที่ 4 และคณะ ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจบุคลากรและติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี
นายแพทย์สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 กล่าวว่า โรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี เป็น Smart Hospital ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการระบบบริการเพิ่มความสะดวกรวดเร็วผู้รับบริการ และปรับระบบบริการแบบ New Normal สํารองเวชภัณฑ์ใช้ได้ 4 เดือนจัดห้องแยกโรค ปรับปรุงระบบระบายอากาศ เตรียมหอผู้ป่วยเฉพาะโรค 40 เตียง มีคลินิกเฉพาะโรคทางเดินหายใจ และเข้มมาตรการป้องกันโรค DMHT ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล นอกจากนี้ ได้เปิดบริการกัญชาทางการแพทย์แบบผสมผสาน บริการการแพทย์แผนไทยครบวงจร มีโรงผลิตยาสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง GMP WHO ใช้แหล่งวัตถุดิบในพื้นที่ ให้ประชาชนปลูกแล้วนํามาจําหน่ายให้โรงพยาบาล พัฒนาบรรจุภัณฑ์ ส่งเสริมให้ใช้ยาสมุนไพร ทั้งในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล โรงพยาบาล และโรงพยาบาลในจังหวัดสระบุรี ได้ทํา MOU การซื้อขายยาในภาพของเขตสุขภาพที่ 4 ทําวิจัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ยาสมุนไพร มีผู้มารับบริการทั้งนวด อบสมุนไพร ประคบสมุนไพร และการดูแลหลังคลอดด้วยการทับหม้อเกลือจํานวนมาก
นอกจากนี้ ได้จัดโครงการพาหมอไปหาคนไข้ จัดตั้งคลินิกโรคเรื้อรังร่วมกับเครือข่าย เน้นการรับรู้เรื่องโรค การปรับพฤติกรรมตนเอง ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลจํานวน 13 แห่ง ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ําตาลได้ เพิ่มขึ้นจาก 28.68 เป็น 38.51 ผู้ป่วยพึงพอใจ ลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาของผู้ป่วยและญาติ รวมทั้งดูแลผู้ป่วยระยะกึ่งเฉียบพลันครบวงจร โดยความร่วมมือจากโรงพยาบาลสระบุรี เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการมากขึ้น ลดความแออัดของโรงพยาบาลสระบุรี มีผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟู 101 คน และดูแลในชุมชน 60 คน มีอาการดีขึ้นสามารถกลับไปทํางานได้ 64 คน เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนในชุมชน ทั้งยังเป็นโรงพยาบาลเศรษฐกิจพอเพียง มีศูนย์สาธิตการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกันของชุมชน ปลูกผักสวนครัวผลิตน้ํายาต่าง ๆ ใช้ในโรงพยาบาลและขยายผลสู่ชุมชน
ทั้งนี้ ในปี 2562 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานสนับสนุนงบประมาณจัดซื้อเครื่องตรวจอวัยวะคลื่นความถี่สูงชนิดสี 2 หัวตรวจ มูลค่า 930,000 บาท มีผู้รับบริการ 110 คน และเครื่องวัดความดันโลหิตดิจิทัลแบบพกพา 4 เครื่อง และในปีงบ 2563 ได้รับการสนับสนุนยูนิตทําฟัน มูลค่า 460,000 บาท มีผู้รับบริการ 243 คน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรีตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
องคมนตรีตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี
องคมนตรีตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี เป็นโรงพยาบาล Smart Hospital จัดบริการแบบ New Normal ให้บริการกัญชาทางการแพทย์ และการแพทย์แผนไทยครบวงจร ผู้ป่วยพึงพอใจ
องคมนตรีตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรีเป็นโรงพยาบาล Smart Hospital จัดบริการแบบ New Normal ให้บริการกัญชาทางการแพทย์ และการแพทย์แผนไทยครบวงจร ผู้ป่วยพึงพอใจ
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล พร้อมด้วยนายแพทย์สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์เขตสุขภาพที่ 4 และคณะ ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจบุคลากรและติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานโรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี
นายแพทย์สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 กล่าวว่า โรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสระบุรี เป็น Smart Hospital ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการระบบบริการเพิ่มความสะดวกรวดเร็วผู้รับบริการ และปรับระบบบริการแบบ New Normal สํารองเวชภัณฑ์ใช้ได้ 4 เดือนจัดห้องแยกโรค ปรับปรุงระบบระบายอากาศ เตรียมหอผู้ป่วยเฉพาะโรค 40 เตียง มีคลินิกเฉพาะโรคทางเดินหายใจ และเข้มมาตรการป้องกันโรค DMHT ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล นอกจากนี้ ได้เปิดบริการกัญชาทางการแพทย์แบบผสมผสาน บริการการแพทย์แผนไทยครบวงจร มีโรงผลิตยาสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรอง GMP WHO ใช้แหล่งวัตถุดิบในพื้นที่ ให้ประชาชนปลูกแล้วนํามาจําหน่ายให้โรงพยาบาล พัฒนาบรรจุภัณฑ์ ส่งเสริมให้ใช้ยาสมุนไพร ทั้งในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล โรงพยาบาล และโรงพยาบาลในจังหวัดสระบุรี ได้ทํา MOU การซื้อขายยาในภาพของเขตสุขภาพที่ 4 ทําวิจัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ยาสมุนไพร มีผู้มารับบริการทั้งนวด อบสมุนไพร ประคบสมุนไพร และการดูแลหลังคลอดด้วยการทับหม้อเกลือจํานวนมาก
นอกจากนี้ ได้จัดโครงการพาหมอไปหาคนไข้ จัดตั้งคลินิกโรคเรื้อรังร่วมกับเครือข่าย เน้นการรับรู้เรื่องโรค การปรับพฤติกรรมตนเอง ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลจํานวน 13 แห่ง ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ําตาลได้ เพิ่มขึ้นจาก 28.68 เป็น 38.51 ผู้ป่วยพึงพอใจ ลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาของผู้ป่วยและญาติ รวมทั้งดูแลผู้ป่วยระยะกึ่งเฉียบพลันครบวงจร โดยความร่วมมือจากโรงพยาบาลสระบุรี เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการมากขึ้น ลดความแออัดของโรงพยาบาลสระบุรี มีผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟู 101 คน และดูแลในชุมชน 60 คน มีอาการดีขึ้นสามารถกลับไปทํางานได้ 64 คน เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนในชุมชน ทั้งยังเป็นโรงพยาบาลเศรษฐกิจพอเพียง มีศูนย์สาธิตการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกันของชุมชน ปลูกผักสวนครัวผลิตน้ํายาต่าง ๆ ใช้ในโรงพยาบาลและขยายผลสู่ชุมชน
ทั้งนี้ ในปี 2562 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานสนับสนุนงบประมาณจัดซื้อเครื่องตรวจอวัยวะคลื่นความถี่สูงชนิดสี 2 หัวตรวจ มูลค่า 930,000 บาท มีผู้รับบริการ 110 คน และเครื่องวัดความดันโลหิตดิจิทัลแบบพกพา 4 เครื่อง และในปีงบ 2563 ได้รับการสนับสนุนยูนิตทําฟัน มูลค่า 460,000 บาท มีผู้รับบริการ 243 คน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37716
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เห็นชอบจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท นาน 3 เดือน
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
เห็นชอบจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท นาน 3 เดือน
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวนกว่า 14 ล้านคน โดยเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น จํานวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน คือ ม.ค. – มี.ค. 2564 ถือเป็นของขวัญช่วงปีใหม่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย สําหรับการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ที่คาดว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ในช่วงต้นปีหน้านั้น เบื้องต้นยังคงเงื่อนไขเดิม คือ ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ว่างงาน มีรายได้ส่วนตัวไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี มีทรัพย์สินทางการเงินรวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะใช้รายได้ต่อครัวเรือนมาประกอบการพิจารณา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียด
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เห็นชอบจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท นาน 3 เดือน
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
เห็นชอบจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท นาน 3 เดือน
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวนกว่า 14 ล้านคน โดยเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น จํานวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน คือ ม.ค. – มี.ค. 2564 ถือเป็นของขวัญช่วงปีใหม่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย สําหรับการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ที่คาดว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ในช่วงต้นปีหน้านั้น เบื้องต้นยังคงเงื่อนไขเดิม คือ ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ว่างงาน มีรายได้ส่วนตัวไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี มีทรัพย์สินทางการเงินรวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะใช้รายได้ต่อครัวเรือนมาประกอบการพิจารณา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียด
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37713
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - สปป. ลาว
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - สปป. ลาว
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - สปป. ลาว วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีไปยังนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ดังนี้
สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ทําเนียบรัฐบาล กทม. ๑๐๓๐๐
๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓
เรียน ฯพณฯ นายทองลุน สีสุลิด
ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ผมในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอร่วมแสดงความยินดีและส่งความปรารถนาดีมายังท่านและประชาชนลาว
ไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นสองรัฐที่มีความใกล้ชิดกันอย่างแนบแน่นคนไทยคนลาวอยู่เคียงข้างกันมาแต่โบราณกาล มีความเข้าใจและผูกพันกันด้วยความใกล้ชิดทางภาษาและวัฒนธรรม ในช่วง ๗๐ ปีที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐสมัยใหม่ ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ผ่านบทพิสูจน์ของกาลเวลาและได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแน่นแฟ้นให้ครอบคลุมทุกมิติบนพื้นฐานของความเข้าใจและเชื่อใจกันซึ่งนําประโยชน์มาสู่ทั้งสองฝ่าย ผมจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ ๓ ที่นครหลวงเวียงจันทน์เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ไทยกับลาวได้เห็นพ้องยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ซึ่งสะท้อนถึงความสําคัญที่ทั้งสองประเทศมีต่อกันอย่างแท้จริง และจะเป็นแนวทางที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจที่มีต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเสมอมา ผมขอให้คํามั่นว่าจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับท่านและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย – ลาว ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ยิ่งขึ้นไป โดยจะมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือที่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนของทั้งสองประเทศ
ในขณะที่ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-๑๙ ผมรู้สึกยินดีที่ทั้งสองประเทศยังคงความร่วมมือที่ใกล้ชิดและมีความมุ่งมั่นที่จะจับมือและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันแม้ในยามยากลําบาก ผมพร้อมจะร่วมมือกับท่านเพื่อช่วยผลักดันการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและของภูมิภาคต่อไป
สุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้ท่าน รัฐบาลและพี่น้องประชาชนชาวลาวประสบความสุขสวัสดีและความเจริญรุ่งเรืองสืบไป
ขอแสดงความนับถือ
(พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ฯพณฯ นายทองลุน สีสุลิด
นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นครหลวงเวียงจันทน์
ในโอกาสเดียวกันนี้ นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีสารแสดงความยินดีมายัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดังนี้
(คําแปลอย่างไม่เป็นทางการ)
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สันติภาพ เอกราช ประชาธิปไตย เอกภาพ วัฒนาถาวร
นายกรัฐมนตรี
นครหลวงเวียงจันทน์ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓
ฯพณฯ
เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างลาวและไทย
ในนามรัฐบาลและประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กล่าวคือ ในนามส่วนตัว ข้าพเจ้ามีความปีติยินดี ส่งคําแสดงความยินดีอันอบอุ่น และพรชัยอันประเสริฐมายัง ฯพณฯ และโดยผ่าน ฯพณฯ ไปยังรัฐบาล และประชาชนไทยทุกถ้วนหน้า
ตลอดระยะเวลา ๗ ทศวรรษ แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการร่วมกันระหว่างสองประเทศลาวและไทย สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมืออันดีงามดังกล่าวได้รับการพัฒนา และเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่องในแต่ละด้านเป็นก้าว ๆ ตลอดมา เห็นได้จากผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศได้มีการแลกเปลี่ยนเยี่ยมเยือนซึ่งกันและกันอย่างเป็นปกติ กลไกร่วมมือต่าง ๆ ได้รับการจัดตั้งขึ้น และมีการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิผล ทั้งในระดับส่วนกลางและท้องถิ่น ซึ่งทั้งหมดนั้น ได้สร้างเงื่อนไขเอื้ออํานวยให้แก่การเพิ่มพูนทวีคูณความสัมพันธ์ลาว-ไทย ข้าพเจ้าให้ความสําคัญต่อสายสัมพันธ์ร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างสูง ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ได้แก่ ความร่วมมือทางด้านการค้า-การลงทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข การเกษตร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกข้ามแม่น้ําโขงเพื่อเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคที่พิเศษ สองประเทศเรามีสะพานข้ามแม่น้ําโขงถึง ๔ แห่ง และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจํานวนหนึ่ง เพื่อเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศของพวกเราตั้งแต่เหนือจรดใต้ สิ่งดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยอันสําคัญในการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศของพวกเรา เพื่อนําผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนสองชาติลาวและไทย ซึ่งก็คือของภูมิภาคอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองประเทศของพวกเรายังได้สนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิดในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็คือ ในระยะที่มีการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ซึ่งได้เป็นส่วนสําคัญเข้าในการกระชับสายสัมพันธ์มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างสองประเทศลาวและไทยให้นับวันยิ่งหยั่งลึกและแน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้น
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดของสองฝ่ายภายใต้กลไกความร่วมมือลาว-ไทย ไทย-ลาว ที่มีอยู่ สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือที่ดีงามดังกล่าวจะได้รับการสานต่อเพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อก้าวไปสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อความเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จะนําเอาผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนสองชาติ กล่าวคือ เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาค และในโลก
ในบรรยากาศแห่งความเบิกบานสนุกสนานและมีความหมายสําคัญทางประวัติศาสตร์นี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมืออันดีงามในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียงระหว่างสองประเทศของพวกเราจงมั่นคงยืนยงอย่างแข็งแกร่งและผลิดอกออกผลอย่างไม่หยุดยั้ง และขออวยพรชัยอันประเสริฐมายัง ฯพณฯ จงมีสุขภาพแข็งแรง มีความผาสุก และประสบผลสําเร็จในภารกิจอันสูงส่งของ ฯพณฯ
ด้วยความนับถืออย่างสูง
ทองลุน สีสุลิด
ฯพณฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่ กรุงเทพมหานคร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - สปป. ลาว
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - สปป. ลาว
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แลกเปลี่ยนสารแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - สปป. ลาว วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีไปยังนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ดังนี้
สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ทําเนียบรัฐบาล กทม. ๑๐๓๐๐
๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓
เรียน ฯพณฯ นายทองลุน สีสุลิด
ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะครบรอบ ๗๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ผมในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอร่วมแสดงความยินดีและส่งความปรารถนาดีมายังท่านและประชาชนลาว
ไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นสองรัฐที่มีความใกล้ชิดกันอย่างแนบแน่นคนไทยคนลาวอยู่เคียงข้างกันมาแต่โบราณกาล มีความเข้าใจและผูกพันกันด้วยความใกล้ชิดทางภาษาและวัฒนธรรม ในช่วง ๗๐ ปีที่ผ่านมาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐสมัยใหม่ ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ผ่านบทพิสูจน์ของกาลเวลาและได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแน่นแฟ้นให้ครอบคลุมทุกมิติบนพื้นฐานของความเข้าใจและเชื่อใจกันซึ่งนําประโยชน์มาสู่ทั้งสองฝ่าย ผมจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ ๓ ที่นครหลวงเวียงจันทน์เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ไทยกับลาวได้เห็นพ้องยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ซึ่งสะท้อนถึงความสําคัญที่ทั้งสองประเทศมีต่อกันอย่างแท้จริง และจะเป็นแนวทางที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจที่มีต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเสมอมา ผมขอให้คํามั่นว่าจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับท่านและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย – ลาว ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ยิ่งขึ้นไป โดยจะมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือที่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนของทั้งสองประเทศ
ในขณะที่ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-๑๙ ผมรู้สึกยินดีที่ทั้งสองประเทศยังคงความร่วมมือที่ใกล้ชิดและมีความมุ่งมั่นที่จะจับมือและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันแม้ในยามยากลําบาก ผมพร้อมจะร่วมมือกับท่านเพื่อช่วยผลักดันการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและของภูมิภาคต่อไป
สุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้ท่าน รัฐบาลและพี่น้องประชาชนชาวลาวประสบความสุขสวัสดีและความเจริญรุ่งเรืองสืบไป
ขอแสดงความนับถือ
(พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ฯพณฯ นายทองลุน สีสุลิด
นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นครหลวงเวียงจันทน์
ในโอกาสเดียวกันนี้ นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีสารแสดงความยินดีมายัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดังนี้
(คําแปลอย่างไม่เป็นทางการ)
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สันติภาพ เอกราช ประชาธิปไตย เอกภาพ วัฒนาถาวร
นายกรัฐมนตรี
นครหลวงเวียงจันทน์ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓
ฯพณฯ
เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างลาวและไทย
ในนามรัฐบาลและประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กล่าวคือ ในนามส่วนตัว ข้าพเจ้ามีความปีติยินดี ส่งคําแสดงความยินดีอันอบอุ่น และพรชัยอันประเสริฐมายัง ฯพณฯ และโดยผ่าน ฯพณฯ ไปยังรัฐบาล และประชาชนไทยทุกถ้วนหน้า
ตลอดระยะเวลา ๗ ทศวรรษ แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการร่วมกันระหว่างสองประเทศลาวและไทย สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมืออันดีงามดังกล่าวได้รับการพัฒนา และเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่องในแต่ละด้านเป็นก้าว ๆ ตลอดมา เห็นได้จากผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองประเทศได้มีการแลกเปลี่ยนเยี่ยมเยือนซึ่งกันและกันอย่างเป็นปกติ กลไกร่วมมือต่าง ๆ ได้รับการจัดตั้งขึ้น และมีการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิผล ทั้งในระดับส่วนกลางและท้องถิ่น ซึ่งทั้งหมดนั้น ได้สร้างเงื่อนไขเอื้ออํานวยให้แก่การเพิ่มพูนทวีคูณความสัมพันธ์ลาว-ไทย ข้าพเจ้าให้ความสําคัญต่อสายสัมพันธ์ร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างสูง ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ได้แก่ ความร่วมมือทางด้านการค้า-การลงทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข การเกษตร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกข้ามแม่น้ําโขงเพื่อเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคที่พิเศษ สองประเทศเรามีสะพานข้ามแม่น้ําโขงถึง ๔ แห่ง และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจํานวนหนึ่ง เพื่อเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศของพวกเราตั้งแต่เหนือจรดใต้ สิ่งดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยอันสําคัญในการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศของพวกเรา เพื่อนําผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนสองชาติลาวและไทย ซึ่งก็คือของภูมิภาคอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองประเทศของพวกเรายังได้สนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิดในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็คือ ในระยะที่มีการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ซึ่งได้เป็นส่วนสําคัญเข้าในการกระชับสายสัมพันธ์มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างสองประเทศลาวและไทยให้นับวันยิ่งหยั่งลึกและแน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้น
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดของสองฝ่ายภายใต้กลไกความร่วมมือลาว-ไทย ไทย-ลาว ที่มีอยู่ สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือที่ดีงามดังกล่าวจะได้รับการสานต่อเพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อก้าวไปสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อความเจริญเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จะนําเอาผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนสองชาติ กล่าวคือ เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาค และในโลก
ในบรรยากาศแห่งความเบิกบานสนุกสนานและมีความหมายสําคัญทางประวัติศาสตร์นี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้สายสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมืออันดีงามในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียงระหว่างสองประเทศของพวกเราจงมั่นคงยืนยงอย่างแข็งแกร่งและผลิดอกออกผลอย่างไม่หยุดยั้ง และขออวยพรชัยอันประเสริฐมายัง ฯพณฯ จงมีสุขภาพแข็งแรง มีความผาสุก และประสบผลสําเร็จในภารกิจอันสูงส่งของ ฯพณฯ
ด้วยความนับถืออย่างสูง
ทองลุน สีสุลิด
ฯพณฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่ กรุงเทพมหานคร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37708
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. อนุทินฯ รับมอบช้อนจีน 6 แสนคันจากภาคเอกชน เพื่อนำไปช่วยเหลือการดำเนินงานป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ใน รพ.พระนั่งเกล้า และ รพ.สต. ทั่วประเทศ
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รองนรม. อนุทินฯ รับมอบช้อนจีน 6 แสนคันจากภาคเอกชน เพื่อนําไปช่วยเหลือการดําเนินงานป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ใน รพ.พระนั่งเกล้า และ รพ.สต. ทั่วประเทศ
รองนรม. อนุทินฯ รับมอบช้อนจีน 6 แสนคันจากภาคเอกชน เพื่อนําไปช่วยเหลือการดําเนินงานป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ใน รพ.พระนั่งเกล้า และ รพ.สต. ทั่วประเทศ
วันนี้ (18 พ.ย. 63) เวลา 12.45 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล คณะผู้บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จํากัด (Seagull) เข้าพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อมอบของบริจาคช่วยเหลือดําเนินงานป้องกันโรคโควิด-19 โดยมี นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สินชัย ตันติรัตนานนท์ ผู้อํานวยการกองบริหารการสาธาณสุข และ นพ.มณเฑียร เพ็งสมบัติ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ร่วมการรับมอบในครั้งนี้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีรับมอบช้อนจีน (สเตนเลส) จํานวน 6 แสนคัน มูลค่า 1.2 ล้านบาท เพื่อนําไปช่วยเหลือการดําเนินงานป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทั่วประเทศ ทั้งนี้ บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จํากัด (Seagull) จะทําการมอบเครื่องนึ่งขวดนมแก่โรงพยาบาลเด็ก เพื่อนําไปใช้เป็นคุณประโยชน์อีกด้วย โดยรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณภาคเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 พร้อมกําชับให้มีการแจกจ่ายช้อนจีน (สเตนเลส) อย่างทั่วถึงในสถานพยาบาล หรือตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ขาดแคลนด้วย
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. อนุทินฯ รับมอบช้อนจีน 6 แสนคันจากภาคเอกชน เพื่อนำไปช่วยเหลือการดำเนินงานป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ใน รพ.พระนั่งเกล้า และ รพ.สต. ทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รองนรม. อนุทินฯ รับมอบช้อนจีน 6 แสนคันจากภาคเอกชน เพื่อนําไปช่วยเหลือการดําเนินงานป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ใน รพ.พระนั่งเกล้า และ รพ.สต. ทั่วประเทศ
รองนรม. อนุทินฯ รับมอบช้อนจีน 6 แสนคันจากภาคเอกชน เพื่อนําไปช่วยเหลือการดําเนินงานป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ใน รพ.พระนั่งเกล้า และ รพ.สต. ทั่วประเทศ
วันนี้ (18 พ.ย. 63) เวลา 12.45 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล คณะผู้บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จํากัด (Seagull) เข้าพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อมอบของบริจาคช่วยเหลือดําเนินงานป้องกันโรคโควิด-19 โดยมี นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สินชัย ตันติรัตนานนท์ ผู้อํานวยการกองบริหารการสาธาณสุข และ นพ.มณเฑียร เพ็งสมบัติ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ร่วมการรับมอบในครั้งนี้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีรับมอบช้อนจีน (สเตนเลส) จํานวน 6 แสนคัน มูลค่า 1.2 ล้านบาท เพื่อนําไปช่วยเหลือการดําเนินงานป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทั่วประเทศ ทั้งนี้ บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จํากัด (Seagull) จะทําการมอบเครื่องนึ่งขวดนมแก่โรงพยาบาลเด็ก เพื่อนําไปใช้เป็นคุณประโยชน์อีกด้วย โดยรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณภาคเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 พร้อมกําชับให้มีการแจกจ่ายช้อนจีน (สเตนเลส) อย่างทั่วถึงในสถานพยาบาล หรือตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ขาดแคลนด้วย
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37720
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ย้ำ เร่งบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมเห็นชอบโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านหนองกระทิง เพิ่มแหล่งน้ำดิบสำรอง เสริมศักยภาพผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำบางปะกง
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ย้ํา เร่งบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมเห็นชอบโครงการอ่างเก็บน้ําบ้านหนองกระทิง เพิ่มแหล่งน้ําดิบสํารอง เสริมศักยภาพผลักดันน้ําเค็มในแม่น้ําบางปะกง
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ย้ํา เร่งบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมเห็นชอบโครงการอ่างเก็บน้ําบ้านหนองกระทิง เพิ่มแหล่งน้ําดิบสํารอง เสริมศักยภาพผลักดันน้ําเค็มในแม่น้ําบางปะกง
วันนี้ (18 ธ.ค. 63) เวลา 10.30 น ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสําคัญ ครั้งที่ 4/2563 เพื่อพิจารณาโครงการขนาดใหญ่และโครงสร้างสําคัญที่หน่วยงานเตรียมเสนอขอตั้งงบประมาณ ปี 2565 ก่อนเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (กนช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการโครงการอ่างเก็บน้ําบ้านหนองกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นเขื่อนเก็บกักน้ําความจุ 15 ล้าน ลบ.ม. โดยมีพื้นที่เก็บกักน้ําในฤดูฝน 10,000 ไร่ และในฤดูแล้ง 3,000 ไร่ กรอบวงเงิน 1,370 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินการ 4 ปี (พ.ศ. 2565 - 2568) เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นแหล่งน้ําดิบสํารองเพื่อการอุปโภคและบริโภคในพื้นที่ อีกทั้งช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศวิทยาในการเสริมศักยภาพการผลักดันน้ําเค็มในแม่น้ําบางปะกง รวมทั้งเป็นการเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่โครงการให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อีกด้วย
ที่ประชุมได้มีการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสําคัญที่ผ่านความเห็นชอบจาก กนช. ทั้งสิ้นจํานวน 32 โครงการ ซึ่งผ่านคณะรัฐมนตรีและได้รับงบประมาณเรียบร้อยแล้วจํานวน 23 โครงการ ผ่านความเห็นชอบของ กนช. แล้วแต่ยังไม่ได้เสนอคณะรัฐมนตรี 3 โครงการ ซึ่งที่ประชุมได้เร่งรัดให้เสนอโครงการเพื่อให้ทันกับการขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี 2565 และโครงการที่อยู่ระหว่างการดําเนินการขอตั้งงบประมาณปี 2565 อีกจํานวน 6 โครงการ สําหรับโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชฯ นั้น ที่ประชุมได้เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดําเนินการให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เร่งขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จํานวน 151 โครงการให้สามารถดําเนินการได้ตามเป้าหมายด้วยเช่นกัน
รองนายกรัฐมนตรี ยังได้เร่งรัดการดําเนินการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสําคัญ เพื่อการจัดสรรน้ําอย่างเป็นระบบ ให้ประชาชนทุกส่วนได้ใช้ประโยชน์ในทางการเกษตร และอุปโภคบริโภคได้ตลอดทั้งปี พร้อมย้ําโครงการที่เสนอจะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองให้ความเห็นชอบในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับจังหวัด เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการมีความพร้อมในทุกด้าน ไม่เกิดปัญหาหลังจากได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อบรรลุเป้าหมายของโครงการที่ได้วางแผนไว้
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ย้ำ เร่งบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมเห็นชอบโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านหนองกระทิง เพิ่มแหล่งน้ำดิบสำรอง เสริมศักยภาพผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำบางปะกง
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ย้ํา เร่งบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมเห็นชอบโครงการอ่างเก็บน้ําบ้านหนองกระทิง เพิ่มแหล่งน้ําดิบสํารอง เสริมศักยภาพผลักดันน้ําเค็มในแม่น้ําบางปะกง
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ย้ํา เร่งบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมเห็นชอบโครงการอ่างเก็บน้ําบ้านหนองกระทิง เพิ่มแหล่งน้ําดิบสํารอง เสริมศักยภาพผลักดันน้ําเค็มในแม่น้ําบางปะกง
วันนี้ (18 ธ.ค. 63) เวลา 10.30 น ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสําคัญ ครั้งที่ 4/2563 เพื่อพิจารณาโครงการขนาดใหญ่และโครงสร้างสําคัญที่หน่วยงานเตรียมเสนอขอตั้งงบประมาณ ปี 2565 ก่อนเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (กนช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการโครงการอ่างเก็บน้ําบ้านหนองกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นเขื่อนเก็บกักน้ําความจุ 15 ล้าน ลบ.ม. โดยมีพื้นที่เก็บกักน้ําในฤดูฝน 10,000 ไร่ และในฤดูแล้ง 3,000 ไร่ กรอบวงเงิน 1,370 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินการ 4 ปี (พ.ศ. 2565 - 2568) เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นแหล่งน้ําดิบสํารองเพื่อการอุปโภคและบริโภคในพื้นที่ อีกทั้งช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศวิทยาในการเสริมศักยภาพการผลักดันน้ําเค็มในแม่น้ําบางปะกง รวมทั้งเป็นการเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่โครงการให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อีกด้วย
ที่ประชุมได้มีการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสําคัญที่ผ่านความเห็นชอบจาก กนช. ทั้งสิ้นจํานวน 32 โครงการ ซึ่งผ่านคณะรัฐมนตรีและได้รับงบประมาณเรียบร้อยแล้วจํานวน 23 โครงการ ผ่านความเห็นชอบของ กนช. แล้วแต่ยังไม่ได้เสนอคณะรัฐมนตรี 3 โครงการ ซึ่งที่ประชุมได้เร่งรัดให้เสนอโครงการเพื่อให้ทันกับการขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี 2565 และโครงการที่อยู่ระหว่างการดําเนินการขอตั้งงบประมาณปี 2565 อีกจํานวน 6 โครงการ สําหรับโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชฯ นั้น ที่ประชุมได้เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดําเนินการให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เร่งขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จํานวน 151 โครงการให้สามารถดําเนินการได้ตามเป้าหมายด้วยเช่นกัน
รองนายกรัฐมนตรี ยังได้เร่งรัดการดําเนินการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสําคัญ เพื่อการจัดสรรน้ําอย่างเป็นระบบ ให้ประชาชนทุกส่วนได้ใช้ประโยชน์ในทางการเกษตร และอุปโภคบริโภคได้ตลอดทั้งปี พร้อมย้ําโครงการที่เสนอจะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองให้ความเห็นชอบในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับจังหวัด เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการมีความพร้อมในทุกด้าน ไม่เกิดปัญหาหลังจากได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อบรรลุเป้าหมายของโครงการที่ได้วางแผนไว้
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37719
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อความสุขของประชาชน บูรณาการขับเคลื่อนงานโครงการจิตอาสาฯ ร่วมศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้การทำงานมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
คณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อความสุขของประชาชน บูรณาการขับเคลื่อนงานโครงการจิตอาสาฯ ร่วมศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้การทํางานมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อความสุขของประชาชน บูรณาการขับเคลื่อนงานโครงการจิตอาสาฯ ร่วมศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้การทํางานมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม
วันนี้ (18 ธ.ค.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2563 ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่และอํานาจสําคัญในการขับเคลื่อนการดําเนินงานร่วมกับศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ในการน้อมนําแนวพระราชดําริมาดําเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน จึงมีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 156/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชนขึ้น เพื่อให้การขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการจิตอาสาพระราชทานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรมตามพระบรมราโชบายอย่างสมพระเกียรติ
สําหรับการประชุมวันนี้เป็นการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชน และศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เพื่อบูรณาการและเสริมการทํางานร่วมกันให้การทํางานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน โครงการจิตอาสาพระราชทาน เพื่อให้เกิดความรู้รักสามัคคี ประชาชนมีความสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง อย่างยั่งยืน ภายใต้พระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ และแนวพระราชดําริต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนที่ลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทานแล้วจํานวนประมาณ 6.7 ล้านคน โดยนายกรัฐมนตรีแนะให้มีการบริหารจัดการข้อมูลของจิตอาสาให้ชัดเจนเป็นปัจจุบันและทันสมัย เพื่อนําข้อมูลมาใช้ประกอบการพิจารณาในการดําเนินการหาจิตอาสามาทดแทนในส่วนที่ต้องเสริมให้เพียงพอ พร้อมเน้นย้ําถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของจิตอาสาต้องมีความระมัดระวังและมีอุปกรณ์ในการดูแลป้องกันตนเองในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่เรื่องของภัยพิบัติ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ฝากให้ช่วยกันดําเนินการในเรื่องของการทําฝายชะลอน้ํา เพื่อเก็บกักน้ําต้นทางไว้ให้มากที่สุด รวมไปถึงการดูแลแม่น้ําลําคลองให้สะอาดสวยงาม การกําจัดผักตบชวา การสนับสนุนส่งเสริมให้ปลูกไม้มีค่า 58 ชนิด เพื่อเป็นสินทรัพย์และหลักทรัพย์ค้ําประกันของประชาชนในอนาคต การปลูกไม้ยืนต้นและไม้ดอกสวยงามตามพื้นที่ต่าง ๆ ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มสีสันและความสวยงามให้กับประเทศได้
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้รับทราบภาพรวมภารกิจและผลการดําเนินงานจิตอาสาพระราชทาน ซึ่งได้รวมความสามัคคีของคนไทยทุกหมู่เหล่า มาทํากิจกรรมสาธารณประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ให้มีความเจริญก้าวหน้าจนบังเกิดเป็นประโยชน์สุขต่อสังคมส่วนรวมอย่างยั่งยืน โดยมีการแบ่งจิตอาสาพระราชทาน แยกตามภารกิจ/กิจกรรม เป็น 3 ประเภท ได้แก่ จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ จิตอาสาเฉพาะกิจ
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบการแต่งตั้งผู้ประสานงานของหน่วยงานระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า โดยมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เป็นผู้ประสานงานและแจ้งให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีทราบภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ เพื่ออํานวยการ กํากับดูแล สนับสนุนการดําเนินกิจกรรมจิตอาสากับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเห็นชอบให้ทุกหน่วยงานพิจารณาดําเนินงานและจัดกิจกรรมจิตอาสาตามหน้าที่และอํานาจของแต่ละหน่วยงานต่อไป
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อความสุขของประชาชน บูรณาการขับเคลื่อนงานโครงการจิตอาสาฯ ร่วมศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้การทำงานมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
คณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อความสุขของประชาชน บูรณาการขับเคลื่อนงานโครงการจิตอาสาฯ ร่วมศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้การทํางานมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อความสุขของประชาชน บูรณาการขับเคลื่อนงานโครงการจิตอาสาฯ ร่วมศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้การทํางานมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม
วันนี้ (18 ธ.ค.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2563 ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่และอํานาจสําคัญในการขับเคลื่อนการดําเนินงานร่วมกับศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ในการน้อมนําแนวพระราชดําริมาดําเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน จึงมีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 156/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชนขึ้น เพื่อให้การขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการจิตอาสาพระราชทานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรมตามพระบรมราโชบายอย่างสมพระเกียรติ
สําหรับการประชุมวันนี้เป็นการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของประชาชน และศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เพื่อบูรณาการและเสริมการทํางานร่วมกันให้การทํางานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน โครงการจิตอาสาพระราชทาน เพื่อให้เกิดความรู้รักสามัคคี ประชาชนมีความสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง อย่างยั่งยืน ภายใต้พระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ และแนวพระราชดําริต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนที่ลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทานแล้วจํานวนประมาณ 6.7 ล้านคน โดยนายกรัฐมนตรีแนะให้มีการบริหารจัดการข้อมูลของจิตอาสาให้ชัดเจนเป็นปัจจุบันและทันสมัย เพื่อนําข้อมูลมาใช้ประกอบการพิจารณาในการดําเนินการหาจิตอาสามาทดแทนในส่วนที่ต้องเสริมให้เพียงพอ พร้อมเน้นย้ําถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของจิตอาสาต้องมีความระมัดระวังและมีอุปกรณ์ในการดูแลป้องกันตนเองในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่เรื่องของภัยพิบัติ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ฝากให้ช่วยกันดําเนินการในเรื่องของการทําฝายชะลอน้ํา เพื่อเก็บกักน้ําต้นทางไว้ให้มากที่สุด รวมไปถึงการดูแลแม่น้ําลําคลองให้สะอาดสวยงาม การกําจัดผักตบชวา การสนับสนุนส่งเสริมให้ปลูกไม้มีค่า 58 ชนิด เพื่อเป็นสินทรัพย์และหลักทรัพย์ค้ําประกันของประชาชนในอนาคต การปลูกไม้ยืนต้นและไม้ดอกสวยงามตามพื้นที่ต่าง ๆ ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มสีสันและความสวยงามให้กับประเทศได้
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้รับทราบภาพรวมภารกิจและผลการดําเนินงานจิตอาสาพระราชทาน ซึ่งได้รวมความสามัคคีของคนไทยทุกหมู่เหล่า มาทํากิจกรรมสาธารณประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ให้มีความเจริญก้าวหน้าจนบังเกิดเป็นประโยชน์สุขต่อสังคมส่วนรวมอย่างยั่งยืน โดยมีการแบ่งจิตอาสาพระราชทาน แยกตามภารกิจ/กิจกรรม เป็น 3 ประเภท ได้แก่ จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ จิตอาสาเฉพาะกิจ
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบการแต่งตั้งผู้ประสานงานของหน่วยงานระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า โดยมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เป็นผู้ประสานงานและแจ้งให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีทราบภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ เพื่ออํานวยการ กํากับดูแล สนับสนุนการดําเนินกิจกรรมจิตอาสากับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเห็นชอบให้ทุกหน่วยงานพิจารณาดําเนินงานและจัดกิจกรรมจิตอาสาตามหน้าที่และอํานาจของแต่ละหน่วยงานต่อไป
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37731
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี พร้อมผลักดันการพัฒนาระบบ 5G ควบคู่แผนพัฒนาการเกษตรเชื่อมโยงอุตสาหกรรม
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
นายกฯ เร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี พร้อมผลักดันการพัฒนาระบบ 5G ควบคู่แผนพัฒนาการเกษตรเชื่อมโยงอุตสาหกรรม
นายกฯ เร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี พร้อมผลักดันการพัฒนาระบบ 5G ควบคู่แผนพัฒนาการเกษตรเชื่อมโยงอุตสาหกรรม
วันนี้ (18 ธ.ค.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 5/2563 ร่วมกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาความก้าวหน้าการดําเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการประชุมดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเรื่องความก้าวหน้าในการดําเนินงานในพื้นที่อีอีซี ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของประเทศไทยที่ต้องช่วยกันให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบ และเป็นไปตามแผนงานทุกประการ พร้อมกล่าวย้ําในเรื่องการลงทุนในเขตอีอีซีว่า จะต้องหาวิธีการให้มีการลงทุนในพื้นที่อีอีซีให้มากขึ้น และส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น
ที่ประชุม กพอ. พิจารณาการพัฒนาโครงข่าย 5G และโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) โดยพิจารณาแนวทางการดําเนินงานผลักดันการใช้ประโยชน์จาก 5G ให้เกิดการลงทุนพัฒนาระบบ 5G ในพื้นที่ อีอีซี โดยมีแนวทาง ดังนี้ (1) สร้างผู้ใช้ 5G อย่างเป็นระบบ ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยี 5G ในโรงงานทั้งหมดในพื้นที่เขตส่งเสริมอีอีซี ประมาณ 10,000 แห่ง โรงแรมทั้งหมดในอีอีซี ประมาณ 300 แห่ง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มเอสเอ็มอี โดยได้จัดทําโครงการนําร่องพัฒนาระบบ 5G เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชน เริ่มตั้งแต่ บริเวณฐานทัพเรือสัตหีบเสริมความมั่นคง สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน เสริมโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเสริมประสิทธิภาพอุตสาหกรรม และอําเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อให้ชุมชนได้เริ่มทดลองใช้ระบบ 5G (2) เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูล ผลักดันให้ภาคเอกชนและภาครัฐ จัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ในพื้นที่ อีอีซี โดยให้ EECd เป็นจุดติดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) นอกจากนี้ วางแนวทางและปรับข้อกฎหมาย นําข้อมูลคลาวด์ภาครัฐ และคลาวด์ภาคเอกชน เฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยได้มาจัดทําข้อมูลกลาง เพื่อธุรกิจในอนาคต (Common Data Lake) เพื่อให้ภาคธุรกิจ และกลุ่มสตาร์ทอัพ นําข้อมูลดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เช่น E-Commerce การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการแพทย์ (3) พัฒนาบุคลากรดิจิทัล ผลักดันเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุนการพัฒนาคน โดยเน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการของเอกชน (Up-Re-New) จํานวน 100,000 คน นอกจากนี้ ได้ปรับแนวทางการดําเนินโครงการ EECd ให้เป็นกลไกหลักเพื่อขับเคลื่อนพัฒนาโครงข่าย 5G ซึ่งวิธีการพัฒนาจะเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีประสบการณ์ จัดตั้งเขตนวัตกรรมดิจิทัลในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน และสหภาพยุโรป โดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นเจ้าภาพ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุม กพอ. รับทราบการขอรับส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ช่วง 11 เดือน (ม.ค.- พ.ย. 2563) มีทั้งสิ้น 387 โครงการ มูลค่าลงทุนสูงถึง 1.28 แสนล้านบาท เทียบเท่าครึ่งหนึ่งของการลงทุนทั้งประเทศ เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ 76,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี โดยนักลงทุนที่สนใจจะลงทุน ขณะนี้ บีโอไอ ได้ประสานกระทรวงต่างประเทศ ทดลองผ่อนผันการกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ เพื่อความสะดวกและเป็นแรงจูงใจ ให้กับนักลงทุนในการเข้ามาลงทุนในอีอีซี
กพอ. ยังรับทราบความก้าวหน้าแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่ อีอีซี โดยแผนเกษตรในอีอีซี ใช้ความต้องการตลาดนํา (Demand Pull) เน้นเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร พัฒนาสินค้าตรงความต้องการ ใช้เทคโนโลยีสร้างรายได้ (Technology Push) ให้สินค้าเกษตรมีคุณภาพดี ราคาสูง ให้ความสําคัญ 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ ผลไม้ ประมงเพาะเลี้ยง พืชชีวภาพ พืชสมุนไพร ปศุสัตว์ เพื่อยกระดับการผลิตตรงความต้องการ เพิ่มมูลค่า สร้างรายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืน และมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้แผนฯ เป็นกรอบในการขอรับงบประมาณปี 2565 เป้าหมายหลัก ต้องการยกระดับภาคเกษตร ใช้เทคโนโลยีนําการผลิต สินค้าตรงตามความต้องการของตลาด เพิ่มรายได้ภาคเกษตร ใกล้เคียงภาคอุตสาหกรรม
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี พร้อมผลักดันการพัฒนาระบบ 5G ควบคู่แผนพัฒนาการเกษตรเชื่อมโยงอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
นายกฯ เร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี พร้อมผลักดันการพัฒนาระบบ 5G ควบคู่แผนพัฒนาการเกษตรเชื่อมโยงอุตสาหกรรม
นายกฯ เร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี พร้อมผลักดันการพัฒนาระบบ 5G ควบคู่แผนพัฒนาการเกษตรเชื่อมโยงอุตสาหกรรม
วันนี้ (18 ธ.ค.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 5/2563 ร่วมกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาความก้าวหน้าการดําเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการประชุมดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเรื่องความก้าวหน้าในการดําเนินงานในพื้นที่อีอีซี ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของประเทศไทยที่ต้องช่วยกันให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบ และเป็นไปตามแผนงานทุกประการ พร้อมกล่าวย้ําในเรื่องการลงทุนในเขตอีอีซีว่า จะต้องหาวิธีการให้มีการลงทุนในพื้นที่อีอีซีให้มากขึ้น และส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น
ที่ประชุม กพอ. พิจารณาการพัฒนาโครงข่าย 5G และโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) โดยพิจารณาแนวทางการดําเนินงานผลักดันการใช้ประโยชน์จาก 5G ให้เกิดการลงทุนพัฒนาระบบ 5G ในพื้นที่ อีอีซี โดยมีแนวทาง ดังนี้ (1) สร้างผู้ใช้ 5G อย่างเป็นระบบ ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยี 5G ในโรงงานทั้งหมดในพื้นที่เขตส่งเสริมอีอีซี ประมาณ 10,000 แห่ง โรงแรมทั้งหมดในอีอีซี ประมาณ 300 แห่ง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มเอสเอ็มอี โดยได้จัดทําโครงการนําร่องพัฒนาระบบ 5G เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชน เริ่มตั้งแต่ บริเวณฐานทัพเรือสัตหีบเสริมความมั่นคง สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน เสริมโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเสริมประสิทธิภาพอุตสาหกรรม และอําเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อให้ชุมชนได้เริ่มทดลองใช้ระบบ 5G (2) เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูล ผลักดันให้ภาคเอกชนและภาครัฐ จัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ในพื้นที่ อีอีซี โดยให้ EECd เป็นจุดติดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) นอกจากนี้ วางแนวทางและปรับข้อกฎหมาย นําข้อมูลคลาวด์ภาครัฐ และคลาวด์ภาคเอกชน เฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยได้มาจัดทําข้อมูลกลาง เพื่อธุรกิจในอนาคต (Common Data Lake) เพื่อให้ภาคธุรกิจ และกลุ่มสตาร์ทอัพ นําข้อมูลดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เช่น E-Commerce การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการแพทย์ (3) พัฒนาบุคลากรดิจิทัล ผลักดันเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุนการพัฒนาคน โดยเน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการของเอกชน (Up-Re-New) จํานวน 100,000 คน นอกจากนี้ ได้ปรับแนวทางการดําเนินโครงการ EECd ให้เป็นกลไกหลักเพื่อขับเคลื่อนพัฒนาโครงข่าย 5G ซึ่งวิธีการพัฒนาจะเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีประสบการณ์ จัดตั้งเขตนวัตกรรมดิจิทัลในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน และสหภาพยุโรป โดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นเจ้าภาพ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุม กพอ. รับทราบการขอรับส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ช่วง 11 เดือน (ม.ค.- พ.ย. 2563) มีทั้งสิ้น 387 โครงการ มูลค่าลงทุนสูงถึง 1.28 แสนล้านบาท เทียบเท่าครึ่งหนึ่งของการลงทุนทั้งประเทศ เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ 76,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี โดยนักลงทุนที่สนใจจะลงทุน ขณะนี้ บีโอไอ ได้ประสานกระทรวงต่างประเทศ ทดลองผ่อนผันการกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ เพื่อความสะดวกและเป็นแรงจูงใจ ให้กับนักลงทุนในการเข้ามาลงทุนในอีอีซี
กพอ. ยังรับทราบความก้าวหน้าแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่ อีอีซี โดยแผนเกษตรในอีอีซี ใช้ความต้องการตลาดนํา (Demand Pull) เน้นเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร พัฒนาสินค้าตรงความต้องการ ใช้เทคโนโลยีสร้างรายได้ (Technology Push) ให้สินค้าเกษตรมีคุณภาพดี ราคาสูง ให้ความสําคัญ 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ ผลไม้ ประมงเพาะเลี้ยง พืชชีวภาพ พืชสมุนไพร ปศุสัตว์ เพื่อยกระดับการผลิตตรงความต้องการ เพิ่มมูลค่า สร้างรายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืน และมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้แผนฯ เป็นกรอบในการขอรับงบประมาณปี 2565 เป้าหมายหลัก ต้องการยกระดับภาคเกษตร ใช้เทคโนโลยีนําการผลิต สินค้าตรงตามความต้องการของตลาด เพิ่มรายได้ภาคเกษตร ใกล้เคียงภาคอุตสาหกรรม
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37721
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. แสดงความเสียใจกรณีลูกค้าสาขาลำปลายมาศเสียชีวิต พร้อมแจงการให้บริการทำธุรกรรมที่สาขา
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. แสดงความเสียใจกรณีลูกค้าสาขาลําปลายมาศเสียชีวิต พร้อมแจงการให้บริการทําธุรกรรมที่สาขา
ธ.ก.ส.ขอแสดงความเสียใจต่อกรณีที่ลูกค้าสาขาลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะเดินทางมาทําธุรกรรมที่สาขา แจงมีเกษตรกรและประชาชนทั่วไปมาใช้บริการที่สาขาเป็นจํานวนมากเพื่อมารับเงินจากโครงการนโยบายรัฐต่างๆ
ธ.ก.ส.ขอแสดงความเสียใจต่อกรณีที่ลูกค้าสาขาลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะเดินทางมาทําธุรกรรมที่สาขา แจงมีเกษตรกรและประชาชนทั่วไปมาใช้บริการที่สาขาเป็นจํานวนมากเพื่อมารับเงินจากโครงการนโยบายรัฐต่าง ๆ พร้อมแนะช่องทางการใช้บริการโดยไม่ต้องเดินทางไปสาขา ผ่าน ATM และ A-Mobile ได้
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวลูกค้าสาขาลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะเดินทางมารับคิวใช้บริการที่ ธ.ก.ส. สาขาลําปลายมาศ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยธนาคารได้มอบหมายให้ผู้จัดการสาขานําพวงหรีด เงินร่วมทําบุญ น้ําดื่ม ไปเคารพศพ ซึ่งญาติ ๆ เข้าใจถึงสถานการณ์ดังกล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีโครงการนโยบายรัฐที่จ่ายเงินให้กับเกษตรกรจํานวนมากผ่านระบบ ธ.ก.ส. เช่น โครงการประกันรายได้พืชเศรษฐกิจหลัก 5 ประเภท (ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา มันสําปะหลัง และปาล์มน้ํามัน) ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 5 ล้านครัวเรือน และยังมีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยยังชีพคนพิการ ผู้เข้าร่วมโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ และค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เป็นต้น ทําให้มีเกษตรกรรวมถึงประชาชนทั่วไปมาใช้บริการที่สาขาจํานวนมากในแต่ละวัน โดยเฉพาะที่สาขาดังกล่าวมีการโอนเงินกว่า 13,000 ราย ประกอบกับเป็นช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ธ.ก.ส. คํานึงถึงความปลอดภัย ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข จึงได้พยายามบริหารจัดการการให้บริการผ่านการแจกบัตรคิว เพื่อมิให้ลูกค้าต้องมารอหน้าสาขานานเกินไป ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าทราบช่วงเวลาที่จะได้รับบริการและสามารถบริหารจัดการเวลาเพื่อทําภารกิจอื่น ๆ ของตนเองได้
อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. ได้เชิญชวนให้ลูกค้าที่มีบัตร ATM ทําธุรกรรมผ่านตู้ถอนเงินอัตโนมัติหรือโอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile รวมถึงมีการนัดหมายผ่านผู้นําชุมชนเพื่อให้บริการตามหมู่บ้าน พร้อมทั้งได้ประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานในพื้นที่ เช่น ตํารวจ อสม. เข้ามาอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเข้ามาใช้บริการ
ธ.ก.ส. มุ่งทํางานอย่างเต็มที่เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด และจะนําข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาพัฒนาแนวทางการดําเนินงานให้ดียิ่งขึ้นสําหรับรองรับการทําธุรกรรมของลูกค้าที่มีปริมาณมากต่อไป นายสมเกียรติกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. แสดงความเสียใจกรณีลูกค้าสาขาลำปลายมาศเสียชีวิต พร้อมแจงการให้บริการทำธุรกรรมที่สาขา
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
ธ.ก.ส. แสดงความเสียใจกรณีลูกค้าสาขาลําปลายมาศเสียชีวิต พร้อมแจงการให้บริการทําธุรกรรมที่สาขา
ธ.ก.ส.ขอแสดงความเสียใจต่อกรณีที่ลูกค้าสาขาลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะเดินทางมาทําธุรกรรมที่สาขา แจงมีเกษตรกรและประชาชนทั่วไปมาใช้บริการที่สาขาเป็นจํานวนมากเพื่อมารับเงินจากโครงการนโยบายรัฐต่างๆ
ธ.ก.ส.ขอแสดงความเสียใจต่อกรณีที่ลูกค้าสาขาลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะเดินทางมาทําธุรกรรมที่สาขา แจงมีเกษตรกรและประชาชนทั่วไปมาใช้บริการที่สาขาเป็นจํานวนมากเพื่อมารับเงินจากโครงการนโยบายรัฐต่าง ๆ พร้อมแนะช่องทางการใช้บริการโดยไม่ต้องเดินทางไปสาขา ผ่าน ATM และ A-Mobile ได้
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวลูกค้าสาขาลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะเดินทางมารับคิวใช้บริการที่ ธ.ก.ส. สาขาลําปลายมาศ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยธนาคารได้มอบหมายให้ผู้จัดการสาขานําพวงหรีด เงินร่วมทําบุญ น้ําดื่ม ไปเคารพศพ ซึ่งญาติ ๆ เข้าใจถึงสถานการณ์ดังกล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีโครงการนโยบายรัฐที่จ่ายเงินให้กับเกษตรกรจํานวนมากผ่านระบบ ธ.ก.ส. เช่น โครงการประกันรายได้พืชเศรษฐกิจหลัก 5 ประเภท (ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา มันสําปะหลัง และปาล์มน้ํามัน) ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 5 ล้านครัวเรือน และยังมีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยยังชีพคนพิการ ผู้เข้าร่วมโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ และค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เป็นต้น ทําให้มีเกษตรกรรวมถึงประชาชนทั่วไปมาใช้บริการที่สาขาจํานวนมากในแต่ละวัน โดยเฉพาะที่สาขาดังกล่าวมีการโอนเงินกว่า 13,000 ราย ประกอบกับเป็นช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ธ.ก.ส. คํานึงถึงความปลอดภัย ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข จึงได้พยายามบริหารจัดการการให้บริการผ่านการแจกบัตรคิว เพื่อมิให้ลูกค้าต้องมารอหน้าสาขานานเกินไป ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าทราบช่วงเวลาที่จะได้รับบริการและสามารถบริหารจัดการเวลาเพื่อทําภารกิจอื่น ๆ ของตนเองได้
อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. ได้เชิญชวนให้ลูกค้าที่มีบัตร ATM ทําธุรกรรมผ่านตู้ถอนเงินอัตโนมัติหรือโอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile รวมถึงมีการนัดหมายผ่านผู้นําชุมชนเพื่อให้บริการตามหมู่บ้าน พร้อมทั้งได้ประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานในพื้นที่ เช่น ตํารวจ อสม. เข้ามาอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเข้ามาใช้บริการ
ธ.ก.ส. มุ่งทํางานอย่างเต็มที่เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด และจะนําข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาพัฒนาแนวทางการดําเนินงานให้ดียิ่งขึ้นสําหรับรองรับการทําธุรกรรมของลูกค้าที่มีปริมาณมากต่อไป นายสมเกียรติกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37726
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันคล้ายวันสถาปนา SME D Bank ก้าวสู่ปีที่ 19
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
วันคล้ายวันสถาปนา SME D Bank ก้าวสู่ปีที่ 19
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ณ อาคาร SME Bank Tower
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) 10.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank พร้อมด้วยนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการและผู้บริหารธนาคาร ร่วมพิธีสงฆ์ เจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารเพล พระสงฆ์จํานวน 9 รูป เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ก้าวสู่ปีที่ 19 ณ อาคาร SME Bank Tower
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันคล้ายวันสถาปนา SME D Bank ก้าวสู่ปีที่ 19
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
วันคล้ายวันสถาปนา SME D Bank ก้าวสู่ปีที่ 19
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ณ อาคาร SME Bank Tower
วันนี้ (18 ธันวาคม 2563) 10.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank พร้อมด้วยนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการและผู้บริหารธนาคาร ร่วมพิธีสงฆ์ เจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารเพล พระสงฆ์จํานวน 9 รูป เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ก้าวสู่ปีที่ 19 ณ อาคาร SME Bank Tower
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37736
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 15/2563
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 15/2563
รองปลัด กษ. ร่วมประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 15/2563
นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 15/2563 ในฐานะกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ซึ่งที่ประชุมได้หารือและพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1) โรงงานน้ําตาลขอผ่อนผันขยายระยะเวลาการนําส่งเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย ตามระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทรายว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข การจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย เพื่อใช้ในการดําเนินการตามวัตถุประสงค์ ของกองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย พ.ศ. 2563
2) ขอทบทวนการกําหนดอัตราค่าบํารุงสถาบันชาวไร่อ้อย ฤดูการผลิตปี 2563/2564
3) การกําหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจําหน่ายน้ําตาลทราย ขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2562/2563
4) การกําหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจําหน่ายน้ําตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2563/2564
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ครั้งที่ 15/2563
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 15/2563
รองปลัด กษ. ร่วมประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 15/2563
นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ครั้งที่ 15/2563 ในฐานะกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ซึ่งที่ประชุมได้หารือและพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1) โรงงานน้ําตาลขอผ่อนผันขยายระยะเวลาการนําส่งเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย ตามระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทรายว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข การจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย เพื่อใช้ในการดําเนินการตามวัตถุประสงค์ ของกองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย พ.ศ. 2563
2) ขอทบทวนการกําหนดอัตราค่าบํารุงสถาบันชาวไร่อ้อย ฤดูการผลิตปี 2563/2564
3) การกําหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจําหน่ายน้ําตาลทราย ขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2562/2563
4) การกําหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจําหน่ายน้ําตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2563/2564
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37725
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ห่วงโควิดระบาดเข้าประเทศ แนะนายจ้างสอดส่องลูกจ้างต่างด้าว
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ ห่วงโควิดระบาดเข้าประเทศ แนะนายจ้างสอดส่องลูกจ้างต่างด้าว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงโรคโควิด-19 ระบาดซ้ํา มอบกรมการจัดหางาน แนะนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าว พูดคุยทําความเข้าใจป้องกันการลักลอบ ออก-เข้าประเทศ พร้อมย้ําฉลองคริสต์มาส-ปีใหม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) และนายจ้าง/สถานประกอบการ หวั่นแรงงานต่างด้าวต้องการเดินทางร่วมงาน เทศกาลคริสมาสต์-ปีใหม่ กิจกรรมเฉลิมฉลองตามประเพณี ที่ประเทศภูมิลําเนา จนเกิดการลักลอบออก-เข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติ กําชับกรมการจัดหางาน แนะนายจ้างพูดคุยทําความเข้าใจกับลูกจ้างเพื่อสร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัยร่วมกัน หากจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันหลายคน ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม ล้างมือบ่อย ๆ หรือทําความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ทําความสะอาด เช็ดถูพื้นผิว วัสดุอุปกรณ์ ที่ใช้ในการจัดกิจกรรมอย่างสม่ําเสมอ ดูแลตนเอง ตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง และคนรอบข้างให้มาก
“ หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบแรงงานต่างด้าวลักลอบเดินทางออกจากประเทศไทย และเดินทางกลับเข้ามาใหม่จะถูกดําเนินคดี และผลักดันส่งกลับประเทศ หรือหากมีเหตุอันควรสงสัยว่าแรงงานต่างด้าวดังกล่าว น่าจะเดินทางกลับเข้าไปในพรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และลักลอบเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยจะถูกส่งตัวไปยังสถานที่กักกันตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยนายจ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัวและตรวจหาเชื้อดังกล่าว ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเตือน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ห่วงโควิดระบาดเข้าประเทศ แนะนายจ้างสอดส่องลูกจ้างต่างด้าว
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ ห่วงโควิดระบาดเข้าประเทศ แนะนายจ้างสอดส่องลูกจ้างต่างด้าว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงโรคโควิด-19 ระบาดซ้ํา มอบกรมการจัดหางาน แนะนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าว พูดคุยทําความเข้าใจป้องกันการลักลอบ ออก-เข้าประเทศ พร้อมย้ําฉลองคริสต์มาส-ปีใหม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) และนายจ้าง/สถานประกอบการ หวั่นแรงงานต่างด้าวต้องการเดินทางร่วมงาน เทศกาลคริสมาสต์-ปีใหม่ กิจกรรมเฉลิมฉลองตามประเพณี ที่ประเทศภูมิลําเนา จนเกิดการลักลอบออก-เข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติ กําชับกรมการจัดหางาน แนะนายจ้างพูดคุยทําความเข้าใจกับลูกจ้างเพื่อสร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัยร่วมกัน หากจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันหลายคน ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม ล้างมือบ่อย ๆ หรือทําความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ทําความสะอาด เช็ดถูพื้นผิว วัสดุอุปกรณ์ ที่ใช้ในการจัดกิจกรรมอย่างสม่ําเสมอ ดูแลตนเอง ตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง และคนรอบข้างให้มาก
“ หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบแรงงานต่างด้าวลักลอบเดินทางออกจากประเทศไทย และเดินทางกลับเข้ามาใหม่จะถูกดําเนินคดี และผลักดันส่งกลับประเทศ หรือหากมีเหตุอันควรสงสัยว่าแรงงานต่างด้าวดังกล่าว น่าจะเดินทางกลับเข้าไปในพรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และลักลอบเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยจะถูกส่งตัวไปยังสถานที่กักกันตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยนายจ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัวและตรวจหาเชื้อดังกล่าว ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเตือน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37732
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุชาติ" ยันจ๊อบเอ็กซ์โป ประสบความสำเร็จ หลัง 3 เดือน จ้างงานแล้วเกือบ 4 แสนอัตราจากเป้า 1 ล้านอัตรา
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
"สุชาติ" ยันจ๊อบเอ็กซ์โป ประสบความสําเร็จ หลัง 3 เดือน จ้างงานแล้วเกือบ 4 แสนอัตราจากเป้า 1 ล้านอัตรา
แจง ตัวเลขจ้างงานเด็กจบใหม่น้อย เพราะเพียงเสี้ยวเดียวของการจ้างงานทั้งระบบ หลังธุรกิจหลักเริ่มฟื้นตัว ลั่นมีงบจ้างงานเด็กจบใหม่รองรับเม.ย. 64
วันที่ 18 ธ.ค. 2563 ที่ทําเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการจ้างงานภายหลังการจัดมหกรรมจ๊อบเอ็กซ์โป ว่า สําหรับการจัดงานดังกล่าวจํานวน 1 ล้านตําแหน่ง ถือเป็นนโยบายที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งตัวเลขบรรจุงานล่าสุด คือ 399,072 อัตรา หรือประมาณร้อยละ 40 โดยเป็นการจ้างงานของภาครัฐ 2 แสนอัตรา เอกชน 1 แสนอัตรา และส่งแรงงานไปต่างประเทศ 3 หมื่นอัตรา เป็นต้น โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนหลังการจัดงานจ๊อบเอ็กซ์โป ปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าประสบความสําเร็จอย่างมาก แต่จากข้อมูลของบางสื่อได้วิเคราะห์ อาจโฟกัสไปที่นักศึกษาจบใหม่ซึ่งถือเป็นเสี้ยวหนึ่งของการจัดงานดังกล่าว ซึ่งมีการจ้างงาน 4 กลุ่ม และนักศึกษาจบใหม่เป็น 1 กลุ่มเท่านั้น
“เราตั้งเป้าจ้างนักศึกษาจบใหม่ 2.6 แสนอัตราก็จริง แต่การจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย.- ต.ค. มีจํานวน 182,000 คน และ ภายหลังการจัดงานจ๊อบเอ็กซ์โปเมื่อปลายเดือนก.ย. ต่อมามีตัวเลขระหว่างวันที่ 1 ต.ค.- 31 ต.ค. มีการจ้างงานคนที่มีอายุต่ํากว่า 25 ปีลงมา 2 หมื่นกว่าอัตรา แต่เข้าระบบ Co-payment หรือจ้างงานเด็กจบใหม่ โดยมีบางสื่อ ระบุว่า จ้างงาน 2,000 อัตรา ผมไปตรวจสอบบริษัทที่ไม่เข้าร่วมโครงการจ้างนักศึกษาจบใหม่ เพราะอยู่ในภาคธุรกิจที่ยังแข็งแรงอยู่ และต้องการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้พนักงาน เช่น ธุรกิจยานยนต์ อุตสาหกรรมรถยนต์ สิ่งทอ ซึ่งขณะนี้ฟื้นตัวแล้ว ดังนั้นหากจ้างนักศึกษาจบใหม่ เข้าโครงการนี้ อาจจะไม่ได้รับความมั่นคงในชีวิตเนื่องจากเป็นการจ้างงานปีเดียว ซึ่งบริษัทต่างๆมีความแข็งแรง จึงสามารถจ้างแรงงานปกติได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีงบประมาณเพื่อรับนักศึกษาที่จบใหม่ในเดือน เม.ย. ปี 2564"
นายสุชาติ กล่าวว่า สําหรับโครงการ Co-payment รัฐบาลทําขึ้นเนื่องจากมีความเป็นห่วงธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจ SME ที่มีกําลังเม็ดเงินจํานวนน้อย และถือเป็น 1ใน 4 ของงานจ๊อบเอ็กซ์โปเท่านั้นเอง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุชาติ" ยันจ๊อบเอ็กซ์โป ประสบความสำเร็จ หลัง 3 เดือน จ้างงานแล้วเกือบ 4 แสนอัตราจากเป้า 1 ล้านอัตรา
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
"สุชาติ" ยันจ๊อบเอ็กซ์โป ประสบความสําเร็จ หลัง 3 เดือน จ้างงานแล้วเกือบ 4 แสนอัตราจากเป้า 1 ล้านอัตรา
แจง ตัวเลขจ้างงานเด็กจบใหม่น้อย เพราะเพียงเสี้ยวเดียวของการจ้างงานทั้งระบบ หลังธุรกิจหลักเริ่มฟื้นตัว ลั่นมีงบจ้างงานเด็กจบใหม่รองรับเม.ย. 64
วันที่ 18 ธ.ค. 2563 ที่ทําเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการจ้างงานภายหลังการจัดมหกรรมจ๊อบเอ็กซ์โป ว่า สําหรับการจัดงานดังกล่าวจํานวน 1 ล้านตําแหน่ง ถือเป็นนโยบายที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งตัวเลขบรรจุงานล่าสุด คือ 399,072 อัตรา หรือประมาณร้อยละ 40 โดยเป็นการจ้างงานของภาครัฐ 2 แสนอัตรา เอกชน 1 แสนอัตรา และส่งแรงงานไปต่างประเทศ 3 หมื่นอัตรา เป็นต้น โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนหลังการจัดงานจ๊อบเอ็กซ์โป ปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าประสบความสําเร็จอย่างมาก แต่จากข้อมูลของบางสื่อได้วิเคราะห์ อาจโฟกัสไปที่นักศึกษาจบใหม่ซึ่งถือเป็นเสี้ยวหนึ่งของการจัดงานดังกล่าว ซึ่งมีการจ้างงาน 4 กลุ่ม และนักศึกษาจบใหม่เป็น 1 กลุ่มเท่านั้น
“เราตั้งเป้าจ้างนักศึกษาจบใหม่ 2.6 แสนอัตราก็จริง แต่การจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย.- ต.ค. มีจํานวน 182,000 คน และ ภายหลังการจัดงานจ๊อบเอ็กซ์โปเมื่อปลายเดือนก.ย. ต่อมามีตัวเลขระหว่างวันที่ 1 ต.ค.- 31 ต.ค. มีการจ้างงานคนที่มีอายุต่ํากว่า 25 ปีลงมา 2 หมื่นกว่าอัตรา แต่เข้าระบบ Co-payment หรือจ้างงานเด็กจบใหม่ โดยมีบางสื่อ ระบุว่า จ้างงาน 2,000 อัตรา ผมไปตรวจสอบบริษัทที่ไม่เข้าร่วมโครงการจ้างนักศึกษาจบใหม่ เพราะอยู่ในภาคธุรกิจที่ยังแข็งแรงอยู่ และต้องการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้พนักงาน เช่น ธุรกิจยานยนต์ อุตสาหกรรมรถยนต์ สิ่งทอ ซึ่งขณะนี้ฟื้นตัวแล้ว ดังนั้นหากจ้างนักศึกษาจบใหม่ เข้าโครงการนี้ อาจจะไม่ได้รับความมั่นคงในชีวิตเนื่องจากเป็นการจ้างงานปีเดียว ซึ่งบริษัทต่างๆมีความแข็งแรง จึงสามารถจ้างแรงงานปกติได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีงบประมาณเพื่อรับนักศึกษาที่จบใหม่ในเดือน เม.ย. ปี 2564"
นายสุชาติ กล่าวว่า สําหรับโครงการ Co-payment รัฐบาลทําขึ้นเนื่องจากมีความเป็นห่วงธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจ SME ที่มีกําลังเม็ดเงินจํานวนน้อย และถือเป็น 1ใน 4 ของงานจ๊อบเอ็กซ์โปเท่านั้นเอง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37733
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ตรวจสอบและดำเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง”
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
“ตรวจสอบและดําเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง”
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ร่วมแถลงผลการตรวจสอบและดําเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง
วันนี้ (18 ธ.ค.2563) เวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ. นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกํากับกฎเกณฑ์และกฎหมายธนาคารกรุงไทย จํากัด(มหาชน) ร่วมกันแถลงผลการตรวจสอบและดําเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง
โครงการคนละครึ่ง เป็นโครงการที่รัฐบาลจัดขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก ผ่านผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อให้ประชาชน ใช้จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และรัฐบาลจะออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน และไม่เกิน 3,000 บาท ในเฟสแรก (3,500 บาท ในเฟส 2) ตลอดระยะเวลาโครงการ ต่อมา สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารกรุงไทย ได้สอบเบื้องต้นพบความผิดปกติในการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ มีรูปแบบการกระทําความผิดอยู่ 2 แบบ คือ ร้านแลกหรือรับเงินเป็นผู้ดําเนินการ และแบบมีเจ้ามือเป็นผู้ดําเนินการจํานวนหลายราย จึงได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าดังกล่าว และได้จัดส่งข้อมูลร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องที่กระทําผิดเงื่อนไข ให้แก่ ตร. ดําเนินการ
ผบ.ตร. จึงได้มอบหมาย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ควบคุมกํากับดูแลการตรวจสอบและดําเนินคดี โดยมี พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ช่วย และมอบหมายให้ บช.ก. เร่งรัดดําเนินการ โดย มี พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ร่วมดําเนินการกับ บก.ปอศ.
มีผลการดําเนินคดี 1 ราย ผู้ต้องหา 4 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์เป็นแบบเจ้ามือ ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” โฆษณาชักชวนให้ประชาชนที่ร่วมโครงการฯ มาแลกรับเงินจากเจ้ามือโดยไม่ต้องมีการซื้อ
จากการตรวจสอบพบธุรกรรมต้องสงสัยมีการสแกนใช้สิทธิ์กับร้านขายของชําแห่งหนึ่งในเขต จ.สมุทรสาคร โดยประชาชนหลายรายมีภูมิลําเนาและที่อยู่ปัจจุบันห่างไกลจากร้านค้าดังกล่าวมาก บางรายอยู่ จ.เชียงใหม่ , จ.สงขลา เป็นต้น แต่กลับมีการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นเป๋าตัง กับแอพพลิเคชั่นถุงเงินของร้านค้าดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ใน จ.สมุทรสาคร ประชาชนได้รับโอนเงินส่วนต่างจากเจ้ามือ จํานวน 80-100 บาท ต่อการทําธุรกรรมใช้จ่ายผ่านร้านดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 9 ธ.ค.2563 เจ้าหน้าที่ตํารวจ ร่วมกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้แทนจากธนาคารกรุงไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าขายของชําที่ ต.คอกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พบ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี แสดงตนเป็นเจ้าของร้านขายของชําดังกล่าว และพบ นายสรัล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี บุตรชายเจ้าของร้านดังกล่าว จากการตรวจสอบพบ 1.โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในระบบ G Wallet จํานวน 5 เครื่อง 2. แท็บเล็ต iPad จํานวน 1 เครื่อง 3.คอมพิวเตอร์โน๊ตบุค จํานวน 1 เครื่อง และ 4.บัญชีเงินฝากธนาคาร 6 เล่ม จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางในคดี และจากการสอบสวนปากคํา น.ส.สมปองฯ เจ้าของร้าน การดําเนินการทั้งหมดนายสรัลฯบุตรชายเป็นผู้ดําเนินการ โดยนายสรัลฯ ให้การยอมรับว่าได้ตกลงร่วมมือกับผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” และใช้ไลน์ชื่อJeerapot ในการติดต่อ และเมื่อได้รับเงินจากรัฐบาล ได้โอนเงินคืนให้กับเจ้ามือ ผ่านบัญชีธนาคาร ชื่อ นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) โดยทางร้านค้าจะได้ผลประโยชน์ 30 บาทต่อราย ส่วนผู้ใช้ไลน์ชื่อJeerapot ได้ 30บาทต่อราย คนที่มาขายสิทธิจะได้เงิน รายละ 90 บาท อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตํารวจได้ลงพื้นที่สอบสวนปากคําประชาชนที่ใช้สิทธิ์ผ่านร้านค้าดังกล่าวจํานวน 14 จุด ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ อาทิเช่น จ.ลพบุรี ,ชลบุรี ,ชัยภูมิ ,บุรีรัมย์ ,สุรินทร์ ,เชียงใหม่ ,สงขลา เป็นต้น และจากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตลอดจนการวิเคราะห์เส้นทางการเงินในคดี ทําให้ทราบว่า เจ้ามือ หรือ ผู้ใช้งานเฟซบุ๊คชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” คือ นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) และ นางกนกภณณ์ (ขอสงวนนามสกุล)เป็นสามีภรรยากัน อยู่ใน จ.ลพบุรี
ต่อมาในวันที่ 17 ธ.ค.2563 จึงได้แจ้งข้อกล่าวหากับ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) ,นายสรัล (ขอสงวนนามสกุล) , นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) และ นางกนกภรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1) อัตราโทษ จําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ น.ส.สมปองฯ ให้การปฏิเสธ ส่วน นายสรัลฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นายจีรพจน์ฯ ให้การปฏิเสธ โดยให้การว่าไม่รู้เรื่องมาก่อน ส่วนนางกนกภรณ์ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าร่วมกับนายสรัลฯ ซึ่งนางกนกภรณ์ฯ จะเป็นคนหาลูกค้าประชาชนผ่านเฟซบุ๊ค “สาวิตา รักชีพชอบ” จากนั้นจะนําข้อมูลมาล็อคอินผ่านแอพฯเป๋าตังค์สแกนใช้สิทธิ์ผ่านแอพฯถุงเงินร้านค้าของนายสรัลฯ โดยไม่มีการซื้อขายจริง
จากการตรวจสอบพบว่ายังมีกลุ่มที่อาจจะเข้าข่ายกระทําความผิดในลักษณะนี้อีกกว่า ๗๐๐ ราย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ขณะนี้ ตร. โดย ท่าน ผบ.ตร. อยู่ระหว่างมีคําสั่งแต่งตั้งชุดปฏิบัติการสืบสวน เพื่อสนับสนุน ในการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ของบุคคล กลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้องในภาพรวมก่อนว่ามีผู้ใด หรือมีเครือข่ายใดเกี่ยวข้องบ้าง และ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง อาจจะมอบอํานาจให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานฯ ซึ่งมีอยู่ในแต่ละจังหวัดไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน โดยจะให้นําแนวทางการสืบสวนสวนในภาพรวมของ บช.ก. และ ตร. ดังกล่าวไปใช้ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
จึงขอฝากประชาสัมพันธ์เตือนถึงพี่น้องประชาชนว่า แม้คดีฉ้อโกงฯ จะมีอัตราโทษไม่มาก จําคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือ ๕ ปี /ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ 100,000 บาท ก็ตาม แต่การกระทําความผิดในแต่ละครั้ง จะถือว่าเป็นการกระทําความผิดต่างกรรมต่างวาระ หากมีการกระทําความผิดในลักษณะดังกล่าวซ้ําๆหลายครั้ง ก็จะได้รับโทษในแต่ละครั้งในทุกๆครั้ง เมื่อรวมแล้วอาจจะได้รับโทษจําคุก ถึง 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น จึงขออย่าได้เข้าร่วมในการกระทําการทุจริตในโครงการฯดังกล่าว เพราะจะมีการตรวจสอบที่เข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายร้านค้าผู้ประกอบการหรือประชาชน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียโอกาสของผู้อื่น จึงขอความร่วมมือประชาชนไม่ให้หลงเชื่อการชักชวนให้กระทําผิดเงื่อนไขโครงการ เพราะทั้งร้านค้าและประชาชนจะถูกตัดสิทธิ์ และจะถูกดําเนินคดีทุกรายซึ่งมีอายุความในการดําเนินคดีถึง ๑๐ ปี
ทั้งนี้ หากท่านพบพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ สามารถแจ้งเบาะแสมาที่ [email protected] หรือส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยระบุ รายละเอียดของการดําเนินการที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข และข้อมูลสําหรับการติดต่อกลับพร้อมหลักฐาน (หากมี) หรือที่ ตร. ที่เว็บไซต์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) http://pct.police.go.th/form.php
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ตรวจสอบและดำเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง”
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
“ตรวจสอบและดําเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง”
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ร่วมแถลงผลการตรวจสอบและดําเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง
วันนี้ (18 ธ.ค.2563) เวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ. นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกํากับกฎเกณฑ์และกฎหมายธนาคารกรุงไทย จํากัด(มหาชน) ร่วมกันแถลงผลการตรวจสอบและดําเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง
โครงการคนละครึ่ง เป็นโครงการที่รัฐบาลจัดขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก ผ่านผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อให้ประชาชน ใช้จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และรัฐบาลจะออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน และไม่เกิน 3,000 บาท ในเฟสแรก (3,500 บาท ในเฟส 2) ตลอดระยะเวลาโครงการ ต่อมา สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารกรุงไทย ได้สอบเบื้องต้นพบความผิดปกติในการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ มีรูปแบบการกระทําความผิดอยู่ 2 แบบ คือ ร้านแลกหรือรับเงินเป็นผู้ดําเนินการ และแบบมีเจ้ามือเป็นผู้ดําเนินการจํานวนหลายราย จึงได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าดังกล่าว และได้จัดส่งข้อมูลร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องที่กระทําผิดเงื่อนไข ให้แก่ ตร. ดําเนินการ
ผบ.ตร. จึงได้มอบหมาย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ควบคุมกํากับดูแลการตรวจสอบและดําเนินคดี โดยมี พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ช่วย และมอบหมายให้ บช.ก. เร่งรัดดําเนินการ โดย มี พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ร่วมดําเนินการกับ บก.ปอศ.
มีผลการดําเนินคดี 1 ราย ผู้ต้องหา 4 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์เป็นแบบเจ้ามือ ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” โฆษณาชักชวนให้ประชาชนที่ร่วมโครงการฯ มาแลกรับเงินจากเจ้ามือโดยไม่ต้องมีการซื้อ
จากการตรวจสอบพบธุรกรรมต้องสงสัยมีการสแกนใช้สิทธิ์กับร้านขายของชําแห่งหนึ่งในเขต จ.สมุทรสาคร โดยประชาชนหลายรายมีภูมิลําเนาและที่อยู่ปัจจุบันห่างไกลจากร้านค้าดังกล่าวมาก บางรายอยู่ จ.เชียงใหม่ , จ.สงขลา เป็นต้น แต่กลับมีการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นเป๋าตัง กับแอพพลิเคชั่นถุงเงินของร้านค้าดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ใน จ.สมุทรสาคร ประชาชนได้รับโอนเงินส่วนต่างจากเจ้ามือ จํานวน 80-100 บาท ต่อการทําธุรกรรมใช้จ่ายผ่านร้านดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 9 ธ.ค.2563 เจ้าหน้าที่ตํารวจ ร่วมกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้แทนจากธนาคารกรุงไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าขายของชําที่ ต.คอกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พบ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี แสดงตนเป็นเจ้าของร้านขายของชําดังกล่าว และพบ นายสรัล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี บุตรชายเจ้าของร้านดังกล่าว จากการตรวจสอบพบ 1.โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในระบบ G Wallet จํานวน 5 เครื่อง 2. แท็บเล็ต iPad จํานวน 1 เครื่อง 3.คอมพิวเตอร์โน๊ตบุค จํานวน 1 เครื่อง และ 4.บัญชีเงินฝากธนาคาร 6 เล่ม จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางในคดี และจากการสอบสวนปากคํา น.ส.สมปองฯ เจ้าของร้าน การดําเนินการทั้งหมดนายสรัลฯบุตรชายเป็นผู้ดําเนินการ โดยนายสรัลฯ ให้การยอมรับว่าได้ตกลงร่วมมือกับผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” และใช้ไลน์ชื่อJeerapot ในการติดต่อ และเมื่อได้รับเงินจากรัฐบาล ได้โอนเงินคืนให้กับเจ้ามือ ผ่านบัญชีธนาคาร ชื่อ นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) โดยทางร้านค้าจะได้ผลประโยชน์ 30 บาทต่อราย ส่วนผู้ใช้ไลน์ชื่อJeerapot ได้ 30บาทต่อราย คนที่มาขายสิทธิจะได้เงิน รายละ 90 บาท อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตํารวจได้ลงพื้นที่สอบสวนปากคําประชาชนที่ใช้สิทธิ์ผ่านร้านค้าดังกล่าวจํานวน 14 จุด ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ อาทิเช่น จ.ลพบุรี ,ชลบุรี ,ชัยภูมิ ,บุรีรัมย์ ,สุรินทร์ ,เชียงใหม่ ,สงขลา เป็นต้น และจากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตลอดจนการวิเคราะห์เส้นทางการเงินในคดี ทําให้ทราบว่า เจ้ามือ หรือ ผู้ใช้งานเฟซบุ๊คชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” คือ นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) และ นางกนกภณณ์ (ขอสงวนนามสกุล)เป็นสามีภรรยากัน อยู่ใน จ.ลพบุรี
ต่อมาในวันที่ 17 ธ.ค.2563 จึงได้แจ้งข้อกล่าวหากับ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) ,นายสรัล (ขอสงวนนามสกุล) , นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) และ นางกนกภรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1) อัตราโทษ จําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ น.ส.สมปองฯ ให้การปฏิเสธ ส่วน นายสรัลฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นายจีรพจน์ฯ ให้การปฏิเสธ โดยให้การว่าไม่รู้เรื่องมาก่อน ส่วนนางกนกภรณ์ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าร่วมกับนายสรัลฯ ซึ่งนางกนกภรณ์ฯ จะเป็นคนหาลูกค้าประชาชนผ่านเฟซบุ๊ค “สาวิตา รักชีพชอบ” จากนั้นจะนําข้อมูลมาล็อคอินผ่านแอพฯเป๋าตังค์สแกนใช้สิทธิ์ผ่านแอพฯถุงเงินร้านค้าของนายสรัลฯ โดยไม่มีการซื้อขายจริง
จากการตรวจสอบพบว่ายังมีกลุ่มที่อาจจะเข้าข่ายกระทําความผิดในลักษณะนี้อีกกว่า ๗๐๐ ราย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ขณะนี้ ตร. โดย ท่าน ผบ.ตร. อยู่ระหว่างมีคําสั่งแต่งตั้งชุดปฏิบัติการสืบสวน เพื่อสนับสนุน ในการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ของบุคคล กลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้องในภาพรวมก่อนว่ามีผู้ใด หรือมีเครือข่ายใดเกี่ยวข้องบ้าง และ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง อาจจะมอบอํานาจให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานฯ ซึ่งมีอยู่ในแต่ละจังหวัดไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน โดยจะให้นําแนวทางการสืบสวนสวนในภาพรวมของ บช.ก. และ ตร. ดังกล่าวไปใช้ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
จึงขอฝากประชาสัมพันธ์เตือนถึงพี่น้องประชาชนว่า แม้คดีฉ้อโกงฯ จะมีอัตราโทษไม่มาก จําคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือ ๕ ปี /ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ 100,000 บาท ก็ตาม แต่การกระทําความผิดในแต่ละครั้ง จะถือว่าเป็นการกระทําความผิดต่างกรรมต่างวาระ หากมีการกระทําความผิดในลักษณะดังกล่าวซ้ําๆหลายครั้ง ก็จะได้รับโทษในแต่ละครั้งในทุกๆครั้ง เมื่อรวมแล้วอาจจะได้รับโทษจําคุก ถึง 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น จึงขออย่าได้เข้าร่วมในการกระทําการทุจริตในโครงการฯดังกล่าว เพราะจะมีการตรวจสอบที่เข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายร้านค้าผู้ประกอบการหรือประชาชน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียโอกาสของผู้อื่น จึงขอความร่วมมือประชาชนไม่ให้หลงเชื่อการชักชวนให้กระทําผิดเงื่อนไขโครงการ เพราะทั้งร้านค้าและประชาชนจะถูกตัดสิทธิ์ และจะถูกดําเนินคดีทุกรายซึ่งมีอายุความในการดําเนินคดีถึง ๑๐ ปี
ทั้งนี้ หากท่านพบพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ สามารถแจ้งเบาะแสมาที่ [email protected] หรือส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยระบุ รายละเอียดของการดําเนินการที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข และข้อมูลสําหรับการติดต่อกลับพร้อมหลักฐาน (หากมี) หรือที่ ตร. ที่เว็บไซต์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) http://pct.police.go.th/form.php
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37723
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ชง GLP เข้าสู่ สปก. มุ่งแสดงให้นานาชาติรับรู้ ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” ชง GLP เข้าสู่ สปก. มุ่งแสดงให้นานาชาติรับรู้ ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน
“สุชาติ” รมว.แรงงาน มอบ กสร. มุ่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแสดงความมุ่งมั่นรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานโดยนําแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ไปใช้ เพื่อแสดงให้นานาชาติรับรู้ว่า ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงานสร้างความเข้มแข็งและจุดเด่นทางธุรกิจ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความมุ่งหวังที่จะยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการไทย โดยการแสดงออกถึงความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงาน เพื่อให้นานาชาติรับรู้ว่าผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน เพราะปัจจุบันในเวทีการค้าโลกให้ความสําคัญอย่างมาก ในเรื่องของการประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ไม่มีการใช้แรงงานบังคับ ไม่มีการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และยังเป็นปัจจัยสําคัญประการหนึ่ง ที่ประเทศคู่ค้านํามาพิจารณาในการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งส่งผลอย่างยิ่งต่อการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของสถานประกอบกิจการไทยและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น จึงได้ สั่งการให้ กสร. มุ่งส่งเสริมให้นายจ้าง สถานประกอบกิจการ นําแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices: GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงาน เพราะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสภาพการทํางานที่เป็นธรรม ป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในทุกรูปแบบ อันจะทําให้สถานประกอบกิจการไทยมีความเข้มแข็ง และสร้างจุดเด่นทางธุรกิจได้
อธิบดี กสร. กล่าวเสริมว่า แนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices) หรือที่เรียกว่า GLP นั้น เป็นแนวทางพื้นฐานเบื้องต้นก่อนเข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานไทย (มรท.8001-2563) ในการปรับปรุงสภาพการจ้างและสภาพการทํางานด้วยความสมัครใจ เพื่อให้สถานประกอบกิจการมีการจ้างแรงงานสอดคล้องกับกฎหมายเทียบได้กับมาตรฐานแรงงานสากล โดยใช้หลักการ 4 ไม่ 6 มี มาเป็นแนวปฏิบัติ ได้แก่ ไม่มีการใช้แรงงานเด็ก, ไม่มีการใช้แรงงานบังคับ, ไม่มีการเลือกปฏิบัติ, ไม่มีการค้ามนุษย์ และ มีระบบจัดการและการบริหารแรงงาน, มีเสรีภาพในการสมาคม, มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับนายจ้าง, มีสภาพแวดล้อมการทํางานที่ปลอดภัย, มีการจัดการสุขอนามัยและของเสีย และมีสวัสดิการที่เหมาะสม ซึ่งสามารถทําได้ง่ายไม่ซับซ้อน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการใดสนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สํานักพัฒนามาตรฐานแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 0 22468370, 0 2246 8294 หรือโทร.1506 กด 3 หรือ 1546 http://tls.labour.go.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ชง GLP เข้าสู่ สปก. มุ่งแสดงให้นานาชาติรับรู้ ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” ชง GLP เข้าสู่ สปก. มุ่งแสดงให้นานาชาติรับรู้ ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน
“สุชาติ” รมว.แรงงาน มอบ กสร. มุ่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแสดงความมุ่งมั่นรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานโดยนําแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ไปใช้ เพื่อแสดงให้นานาชาติรับรู้ว่า ผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงานสร้างความเข้มแข็งและจุดเด่นทางธุรกิจ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความมุ่งหวังที่จะยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการไทย โดยการแสดงออกถึงความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงาน เพื่อให้นานาชาติรับรู้ว่าผู้ประกอบการไทยมีจริยธรรมในการจ้างแรงงาน เพราะปัจจุบันในเวทีการค้าโลกให้ความสําคัญอย่างมาก ในเรื่องของการประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ไม่มีการใช้แรงงานบังคับ ไม่มีการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และยังเป็นปัจจัยสําคัญประการหนึ่ง ที่ประเทศคู่ค้านํามาพิจารณาในการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งส่งผลอย่างยิ่งต่อการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของสถานประกอบกิจการไทยและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น จึงได้ สั่งการให้ กสร. มุ่งส่งเสริมให้นายจ้าง สถานประกอบกิจการ นําแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices: GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงาน เพราะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสภาพการทํางานที่เป็นธรรม ป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในทุกรูปแบบ อันจะทําให้สถานประกอบกิจการไทยมีความเข้มแข็ง และสร้างจุดเด่นทางธุรกิจได้
อธิบดี กสร. กล่าวเสริมว่า แนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices) หรือที่เรียกว่า GLP นั้น เป็นแนวทางพื้นฐานเบื้องต้นก่อนเข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานไทย (มรท.8001-2563) ในการปรับปรุงสภาพการจ้างและสภาพการทํางานด้วยความสมัครใจ เพื่อให้สถานประกอบกิจการมีการจ้างแรงงานสอดคล้องกับกฎหมายเทียบได้กับมาตรฐานแรงงานสากล โดยใช้หลักการ 4 ไม่ 6 มี มาเป็นแนวปฏิบัติ ได้แก่ ไม่มีการใช้แรงงานเด็ก, ไม่มีการใช้แรงงานบังคับ, ไม่มีการเลือกปฏิบัติ, ไม่มีการค้ามนุษย์ และ มีระบบจัดการและการบริหารแรงงาน, มีเสรีภาพในการสมาคม, มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับนายจ้าง, มีสภาพแวดล้อมการทํางานที่ปลอดภัย, มีการจัดการสุขอนามัยและของเสีย และมีสวัสดิการที่เหมาะสม ซึ่งสามารถทําได้ง่ายไม่ซับซ้อน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการใดสนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สํานักพัฒนามาตรฐานแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 0 22468370, 0 2246 8294 หรือโทร.1506 กด 3 หรือ 1546 http://tls.labour.go.th
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37711
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสำคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE)
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสําคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE)
นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสําคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE) ณ บริษัท ไทยเสกสรร จํากัด จังหวัดสมุทรปราการ
วันนี้ (17 ธันวาคม 2563) นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมและศึกษาดูงานนวัตกรรมเทคโนโลยีการสกัดสารสําคัญ และเครื่องสกัดสารสําคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE) ด้วยกรรมวิธีพิเศษเฉพาะของ ABH Genesis พร้อมเยี่ยมโรงงานผลิตของบริษัท เอเชีย ไบโอฮีลลิ่ง จํากัด เพื่อยกระดับคุณภาพของสารสกัดต้นน้ําที่ต่ํากว่ามาตรฐานให้เป็นสารที่สกัดจากชีววัตถุที่มีประสิทธิภาพที่ดี อีกทั้งสามารถเพิ่มศักยภาพในการดูดซึมสารสําคัญ รวมทั้งปรับลด/จํากัด สารที่ไม่ต้องการ เพิ่มคุณภาพของสินค้า และการแปรรูปต่าง ๆ ผลักดันให้เกิดผลประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเชิงอุตสาหกรรม และระบบเศรษฐกิจต่อไป โดยมี นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมด้วย ณ บริษัท ไทยเสกสรร จํากัด จังหวัดสมุทรปราการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสำคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE)
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสําคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE)
นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม การประชุมและศึกษาดูงานเครื่องสกัดสารสําคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE) ณ บริษัท ไทยเสกสรร จํากัด จังหวัดสมุทรปราการ
วันนี้ (17 ธันวาคม 2563) นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมและศึกษาดูงานนวัตกรรมเทคโนโลยีการสกัดสารสําคัญ และเครื่องสกัดสารสําคัญด้วยของเหลวสถานะวิกฤติขั้นสูง Supercritical Fluids Extraction (SFE) ด้วยกรรมวิธีพิเศษเฉพาะของ ABH Genesis พร้อมเยี่ยมโรงงานผลิตของบริษัท เอเชีย ไบโอฮีลลิ่ง จํากัด เพื่อยกระดับคุณภาพของสารสกัดต้นน้ําที่ต่ํากว่ามาตรฐานให้เป็นสารที่สกัดจากชีววัตถุที่มีประสิทธิภาพที่ดี อีกทั้งสามารถเพิ่มศักยภาพในการดูดซึมสารสําคัญ รวมทั้งปรับลด/จํากัด สารที่ไม่ต้องการ เพิ่มคุณภาพของสินค้า และการแปรรูปต่าง ๆ ผลักดันให้เกิดผลประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเชิงอุตสาหกรรม และระบบเศรษฐกิจต่อไป โดยมี นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมด้วย ณ บริษัท ไทยเสกสรร จํากัด จังหวัดสมุทรปราการ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37709
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์
รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันหมอก ควันไฟ และปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานโครงการส่งเสริมการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันหมอกและควันไฟในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ ณ บ้านตุ้มเหนือ ต.ท่าจําปี จ.พะเยา ว่า ปัญหาหมอกและควัน ที่เกิดจากไฟป่า และการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ก่อให้เกิดผลกระทบกับสุขภาพของประชาชน รวมทั้งยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงได้มีการกําหนดนโยบาย และมาตรการต่างๆในการป้องกันและบรรเทาปัญหาเหล่านี้ สําหรับสถานการณ์ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นทุกๆปีในพื้นที่จังหวัดพะเยานั้น จะพบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินเกณฑ์มาตรฐาน อยู่ในระดับที่มีส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่เป็นอย่างมาก โดยในปี 2563 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม มีพื้นที่เผาไหม้ใน 9 จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งสิ้น 9,483 จุด มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก กว่า 10 ไมครอน หรือ PM10 ในอากาศเกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศ สาเหตุของการเผาเศษวัสดุในพื้นที่ เกษตร เพื่อเตรียมแปลงปลูกพืชในฤดูถัดไป โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อีกเหตุผลหนึ่งของการที่เกษตรกรเลือกใช้วิธีการจํากัดเศษวัสดุโดยวิธีการเผา เนื่องจากเกษตรกรไม่มีทุนในการกําจัดเศษวัสดุในวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“การเผาเศษวัสดุนั้น เป็นการสร้างก๊าซเรือนกระจก สร้างมลพิษทางอากาศ พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม สูญเสียธาตุอาหารในดิน ทําลายโครงสร้างดินที่เหมาะสม ทําลายห่วงโซ่อาหาร และการไถเตรียมพื้นที่ปลูกด้วยรถแทรกเตอร์นั้นมีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อเป็นการบรรเทาและแก้ปัญหาเร่งด่วนที่จะเกิดขึ้น จึงส่งเสริมและกระตุ้นให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผา และดําเนินการไถกลบเศษวัสดุทาง การเกษตร ในพื้นที่ 6,660 ไร่ ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดิน ในการปลูก ข้าว ข้าวโพด และอื่นๆ พร้อมส่งเสริมและบริหารจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรตามหลักวิชาการ นํามาผลิตปุ๋ยหมัก เพื่อการปรับปรุงบํารุงดิน การอนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ําให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน และป้องกันการเกิดจุดความร้อน (Hotspot) และลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการเผา” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ สถานีพัฒนาที่ดินพะเยา เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผาเศษวัสดุทาง การเกษตร จึงมีมาตรการในการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ ซึ่งหากสามารถทราบถึงพื้นที่ที่อ่อนไหวต่อการเผาเศษพืช เศษวัสดุทางการเกษตร จะทําให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดําเนินการการรณรงค์ ส่งเสริม ลด ละ เลิก การเผา บริหารจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร และเข้าถึงเกษตรกรได้อย่างถูกต้องตรงกับพื้นที่เป้าหมาย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์
รมช.ธรรมนัส ส่งเสริมการลด ละ เลิก การเผา โดยให้ใช้วิธีการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันหมอก ควันไฟ และปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานโครงการส่งเสริมการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันหมอกและควันไฟในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ ณ บ้านตุ้มเหนือ ต.ท่าจําปี จ.พะเยา ว่า ปัญหาหมอกและควัน ที่เกิดจากไฟป่า และการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ก่อให้เกิดผลกระทบกับสุขภาพของประชาชน รวมทั้งยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงได้มีการกําหนดนโยบาย และมาตรการต่างๆในการป้องกันและบรรเทาปัญหาเหล่านี้ สําหรับสถานการณ์ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นทุกๆปีในพื้นที่จังหวัดพะเยานั้น จะพบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก เกินเกณฑ์มาตรฐาน อยู่ในระดับที่มีส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่เป็นอย่างมาก โดยในปี 2563 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม มีพื้นที่เผาไหม้ใน 9 จังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งสิ้น 9,483 จุด มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก กว่า 10 ไมครอน หรือ PM10 ในอากาศเกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศ สาเหตุของการเผาเศษวัสดุในพื้นที่ เกษตร เพื่อเตรียมแปลงปลูกพืชในฤดูถัดไป โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อีกเหตุผลหนึ่งของการที่เกษตรกรเลือกใช้วิธีการจํากัดเศษวัสดุโดยวิธีการเผา เนื่องจากเกษตรกรไม่มีทุนในการกําจัดเศษวัสดุในวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“การเผาเศษวัสดุนั้น เป็นการสร้างก๊าซเรือนกระจก สร้างมลพิษทางอากาศ พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม สูญเสียธาตุอาหารในดิน ทําลายโครงสร้างดินที่เหมาะสม ทําลายห่วงโซ่อาหาร และการไถเตรียมพื้นที่ปลูกด้วยรถแทรกเตอร์นั้นมีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อเป็นการบรรเทาและแก้ปัญหาเร่งด่วนที่จะเกิดขึ้น จึงส่งเสริมและกระตุ้นให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผา และดําเนินการไถกลบเศษวัสดุทาง การเกษตร ในพื้นที่ 6,660 ไร่ ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดิน ในการปลูก ข้าว ข้าวโพด และอื่นๆ พร้อมส่งเสริมและบริหารจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรตามหลักวิชาการ นํามาผลิตปุ๋ยหมัก เพื่อการปรับปรุงบํารุงดิน การอนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ําให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน และป้องกันการเกิดจุดความร้อน (Hotspot) และลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการเผา” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ สถานีพัฒนาที่ดินพะเยา เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผาเศษวัสดุทาง การเกษตร จึงมีมาตรการในการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ ซึ่งหากสามารถทราบถึงพื้นที่ที่อ่อนไหวต่อการเผาเศษพืช เศษวัสดุทางการเกษตร จะทําให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดําเนินการการรณรงค์ ส่งเสริม ลด ละ เลิก การเผา บริหารจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร และเข้าถึงเกษตรกรได้อย่างถูกต้องตรงกับพื้นที่เป้าหมาย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37722
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการทุกจังหวัด บูรณาการป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
มท.1 สั่งการทุกจังหวัด บูรณาการป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ
มท.1 สั่งการทุกจังหวัด บูรณาการป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ
วันนี้ (18 ธ.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยในช่วงปลายฤดูหนาวของทุกปี ประเทศไทยจะเกิดสถานการณ์ฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งโดยธรรมชาติ และกิจกรรมของมนุษย์ อาทิ การคมนาคมขนส่ง การเผาในที่โล่ง ไฟป่า ภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง หมอกควันข้ามแดน และสภาพทางอุตุนิยมวิทยา รวมทั้งสภาพภูมิประเทศในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ลมสงบ ส่งผลให้ระดับเพดานการลอยตัวและการกระจายตัวของฝุ่นละอองอยู่ในระดับต่ํา การไหลเวียนและถ่ายเทอากาศไม่ดี ทําให้เกิดการสะสมฝุ่นละอองในบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นบางช่วงเวลาในหลายพื้นที่
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ช่วงปลายปี 2563 ต้นปี 2564 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 จึงได้สั่งการไปยังกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดําเนินการ 6 มาตรการ ได้แก่ 1) ถือปฏิบัติตามหลักในการอํานวยการ สั่งการ ควบคุมและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2) ทบทวนและจัดทําแผนเผชิญเหตุสําหรับใช้แก้ปัญหาในพื้นที่รับผิดชอบ โดยให้ความสําคัญกับการจัดทํารายละเอียดการแบ่งพื้นที่ การกําหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนถึงระดับอําเภอและตําบล ตลอดจนการจัดชุดปฏิบัติการที่สามารถเข้าไปยังจุดที่ก่อให้เกิดการเผาหรือการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ครอบคลุมในทุกพื้นที่ 3) ตั้งคณะทํางานติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ ติดตามสถานการณ์การเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) พร้อมทั้งให้ความสําคัญกับการใช้เทคโนโลยี อาทิ ภาพถ่ายดาวเทียม และ Application เสริมประสิทธิภาพการติดตามตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศและการบัญชาการดับไฟป่า ตลอดจนใช้เป็นข้อมูลในการอํานวยการ สั่งการ และแจ้งเตือนประชาชน 4) เน้นย้ําการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกําเนิด) โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งการควบคุมและลดมลพิษจากยานพาหนะ การก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม ครัวเรือน และสร้างการรับรู้ ความตระหนักให้แก่ประชาชน เช่น ส่งเสริมการตรวจสภาพรถยนต์ส่วนบุคคลอย่างสม่ําเสมอ การใช้พลังงานสะอาด และการใช้เตาหุงต้ม/เตาปิ้งย่าง/ถ่านปลอดมลพิษ เป็นต้น 5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยประสานอําเภอ อปท.ในพื้นที่ เร่งสร้างความเข้มแข็งและเสริมสร้างความรู้ให้ผู้นําชุมชน จิตอาสา อาสาสมัคร และประชาชน ในการสร้างเครือข่ายเฝ้าระหว่าง ติดตาม และตรวจสอบคุณภาพอากาศ รวมทั้งขยายเครือข่ายแจ้งเตือน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงสถานการณ์ที่ถูกต้อง 6) ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ประชาชนให้ตระหนักถึงผลกระทบจากกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) แนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ มาตรการต่าง ๆ ภาครัฐ และข้อกฎหมาย ทั้งนี้ หากสถานการณ์อยู่ในภาวะที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพประชาชน ให้เร่งบูรณาการทุกหน่วยงานให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า สําหรับในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และพื้นที่จังหวัดภาคอื่นที่มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ให้ปฏิบัติตามมาตรการ "4 พื้นที่ 5 มาตรการบริหารจัดการ" โดยในส่วน 4 พื้นที่ ได้แก่ 1) พื้นที่ป่าสงวน/ป่าอนุรักษ์ โดยดําเนินการควบคุมไฟป่า จัดทําแนวป้องกันไฟ จัดกําลังลาดตระเวน บังคับใช้กฎหมาย ปิดป่าในช่วงประกาศห้ามเผา การทําป่าเปียก/ป่าชื้น ฯลฯ และการให้ผู้นําท้องที่ตั้งกฎกติกาการห้ามเผาป่าในหมู่บ้าน/ชุมชน และจัดทําบัญชีผู้มีพฤติกรรมเข้าป่าเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์ 2) พื้นที่เกษตรกรรม โดยควบคุมการเผาในพื้นที่การเกษตร จัดระเบียบบริหารเชื้อเพลิง รณรงค์การใช้สารย่อยสลายหรือไถกลบตอซังข้าว/ข้าวโพด/ซากวัชพืช ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและการแปรวัสดุการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า และจัดอาสาสมัครเฝ้าระวังไม่ให้เกษตรกรลักลอบเผา 3) พื้นที่ชุมชน/เมือง ให้จังหวัด อําเภอ และอปท. กําหนดกติการ่วมกันของชุมชน โดยใช้กลไกประชารัฐ เฝ้าระวัง ป้องกัน การเผาในพื้นที่ชุมชน/เมือง การฟอกอากาศ/การสร้างเมืองต้นไม้ การกําหนดพื้นที่ปลอดมลพิษ (Safety Zone) และจัดชุดปฏิบัติการประจําตําบล/หมู่บ้าน ประชุมชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ให้ทราบมาตรการและแนวทางภาครัฐ 4) พื้นที่ริมทาง โดยจัดกําลังอาสาสมัครภาคประชาชนลาดตระเวน เฝ้าระวัง และกําจัดเศษวัสดุ ขยะ ใบไม้แห้ง ที่เป็นเชื้อเพลิงในพื้นที่ริมทาง เพื่อไม่ให้มีเชื้อไฟและใช้เป็นแนวกันไฟ และในส่วนมาตรการบริหารจัดการ 5 มาตรการ ได้แก่ 1) ระบบบัญชาการเหตุการณ์ โดยให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดและอําเภอ เป็นองค์กรหลักในการอํานวยการ สั่งการ ระดมสรรพกําลัง ทรัพยากร และประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ 2) สร้างความตระหนัก สร้างการรับรู้กับประชาชนทราบถึงมาตรการการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และการส่งเสริมให้ประชาชน นักเรียน เยาวชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า 3) ลดปริมาณเชื้อเพลิง โดยให้จัดทําแนวกันไฟ การควบคุมการเผา ส่งเสริมการใช้สารหมักชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซัง และการนําเศษวัสดุทางการเกษตรมาทําอาหารสัตว์ และกําชับกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อปท. คณะกรรมการหมู่บ้าน/ชุมชน สอดส่อง ตักเตือน ห้ามปราม ผู้ที่จุดไฟเผาเศษวัสดุทางการเกษตร โดยเฉพาะตามเขตรอยต่อระหว่างชุมชนกับเขตป่าไม้ 4) การบังคับใช้กฎหมาย ให้กําชับเจ้าพนักงานตามกฎหมายบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และจับกุมผู้กระทําความผิดที่ลักลอบเผาในพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ชุมชน/เมือง และพื้นที่ริมทาง 5) ทีมประชารัฐ โดยบูรณาการทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและกําหนดแนวทาง มาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเน้นย้ําให้ทุกจังหวัดให้ความสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกคนเป็นสําคัญ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการทุกจังหวัด บูรณาการป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
มท.1 สั่งการทุกจังหวัด บูรณาการป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ
มท.1 สั่งการทุกจังหวัด บูรณาการป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ
วันนี้ (18 ธ.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยในช่วงปลายฤดูหนาวของทุกปี ประเทศไทยจะเกิดสถานการณ์ฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งโดยธรรมชาติ และกิจกรรมของมนุษย์ อาทิ การคมนาคมขนส่ง การเผาในที่โล่ง ไฟป่า ภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง หมอกควันข้ามแดน และสภาพทางอุตุนิยมวิทยา รวมทั้งสภาพภูมิประเทศในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ลมสงบ ส่งผลให้ระดับเพดานการลอยตัวและการกระจายตัวของฝุ่นละอองอยู่ในระดับต่ํา การไหลเวียนและถ่ายเทอากาศไม่ดี ทําให้เกิดการสะสมฝุ่นละอองในบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นบางช่วงเวลาในหลายพื้นที่
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ช่วงปลายปี 2563 ต้นปี 2564 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 จึงได้สั่งการไปยังกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดําเนินการ 6 มาตรการ ได้แก่ 1) ถือปฏิบัติตามหลักในการอํานวยการ สั่งการ ควบคุมและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2) ทบทวนและจัดทําแผนเผชิญเหตุสําหรับใช้แก้ปัญหาในพื้นที่รับผิดชอบ โดยให้ความสําคัญกับการจัดทํารายละเอียดการแบ่งพื้นที่ การกําหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนถึงระดับอําเภอและตําบล ตลอดจนการจัดชุดปฏิบัติการที่สามารถเข้าไปยังจุดที่ก่อให้เกิดการเผาหรือการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ครอบคลุมในทุกพื้นที่ 3) ตั้งคณะทํางานติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ ติดตามสถานการณ์การเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) พร้อมทั้งให้ความสําคัญกับการใช้เทคโนโลยี อาทิ ภาพถ่ายดาวเทียม และ Application เสริมประสิทธิภาพการติดตามตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศและการบัญชาการดับไฟป่า ตลอดจนใช้เป็นข้อมูลในการอํานวยการ สั่งการ และแจ้งเตือนประชาชน 4) เน้นย้ําการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกําเนิด) โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งการควบคุมและลดมลพิษจากยานพาหนะ การก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม ครัวเรือน และสร้างการรับรู้ ความตระหนักให้แก่ประชาชน เช่น ส่งเสริมการตรวจสภาพรถยนต์ส่วนบุคคลอย่างสม่ําเสมอ การใช้พลังงานสะอาด และการใช้เตาหุงต้ม/เตาปิ้งย่าง/ถ่านปลอดมลพิษ เป็นต้น 5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยประสานอําเภอ อปท.ในพื้นที่ เร่งสร้างความเข้มแข็งและเสริมสร้างความรู้ให้ผู้นําชุมชน จิตอาสา อาสาสมัคร และประชาชน ในการสร้างเครือข่ายเฝ้าระหว่าง ติดตาม และตรวจสอบคุณภาพอากาศ รวมทั้งขยายเครือข่ายแจ้งเตือน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงสถานการณ์ที่ถูกต้อง 6) ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ประชาชนให้ตระหนักถึงผลกระทบจากกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) แนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ มาตรการต่าง ๆ ภาครัฐ และข้อกฎหมาย ทั้งนี้ หากสถานการณ์อยู่ในภาวะที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพประชาชน ให้เร่งบูรณาการทุกหน่วยงานให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า สําหรับในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และพื้นที่จังหวัดภาคอื่นที่มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ให้ปฏิบัติตามมาตรการ "4 พื้นที่ 5 มาตรการบริหารจัดการ" โดยในส่วน 4 พื้นที่ ได้แก่ 1) พื้นที่ป่าสงวน/ป่าอนุรักษ์ โดยดําเนินการควบคุมไฟป่า จัดทําแนวป้องกันไฟ จัดกําลังลาดตระเวน บังคับใช้กฎหมาย ปิดป่าในช่วงประกาศห้ามเผา การทําป่าเปียก/ป่าชื้น ฯลฯ และการให้ผู้นําท้องที่ตั้งกฎกติกาการห้ามเผาป่าในหมู่บ้าน/ชุมชน และจัดทําบัญชีผู้มีพฤติกรรมเข้าป่าเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์ 2) พื้นที่เกษตรกรรม โดยควบคุมการเผาในพื้นที่การเกษตร จัดระเบียบบริหารเชื้อเพลิง รณรงค์การใช้สารย่อยสลายหรือไถกลบตอซังข้าว/ข้าวโพด/ซากวัชพืช ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและการแปรวัสดุการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า และจัดอาสาสมัครเฝ้าระวังไม่ให้เกษตรกรลักลอบเผา 3) พื้นที่ชุมชน/เมือง ให้จังหวัด อําเภอ และอปท. กําหนดกติการ่วมกันของชุมชน โดยใช้กลไกประชารัฐ เฝ้าระวัง ป้องกัน การเผาในพื้นที่ชุมชน/เมือง การฟอกอากาศ/การสร้างเมืองต้นไม้ การกําหนดพื้นที่ปลอดมลพิษ (Safety Zone) และจัดชุดปฏิบัติการประจําตําบล/หมู่บ้าน ประชุมชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ให้ทราบมาตรการและแนวทางภาครัฐ 4) พื้นที่ริมทาง โดยจัดกําลังอาสาสมัครภาคประชาชนลาดตระเวน เฝ้าระวัง และกําจัดเศษวัสดุ ขยะ ใบไม้แห้ง ที่เป็นเชื้อเพลิงในพื้นที่ริมทาง เพื่อไม่ให้มีเชื้อไฟและใช้เป็นแนวกันไฟ และในส่วนมาตรการบริหารจัดการ 5 มาตรการ ได้แก่ 1) ระบบบัญชาการเหตุการณ์ โดยให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดและอําเภอ เป็นองค์กรหลักในการอํานวยการ สั่งการ ระดมสรรพกําลัง ทรัพยากร และประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ 2) สร้างความตระหนัก สร้างการรับรู้กับประชาชนทราบถึงมาตรการการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และการส่งเสริมให้ประชาชน นักเรียน เยาวชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า 3) ลดปริมาณเชื้อเพลิง โดยให้จัดทําแนวกันไฟ การควบคุมการเผา ส่งเสริมการใช้สารหมักชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซัง และการนําเศษวัสดุทางการเกษตรมาทําอาหารสัตว์ และกําชับกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อปท. คณะกรรมการหมู่บ้าน/ชุมชน สอดส่อง ตักเตือน ห้ามปราม ผู้ที่จุดไฟเผาเศษวัสดุทางการเกษตร โดยเฉพาะตามเขตรอยต่อระหว่างชุมชนกับเขตป่าไม้ 4) การบังคับใช้กฎหมาย ให้กําชับเจ้าพนักงานตามกฎหมายบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และจับกุมผู้กระทําความผิดที่ลักลอบเผาในพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ชุมชน/เมือง และพื้นที่ริมทาง 5) ทีมประชารัฐ โดยบูรณาการทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและกําหนดแนวทาง มาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเน้นย้ําให้ทุกจังหวัดให้ความสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกคนเป็นสําคัญ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37712
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผลิต “พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์” ช่องทางอาชีพยุค New Normal
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
ก.แรงงาน ผลิต “พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์” ช่องทางอาชีพยุค New Normal
รมช.แรงงาน ปลื้ม กพร. ผลิต “พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์” เพิ่มช่องทางสร้างอาชีพยุค New Normal เขตคันนายาว การันตีอาชีพอิสระสอดรับยุคใหม่ ครอบคลุมทุกพื้นที่
วันที่ 18 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมการขายสินค้าออนไลน์ ณ สํานักงานเขตคันนายาว พร้อมชมการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ ได้แก่ การทําเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ การสานตะกร้าพลาสติก การทําสายคล้องแมส นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการรับรองความรู้ความสามารถ ให้คําปรึกษาด้านสินเชื่อ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารออมสิน และการให้คําปรึกษาด้านการประกอบธุรกิจ จากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้แก่ประชาชนในเขตคันนายาวกว่า 100 คน ณ โรงเรียนผู้สูงอายุคุณตาคุณยาย เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร โดยมีนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหาร ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า รัฐบาลโดยการนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในการประกอบอาชีพท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ต้องการเห็นพี่น้องประชาชนทุกคนมีอาชีพ มีรายได้ มีความเป็นอยู่ที่ดี และลดความเหลื่อมล้ําให้ได้มากที่สุด จึงเป็นหนึ่งในภารกิจของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ในการเพิ่มโอกาสด้านอาชีพ ด้วยการให้ความรู้และพัฒนาทักษะฝีมือ ที่สามารถนําไปประกอบอาชีพได้ ตามแนวคิด สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยการ “สร้าง” อาชีพใหม่ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ให้” โอกาสแก่ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้ามาเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพใหม่ โดยวันนี้ได้มอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมการขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่กําลังเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจเป็นจํานวนมาก เป็นอาชีพที่สามารถทําได้ง่าย สามารถทําได้ทุกที่ ลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องลงทุนหน้าร้าน ไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่และไม่ต้องจ่ายค่าจ้างพนักงาน รวมทั้งสามารถเปิดขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบกับนโยบายการเว้นระยะห่างทางสังคมของรัฐบาล จึงทําให้การขายสินค้าออนไลน์มีบทบาทมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้จากอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ในแต่ละปี ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงทําให้ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นผู้ค้ารายใหญ่หรือรายย่อยก็ตาม เริ่มเปลี่ยนการซื้อ-ขายมาสู่ระบบการค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมในวันนี้ เกิดจากการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ โดยมีความมุ่งมั่น ให้ประชาชนเข้าถึงบริการตามภารกิจของหน่วยงานอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม สามารถใช้โมบายแอพพลิเคชั่นเป็นช่องทางทําธุรกิจ และสร้างรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาทักษะและเทคนิคต่างๆ ไปต่อยอดการพัฒนาตนเองได้ การฝึกอบรมการขายสินค้าออนไลน์ มีระยะเวลาการฝึก 18 ชั่วโมง ในครั้งนี้ดําเนินการโดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร อบรมระหว่างวันที่ 16 – 18 ธันวาคม 2563 เนื้อหาการอบรม ประกอบด้วย การเรียนรู้เรื่องการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเปิดร้านค้าออนไลน์ เทคนิคการคัดเลือกสินค้าเพื่อการจําหน่ายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สําหรับเทคนิคการคัดเลือกสิ้นค้าเพื่อการจําหน่ายนั้น ผู้เข้าอบรม จะเรียนรู้ตั้งแต่การสํารวจความต้องการของผู้บริโภค สํารวจตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ รวมถึงเทคนิคการตั้งชื่อสินค้าและการถ่ายภาพสินค้าเพื่อจําหน่ายบนออนไลน์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผลิต “พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์” ช่องทางอาชีพยุค New Normal
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
ก.แรงงาน ผลิต “พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์” ช่องทางอาชีพยุค New Normal
รมช.แรงงาน ปลื้ม กพร. ผลิต “พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์” เพิ่มช่องทางสร้างอาชีพยุค New Normal เขตคันนายาว การันตีอาชีพอิสระสอดรับยุคใหม่ ครอบคลุมทุกพื้นที่
วันที่ 18 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมการขายสินค้าออนไลน์ ณ สํานักงานเขตคันนายาว พร้อมชมการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ ได้แก่ การทําเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ การสานตะกร้าพลาสติก การทําสายคล้องแมส นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการรับรองความรู้ความสามารถ ให้คําปรึกษาด้านสินเชื่อ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารออมสิน และการให้คําปรึกษาด้านการประกอบธุรกิจ จากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้แก่ประชาชนในเขตคันนายาวกว่า 100 คน ณ โรงเรียนผู้สูงอายุคุณตาคุณยาย เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร โดยมีนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหาร ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า รัฐบาลโดยการนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในการประกอบอาชีพท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ต้องการเห็นพี่น้องประชาชนทุกคนมีอาชีพ มีรายได้ มีความเป็นอยู่ที่ดี และลดความเหลื่อมล้ําให้ได้มากที่สุด จึงเป็นหนึ่งในภารกิจของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ในการเพิ่มโอกาสด้านอาชีพ ด้วยการให้ความรู้และพัฒนาทักษะฝีมือ ที่สามารถนําไปประกอบอาชีพได้ ตามแนวคิด สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยการ “สร้าง” อาชีพใหม่ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ให้” โอกาสแก่ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้ามาเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพใหม่ โดยวันนี้ได้มอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมการขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่กําลังเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจเป็นจํานวนมาก เป็นอาชีพที่สามารถทําได้ง่าย สามารถทําได้ทุกที่ ลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องลงทุนหน้าร้าน ไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่และไม่ต้องจ่ายค่าจ้างพนักงาน รวมทั้งสามารถเปิดขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบกับนโยบายการเว้นระยะห่างทางสังคมของรัฐบาล จึงทําให้การขายสินค้าออนไลน์มีบทบาทมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้จากอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ในแต่ละปี ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงทําให้ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นผู้ค้ารายใหญ่หรือรายย่อยก็ตาม เริ่มเปลี่ยนการซื้อ-ขายมาสู่ระบบการค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น
รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมในวันนี้ เกิดจากการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ โดยมีความมุ่งมั่น ให้ประชาชนเข้าถึงบริการตามภารกิจของหน่วยงานอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม สามารถใช้โมบายแอพพลิเคชั่นเป็นช่องทางทําธุรกิจ และสร้างรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาทักษะและเทคนิคต่างๆ ไปต่อยอดการพัฒนาตนเองได้ การฝึกอบรมการขายสินค้าออนไลน์ มีระยะเวลาการฝึก 18 ชั่วโมง ในครั้งนี้ดําเนินการโดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร อบรมระหว่างวันที่ 16 – 18 ธันวาคม 2563 เนื้อหาการอบรม ประกอบด้วย การเรียนรู้เรื่องการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเปิดร้านค้าออนไลน์ เทคนิคการคัดเลือกสินค้าเพื่อการจําหน่ายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สําหรับเทคนิคการคัดเลือกสิ้นค้าเพื่อการจําหน่ายนั้น ผู้เข้าอบรม จะเรียนรู้ตั้งแต่การสํารวจความต้องการของผู้บริโภค สํารวจตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ รวมถึงเทคนิคการตั้งชื่อสินค้าและการถ่ายภาพสินค้าเพื่อจําหน่ายบนออนไลน์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37727
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่สุดในรอบปี เสาร์นี้ ธอส.ขนบ้านมือสองมากกว่า 7,000 รายการ ออกประมูลออนไลน์เลี่ยงโควิด-19 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ราคาเริ่มต้นลดสูงสุดถึง 75% ราคาถูกสุดแค่ 30,000 บ.
|
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
ที่สุดในรอบปี เสาร์นี้ ธอส.ขนบ้านมือสองมากกว่า 7,000 รายการ ออกประมูลออนไลน์เลี่ยงโควิด-19 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ราคาเริ่มต้นลดสูงสุดถึง 75% ราคาถูกสุดแค่ 30,000 บ.
ธอส.ห่วงความปลอดภัยด้านสุขภาพของลูกค้าประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 ประกาศเปลี่ยนรูปแบบการจัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง(รวมที่ดินเปล่า) ธอส. ครั้งที่ 4/2563” ในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นการประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ห่วงความปลอดภัยด้านสุขภาพของลูกค้าประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 ประกาศเปลี่ยนรูปแบบการจัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง(รวมที่ดินเปล่า) ธอส. ครั้งที่ 4/2563” ในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นการประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA โดยนําทรัพย์ทั่วประเทศมาออกประมูลมากที่สุดในรอบปีมากกว่า 7,000 รายการ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด แฟลต อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 555 รายการ และทรัพย์ในภูมิภาค 6,500 รายการ ลดราคาสูงสุดถึง 75% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดเพียง 30,000 บาท แบ่งทรัพย์ออกประมูลออกเป็น 7 รอบเวลา รอบละ 30 นาที ประมูลระหว่างเวลา 10.00-16.30 น.
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่ง ธอส. ได้คํานึงถึงความปลอดภัยในสุขภาพรวมถึงความสะดวกของลูกค้าประชาชนเป็นหลักนั้น ธนาคารจึงขอประกาศ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดงานประมูลขายบ้านมือสอง(รวมที่ดินเปล่า) ธอส. ครั้งที่ 4/2563 ในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 จากเดิมกําหนดให้มีการประมูลที่สํานักงานใหญ่ หรือ ที่ทําการสาขาที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ มาเป็นการประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA โดยธนาคารได้คัดทรัพย์สภาพดีรวมทั้งสิ้นมากกว่า 7,000 รายการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในภูมิภาค ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 75% จากราคาปกติ แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 555 รายการ ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 50% ถึง 33 รายการ โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ที่มีราคาจําหน่ายต่ําสุด ได้แก่ ห้องชุดชั้นที่ 5 ขนาด 19.5 ตารางเมตร โครงการสมจินตรา ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่แค่ 30,000 บาทเท่านั้น ส่วนรายการทรัพย์เด่นที่มีสภาพใหม่ ตั้งอยู่ในทําเลดี อาทิ ทรัพย์ที่สามารถเดินทางไปสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท-ศรีนครินทร์ ได้อย่างสะดวก ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ 67.4 ตารางวา โครงการหมู่บ้านปริญญดา ถ.บางพลี-ตําหรุ อ.บาลพลี จ.สมุทรปราการ ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 3,600,000 บาท ทรัพย์ที่อยู่ห่างจากศูนย์การค้าเมกาบางนาเพียง 4 กิโลเมตร คือ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เนื้อที่ 28.1ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านเดอะคัลเลอร์สเลชเชอร์บางนา กม.10 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ราคาเริ่มต้นประมูล 2,520,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคนําออกประมูล 6,500 รายการ โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ ราคาเริ่มต้นประมูลลดเกือบ 70% และมีราคาเริ่มต้นประมูลต่ําที่สุดเพียงแค่ 85,000 บาท ได้แก่ ที่ดินเปล่า ขนาด 188 ตารางวา ใน อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์
“ผลจากการจัดประมูลทรัพย์ออนไลน์ผ่านแอป G H Bank Smart NPA ตลอด 6 ครั้งระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสามารถขายทรัพย์ได้ 165 รายการ ราคารวมถึง 254.6 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าลูกค้าของธนาคารมีความคุ้นเคยกับการรูปแบบการประมูลออนไลน์มากขึ้น และมีส่วนสําคัญที่สนับสนุนให้การขายทรัพย์ NPA ของธนาคารในปีนี้จนถึง ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 สามารถขายได้แล้วถึง 3,352 รายการ มูลค่ารวม 2,872.27 ล้านบาท แม้ว่าจะมีปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งทําให้ธนาคารไม่สามารถจัดงานประมูลขายทรัพย์ หรือนําทรัพย์ไปออกจําหน่ายในมหกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ ส่วนในปี 2564 ธนาคามีเป้าหมายในการขายทรัพย์จํานวน 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเป้าของการขายผ่านทางออนไลน์จํานวน 400 ล้านบาท เพราะคาดว่าจะเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากยิ่งขึ้น”นายฉัตรชัย กล่าว
สําหรับการประมูลขายบ้านมือสอง(รวมที่ดินเปล่า) ธอส. ครั้งที่ 4/2563 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ในครั้งนี้ จะแบ่งทรัพย์ออกประมูลเป็น 7 รอบเวลา รอบละ 30 นาที ประกอบด้วย
รอบที่ 1 เวลา 10.00-10.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.จันทบุรี จ.ระยอง จ.ตราด และ จ.สระแก้ว
รอบที่ 2 เวลา 11.00-11.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงราย จ.น่าน จ.พะเยา จ.แพร่ จ.เชียงใหม่ จ.แม่ฮ่องสอน จ.ลําปาง จ.ลําพูน จ.กําแพงเพชร จ.ชัยนาท จ.นครสวรรค์ จ.พิจิตร จ.พิษณุโลก จ.เพชรบูรณ์ จ.ลพบุรี จ.สุโขทัย และ จ.อุทัยธานี
รอบที่ 3 เวลา 12.00-12.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สระบุรี จ.สุพรรณบุรี จ.อ่างทอง จ.ยโสธร จ.อํานาจเจริญ จ.ร้อยเอ็ด จ.ศรีสะเกษ จ.สุรินทร์ จ.สิงห์บุรี จ.นครนายก และ จ.อุบลราชธานี
รอบที่ 4 เวลา 13.00-13.30 น.ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จ.กาญจนบุรี จ.นครปฐม จ.ราชบุรี จ.สมุทรสงคราม จ.สมุทรสาคร จ.พัทลุง จ.ยะลา จ.สงขลา จ.อุตรดิตถ์ และ จ.สตูล
รอบที่ 5 เวลา 14.00-14.30 น.ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.กระบี่ จ.ตรัง จ.นครศรีธรรมราช จ.ภูเก็ต จ.ชุมพร จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี จ.สุราษฎร์ธานี จ.พังงา จ.ระนอง จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส
รอบที่ 6 เวลา 15.00-15.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ปราจีนบุรี
รอบที่ 7 เวลา 16.00-16.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.มุกดาหาร จ.ชัยภูมิ จ.นครราชสีมา จ.บุรีรัมย์ จ.เลย จ.สกลนคร จ.หนองคาย จ.หนองบัวลําภู จ.บึงกาฬ และ จ.อุดรธานี
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2563 เวลา 09.45 น.(เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ผู้ชนะการประมูลจะได้รับ QR Code ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA สําหรับติดต่อกับธนาคารเพื่อชําระเงินมัดจําตามที่ธนาคารกําหนดและทําสัญญาจะซื้อจะขายในระหว่างวันที่ 21-30 ธันวาคม 2563 และสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 60 เดือน หรือเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลยก็มีสิทธิ์เลือกใช้โปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการพิเศษที่ธนาคารกําหนด) สอบถามรายละเอียด หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th หรือ โทรศัพท์สอบถามข้อมูลกรณีทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โทร. 0-2202-1582 ถึง 3 กรณีทรัพย์ในส่วนภูมิภาค โทร. 0-2202-2036 และ 0-2202-1170 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
โทร. 02-202-1980-5
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่สุดในรอบปี เสาร์นี้ ธอส.ขนบ้านมือสองมากกว่า 7,000 รายการ ออกประมูลออนไลน์เลี่ยงโควิด-19 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ราคาเริ่มต้นลดสูงสุดถึง 75% ราคาถูกสุดแค่ 30,000 บ.
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
ที่สุดในรอบปี เสาร์นี้ ธอส.ขนบ้านมือสองมากกว่า 7,000 รายการ ออกประมูลออนไลน์เลี่ยงโควิด-19 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ราคาเริ่มต้นลดสูงสุดถึง 75% ราคาถูกสุดแค่ 30,000 บ.
ธอส.ห่วงความปลอดภัยด้านสุขภาพของลูกค้าประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 ประกาศเปลี่ยนรูปแบบการจัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง(รวมที่ดินเปล่า) ธอส. ครั้งที่ 4/2563” ในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นการประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ห่วงความปลอดภัยด้านสุขภาพของลูกค้าประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 ประกาศเปลี่ยนรูปแบบการจัดงาน “ประมูลขายบ้านมือสอง(รวมที่ดินเปล่า) ธอส. ครั้งที่ 4/2563” ในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นการประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA โดยนําทรัพย์ทั่วประเทศมาออกประมูลมากที่สุดในรอบปีมากกว่า 7,000 รายการ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด แฟลต อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 555 รายการ และทรัพย์ในภูมิภาค 6,500 รายการ ลดราคาสูงสุดถึง 75% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดเพียง 30,000 บาท แบ่งทรัพย์ออกประมูลออกเป็น 7 รอบเวลา รอบละ 30 นาที ประมูลระหว่างเวลา 10.00-16.30 น.
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่ง ธอส. ได้คํานึงถึงความปลอดภัยในสุขภาพรวมถึงความสะดวกของลูกค้าประชาชนเป็นหลักนั้น ธนาคารจึงขอประกาศ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดงานประมูลขายบ้านมือสอง(รวมที่ดินเปล่า) ธอส. ครั้งที่ 4/2563 ในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 จากเดิมกําหนดให้มีการประมูลที่สํานักงานใหญ่ หรือ ที่ทําการสาขาที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ มาเป็นการประมูลออนไลน์ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA โดยธนาคารได้คัดทรัพย์สภาพดีรวมทั้งสิ้นมากกว่า 7,000 รายการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในภูมิภาค ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 75% จากราคาปกติ แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 555 รายการ ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 50% ถึง 33 รายการ โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ที่มีราคาจําหน่ายต่ําสุด ได้แก่ ห้องชุดชั้นที่ 5 ขนาด 19.5 ตารางเมตร โครงการสมจินตรา ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่แค่ 30,000 บาทเท่านั้น ส่วนรายการทรัพย์เด่นที่มีสภาพใหม่ ตั้งอยู่ในทําเลดี อาทิ ทรัพย์ที่สามารถเดินทางไปสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท-ศรีนครินทร์ ได้อย่างสะดวก ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ 67.4 ตารางวา โครงการหมู่บ้านปริญญดา ถ.บางพลี-ตําหรุ อ.บาลพลี จ.สมุทรปราการ ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 3,600,000 บาท ทรัพย์ที่อยู่ห่างจากศูนย์การค้าเมกาบางนาเพียง 4 กิโลเมตร คือ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เนื้อที่ 28.1ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านเดอะคัลเลอร์สเลชเชอร์บางนา กม.10 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ราคาเริ่มต้นประมูล 2,520,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคนําออกประมูล 6,500 รายการ โดยมีรายการที่น่าสนใจ อาทิ ราคาเริ่มต้นประมูลลดเกือบ 70% และมีราคาเริ่มต้นประมูลต่ําที่สุดเพียงแค่ 85,000 บาท ได้แก่ ที่ดินเปล่า ขนาด 188 ตารางวา ใน อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์
“ผลจากการจัดประมูลทรัพย์ออนไลน์ผ่านแอป G H Bank Smart NPA ตลอด 6 ครั้งระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสามารถขายทรัพย์ได้ 165 รายการ ราคารวมถึง 254.6 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าลูกค้าของธนาคารมีความคุ้นเคยกับการรูปแบบการประมูลออนไลน์มากขึ้น และมีส่วนสําคัญที่สนับสนุนให้การขายทรัพย์ NPA ของธนาคารในปีนี้จนถึง ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 สามารถขายได้แล้วถึง 3,352 รายการ มูลค่ารวม 2,872.27 ล้านบาท แม้ว่าจะมีปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งทําให้ธนาคารไม่สามารถจัดงานประมูลขายทรัพย์ หรือนําทรัพย์ไปออกจําหน่ายในมหกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ ส่วนในปี 2564 ธนาคามีเป้าหมายในการขายทรัพย์จํานวน 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเป้าของการขายผ่านทางออนไลน์จํานวน 400 ล้านบาท เพราะคาดว่าจะเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากยิ่งขึ้น”นายฉัตรชัย กล่าว
สําหรับการประมูลขายบ้านมือสอง(รวมที่ดินเปล่า) ธอส. ครั้งที่ 4/2563 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ในครั้งนี้ จะแบ่งทรัพย์ออกประมูลเป็น 7 รอบเวลา รอบละ 30 นาที ประกอบด้วย
รอบที่ 1 เวลา 10.00-10.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.จันทบุรี จ.ระยอง จ.ตราด และ จ.สระแก้ว
รอบที่ 2 เวลา 11.00-11.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงราย จ.น่าน จ.พะเยา จ.แพร่ จ.เชียงใหม่ จ.แม่ฮ่องสอน จ.ลําปาง จ.ลําพูน จ.กําแพงเพชร จ.ชัยนาท จ.นครสวรรค์ จ.พิจิตร จ.พิษณุโลก จ.เพชรบูรณ์ จ.ลพบุรี จ.สุโขทัย และ จ.อุทัยธานี
รอบที่ 3 เวลา 12.00-12.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สระบุรี จ.สุพรรณบุรี จ.อ่างทอง จ.ยโสธร จ.อํานาจเจริญ จ.ร้อยเอ็ด จ.ศรีสะเกษ จ.สุรินทร์ จ.สิงห์บุรี จ.นครนายก และ จ.อุบลราชธานี
รอบที่ 4 เวลา 13.00-13.30 น.ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จ.กาญจนบุรี จ.นครปฐม จ.ราชบุรี จ.สมุทรสงคราม จ.สมุทรสาคร จ.พัทลุง จ.ยะลา จ.สงขลา จ.อุตรดิตถ์ และ จ.สตูล
รอบที่ 5 เวลา 14.00-14.30 น.ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.กระบี่ จ.ตรัง จ.นครศรีธรรมราช จ.ภูเก็ต จ.ชุมพร จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี จ.สุราษฎร์ธานี จ.พังงา จ.ระนอง จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส
รอบที่ 6 เวลา 15.00-15.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ปราจีนบุรี
รอบที่ 7 เวลา 16.00-16.30 น. ประมูลทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.มุกดาหาร จ.ชัยภูมิ จ.นครราชสีมา จ.บุรีรัมย์ จ.เลย จ.สกลนคร จ.หนองคาย จ.หนองบัวลําภู จ.บึงกาฬ และ จ.อุดรธานี
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2563 เวลา 09.45 น.(เฉพาะลูกค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน) ผู้ชนะการประมูลจะได้รับ QR Code ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA สําหรับติดต่อกับธนาคารเพื่อชําระเงินมัดจําตามที่ธนาคารกําหนดและทําสัญญาจะซื้อจะขายในระหว่างวันที่ 21-30 ธันวาคม 2563 และสามารถเลือกใช้โปรโมชั่นผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 60 เดือน หรือเทดาวน์แล้วยื่นกู้เลยก็มีสิทธิ์เลือกใช้โปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการพิเศษที่ธนาคารกําหนด) สอบถามรายละเอียด หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com หรือ www.ghbank.co.th หรือ โทรศัพท์สอบถามข้อมูลกรณีทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โทร. 0-2202-1582 ถึง 3 กรณีทรัพย์ในส่วนภูมิภาค โทร. 0-2202-2036 และ 0-2202-1170 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
โทร. 02-202-1980-5
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37717
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 688 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.96 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อํานวยการสํานักแผนภาษี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 688 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.96 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 426 คดี ค่าปรับ 3.36 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 192 คดี ค่าปรับ 4.00 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 11 คดี ค่าปรับ 0.24 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 27 คดี ค่าปรับ 1.22 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 1 คดี ค่าปรับ 0.08 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 22 คดี ค่าปรับ 0.57 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 9 คดี ค่าปรับ 0.49 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 6,550.335 ลิตร ยาสูบ จํานวน 12,958 ซอง ไพ่ จํานวน 1,296 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 28,670.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 2,400 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 34 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 24 ธันวาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 6,930 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 127.99 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 3,936 คดี ค่าปรับ 36.71 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 2,141 คดี ค่าปรับ 48.98 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 166 คดี ค่าปรับ 1.82 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 230 คดี ค่าปรับ 16.03 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 30 คดี ค่าปรับ 1.44 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 297 คดี ค่าปรับ จํานวน 7.68 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 130 คดี ค่าปรับ 15.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 156,305.080 ลิตร ยาสูบ จํานวน 180,615 ซอง ไพ่ จํานวน 11,301 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 490,359.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 76,139 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 424 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/611-2564-18-24-2563-64
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 688 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.96 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อํานวยการสํานักแผนภาษี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 688 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 9.96 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 426 คดี ค่าปรับ 3.36 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 192 คดี ค่าปรับ 4.00 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 11 คดี ค่าปรับ 0.24 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 27 คดี ค่าปรับ 1.22 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 1 คดี ค่าปรับ 0.08 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 22 คดี ค่าปรับ 0.57 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 9 คดี ค่าปรับ 0.49 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 6,550.335 ลิตร ยาสูบ จํานวน 12,958 ซอง ไพ่ จํานวน 1,296 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 28,670.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 2,400 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 34 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 24 ธันวาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 6,930 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 127.99 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 3,936 คดี ค่าปรับ 36.71 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 2,141 คดี ค่าปรับ 48.98 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 166 คดี ค่าปรับ 1.82 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 230 คดี ค่าปรับ 16.03 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 30 คดี ค่าปรับ 1.44 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 297 คดี ค่าปรับ จํานวน 7.68 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 130 คดี ค่าปรับ 15.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 156,305.080 ลิตร ยาสูบ จํานวน 180,615 ซอง ไพ่ จํานวน 11,301 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 490,359.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 76,139 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 424 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/611-2564-18-24-2563-64
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37922
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบเห็นยุทธศาสตร์สมุนไพรตัวท็อป
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
คกก.นโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบเห็นยุทธศาสตร์สมุนไพรตัวท็อป
คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางส่งเสริมสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และกระชายดํา Product Champion เตรียมเสนอกรมสรรพสามิตยกเว้นภาษีในการนําเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มการแข่งขัน พร้อมขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร 3 ด้าน
คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางส่งเสริมสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และกระชายดําProduct Champion เตรียมเสนอกรมสรรพสามิตยกเว้นภาษีในการนําเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มการแข่งขันพร้อมขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร3 ด้าน
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 เพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนการส่งเสริมสมุนไพรไทย โดยมีปลัดกระทรวง ผู้บริหาร และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สภาการแพทย์แผนไทย กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมการประชุม
นายแพทย์โสภณกล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข ประสานการทํางานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยสร้างสุขภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบการส่งเสริมและพัฒนาสมุนไพรProduct Champion 2 ชนิด คือ ฟ้าทะลายโจร และกระชายดํา โดยจะขอยกเว้นภาษีในการนําเอทิลแอลกอฮอล์หรือเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร เพื่อลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ เพิ่มการแข่งขันกับต่างประเทศ และมอบให้กรมการแพทย์แผนไทยฯ ทําหนังสือถึงกรมสรรพสามิตเพื่อขอใช้สิทธิเสียภาษีในอัตราศูนย์สําหรับสุราสามทับที่นําไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งการพัฒนาสายพันธุ์และการเพาะปลูกฟ้าทะลายโจรเพื่อเพิ่มปริมาณสารสําคัญ ส่วนกระชายดําให้มีการจัดการปริมาณและพัฒนามาตรฐาน, เพิ่มมูลค่าโดยส่งออกในรูปสารสกัด และสื่อสาร สร้างภาพลักษณ์ให้เป็นThai ginseng
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สําหรับการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร ในปี 2564-2565 เห็นชอบแนวทางการดําเนินงานซึ่งแบ่งเป็น3 คลัสเตอร์ ได้แก่1.เกษตรกรวัตถุดิบสมุนไพร5 จังหวัด คือ อํานาจเจริญ สุรินทร์ มหาสารคาม อุทัยธานี และสกลนคร จะผลักดันเกษตรกรในเมืองสมุนไพรเข้าสู่ตลาดกลางวัตถุดิบสมุนไพร ร่วมกับตลาดไทและกระทรวงเกษตรฯ พื้นที่ปลูกให้ได้มาตรฐาน พัฒนาวัตถุดิบคุณภาพ ปลอดสารกําจัดศัตรูพืช2.อุตสาหกรรมสมุนไพร4 จังหวัด คือ นครปฐม สระบุรี ปราจีนบุรี จันทบุรี พัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการตลาดอบรม/ส่งเสริมผู้ประกอบการในเมืองสมุนไพร และ3.ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพความงามและการแพทย์แผนไทย5จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี สุราษฎร์ธานี สงขลา ถ่ายทอดความรู้ เส้นทางท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์สมุนไพรกับมัคคุเทศก์ ผู้ประกอบธุรกิจนําเที่ยว โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการต่อไป
นอกจากนี้ เห็นชอบให้กําหนดพิกัดรหัสสถิติพิกัดศุลกากร เพื่อใช้ในการติดตามมูลค่าการนําเข้าและส่งออก เริ่มในสมุนไพร5 รายการ ได้แก่ มะขามป้อมซึ่งมีมูลค่านําเข้ามาก และขมิ้นชัน ว่านหางจระเข้ หญ้าหวาน ซึ่งมีมูลค่าการใช้สูงในต่างประเทศ และบัวบกที่พบมีการนําเข้าสารสกัดจํานวนมากแต่ไม่ทราบมูลค่าแน่ชัด จะทําให้มีข้อมูลที่ชัดเจนในการวางแผนยุทธศาสตร์ในระยะต่อไป
********************************************* 25 ธันวาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบเห็นยุทธศาสตร์สมุนไพรตัวท็อป
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
คกก.นโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบเห็นยุทธศาสตร์สมุนไพรตัวท็อป
คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางส่งเสริมสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และกระชายดํา Product Champion เตรียมเสนอกรมสรรพสามิตยกเว้นภาษีในการนําเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มการแข่งขัน พร้อมขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร 3 ด้าน
คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางส่งเสริมสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และกระชายดําProduct Champion เตรียมเสนอกรมสรรพสามิตยกเว้นภาษีในการนําเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มการแข่งขันพร้อมขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร3 ด้าน
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 เพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนการส่งเสริมสมุนไพรไทย โดยมีปลัดกระทรวง ผู้บริหาร และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สภาการแพทย์แผนไทย กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมการประชุม
นายแพทย์โสภณกล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข ประสานการทํางานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยสร้างสุขภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบการส่งเสริมและพัฒนาสมุนไพรProduct Champion 2 ชนิด คือ ฟ้าทะลายโจร และกระชายดํา โดยจะขอยกเว้นภาษีในการนําเอทิลแอลกอฮอล์หรือเอทานอลมาใช้ในการสกัดสมุนไพร เพื่อลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ เพิ่มการแข่งขันกับต่างประเทศ และมอบให้กรมการแพทย์แผนไทยฯ ทําหนังสือถึงกรมสรรพสามิตเพื่อขอใช้สิทธิเสียภาษีในอัตราศูนย์สําหรับสุราสามทับที่นําไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งการพัฒนาสายพันธุ์และการเพาะปลูกฟ้าทะลายโจรเพื่อเพิ่มปริมาณสารสําคัญ ส่วนกระชายดําให้มีการจัดการปริมาณและพัฒนามาตรฐาน, เพิ่มมูลค่าโดยส่งออกในรูปสารสกัด และสื่อสาร สร้างภาพลักษณ์ให้เป็นThai ginseng
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สําหรับการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร ในปี 2564-2565 เห็นชอบแนวทางการดําเนินงานซึ่งแบ่งเป็น3 คลัสเตอร์ ได้แก่1.เกษตรกรวัตถุดิบสมุนไพร5 จังหวัด คือ อํานาจเจริญ สุรินทร์ มหาสารคาม อุทัยธานี และสกลนคร จะผลักดันเกษตรกรในเมืองสมุนไพรเข้าสู่ตลาดกลางวัตถุดิบสมุนไพร ร่วมกับตลาดไทและกระทรวงเกษตรฯ พื้นที่ปลูกให้ได้มาตรฐาน พัฒนาวัตถุดิบคุณภาพ ปลอดสารกําจัดศัตรูพืช2.อุตสาหกรรมสมุนไพร4 จังหวัด คือ นครปฐม สระบุรี ปราจีนบุรี จันทบุรี พัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการตลาดอบรม/ส่งเสริมผู้ประกอบการในเมืองสมุนไพร และ3.ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพความงามและการแพทย์แผนไทย5จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี สุราษฎร์ธานี สงขลา ถ่ายทอดความรู้ เส้นทางท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์สมุนไพรกับมัคคุเทศก์ ผู้ประกอบธุรกิจนําเที่ยว โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการต่อไป
นอกจากนี้ เห็นชอบให้กําหนดพิกัดรหัสสถิติพิกัดศุลกากร เพื่อใช้ในการติดตามมูลค่าการนําเข้าและส่งออก เริ่มในสมุนไพร5 รายการ ได้แก่ มะขามป้อมซึ่งมีมูลค่านําเข้ามาก และขมิ้นชัน ว่านหางจระเข้ หญ้าหวาน ซึ่งมีมูลค่าการใช้สูงในต่างประเทศ และบัวบกที่พบมีการนําเข้าสารสกัดจํานวนมากแต่ไม่ทราบมูลค่าแน่ชัด จะทําให้มีข้อมูลที่ชัดเจนในการวางแผนยุทธศาสตร์ในระยะต่อไป
********************************************* 25 ธันวาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37918
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมฯ กล่าวย้ําว่า กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนี้ถือเป็นวาระสําคัญที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานของกระทรวง เพื่อนําข้อสรุปมาเป็นแนวทางสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีต่อไป สําหรับการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 นี้ ได้มีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร
******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงฯ ดีอีเอส ร่วมเวทีประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 จัดโดยกระทรวงมหาดไทย
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมฯ กล่าวย้ําว่า กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนี้ถือเป็นวาระสําคัญที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานของกระทรวง เพื่อนําข้อสรุปมาเป็นแนวทางสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีต่อไป สําหรับการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 นี้ ได้มีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร
******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37917
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กบข. รับสิทธิประกันภัยโควิด-19 ฟรี จากทิพยประกันภัย
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
สมาชิก กบข. รับสิทธิประกันภัยโควิด-19 ฟรี จากทิพยประกันภัย
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในหลายพื้นที่ กบข. มีความห่วงใยสุขภาพของสมาชิกและครอบครัว จึงได้ร่วมกับ บมจ.ทิพยประกันภัย มอบสิทธิพิเศษ “ประกันภัยโควิด-19 สําหรับสมาชิก กบข.” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สมาชิกจะได้รับการคุ้มครองยาวนาน 30 วัน
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในหลายพื้นที่ กบข. มีความห่วงใยสุขภาพของสมาชิกและครอบครัว จึงได้ร่วมกับ บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษ “ประกันภัยโควิด-19 สําหรับสมาชิก กบข.” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สมาชิกจะได้รับการคุ้มครองยาวนาน 30 วัน ชดเชยภาวะโคมาจากการติดเชื้อ COVID-19 วงเงินสูงสุด 100,000 บาท
สมาชิกกดรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพียงพิมพ์ค้นหาไลน์ไอดี “@tipgo” และกดเพิ่มเพื่อน ต่อมากดลงทะเบียนรับประกันภัยโควิด-19 โดยสมาชิกกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน จัดส่งข้อมูลผ่านระบบ หลังจากนั้นยืนยันการใช้สิทธิ์สมาชิก กบข. โดยพิมพ์คําว่า “กบข.” ในกล่องข้อความไลน์ Dhipaya Insurance ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตอบกลับข้อความของสมาชิกเพื่อยืนยันการได้รับสิทธิ์และเริ่มต้นการคุ้มครองทันที
สมาชิกที่สนใจสอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายธุรกิจภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ บมจ.ทิพยประกันภัย โทร. 0-2239-2830 ถึง 7 หรือติดตามข่าวสารสวัสดิการใหม่ได้ทาง Facebook กบข. หรือ Line กบข. พิมพ์ค้นหาไอดี @gpfcommunity
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กบข. รับสิทธิประกันภัยโควิด-19 ฟรี จากทิพยประกันภัย
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
สมาชิก กบข. รับสิทธิประกันภัยโควิด-19 ฟรี จากทิพยประกันภัย
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในหลายพื้นที่ กบข. มีความห่วงใยสุขภาพของสมาชิกและครอบครัว จึงได้ร่วมกับ บมจ.ทิพยประกันภัย มอบสิทธิพิเศษ “ประกันภัยโควิด-19 สําหรับสมาชิก กบข.” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สมาชิกจะได้รับการคุ้มครองยาวนาน 30 วัน
ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในหลายพื้นที่ กบข. มีความห่วงใยสุขภาพของสมาชิกและครอบครัว จึงได้ร่วมกับ บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษ “ประกันภัยโควิด-19 สําหรับสมาชิก กบข.” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สมาชิกจะได้รับการคุ้มครองยาวนาน 30 วัน ชดเชยภาวะโคมาจากการติดเชื้อ COVID-19 วงเงินสูงสุด 100,000 บาท
สมาชิกกดรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพียงพิมพ์ค้นหาไลน์ไอดี “@tipgo” และกดเพิ่มเพื่อน ต่อมากดลงทะเบียนรับประกันภัยโควิด-19 โดยสมาชิกกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน จัดส่งข้อมูลผ่านระบบ หลังจากนั้นยืนยันการใช้สิทธิ์สมาชิก กบข. โดยพิมพ์คําว่า “กบข.” ในกล่องข้อความไลน์ Dhipaya Insurance ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตอบกลับข้อความของสมาชิกเพื่อยืนยันการได้รับสิทธิ์และเริ่มต้นการคุ้มครองทันที
สมาชิกที่สนใจสอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายธุรกิจภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ บมจ.ทิพยประกันภัย โทร. 0-2239-2830 ถึง 7 หรือติดตามข่าวสารสวัสดิการใหม่ได้ทาง Facebook กบข. หรือ Line กบข. พิมพ์ค้นหาไอดี @gpfcommunity
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37910
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต เปิดศูนย์ผ่าตัดโรคซับซ้อนด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รมช.สาธิต เปิดศูนย์ผ่าตัดโรคซับซ้อนด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี ใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ แขนกลเคลื่อนไหว 7 ทิศทาง ผ่าตัดรักษาโรคซับซ้อนหลายระบบอย่างแม่นยํา ลดภาวะแทรกซ้อน มีความปลอดภัยมากขึ้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี ใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ แขนกลเคลื่อนไหว 7 ทิศทาง ผ่าตัดรักษาโรคซับซ้อนหลายระบบอย่างแม่นยํา ลดภาวะแทรกซ้อน มีความปลอดภัยมากขึ้น ฟื้นตัวเร็ว ลดเวลาการครองเตียง รองรับผู้ป่วยมากขึ้น
วันนี้ (25 ธันวาคม 2563) ที่อาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี โรงพยาบาลราชวิถี กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลราชวิถี ร่วมเปิดห้องผ่าตัดแห่งใหม่ และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อรองรับการผ่าตัดรักษาที่มีความซับซ้อน พร้อมชมการสาธิตการใช้งานหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกแห่งนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์เพิ่มคุณภาพบริการและความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน สําหรับโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เป็นโรงพยาบาลต้นแบบและสนับสนุนวิชาการให้แก่โรงพยาบาลในส่วนภูมิภาค ได้นํานวัตกรรมทางการแพทย์ต่าง ๆ มาอํานวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มพื้นที่ส่วนให้บริการผ่าตัดแห่งใหม่และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีความจําเป็นต้องได้รับการผ่าตัดรักษาที่ซับซ้อน นําหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มาติดตั้งที่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ และแขนกลที่เคลื่อนไหวได้ 7 ทิศทาง คล้ายการเคลื่อนไหวของมือมนุษย์ โดยตัวหุ่นยนต์อยู่ข้างคนไข้ทําการผ่าตัดเลียนแบบการเคลื่อนไหวของมือศัลยแพทย์ที่ควบคุมสั่งการอยู่ที่เครื่องควบคุม ทําให้มีความแม่นยําในการผ่าตัด โดยเฉพาะตําแหน่งที่เข้าถึงได้ยาก ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดได้ มีความปลอดภัยในการรักษามากขึ้น ระยะเวลาในการฟื้นตัวเร็วขึ้น และพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสั้นลง รวมทั้งลดการสัมผัสระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ผู้ผ่าตัด ลดการแพร่กระจายเชื้อในสถานการณ์โรคโควิด 19
นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวว่า ศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์สามารถรองรับการผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็ง และโรคที่ต้องอาศัยการผ่าตัดที่ซับซ้อนในหลายระบบได้ เช่น โรคในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคระบบโสต ศอ นาสิก ได้แก่ โรคของต่อมทอลซิล และมะเร็งที่โคนลิ้น, โรคในระบบศัลยศาสตร์ ได้แก่ โรคมะเร็งตับ และลําไส้ใหญ่, โรคในระบบนรีเวช ได้แก่ เนื้องอกมดลูก และโรคในระบบหัวใจและทรวงอก เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อลดความแออัดของผู้มารับบริการ โรงพยาบาลราชวิถีได้เพิ่มห้องผ่าตัดแห่งใหม่ จํานวน 11 ห้อง ได้แก่ ห้องผ่าตัดแผนกจักษุ 4 ห้อง ห้องผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ 3 ห้อง ห้องผ่าตัดอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ห้อง และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ 1 ห้อง ที่ชั้น 4 อาคารศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี รองรับผู้ป่วยที่มีจํานวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6,000 รายต่อวัน รวมทั้งผู้ป่วยที่ต้องได้รับการผ่าตัดซับซ้อนที่มีมากขึ้นด้วย
********************************************* 25 ธันวาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต เปิดศูนย์ผ่าตัดโรคซับซ้อนด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รมช.สาธิต เปิดศูนย์ผ่าตัดโรคซับซ้อนด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี ใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ แขนกลเคลื่อนไหว 7 ทิศทาง ผ่าตัดรักษาโรคซับซ้อนหลายระบบอย่างแม่นยํา ลดภาวะแทรกซ้อน มีความปลอดภัยมากขึ้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี ใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ แขนกลเคลื่อนไหว 7 ทิศทาง ผ่าตัดรักษาโรคซับซ้อนหลายระบบอย่างแม่นยํา ลดภาวะแทรกซ้อน มีความปลอดภัยมากขึ้น ฟื้นตัวเร็ว ลดเวลาการครองเตียง รองรับผู้ป่วยมากขึ้น
วันนี้ (25 ธันวาคม 2563) ที่อาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี โรงพยาบาลราชวิถี กทม. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลราชวิถี ร่วมเปิดห้องผ่าตัดแห่งใหม่ และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อรองรับการผ่าตัดรักษาที่มีความซับซ้อน พร้อมชมการสาธิตการใช้งานหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกแห่งนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์เพิ่มคุณภาพบริการและความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน สําหรับโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เป็นโรงพยาบาลต้นแบบและสนับสนุนวิชาการให้แก่โรงพยาบาลในส่วนภูมิภาค ได้นํานวัตกรรมทางการแพทย์ต่าง ๆ มาอํานวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มพื้นที่ส่วนให้บริการผ่าตัดแห่งใหม่และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีความจําเป็นต้องได้รับการผ่าตัดรักษาที่ซับซ้อน นําหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่มาติดตั้งที่มีเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ และแขนกลที่เคลื่อนไหวได้ 7 ทิศทาง คล้ายการเคลื่อนไหวของมือมนุษย์ โดยตัวหุ่นยนต์อยู่ข้างคนไข้ทําการผ่าตัดเลียนแบบการเคลื่อนไหวของมือศัลยแพทย์ที่ควบคุมสั่งการอยู่ที่เครื่องควบคุม ทําให้มีความแม่นยําในการผ่าตัด โดยเฉพาะตําแหน่งที่เข้าถึงได้ยาก ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดได้ มีความปลอดภัยในการรักษามากขึ้น ระยะเวลาในการฟื้นตัวเร็วขึ้น และพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสั้นลง รวมทั้งลดการสัมผัสระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ผู้ผ่าตัด ลดการแพร่กระจายเชื้อในสถานการณ์โรคโควิด 19
นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวว่า ศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์สามารถรองรับการผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็ง และโรคที่ต้องอาศัยการผ่าตัดที่ซับซ้อนในหลายระบบได้ เช่น โรคในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคระบบโสต ศอ นาสิก ได้แก่ โรคของต่อมทอลซิล และมะเร็งที่โคนลิ้น, โรคในระบบศัลยศาสตร์ ได้แก่ โรคมะเร็งตับ และลําไส้ใหญ่, โรคในระบบนรีเวช ได้แก่ เนื้องอกมดลูก และโรคในระบบหัวใจและทรวงอก เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อลดความแออัดของผู้มารับบริการ โรงพยาบาลราชวิถีได้เพิ่มห้องผ่าตัดแห่งใหม่ จํานวน 11 ห้อง ได้แก่ ห้องผ่าตัดแผนกจักษุ 4 ห้อง ห้องผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ 3 ห้อง ห้องผ่าตัดอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ห้อง และศูนย์ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ 1 ห้อง ที่ชั้น 4 อาคารศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี รองรับผู้ป่วยที่มีจํานวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6,000 รายต่อวัน รวมทั้งผู้ป่วยที่ต้องได้รับการผ่าตัดซับซ้อนที่มีมากขึ้นด้วย
********************************************* 25 ธันวาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37915
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564
รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564
วันนี้(25ธันวาคม2563)เวลา09.00น.ณตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลนายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19ระลอกที่2ซึ่งพบจํานวนผู้ติดเชื้อเป็นจํานวนมากและมีการแพร่ระบาดหลายจังหวัดอย่างรวดเร็วรัฐบาลโดยสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงงดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในวัดต่างๆทั่วประเทศเพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดแต่จะมีการถ่ายทอดสดพิธีเจริญพระพุทธมนต์จากวัดอรุณราชวรารามวรวิหารให้ประชาชนได้ติดตามชมและร่วมเจริญจิตตภาวนาผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง7 HDและสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(NBT2HD)รวมทั้งสื่อOnlineของวัดอรุณราชวรารามและสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและ9 MCOTในวันที่31ธันวาคม2563เวลา23.00น.เป็นต้นไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและประเทศชาติและมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดปี2564
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ในพื้นที่จ.ชัยนาทจํานวน6รายโดยรายแรกเป็นพ่อค้าอาหารทะเลที่เดินทางมาจากสมุทรสาครมีการแพร่ระบาดไปยังผู้ติดเชื้อ2รายเป็นแม่ลูกที่เข้ารับการรักษาคลีนิกเดียวกันรวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของผู้ติดเชื้อรายแรกตรวจพบเชื้อเพิ่มเติมอีก3รายนั้นทางจ.ชัยนาทได้ดําเนินการเชิงรุกในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดโดยมีการควบคุมพื้นที่ที่เกิดการแพร่ระบาดจึงขอให้ประชาชนชาวชัยนาทมั่นใจว่ารัฐบาลมีการดําเนินงานอย่างเข้มงวด
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเน้นย้ําเรื่องความร่วมมือความสามัคคีของคนในประเทศซึ่งตนมีความมั่นใจว่า“แม้โรคนี้จะร้ายแรงเพียงใดแต่สู้พี่น้องคนไทยไม่ได้”หากเรามีความรักความสามัคคีก็จะเอาชนะโรคร้ายที่กําลังเผชิญอยู่ไปได้ดั่งเช่นการแพร่ระบาดระลอกแรกที่เราสามารถเอาชนะมาได้จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับสถานการณ์แพร่ระบาดขอให้ทุกฝ่ายเห็นอกเห็นใจช่วยดูแลซึ่งกันและกันในฐานะพี่น้องคนไทยด้วยกัน
..................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564
รมต.นร. นายอนุชาฯ มั่นใจ คนไทยต้องชนะโควิด ชวนร่วมสวดมนต์ข้ามปี Online ผ่านช่อง 7 HD NBT2HD และ MCOT เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดปี 2564
วันนี้(25ธันวาคม2563)เวลา09.00น.ณตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลนายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19ระลอกที่2ซึ่งพบจํานวนผู้ติดเชื้อเป็นจํานวนมากและมีการแพร่ระบาดหลายจังหวัดอย่างรวดเร็วรัฐบาลโดยสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงงดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในวัดต่างๆทั่วประเทศเพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดแต่จะมีการถ่ายทอดสดพิธีเจริญพระพุทธมนต์จากวัดอรุณราชวรารามวรวิหารให้ประชาชนได้ติดตามชมและร่วมเจริญจิตตภาวนาผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง7 HDและสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(NBT2HD)รวมทั้งสื่อOnlineของวัดอรุณราชวรารามและสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและ9 MCOTในวันที่31ธันวาคม2563เวลา23.00น.เป็นต้นไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและประเทศชาติและมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดปี2564
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ในพื้นที่จ.ชัยนาทจํานวน6รายโดยรายแรกเป็นพ่อค้าอาหารทะเลที่เดินทางมาจากสมุทรสาครมีการแพร่ระบาดไปยังผู้ติดเชื้อ2รายเป็นแม่ลูกที่เข้ารับการรักษาคลีนิกเดียวกันรวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของผู้ติดเชื้อรายแรกตรวจพบเชื้อเพิ่มเติมอีก3รายนั้นทางจ.ชัยนาทได้ดําเนินการเชิงรุกในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดโดยมีการควบคุมพื้นที่ที่เกิดการแพร่ระบาดจึงขอให้ประชาชนชาวชัยนาทมั่นใจว่ารัฐบาลมีการดําเนินงานอย่างเข้มงวด
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเน้นย้ําเรื่องความร่วมมือความสามัคคีของคนในประเทศซึ่งตนมีความมั่นใจว่า“แม้โรคนี้จะร้ายแรงเพียงใดแต่สู้พี่น้องคนไทยไม่ได้”หากเรามีความรักความสามัคคีก็จะเอาชนะโรคร้ายที่กําลังเผชิญอยู่ไปได้ดั่งเช่นการแพร่ระบาดระลอกแรกที่เราสามารถเอาชนะมาได้จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับสถานการณ์แพร่ระบาดขอให้ทุกฝ่ายเห็นอกเห็นใจช่วยดูแลซึ่งกันและกันในฐานะพี่น้องคนไทยด้วยกัน
..................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37902
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดําเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดําเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงาน เร่งพิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่สมควรจะดําเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชนดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา และให้นําเสนอแผนงาน/โครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและสอดคล้องในภาพรวม กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการและผู้ประกอบการ จึงได้จัดของขวัญปีใหม่เพื่อมอบให้ประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่ออํานวยความสะดวกและลดภาระต้นทุนเนื่องในโอกาสปีใหม่ 2564 โดยจัดโครงการต่างๆ แบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านการ ลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการ 2. ด้านการเสริมสภาพคล่องการดําเนินธุรกิจ 3. การยกระดับผู้ประกอบการ และ 4. การดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ โดยมีรายละเอียดการดําเนินงาน ดังนี้
1. ด้านการลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการด้วย 1.1) การยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเครื่องจักร โดยขณะนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการจัดทํากฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. ... โดยเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักรตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. 2514 ให้เป็นระยะเวลาหนึ่งปี มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 15 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ร่างกฎกระทรวงได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 และผ่านการตรวจพิจารณาโดยสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้แจ้งเรื่องกลับมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรม เตรียมนําเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามในกฎกระทรวง และนําไปออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ประมาณการว่าจะสูญเสียรายได้จากการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักรในครั้งนี้ประมาณ 2 ล้านบาท
1.2) ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก./ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและบริการ ของสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อาทิ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก. ค่าตรวจโรงงาน ค่าใช้จ่ายการตรวจติดตามผลหลังการอนุญาต ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใบรับรอง ยกเว้นค่าแปลใบอนุญาต/ใบรับรอง ค่าทดสอบผลิตภัณฑ์ มอก. S เป็นต้น ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่ 10 ตุลาคม 2563 จนถึง 30 เมษายน 2564 โดยคิดเป็นมูลค่าที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมด กว่า 111 ล้านบาท
1.3 ) ลดค่าบริการการใช้ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางเคมี ของสถาบันอาหาร โดยลดค่าบริการการใช้ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางเคมี (โลหะหนัก สารหนู ปรอท ยาฆ่าแมลง) จุลชีววิทยา เชื้อก่อโรคที่อาจปนเปื้อนมาในอาหาร /บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด ลด 25% จํานวน 250 สิทธิ์ สําหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ร้านอาหารขนาดเล็ก
1.4) มาตรการกระตุ้นการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพลดหย่อนภาษี 1.25 เท่า โดยสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลจํานวน 1.25 เท่า สําหรับผู้ซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ซื้อคนแรกสามารถนํารายงานการซื้อสินค้า ใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่ม และใบรับรองผลิตภัณฑ์ฯ จาก สศอ. ยื่นขอลดหย่อนภาษีได้
1.5) แจกซอฟแวร์ฟรีสําหรับเอสเอ็มอีไทย โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จํานวน 29 โปรแกรม ให้ใช้ 6 เดือน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะ สนับสนุนการใช้ Business Software and Application เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรม
2. เสริมสภาพคล่องการดําเนินธุรกิจด้วยการปล่อยสินเชื่อ ด้วย 2.1) สินเชื่อ“เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” วงเงิน 1,000 ลบ. ของกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สําหรับ SMEs เพื่อลงทุน ขยาย ปรับปรุง กิจการ หรือเป็นทุนหมุนเวียนสภาพคล่อง กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อ สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลากู้สูงสุด ไม่เกิน 7 ปี กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มอุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เครื่องมือทางการแพทย์ หุ่นยนต์/เครื่องจักรอัตโนมัติ ท่องเที่ยว และ Tech Startup โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ หรือสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ 2.2) สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยต้องยื่นคําขอภายใน 31 มีนาคม 2564
ลูกค้ารายเดิม
1. สําหรับลูกหนี้เดิมที่ชําระเงินปกติ : พักชําระเงินต้น ไม่เกิน 12 เดือน (โดยชําระเฉพาะดอกเบี้ย) และขยายเวลาผ่อนชําระหนี้ ไม่เกิน 12 เดือน
2. สําหรับลูกหนี้เดิมที่ค้างชําระไม่เกิน 3 งวด : พักชําระเงินต้น ไม่เกิน 6 เดือน (โดยชําระเฉพาะดอกเบี้ย) และขยายเวลาผ่อนชําระหนี้ ไม่เกิน 6 เดือน
ลูกค้ารายใหม่ (สําหรับอุตสาหกรรมรายย่อย ในวงเงิน 100,000 บาท ขึ้นไป)
1. ได้สิทธิพักชําระเงินต้น ไม่เกิน 6 เดือน (โดยชําระเฉพาะดอกเบี้ย)
2. อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี
3. สําหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมฝึกอบรม หลักสูตร TPS และ TOYOTA KARAKURI KAIZE และ หลักสูตร SMART FACTORY SOLOTION for SMEs 4.0 กับทาง กสอ. มอบสิทธิพิเศษด้านการเงินกับสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash และ สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน โดยรับสิทธิพิเศษจาก SMEs BANK
2.3) สินเชื่อ “จ่ายดี มีเติม” โดย SMEs D BANK สําหรับลูกค้าเดิมที่มีประวัติชําระหนี้ดีจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 SMEs D BANK เติมทุนเสริมสภาพคล่องให้เพิ่มเติม สูงสุดเท่ากับวงเงินสินเชื่อเดิม และขยายเวลาพักชําระหนี้สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย
3.ยกระดับผู้ประกอบการ โดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ด้วยบริการฟรีออกแบบบรรจุภัณฑ์ ฉลาก สติกเกอร์ พร้อมจัดทําต้นแบบ พร้อมให้คําปรึกษาแนะนํากลยุทธ์และเทคนิคการตลาดออนไลน์ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ
3.1) บริการประเมินและวินิจฉัยเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรม4.0 โดยสถาบันไทย-เยอรมัน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยการเข้าประเมินที่โรงงาน และให้การวินิจฉัยและคําปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญจํานวน 1 Man/Day โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
4.ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ ประกอบด้วย 4.1) โครงการเพื่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยจัดซื้อเครื่องสางใบอ้อยมาให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ยืม ดําเนินการโดยสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในการตัดอ้อยสด ซึ่งสามารถติดต่อขอยืมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อย และน้ําตาลทรายภาค ที่ 1-4 และขยายระยะเวลาชําระคืนหนี้เงินกู้ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี 2562-2564 และพักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 1 ปี และ 4.2) โครงการเหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชนปีที่ 4 โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จัดกิจกรรมตรวจสุขภาพของประชาชน ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถตรวจสุขภาพประชาชนโดยรอบสถานประกอบการเหมืองแร่ได้ไม่น้อยกว่า 30,000 คน พร้อมมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียนให้กับชุมชนรอบเหมือง และ 4.3) ระบบประเมินคุณภาพผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (e-QR) โดยสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ว่า สินค้าดี มีคุณภาพและได้มาตรฐานหรือไม่ พร้อมทั้งสามารถให้ข้อคิดเห็นหรือร้องเรียนในกรณีที่สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานได้
ทั้งนี้ เพื่อให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายสามารถได้รับบริการตามวัตถุประสงค์ของแต่ละกลุ่ม โดยของขวัญเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในผลงานสําคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่น ขับเคลื่อน ชัดเจน จริงจัง เพื่อเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมตลอดมา ซึ่งเชื่อมั่นจะเป็นของขวัญที่ถูกใจผู้ประกอบการและประชาชนผู้รับบริการ
--------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ก.อุตฯ มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดําเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบของขวัญปีใหม่ จัดมาตรการช่วยลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องการดําเนินธุรกิจ พร้อมยกระดับผู้ประกอบการ ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงาน เร่งพิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่สมควรจะดําเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชนดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา และให้นําเสนอแผนงาน/โครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและสอดคล้องในภาพรวม กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการและผู้ประกอบการ จึงได้จัดของขวัญปีใหม่เพื่อมอบให้ประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่ออํานวยความสะดวกและลดภาระต้นทุนเนื่องในโอกาสปีใหม่ 2564 โดยจัดโครงการต่างๆ แบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านการ ลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการ 2. ด้านการเสริมสภาพคล่องการดําเนินธุรกิจ 3. การยกระดับผู้ประกอบการ และ 4. การดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ โดยมีรายละเอียดการดําเนินงาน ดังนี้
1. ด้านการลดภาระ ลดต้นทุนผู้ประกอบการด้วย 1.1) การยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเครื่องจักร โดยขณะนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการจัดทํากฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. ... โดยเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักรตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. 2514 ให้เป็นระยะเวลาหนึ่งปี มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 15 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ร่างกฎกระทรวงได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 และผ่านการตรวจพิจารณาโดยสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้แจ้งเรื่องกลับมายังกรมโรงงานอุตสาหกรรม เตรียมนําเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมลงนามในกฎกระทรวง และนําไปออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ประมาณการว่าจะสูญเสียรายได้จากการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักรในครั้งนี้ประมาณ 2 ล้านบาท
1.2) ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก./ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและบริการ ของสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อาทิ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก. ค่าตรวจโรงงาน ค่าใช้จ่ายการตรวจติดตามผลหลังการอนุญาต ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใบรับรอง ยกเว้นค่าแปลใบอนุญาต/ใบรับรอง ค่าทดสอบผลิตภัณฑ์ มอก. S เป็นต้น ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่ 10 ตุลาคม 2563 จนถึง 30 เมษายน 2564 โดยคิดเป็นมูลค่าที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมด กว่า 111 ล้านบาท
1.3 ) ลดค่าบริการการใช้ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางเคมี ของสถาบันอาหาร โดยลดค่าบริการการใช้ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางเคมี (โลหะหนัก สารหนู ปรอท ยาฆ่าแมลง) จุลชีววิทยา เชื้อก่อโรคที่อาจปนเปื้อนมาในอาหาร /บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด ลด 25% จํานวน 250 สิทธิ์ สําหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ร้านอาหารขนาดเล็ก
1.4) มาตรการกระตุ้นการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพลดหย่อนภาษี 1.25 เท่า โดยสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลจํานวน 1.25 เท่า สําหรับผู้ซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ซื้อคนแรกสามารถนํารายงานการซื้อสินค้า ใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่ม และใบรับรองผลิตภัณฑ์ฯ จาก สศอ. ยื่นขอลดหย่อนภาษีได้
1.5) แจกซอฟแวร์ฟรีสําหรับเอสเอ็มอีไทย โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จํานวน 29 โปรแกรม ให้ใช้ 6 เดือน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะ สนับสนุนการใช้ Business Software and Application เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรม
2. เสริมสภาพคล่องการดําเนินธุรกิจด้วยการปล่อยสินเชื่อ ด้วย 2.1) สินเชื่อ“เสริมพลัง สร้างอนาคต SME ไทย” วงเงิน 1,000 ลบ. ของกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สําหรับ SMEs เพื่อลงทุน ขยาย ปรับปรุง กิจการ หรือเป็นทุนหมุนเวียนสภาพคล่อง กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อ สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลากู้สูงสุด ไม่เกิน 7 ปี กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มอุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เครื่องมือทางการแพทย์ หุ่นยนต์/เครื่องจักรอัตโนมัติ ท่องเที่ยว และ Tech Startup โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ หรือสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ 2.2) สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยต้องยื่นคําขอภายใน 31 มีนาคม 2564
ลูกค้ารายเดิม
1. สําหรับลูกหนี้เดิมที่ชําระเงินปกติ : พักชําระเงินต้น ไม่เกิน 12 เดือน (โดยชําระเฉพาะดอกเบี้ย) และขยายเวลาผ่อนชําระหนี้ ไม่เกิน 12 เดือน
2. สําหรับลูกหนี้เดิมที่ค้างชําระไม่เกิน 3 งวด : พักชําระเงินต้น ไม่เกิน 6 เดือน (โดยชําระเฉพาะดอกเบี้ย) และขยายเวลาผ่อนชําระหนี้ ไม่เกิน 6 เดือน
ลูกค้ารายใหม่ (สําหรับอุตสาหกรรมรายย่อย ในวงเงิน 100,000 บาท ขึ้นไป)
1. ได้สิทธิพักชําระเงินต้น ไม่เกิน 6 เดือน (โดยชําระเฉพาะดอกเบี้ย)
2. อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี
3. สําหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมฝึกอบรม หลักสูตร TPS และ TOYOTA KARAKURI KAIZE และ หลักสูตร SMART FACTORY SOLOTION for SMEs 4.0 กับทาง กสอ. มอบสิทธิพิเศษด้านการเงินกับสินเชื่อรายเล็ก Extra Cash และ สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน โดยรับสิทธิพิเศษจาก SMEs BANK
2.3) สินเชื่อ “จ่ายดี มีเติม” โดย SMEs D BANK สําหรับลูกค้าเดิมที่มีประวัติชําระหนี้ดีจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 SMEs D BANK เติมทุนเสริมสภาพคล่องให้เพิ่มเติม สูงสุดเท่ากับวงเงินสินเชื่อเดิม และขยายเวลาพักชําระหนี้สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย
3.ยกระดับผู้ประกอบการ โดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ด้วยบริการฟรีออกแบบบรรจุภัณฑ์ ฉลาก สติกเกอร์ พร้อมจัดทําต้นแบบ พร้อมให้คําปรึกษาแนะนํากลยุทธ์และเทคนิคการตลาดออนไลน์ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ
3.1) บริการประเมินและวินิจฉัยเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรม4.0 โดยสถาบันไทย-เยอรมัน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยการเข้าประเมินที่โรงงาน และให้การวินิจฉัยและคําปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญจํานวน 1 Man/Day โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
4.ดูแลเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ ประกอบด้วย 4.1) โครงการเพื่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยจัดซื้อเครื่องสางใบอ้อยมาให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ยืม ดําเนินการโดยสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในการตัดอ้อยสด ซึ่งสามารถติดต่อขอยืมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อย และน้ําตาลทรายภาค ที่ 1-4 และขยายระยะเวลาชําระคืนหนี้เงินกู้ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี 2562-2564 และพักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 1 ปี และ 4.2) โครงการเหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชนปีที่ 4 โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จัดกิจกรรมตรวจสุขภาพของประชาชน ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถตรวจสุขภาพประชาชนโดยรอบสถานประกอบการเหมืองแร่ได้ไม่น้อยกว่า 30,000 คน พร้อมมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียนให้กับชุมชนรอบเหมือง และ 4.3) ระบบประเมินคุณภาพผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (e-QR) โดยสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ว่า สินค้าดี มีคุณภาพและได้มาตรฐานหรือไม่ พร้อมทั้งสามารถให้ข้อคิดเห็นหรือร้องเรียนในกรณีที่สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานได้
ทั้งนี้ เพื่อให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายสามารถได้รับบริการตามวัตถุประสงค์ของแต่ละกลุ่ม โดยของขวัญเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในผลงานสําคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่น ขับเคลื่อน ชัดเจน จริงจัง เพื่อเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมตลอดมา ซึ่งเชื่อมั่นจะเป็นของขวัญที่ถูกใจผู้ประกอบการและประชาชนผู้รับบริการ
--------------------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37923
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด- 19
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงมหาดไทยชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด- 19
โฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่มีการอ้างว่าภายหลังจับบุคคลต่างด้าวได้แล้ว กลับไม่มีสถานที่กักกันตัวเพื่อดูอาการนั้น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขอชี้แจงว่า ได้มีการเตรียมจัดหาสถานที่สํารองเพื่อเป็นสถานกักกันตัวสําหรับบุคคลที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายไว้ในพื้นที่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จํานวน 8 อําเภอ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ที่ผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมีจํานวนน้อย และไม่บ่อยครั้งที่หน่วยงานจับกุมจะเป็นผู้ควบคุมและกักกันตัวเพื่อรอผลตรวจสอบหาเชื้อโควิด – 19 ซึ่งหากผลเป็นลบก็จะส่งพนักงานสอบสวนในพื้นที่เพื่อดําเนินคดีต่อไป ประกอบกับสถานีตํารวจในพื้นที่มีสถานที่เพื่อกักกันตัวเพียงพอซึ่งไม่ขัดข้องที่จะควบคุมตัวไว้ก่อนส่งดําเนินคดี
จังหวัดมีมาตรการในการแก้ปัญหา ดังนี้ 1) กรณีที่มีผู้หลบหนีเข้าเมืองเป็นจํานวนมาก จังหวัดได้จัดเตรียมสถานที่กักกันไว้รองรับทุกอําเภอแล้ว เพื่อรอผลตรวจหาเชื้อและดําเนินคดีต่อไป แต่หากกรณีมีจํานวนน้อยจะใช้มาตรการตาม พรบ. ควบคุมโรคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้มาตรการกักกันตัว ณ จุดเกิดเหตุจนกว่าจะทราบผลตรวจที่ถูกต้อง 2) สําหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในสถานกักกันตัวฯ จังหวัดได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุน จากงบประมาณในการป้องกันและยับยั้งสาธารณภัย (งป.ฉุกเฉิน) ในกรณีหากมีผู้หลบหนีเข้าเมืองจํานวนมากในคราวเดียวกัน 3) เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จะมีชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อออกตรวจสารคัดหลั่งเชื้อโควิด – 19 ทันที ถ้ามีการร้องขอ อีกทั้งจังหวัดจะดําเนินการจัดอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทุกตําบลให้สามารถตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด – 19 ได้ พร้อมทั้งสนับสนุนชุดตรวจหาเชื้อประจําใน รพ.สต. ในพื้นที่ใกล้ชายแดนทุกตําบล เพื่อส่งไปตรวจในห้อง LAB โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ได้ทันที 4) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดตามมาตรการในการป้องกันและยับยั้งเชื้อโควิด – 19 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด – 19
นายแพทย์โอภาส การ์ยกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยังชี้แจงถึงข้อร้องเรียนของแพทย์ชนบทไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณค่าตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มแรงงานต่างด้าวว่า งบประมาณสําหรับต่างด้าวทุกกรณีในกรณีเข้าเกณฑ์ PUI และกลุ่มที่อยู่ในระบบการเฝ้าระวัง เช่น ผู้ต้องขังแรกรับ ผู้ต้องกักแรกรับหลบหนีเข้าเมือง เป็นต้น กรมควบคุมโรคมีการสนับสนุนค่าตรวจทั้งคนไทยและต่างด้าว ตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึง มี.ค. และจ่ายให้กลุ่มต่างด้าวทุกกรณี ตั้งแต่ มี.ค.- ก.ย.63 จากงบกลางที่ได้รับมาจากรัฐบาลเป็นจํานวนเงิน 86,194,500 บาท ให้ทุกหน่วยที่เรียกเก็บมาในปีงบประมาณ 2564 ยังสนับสนุนการตรวจสําหรับต่างด้าว โดยงบประมาณของกรมควบคุมโรคซึ่งไม่เพียงพอ จึงได้ทําการของบประมาณเป็นงบกลางจากสํานักงบประมาณซึ่งอยู่ระหว่างรองบประมาณ แต่มีการแจ้งว่าสามารถเบิกจ่ายจากกรมควบคุมโรคได้ ซึ่งให้มาตั้งเบิกไว้ก่อน รอได้รับงบประมาณจะตัดจ่ายให้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนขอรับงบประมาณ
------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด- 19
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงมหาดไทยชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด- 19
โฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงปัญหาขาดผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่มีการอ้างว่าภายหลังจับบุคคลต่างด้าวได้แล้ว กลับไม่มีสถานที่กักกันตัวเพื่อดูอาการนั้น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขอชี้แจงว่า ได้มีการเตรียมจัดหาสถานที่สํารองเพื่อเป็นสถานกักกันตัวสําหรับบุคคลที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายไว้ในพื้นที่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จํานวน 8 อําเภอ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ที่ผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมีจํานวนน้อย และไม่บ่อยครั้งที่หน่วยงานจับกุมจะเป็นผู้ควบคุมและกักกันตัวเพื่อรอผลตรวจสอบหาเชื้อโควิด – 19 ซึ่งหากผลเป็นลบก็จะส่งพนักงานสอบสวนในพื้นที่เพื่อดําเนินคดีต่อไป ประกอบกับสถานีตํารวจในพื้นที่มีสถานที่เพื่อกักกันตัวเพียงพอซึ่งไม่ขัดข้องที่จะควบคุมตัวไว้ก่อนส่งดําเนินคดี
จังหวัดมีมาตรการในการแก้ปัญหา ดังนี้ 1) กรณีที่มีผู้หลบหนีเข้าเมืองเป็นจํานวนมาก จังหวัดได้จัดเตรียมสถานที่กักกันไว้รองรับทุกอําเภอแล้ว เพื่อรอผลตรวจหาเชื้อและดําเนินคดีต่อไป แต่หากกรณีมีจํานวนน้อยจะใช้มาตรการตาม พรบ. ควบคุมโรคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้มาตรการกักกันตัว ณ จุดเกิดเหตุจนกว่าจะทราบผลตรวจที่ถูกต้อง 2) สําหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในสถานกักกันตัวฯ จังหวัดได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุน จากงบประมาณในการป้องกันและยับยั้งสาธารณภัย (งป.ฉุกเฉิน) ในกรณีหากมีผู้หลบหนีเข้าเมืองจํานวนมากในคราวเดียวกัน 3) เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จะมีชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อออกตรวจสารคัดหลั่งเชื้อโควิด – 19 ทันที ถ้ามีการร้องขอ อีกทั้งจังหวัดจะดําเนินการจัดอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทุกตําบลให้สามารถตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด – 19 ได้ พร้อมทั้งสนับสนุนชุดตรวจหาเชื้อประจําใน รพ.สต. ในพื้นที่ใกล้ชายแดนทุกตําบล เพื่อส่งไปตรวจในห้อง LAB โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ได้ทันที 4) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดตามมาตรการในการป้องกันและยับยั้งเชื้อโควิด – 19 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องในการควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวระหว่างรอผลตรวจไวรัสโควิด – 19
นายแพทย์โอภาส การ์ยกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยังชี้แจงถึงข้อร้องเรียนของแพทย์ชนบทไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณค่าตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มแรงงานต่างด้าวว่า งบประมาณสําหรับต่างด้าวทุกกรณีในกรณีเข้าเกณฑ์ PUI และกลุ่มที่อยู่ในระบบการเฝ้าระวัง เช่น ผู้ต้องขังแรกรับ ผู้ต้องกักแรกรับหลบหนีเข้าเมือง เป็นต้น กรมควบคุมโรคมีการสนับสนุนค่าตรวจทั้งคนไทยและต่างด้าว ตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึง มี.ค. และจ่ายให้กลุ่มต่างด้าวทุกกรณี ตั้งแต่ มี.ค.- ก.ย.63 จากงบกลางที่ได้รับมาจากรัฐบาลเป็นจํานวนเงิน 86,194,500 บาท ให้ทุกหน่วยที่เรียกเก็บมาในปีงบประมาณ 2564 ยังสนับสนุนการตรวจสําหรับต่างด้าว โดยงบประมาณของกรมควบคุมโรคซึ่งไม่เพียงพอ จึงได้ทําการของบประมาณเป็นงบกลางจากสํานักงบประมาณซึ่งอยู่ระหว่างรองบประมาณ แต่มีการแจ้งว่าสามารถเบิกจ่ายจากกรมควบคุมโรคได้ ซึ่งให้มาตั้งเบิกไว้ก่อน รอได้รับงบประมาณจะตัดจ่ายให้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนขอรับงบประมาณ
------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37919
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช. ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับมิติด้านพลังงาน ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช. ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับมิติด้านพลังงาน ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์
นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช.ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์ จ่ายเข้าระบบปี 64 แบ่งเป็นซื้อไฟส่วนเกินจากกลุ่มบ้านอยู่อาศัย 50 เมกะวัตต์ สถานศึกษา โรงพยาบาล น้ําเพื่อการเกษตร 50 เมกะวัตต์
วันนี้ (25 ธ.ค.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152) โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสําคัญของการประชุมดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับมิติด้านพลังงาน โดยจะต้องร่วมกระบวนการรักษ์โลกสะอาด ทั้งในเรื่องพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนในอนาคตให้ได้มากที่สุด โดยต้องเร่งพิจารณาดําเนินการโรงไฟฟ้าชุมชนให้ได้เร็วที่สุด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งในเรื่องพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และส่วนที่จะเกิดจากภาคการผลิต ซึ่งเรื่องพลังงานต้องปรับให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาประเทศด้านพลังงาน ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเรื่องการลดฝุ่น PM 2.5 ในอนาคต โดยการทํางานต้องมองในภาพรวม ไม่มองงานเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว และต้องทํางานร่วมกับกระทรวงอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ การทํางานด้านพลังงานทดแทน จะต้องปฏิบัติตามแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ และของโลก โดยต้องไม่เป็นภาระของประชาชน ให้คํานึงถึงความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และรักษาเสถียรภาพให้ได้ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในอนาคตจะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ทั้ง EEC SEC และ Smart City ดังนั้น การบริหารงานด้านพลังงานนอกจากการบริหารในภาพรวมแล้ว ควรมองแนวทางการบริหารเป็นรายภาค รายกลุ่มจังหวัด และจังหวัดด้วย เพราะแต่ละจังหวัดมีศักยภาพต่างกัน มีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับการประกอบอาชีพของประชาชนเป็นหลัก
ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบตามมติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชน โดยแบ่งเป็นการดําเนินการ 2 ส่วน ดังนี้
1. ปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากกลุ่มบ้านผู้อยู่อาศัย (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชน) ที่จําหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเป็น 2.20 บาท/kWh* จากเดิมรับซื้อในราคาไม่เกิน 1.68 บาท/kWh เป้าหมายการรับซื้อ 50 MWp** ระยะเวลารับซื้อ 10 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการใหม่และที่ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว ซึ่งการปรับเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าให้ผลตอบแทนดีขึ้น สามารถคืนทุนภายใน 8 - 9 ปี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย
2. ขยายผลการดําเนินโครงการฯ ไปยังกลุ่มโรงเรียนสถานศึกษา โรงพยาบาล และสูบน้ําเพื่อการเกษตร (โครงการนําร่อง) โดยกําหนดราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จําหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ในอัตรา 1.00 บาท/kWh แบ่งเป็นกลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา 20 MWp กลุ่มโรงพยาบาล 20 MWp และแหล่งน้ําเพื่อการเกษตร 10 MWp
หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จะต้องมีกําลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 kWp แต่น้อยกว่า 200 kWp ระยะเวลารับซื้อ 10 ปี เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและศักยภาพพื้นที่ สําหรับติดตั้งระบบโดยเฉลี่ย และส่งเสริมระบบผลิตไฟฟ้าแบบกระจาย
ในกรณีการลงทุนโดยภาครัฐในส่วนของกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานรับไปหารือกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาสามารถดําเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชนและโครงการนําร่องในกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล จํานวน 100 MWp จะสามารถสร้างการลงทุนได้กว่า 3,000 ล้านบาท
* kWh: หมายถึง หน่วยที่ใช้บอกขนาด หรือปริมาณของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งาน พลังงานไฟฟ้า 1 ยูนิต หรือ 1 หน่วย เท่ากับ 1กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kilo watthour = กําลังไฟ 1 กิโลวัตต์ใช้งานนาน 1ชั่วโมง)
** MWp: หมายถึง เมกะวัตต์สูงสุดของแผงโฟโตโวลเทอิก (Photovoltaic Panel) ณ สภาวะทดสอบมาตรฐาน (Standard Test Condition)
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กพช.)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช. ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับมิติด้านพลังงาน ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช. ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับมิติด้านพลังงาน ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์
นายกฯ เป็นประธานประชุม กพช.ไฟเขียวเพิ่มราคารับซื้อไฟโซลาร์บนหลังคา เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย เป้าหมาย 100 เมกะวัตต์ จ่ายเข้าระบบปี 64 แบ่งเป็นซื้อไฟส่วนเกินจากกลุ่มบ้านอยู่อาศัย 50 เมกะวัตต์ สถานศึกษา โรงพยาบาล น้ําเพื่อการเกษตร 50 เมกะวัตต์
วันนี้ (25 ธ.ค.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152) โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสําคัญของการประชุมดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับมิติด้านพลังงาน โดยจะต้องร่วมกระบวนการรักษ์โลกสะอาด ทั้งในเรื่องพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนในอนาคตให้ได้มากที่สุด โดยต้องเร่งพิจารณาดําเนินการโรงไฟฟ้าชุมชนให้ได้เร็วที่สุด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งในเรื่องพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และส่วนที่จะเกิดจากภาคการผลิต ซึ่งเรื่องพลังงานต้องปรับให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาประเทศด้านพลังงาน ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเรื่องการลดฝุ่น PM 2.5 ในอนาคต โดยการทํางานต้องมองในภาพรวม ไม่มองงานเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว และต้องทํางานร่วมกับกระทรวงอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ การทํางานด้านพลังงานทดแทน จะต้องปฏิบัติตามแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ และของโลก โดยต้องไม่เป็นภาระของประชาชน ให้คํานึงถึงความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และรักษาเสถียรภาพให้ได้ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในอนาคตจะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ทั้ง EEC SEC และ Smart City ดังนั้น การบริหารงานด้านพลังงานนอกจากการบริหารในภาพรวมแล้ว ควรมองแนวทางการบริหารเป็นรายภาค รายกลุ่มจังหวัด และจังหวัดด้วย เพราะแต่ละจังหวัดมีศักยภาพต่างกัน มีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับการประกอบอาชีพของประชาชนเป็นหลัก
ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบตามมติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชน โดยแบ่งเป็นการดําเนินการ 2 ส่วน ดังนี้
1. ปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากกลุ่มบ้านผู้อยู่อาศัย (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชน) ที่จําหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเป็น 2.20 บาท/kWh* จากเดิมรับซื้อในราคาไม่เกิน 1.68 บาท/kWh เป้าหมายการรับซื้อ 50 MWp** ระยะเวลารับซื้อ 10 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการใหม่และที่ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว ซึ่งการปรับเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าให้ผลตอบแทนดีขึ้น สามารถคืนทุนภายใน 8 - 9 ปี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย
2. ขยายผลการดําเนินโครงการฯ ไปยังกลุ่มโรงเรียนสถานศึกษา โรงพยาบาล และสูบน้ําเพื่อการเกษตร (โครงการนําร่อง) โดยกําหนดราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จําหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ในอัตรา 1.00 บาท/kWh แบ่งเป็นกลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา 20 MWp กลุ่มโรงพยาบาล 20 MWp และแหล่งน้ําเพื่อการเกษตร 10 MWp
หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จะต้องมีกําลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 kWp แต่น้อยกว่า 200 kWp ระยะเวลารับซื้อ 10 ปี เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและศักยภาพพื้นที่ สําหรับติดตั้งระบบโดยเฉลี่ย และส่งเสริมระบบผลิตไฟฟ้าแบบกระจาย
ในกรณีการลงทุนโดยภาครัฐในส่วนของกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานรับไปหารือกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาสามารถดําเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชนและโครงการนําร่องในกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล จํานวน 100 MWp จะสามารถสร้างการลงทุนได้กว่า 3,000 ล้านบาท
* kWh: หมายถึง หน่วยที่ใช้บอกขนาด หรือปริมาณของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งาน พลังงานไฟฟ้า 1 ยูนิต หรือ 1 หน่วย เท่ากับ 1กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kilo watthour = กําลังไฟ 1 กิโลวัตต์ใช้งานนาน 1ชั่วโมง)
** MWp: หมายถึง เมกะวัตต์สูงสุดของแผงโฟโตโวลเทอิก (Photovoltaic Panel) ณ สภาวะทดสอบมาตรฐาน (Standard Test Condition)
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กพช.)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37921
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำรพ.สนามมีความจำเป็นสำหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
โฆษก ศบค. ย้ํารพ.สนามมีความจําเป็นสําหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ
โฆษก ศบค. ย้ํารพ.สนาม มีความจําเป็นสําหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ ยกเว้นจ. สมุทรสาคร
วันนี้ (25 ธ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้
โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ 81 ราย ติดเชื้อในประเทศ 37 ราย ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว 35 ราย สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 9 ราย ทําให้ตัวเลขผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,910 ราย โดยแยกกลุ่มแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุก 1,308 ราย มีผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,943 ราย สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 1,411 ราย หายป่วยแล้ว 4,137 ราย เสียชีวิต 60 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 1,713 ราย ซึ่งจํานวนหนึ่งอยู่ที่พื้นที่กักกันในจังหวัดสมุทรสาครอยู่ด้วย โดยมีการแยกตัวเลขอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 500 ราย กักตัวอยู่ 1,200 ราย มีอาการหนัก 2-3 ราย นอกจากนี้ มีผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ คัดกรอง ณ ด่านฯ และเข้าสถานกักกันทุกประเภทที่รัฐจัดให้มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย สวิสเซอร์แลนด์ เยอรมนี และเมียนมา มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ บางรายอาจจะมีอาการ ไอ น้ํามูก เจ็บคอ ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีอยู่สถาน Alternative State Quarantine (ASQ สมุทรปราการ) จํานวน 1 ราย
จากตัวเลขของการติดเชื้อในที่มีความเกี่ยวเนื่องจากจังหวัดสมุทรสาคร จะมีความแตกต่างทั้งเพศและอาชีพ เช่น ค้าขาย รับราชการ และขนส่งอาหารทางทะเล พนักงานธนาคาร ซึ่งกระจายไปยังจังหวัด ต่าง ๆ อาการโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนวัยทํางาน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการ ศบค. ได้เชิญคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมทีมค้นหาผู้ป่วยที่อยู่ในจังหวัดสมุทรสาครให้ได้มากที่สุดและให้มีการแยกแยะคนที่เจ็บป่วยออกมารักษา ดังนั้น การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นสิ่งสําคัญ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูง และมีระบบของการดูแลสภาวะแวดล้อมอย่างดี โฆษก ศบค. ได้ขอความร่วมมือและความเข้าใจในการดูแลคนกลุ่มนี้ในจังหวัดของท่านและอยู่ใกล้พื้นที่ซึ่งจะสะดวกในการดูแล โดยทางทีมแพทย์จะสนธิกําลังเติมเข้าไปสนับสนุนดูแลอย่างเต็มที่
สําหรับ สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 79,729,121 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 106,250 ราย เสียชีวิต 1,749,340 ราย ส่วน 5 อันดับแรก คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย ฝรั่งเศส ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 144 ส่วนประเทศในเอเชียพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ญี่ปุ่น บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ เมียนมา ขณะที่มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศนั้น ในวันนี้ ( 25 ธันวาคม 2563) มีคนไทยเดินทางกลับมา 575 ราย พรุ่งนี้ (26 ธ.ค. 63) จํานวน 311 ราย และในช่วงสัปดาห์หน้าถึงวันที่ 1 ม.ค. 64 จะเห็นเที่ยวบินนําคนไทยที่ตกค้างกลับไทยอีก ย้ําความจําเป็นยังต้องแสกน “ไทยชนะ” และ “หมอชนะ”
โฆษก ศบค. ย้ําอีกรอบในการแบ่งพื้นที่ตามความรุนแรงของสถานการณ์เป็น 4 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูงและพื้นที่เฝ้าระวัง ซึ่งมอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด รับผิดชอบกําหนดระดับพื้นที่สถานการณ์เพื่อให้มีการยืนยันต่อ ศบค. และกองระบาดวิทยา พิจารณาว่าจังหวัดนั้น ๆ ควรอยู่ในพื้นที่ระดับใด ตามเกณฑ์ 4 ข้อ ได้แก่ 1) อัตราการขยายของจํานวนผู้ติดเชื้อ 2) ขีดความสามารถทางการแพทย์และสาธารณสุข 3) ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมให้การสนับสนุน ศบค. สธ. และ 4) ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมและอื่น ๆ มีความตระหนักรู้ถึงมาตรการป้องกันโรคโควิด-19
โฆษก ศบค. ยังขอความร่วมมือบุคคลที่การทําความผิด เช่น เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต ลักลอบพาแรงงานต่างด้าวหลบหนี ให้หยุดการกระทําดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและการแพร่ระบาดไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ โฆษกยังกล่าวถึงการจัดกิจกรรมฉลองปีใหม่ 2564 และการจัดกิจกรรมงานวันเด็กว่า สําหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดให้งดการจัดกิจกรรมฉลองทุกชนิด ยกเว้นการจัดกิจกรรมออนไลน์ พื้นที่ควบคุม ให้งดการจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะ แต่ผ่อนผันให้จัดกิจกรรมที่มีเฉพาะคนรู้จักหรือแบบออนไลน์ สําหรับพื้นที่เฝ้าระวังสูงและพื้นที่เฝ้าระวังสามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ต้องลดขนาดของงานให้เล็กลงกว่าปกติ พร้อมมีมาตรการ DMHT คือ D – Distancing เว้นระยะห่าง M – Mask wearing สวมใส่หน้ากากอนามัน H – Hand washing ล้างมือ และ T – Testing ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย
โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังตอบคําถามของต่อสื่อมวลชนกรณีข้อเรียกร้องจากผู้ประกอบการจังหวัดสมุทรสาครที่หลายจังหวัดปฏิเสธ การรับสินค้าจากจังหวัดสมุทรสาคร ว่า กระบวนการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นมาจากทางเดินหายใจ พร้อมยืนยันหากเป็นการอุปโภค บริโภค เมื่อทําความสะอาดแล้ว ปรุงสุกแล้ว สินค้าเหล่านั้นยังสามารถบริโภคได้เหมือนเดิม โดยนายกรัฐมนตรีได้กําชับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขจัดทีมตรวจสอบคุณภาพสินค้าจากผู้ผลิต เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค สําหรับกรณีคนไทยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศเกาหลีใต้ 31 ราย ว่า ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการแพทย์ โดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีการประสานงานให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงท้ายนี้ โฆษก ศบค. ยังขอบคุณผู้ประกอบการกิจการ/กิจกรรม ต่าง ๆ ที่มีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด และขอให้ประชาชนร่วมกันเตือนหากพบเจอผู้ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า รวมไปถึงชาวต่างชาติที่พํานักอาศัยอยู่ในประเทศไทย ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามมาตรการของประเทศไทยด้วยเช่นกัน พร้อมฝากถึงประชาชนที่ต้องการเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ ว่าขณะนี้จํากัดการเดินทางเข้า-ออก แค่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด คือจังหวัดสมุทรสาคร แต่ในพื้นที่อื่น ๆ ยังสามารถเดินทางได้ปกติ เพียงแต่ขอให้หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด และขอให้ติดตามการรายงานสถานการณ์ประจําวันจาก ศบค. เพื่อความรวมศูนย์ของชุดข้อมูลที่มีความถูกต้องแม่นยํา
-------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำรพ.สนามมีความจำเป็นสำหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
โฆษก ศบค. ย้ํารพ.สนามมีความจําเป็นสําหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ
โฆษก ศบค. ย้ํารพ.สนาม มีความจําเป็นสําหรับดูแลคนในพื้นที่ มีระบบดูแลสภาพแวดล้อมอย่างดี ขณะที่ สธ. ประสานดูแล 31 คนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่เกาหลีใต้ ยืนยันประชาชนยังเดินทางได้ตามปกติ ยกเว้นจ. สมุทรสาคร
วันนี้ (25 ธ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้
โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ 81 ราย ติดเชื้อในประเทศ 37 ราย ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว 35 ราย สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 9 ราย ทําให้ตัวเลขผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,910 ราย โดยแยกกลุ่มแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุก 1,308 ราย มีผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,943 ราย สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 1,411 ราย หายป่วยแล้ว 4,137 ราย เสียชีวิต 60 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 1,713 ราย ซึ่งจํานวนหนึ่งอยู่ที่พื้นที่กักกันในจังหวัดสมุทรสาครอยู่ด้วย โดยมีการแยกตัวเลขอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 500 ราย กักตัวอยู่ 1,200 ราย มีอาการหนัก 2-3 ราย นอกจากนี้ มีผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ คัดกรอง ณ ด่านฯ และเข้าสถานกักกันทุกประเภทที่รัฐจัดให้มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย สวิสเซอร์แลนด์ เยอรมนี และเมียนมา มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ บางรายอาจจะมีอาการ ไอ น้ํามูก เจ็บคอ ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีอยู่สถาน Alternative State Quarantine (ASQ สมุทรปราการ) จํานวน 1 ราย
จากตัวเลขของการติดเชื้อในที่มีความเกี่ยวเนื่องจากจังหวัดสมุทรสาคร จะมีความแตกต่างทั้งเพศและอาชีพ เช่น ค้าขาย รับราชการ และขนส่งอาหารทางทะเล พนักงานธนาคาร ซึ่งกระจายไปยังจังหวัด ต่าง ๆ อาการโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนวัยทํางาน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการ ศบค. ได้เชิญคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมทีมค้นหาผู้ป่วยที่อยู่ในจังหวัดสมุทรสาครให้ได้มากที่สุดและให้มีการแยกแยะคนที่เจ็บป่วยออกมารักษา ดังนั้น การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นสิ่งสําคัญ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูง และมีระบบของการดูแลสภาวะแวดล้อมอย่างดี โฆษก ศบค. ได้ขอความร่วมมือและความเข้าใจในการดูแลคนกลุ่มนี้ในจังหวัดของท่านและอยู่ใกล้พื้นที่ซึ่งจะสะดวกในการดูแล โดยทางทีมแพทย์จะสนธิกําลังเติมเข้าไปสนับสนุนดูแลอย่างเต็มที่
สําหรับ สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 79,729,121 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 106,250 ราย เสียชีวิต 1,749,340 ราย ส่วน 5 อันดับแรก คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย ฝรั่งเศส ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 144 ส่วนประเทศในเอเชียพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ญี่ปุ่น บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ เมียนมา ขณะที่มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศนั้น ในวันนี้ ( 25 ธันวาคม 2563) มีคนไทยเดินทางกลับมา 575 ราย พรุ่งนี้ (26 ธ.ค. 63) จํานวน 311 ราย และในช่วงสัปดาห์หน้าถึงวันที่ 1 ม.ค. 64 จะเห็นเที่ยวบินนําคนไทยที่ตกค้างกลับไทยอีก ย้ําความจําเป็นยังต้องแสกน “ไทยชนะ” และ “หมอชนะ”
โฆษก ศบค. ย้ําอีกรอบในการแบ่งพื้นที่ตามความรุนแรงของสถานการณ์เป็น 4 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูงและพื้นที่เฝ้าระวัง ซึ่งมอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด รับผิดชอบกําหนดระดับพื้นที่สถานการณ์เพื่อให้มีการยืนยันต่อ ศบค. และกองระบาดวิทยา พิจารณาว่าจังหวัดนั้น ๆ ควรอยู่ในพื้นที่ระดับใด ตามเกณฑ์ 4 ข้อ ได้แก่ 1) อัตราการขยายของจํานวนผู้ติดเชื้อ 2) ขีดความสามารถทางการแพทย์และสาธารณสุข 3) ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมให้การสนับสนุน ศบค. สธ. และ 4) ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมและอื่น ๆ มีความตระหนักรู้ถึงมาตรการป้องกันโรคโควิด-19
โฆษก ศบค. ยังขอความร่วมมือบุคคลที่การทําความผิด เช่น เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต ลักลอบพาแรงงานต่างด้าวหลบหนี ให้หยุดการกระทําดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและการแพร่ระบาดไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ โฆษกยังกล่าวถึงการจัดกิจกรรมฉลองปีใหม่ 2564 และการจัดกิจกรรมงานวันเด็กว่า สําหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดให้งดการจัดกิจกรรมฉลองทุกชนิด ยกเว้นการจัดกิจกรรมออนไลน์ พื้นที่ควบคุม ให้งดการจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะ แต่ผ่อนผันให้จัดกิจกรรมที่มีเฉพาะคนรู้จักหรือแบบออนไลน์ สําหรับพื้นที่เฝ้าระวังสูงและพื้นที่เฝ้าระวังสามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ต้องลดขนาดของงานให้เล็กลงกว่าปกติ พร้อมมีมาตรการ DMHT คือ D – Distancing เว้นระยะห่าง M – Mask wearing สวมใส่หน้ากากอนามัน H – Hand washing ล้างมือ และ T – Testing ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย
โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังตอบคําถามของต่อสื่อมวลชนกรณีข้อเรียกร้องจากผู้ประกอบการจังหวัดสมุทรสาครที่หลายจังหวัดปฏิเสธ การรับสินค้าจากจังหวัดสมุทรสาคร ว่า กระบวนการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นมาจากทางเดินหายใจ พร้อมยืนยันหากเป็นการอุปโภค บริโภค เมื่อทําความสะอาดแล้ว ปรุงสุกแล้ว สินค้าเหล่านั้นยังสามารถบริโภคได้เหมือนเดิม โดยนายกรัฐมนตรีได้กําชับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขจัดทีมตรวจสอบคุณภาพสินค้าจากผู้ผลิต เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค สําหรับกรณีคนไทยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศเกาหลีใต้ 31 ราย ว่า ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการแพทย์ โดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีการประสานงานให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงท้ายนี้ โฆษก ศบค. ยังขอบคุณผู้ประกอบการกิจการ/กิจกรรม ต่าง ๆ ที่มีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด และขอให้ประชาชนร่วมกันเตือนหากพบเจอผู้ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า รวมไปถึงชาวต่างชาติที่พํานักอาศัยอยู่ในประเทศไทย ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามมาตรการของประเทศไทยด้วยเช่นกัน พร้อมฝากถึงประชาชนที่ต้องการเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ ว่าขณะนี้จํากัดการเดินทางเข้า-ออก แค่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด คือจังหวัดสมุทรสาคร แต่ในพื้นที่อื่น ๆ ยังสามารถเดินทางได้ปกติ เพียงแต่ขอให้หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด และขอให้ติดตามการรายงานสถานการณ์ประจําวันจาก ศบค. เพื่อความรวมศูนย์ของชุดข้อมูลที่มีความถูกต้องแม่นยํา
-------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37911
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน
รัฐมนตรีเกษตรฯ ยืนยัน สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มข้น จึงขอให้พี่น้องประชาชนสามารถบริโภคได้ตามปกติ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รอบใหม่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการสรุปรายงานสถานการณ์และผลการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวจากหน่วยงานในสังกัดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จากกระแสความกังวลของประชาชนต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสัตว์น้ําที่อาจทําให้เกิดความไม่มั่นใจในการบริโภคอาหารทะเล กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร ทั้งสินค้าประมงและสินค้าปศุสัตว์ เพื่อให้สินค้ามีความปลอดภัยและได้มาตรฐานต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด จึงขอให้พี่น้องประชาชนสามารถบริโภคได้ตามปกติ และขอยืนยันว่าสินค้าที่มีเครื่องหมายรับรองจากกรมประมงและกรมปศุสัตว์ จะไม่มีการแพร่เชื้ออย่างแน่นอน
ด้าน นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกระแสความกังวลของประชาชนต่อการบริโภคสินค้าประมง กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ได้มีการออกมาตรการเพิ่มเติมเฉพาะกิจในการป้องกันการปนเปื้อนไวรัสโควิด-19 ในสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ํา เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น คือ 1) ผู้ประกอบการกระบวนการผลิต : เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ฟาร์มต้องขึ้นทะเบียนและได้มาตรฐานจากกรมประมง ปฏิบัติตามมาตรการคัดกรอง และการปฏิบัติงาน ล้างทําความสะอาดยานพาหนะที่ใช้บรรทุกสัตว์น้ํา ทั้งภายในและภายนอกห้องบรรจุสัตว์น้ําด้วยคลอรีน ขณะเข้าและออกจากฟาร์ม ผู้ขับขี่ยานพาหนะบรรทุกสัตว์น้ํา ต้องตรวจคัดกรองและสวมหน้ากากตลอดเวลาเช่นเดียวกับบุคลากรในฟาร์ม ส่วนชาวประมง/เรือประมงทุกคนต้องผ่านการคัดกรองจากศูนย์แจ้งเข้า-ออก เรือประมงตามมาตรการของกรมประมง ทําความสะอาดส่วนที่สัมผัสกับสัตว์น้ําอยู่เสมอ สวมถุงมือและสวมหน้ากากตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน ห้ามออกนอกสะพานปลา ท่าเทียบเรือ ขณะขนถ่ายสัตว์น้ําที่ท่าเทียบเรือหรือสะพานปลา 2) ผู้ประกอบการกระบวนการลําเลียงและขนส่งสัตว์น้ํา ล้างและทําความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับ ลํา เลียง หรือขนส่งสัตว์น้ําก่อน-หลัง ใช้ทุกครั้ง ฉีดพ่น ทําความสะอาดยานพาหนะที่ใช้ในการลําเลียง หรือขนส่ง ก่อน-หลัง ทุกครั้ง โดยประสานกรมปศุสัตว์หรือภาคเอกชนช่วยดําเนินการ พร้อมทั้งควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนระหว่างการขนส่ง เจ้าหน้าที่ที่ดําเนินการลําเลียง คัดแยก และขนส่งสัตว์น้ํา ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ถุงมือ และมีระยะห่างในการปฏิบัติงานในระยะที่เหมาะสม 3) ผู้ประกอบการสะพานปลา (องค์การสะพานปลานําร่อง) ปฏิบัติตามมาตรฐานสุขอนามัยท่าเทียบเรือ สะพานปลา คัดกรองบุคลากรที่ทํางานในพื้นที่ทุกรายเป็นประจําทุกวัน ทําความสะอาดสถานที่ด้วยคลอรีนทุกวัน พาหนะบรรทุกสัตว์น้ําที่เข้า-ออก ต้องลงทะเบียน และฉีดพ่นด้วยคลอรีน โดยต้องทําความสะอาดทั้งภายในและภายนอกห้องบรรจุสัตว์น้ํา ก่อนการบรรจุสินค้าสัตว์น้ํา 4) ผู้ประกอบการร้านค้า Modern Trade ปฏิบัติตามข้อกําหนดร้านค้าของสาธารณสุข ทําความสะอาดพาหนะที่ขนส่งสินค้า ณ จุดจอด ก่อนมีการขนถ่ายเข้าสู่สถานประกอบการด้วยคลอรีน แยกสัตว์น้ําแต่ละประเภท ล้างทําความสะอาด และบรรจุในถุงพลาสติกก่อนวางบนน้ําแข็ง เพื่อลดการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์น้ํา สุ่มตรวจการปนเปื้อนของไวรัสโควิด-19 เป็นระยะตามความเหมาะสม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน
รัฐมนตรีเกษตรฯ ยืนยัน สินค้าจากประมง-ปศุสัตว์ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มข้น จึงขอให้พี่น้องประชาชนสามารถบริโภคได้ตามปกติ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รอบใหม่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการสรุปรายงานสถานการณ์และผลการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวจากหน่วยงานในสังกัดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จากกระแสความกังวลของประชาชนต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสัตว์น้ําที่อาจทําให้เกิดความไม่มั่นใจในการบริโภคอาหารทะเล กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร ทั้งสินค้าประมงและสินค้าปศุสัตว์ เพื่อให้สินค้ามีความปลอดภัยและได้มาตรฐานต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด จึงขอให้พี่น้องประชาชนสามารถบริโภคได้ตามปกติ และขอยืนยันว่าสินค้าที่มีเครื่องหมายรับรองจากกรมประมงและกรมปศุสัตว์ จะไม่มีการแพร่เชื้ออย่างแน่นอน
ด้าน นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกระแสความกังวลของประชาชนต่อการบริโภคสินค้าประมง กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ได้มีการออกมาตรการเพิ่มเติมเฉพาะกิจในการป้องกันการปนเปื้อนไวรัสโควิด-19 ในสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ํา เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น คือ 1) ผู้ประกอบการกระบวนการผลิต : เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ฟาร์มต้องขึ้นทะเบียนและได้มาตรฐานจากกรมประมง ปฏิบัติตามมาตรการคัดกรอง และการปฏิบัติงาน ล้างทําความสะอาดยานพาหนะที่ใช้บรรทุกสัตว์น้ํา ทั้งภายในและภายนอกห้องบรรจุสัตว์น้ําด้วยคลอรีน ขณะเข้าและออกจากฟาร์ม ผู้ขับขี่ยานพาหนะบรรทุกสัตว์น้ํา ต้องตรวจคัดกรองและสวมหน้ากากตลอดเวลาเช่นเดียวกับบุคลากรในฟาร์ม ส่วนชาวประมง/เรือประมงทุกคนต้องผ่านการคัดกรองจากศูนย์แจ้งเข้า-ออก เรือประมงตามมาตรการของกรมประมง ทําความสะอาดส่วนที่สัมผัสกับสัตว์น้ําอยู่เสมอ สวมถุงมือและสวมหน้ากากตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน ห้ามออกนอกสะพานปลา ท่าเทียบเรือ ขณะขนถ่ายสัตว์น้ําที่ท่าเทียบเรือหรือสะพานปลา 2) ผู้ประกอบการกระบวนการลําเลียงและขนส่งสัตว์น้ํา ล้างและทําความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับ ลํา เลียง หรือขนส่งสัตว์น้ําก่อน-หลัง ใช้ทุกครั้ง ฉีดพ่น ทําความสะอาดยานพาหนะที่ใช้ในการลําเลียง หรือขนส่ง ก่อน-หลัง ทุกครั้ง โดยประสานกรมปศุสัตว์หรือภาคเอกชนช่วยดําเนินการ พร้อมทั้งควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนระหว่างการขนส่ง เจ้าหน้าที่ที่ดําเนินการลําเลียง คัดแยก และขนส่งสัตว์น้ํา ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ถุงมือ และมีระยะห่างในการปฏิบัติงานในระยะที่เหมาะสม 3) ผู้ประกอบการสะพานปลา (องค์การสะพานปลานําร่อง) ปฏิบัติตามมาตรฐานสุขอนามัยท่าเทียบเรือ สะพานปลา คัดกรองบุคลากรที่ทํางานในพื้นที่ทุกรายเป็นประจําทุกวัน ทําความสะอาดสถานที่ด้วยคลอรีนทุกวัน พาหนะบรรทุกสัตว์น้ําที่เข้า-ออก ต้องลงทะเบียน และฉีดพ่นด้วยคลอรีน โดยต้องทําความสะอาดทั้งภายในและภายนอกห้องบรรจุสัตว์น้ํา ก่อนการบรรจุสินค้าสัตว์น้ํา 4) ผู้ประกอบการร้านค้า Modern Trade ปฏิบัติตามข้อกําหนดร้านค้าของสาธารณสุข ทําความสะอาดพาหนะที่ขนส่งสินค้า ณ จุดจอด ก่อนมีการขนถ่ายเข้าสู่สถานประกอบการด้วยคลอรีน แยกสัตว์น้ําแต่ละประเภท ล้างทําความสะอาด และบรรจุในถุงพลาสติกก่อนวางบนน้ําแข็ง เพื่อลดการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์น้ํา สุ่มตรวจการปนเปื้อนของไวรัสโควิด-19 เป็นระยะตามความเหมาะสม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37908
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา
ในวันศุกร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ อาคารศาลฎีกา สนามหลวง กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะ นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๔ และเพื่อประสานความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่าง ๒ หน่วยงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา
ในวันศุกร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ อาคารศาลฎีกา สนามหลวง กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมคารวะ นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๔ และเพื่อประสานความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่าง ๒ หน่วยงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37926
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจำทั่วประเทศ”
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รมว.ยุติธรรม เข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจําทั่วประเทศ”
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจําทั่วประเทศ”
ในวันศุกร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องรับรอง ๒ - ๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เดินทางเข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก
พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจําทั่วประเทศ”
โดยกล่าวถึงการเข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา ในโอกาสเข้าอวยพรปีใหม่
และหารือเรื่องแนวทางการออกหมายศาลสําหรับผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ราย ที่จากเดิมต้องใช้เวลา ๑๒๐ วัน
จึงอยากขอให้ศาลได้ช่วยในเรื่องของการออกหมายให้เร็วขึ้น เพื่อเป็นการลดความแออัดภายในเรือนจํา
และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มผู้ต้องขัง
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ
พร้อมทั้งยืนยันต่อประชาชนให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษทั้งหมด
ไม่ได้เป็นกลุ่มผู้ต้องขัง ๗ ประเภทที่ต้องเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญหรือเป็นภัยต่อสังคม (Watch List)
คือ ฆ่าข่มขืนเด็ก ฆ่าข่มขืน ฆาตรกรต่อเนื่อง ฆาตรกรโรคจิต สังหารหมู่ ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ และนักค้ายาเสพติดรายสําคัญ
พร้อมทั้งจะรายงานต่อประธานศาลฎีกาเรื่องการไต่สวนผ่านระบบ Video Conference
ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศาลและกระทรวงยุติธรรม
โดยขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้ทําเรื่องเสนอมายังกระทรวงยุติธรรมไปยังศาลแล้ว
และมีการเตรียมพร้อมของอุปกรณ์เพื่อให้ติดตั้งระบบ Video Conference
เนื่องจากการนําผู้ต้องขังออกไปขึ้นศาลอาจเสี่ยงที่จะเป็นพาหะนําเชื้อไวรัสโควิด - 19
ไปแพร่ระบาดในสถานที่กักขังหรือเรือนจํา
และอาจส่งผลเสียหายต่อระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศ
ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของประธานศาลฎีกาในการหลีกเลี่ยงการส่งจําเลยเข้าไปรับโทษกักขัง
ในสถานที่กักขังหรือจําคุกในเรือนจํา
รวมทั้งเรื่องการเสนอนําเครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring : EM) ผู้ต้องขัง
นอกจากนี้ ในหลายเรือนจําที่ต้องปิดการเยี่ยมญาติตามคําสั่งกรมราชทัณฑ์แต่มีหลายแห่งสมัครใจ
ซึ่งแม้จะปิดการเยี่ยมญาติ แต่สามารถเยี่ยมญาติผ่านระบบ Application Line
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะเรือนจําที่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงที่เป็นจังหวัดพื้นที่การระบาด
ขณะนี้มีเรือนจํา/ทัณฑสถานที่งดเยี่ยมญาติแล้ว จํานวน ๖๖ แห่ง
แบ่งเป็น ๑) กรมราชทัณฑ์สั่งปิด ๑๓ แห่ง เรือนจํา/ทัณฑสถานสั่งปิดตามสถานการณ์ในจังหวัด ๕๓ แห่ง
๒) เรือนจํา/ทัณฑสถานที่กําลังจะงดเยี่ยมญาติภายใน ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ จํานวน ๕๕ แห่ง
และมีเรือนจําที่ยังไม่ปิด จํานวน ๒๒ แห่ง
ส่วนผู้ต้องขังต่างด้าวจะมีการเฝ้าระวัง ๑๔ วัน โดยผู้ต้องขังที่รับตัวเข้าใหม่ (วันที่ ๑๑ - ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓)
จํานวน ๒๕๓ ราย รับย้ายเรือนจํา จํานวน ๕๐ ราย เรือนจําที่รับตัวเข้าใหม่สูงสุด ๒ แห่ง คือ
เรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี จํานวน ๒๘ คน และเรือนจําจังหวัดภูเก็ต ๒๗ คน
นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือนักโทษเพิ่มเติม
คือ เรือนจําอนุญาตให้ผู้ต้องขังใช้เงินเพิ่มจากเดิม ๓๐๐ บาทต่อวันเป็น ๖๐๐ บาทต่อวัน
พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่มีผู้ต้องขังติดเชื้อไวรัสโควิด - 19
แต่เป็นการดําเนินการตามมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่จะกลายเป็นปัญหาต่อประชาชนและสังคม
ที่ผ่านมามีประสบการณ์มาแล้ว และไม่มีการไปริดรอนสิทธิใด ๆ
หากใครได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือพักโทษเราจะเร่งดําเนินการตามกระบวนการเหมือนเดิม
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ติดต่อง่าย อาจกระทบต่อการดําเนินกิจกรรมต่างๆ
จึงขอให้ทุกท่านดูแลความปลอดภัย ใส่หน้ากากอนามัย ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
เพื่อที่จะทําให้สังคมปลอดภัยมีโอกาสกลับมาดําเนินชีวิตตามปกติโดยเร็ว
************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจำทั่วประเทศ”
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รมว.ยุติธรรม เข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจําทั่วประเทศ”
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจําทั่วประเทศ”
ในวันศุกร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องรับรอง ๒ - ๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เดินทางเข้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่อย่างเป็นทางการวันแรก
พร้อมแถลงข่าว เรื่อง “การยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในเรือนจําทั่วประเทศ”
โดยกล่าวถึงการเข้าเยี่ยมคารวะประธานศาลฎีกา ในโอกาสเข้าอวยพรปีใหม่
และหารือเรื่องแนวทางการออกหมายศาลสําหรับผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ราย ที่จากเดิมต้องใช้เวลา ๑๒๐ วัน
จึงอยากขอให้ศาลได้ช่วยในเรื่องของการออกหมายให้เร็วขึ้น เพื่อเป็นการลดความแออัดภายในเรือนจํา
และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มผู้ต้องขัง
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ
พร้อมทั้งยืนยันต่อประชาชนให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษทั้งหมด
ไม่ได้เป็นกลุ่มผู้ต้องขัง ๗ ประเภทที่ต้องเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญหรือเป็นภัยต่อสังคม (Watch List)
คือ ฆ่าข่มขืนเด็ก ฆ่าข่มขืน ฆาตรกรต่อเนื่อง ฆาตรกรโรคจิต สังหารหมู่ ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ และนักค้ายาเสพติดรายสําคัญ
พร้อมทั้งจะรายงานต่อประธานศาลฎีกาเรื่องการไต่สวนผ่านระบบ Video Conference
ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศาลและกระทรวงยุติธรรม
โดยขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้ทําเรื่องเสนอมายังกระทรวงยุติธรรมไปยังศาลแล้ว
และมีการเตรียมพร้อมของอุปกรณ์เพื่อให้ติดตั้งระบบ Video Conference
เนื่องจากการนําผู้ต้องขังออกไปขึ้นศาลอาจเสี่ยงที่จะเป็นพาหะนําเชื้อไวรัสโควิด - 19
ไปแพร่ระบาดในสถานที่กักขังหรือเรือนจํา
และอาจส่งผลเสียหายต่อระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศ
ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของประธานศาลฎีกาในการหลีกเลี่ยงการส่งจําเลยเข้าไปรับโทษกักขัง
ในสถานที่กักขังหรือจําคุกในเรือนจํา
รวมทั้งเรื่องการเสนอนําเครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring : EM) ผู้ต้องขัง
นอกจากนี้ ในหลายเรือนจําที่ต้องปิดการเยี่ยมญาติตามคําสั่งกรมราชทัณฑ์แต่มีหลายแห่งสมัครใจ
ซึ่งแม้จะปิดการเยี่ยมญาติ แต่สามารถเยี่ยมญาติผ่านระบบ Application Line
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะเรือนจําที่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงที่เป็นจังหวัดพื้นที่การระบาด
ขณะนี้มีเรือนจํา/ทัณฑสถานที่งดเยี่ยมญาติแล้ว จํานวน ๖๖ แห่ง
แบ่งเป็น ๑) กรมราชทัณฑ์สั่งปิด ๑๓ แห่ง เรือนจํา/ทัณฑสถานสั่งปิดตามสถานการณ์ในจังหวัด ๕๓ แห่ง
๒) เรือนจํา/ทัณฑสถานที่กําลังจะงดเยี่ยมญาติภายใน ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ จํานวน ๕๕ แห่ง
และมีเรือนจําที่ยังไม่ปิด จํานวน ๒๒ แห่ง
ส่วนผู้ต้องขังต่างด้าวจะมีการเฝ้าระวัง ๑๔ วัน โดยผู้ต้องขังที่รับตัวเข้าใหม่ (วันที่ ๑๑ - ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓)
จํานวน ๒๕๓ ราย รับย้ายเรือนจํา จํานวน ๕๐ ราย เรือนจําที่รับตัวเข้าใหม่สูงสุด ๒ แห่ง คือ
เรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี จํานวน ๒๘ คน และเรือนจําจังหวัดภูเก็ต ๒๗ คน
นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือนักโทษเพิ่มเติม
คือ เรือนจําอนุญาตให้ผู้ต้องขังใช้เงินเพิ่มจากเดิม ๓๐๐ บาทต่อวันเป็น ๖๐๐ บาทต่อวัน
พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่มีผู้ต้องขังติดเชื้อไวรัสโควิด - 19
แต่เป็นการดําเนินการตามมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่จะกลายเป็นปัญหาต่อประชาชนและสังคม
ที่ผ่านมามีประสบการณ์มาแล้ว และไม่มีการไปริดรอนสิทธิใด ๆ
หากใครได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือพักโทษเราจะเร่งดําเนินการตามกระบวนการเหมือนเดิม
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ติดต่อง่าย อาจกระทบต่อการดําเนินกิจกรรมต่างๆ
จึงขอให้ทุกท่านดูแลความปลอดภัย ใส่หน้ากากอนามัย ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
เพื่อที่จะทําให้สังคมปลอดภัยมีโอกาสกลับมาดําเนินชีวิตตามปกติโดยเร็ว
************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37925
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐครั้งที่ 2 รวม 204 ราย มุ่งเน้นความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สร้างมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐครั้งที่ 2 รวม 204 ราย มุ่งเน้นความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สร้างมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 51 บัญญัติให้คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ มีอํานาจประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้งานก่อสร้างในสาขาใดเป็นงานก่อสร้างที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างจะเข้าร่วมเป็นผู้ยื่นข้อเสนอ
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 51 บัญญัติให้คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ มีอํานาจประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้งานก่อสร้างในสาขาใดเป็นงานก่อสร้างที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างจะเข้าร่วมเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างในสาขานั้นต้องเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง โดยต้องใช้เงินงบประมาณในวงเงินเท่าใดหรือต้องใช้ผู้ประกอบวิชาชีพในสาขาใดด้วยก็ได้ และมาตรา 53 บัญญัติให้กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง ซึ่งหน่วยงานของรัฐไม่ต้องจัดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการประเภทนั้นอีก และให้หน่วยงานของรัฐกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอตามมาตรา 51 ในประกาศเชิญชวนให้เข้าร่วมการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐนั้นด้วย
จากการที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วนั้น กรมบัญชีกลางจึงได้ดําเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคําขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างแล้ว ปรากฏว่า มีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างประกาศกําหนด รวมทั้งสิ้น 5 สาขา ได้แก่ สาขางานก่อสร้างทาง สาขางานก่อสร้างสะพาน สาขางานก่อสร้างทางและสะพานพิเศษ สาขางานก่อสร้างชลประทาน และสาขางานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและชายฝั่ง จํานวน 204 ราย อย่างไรก็ดี สําหรับหน่วยงานของรัฐใดได้ดําเนินการนําร่างประกาศและร่างเอกสารเชิญชวนเผยแพร่เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ หรือเผยแพร่ประกาศและเอกสารเชิญชวนในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-GP) หรือมีหนังสือเชิญชวนไปแล้วก่อนวันที่กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้าง ให้หน่วยงานของรัฐนั้นดําเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ โดยได้รับยกเว้นการกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ต้องขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง
“กรมบัญชีกลางมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในครั้งนี้ จะทําให้การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมาตรฐาน มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งเกิดความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 2 ได้ตามบัญชีเอกสารแนบท้ายประกาศ ผ่านทางเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐครั้งที่ 2 รวม 204 ราย มุ่งเน้นความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สร้างมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐครั้งที่ 2 รวม 204 ราย มุ่งเน้นความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สร้างมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 51 บัญญัติให้คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ มีอํานาจประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้งานก่อสร้างในสาขาใดเป็นงานก่อสร้างที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างจะเข้าร่วมเป็นผู้ยื่นข้อเสนอ
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 51 บัญญัติให้คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ มีอํานาจประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้งานก่อสร้างในสาขาใดเป็นงานก่อสร้างที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างจะเข้าร่วมเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างในสาขานั้นต้องเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง โดยต้องใช้เงินงบประมาณในวงเงินเท่าใดหรือต้องใช้ผู้ประกอบวิชาชีพในสาขาใดด้วยก็ได้ และมาตรา 53 บัญญัติให้กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง ซึ่งหน่วยงานของรัฐไม่ต้องจัดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการประเภทนั้นอีก และให้หน่วยงานของรัฐกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอตามมาตรา 51 ในประกาศเชิญชวนให้เข้าร่วมการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐนั้นด้วย
จากการที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วนั้น กรมบัญชีกลางจึงได้ดําเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคําขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างแล้ว ปรากฏว่า มีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างประกาศกําหนด รวมทั้งสิ้น 5 สาขา ได้แก่ สาขางานก่อสร้างทาง สาขางานก่อสร้างสะพาน สาขางานก่อสร้างทางและสะพานพิเศษ สาขางานก่อสร้างชลประทาน และสาขางานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและชายฝั่ง จํานวน 204 ราย อย่างไรก็ดี สําหรับหน่วยงานของรัฐใดได้ดําเนินการนําร่างประกาศและร่างเอกสารเชิญชวนเผยแพร่เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ หรือเผยแพร่ประกาศและเอกสารเชิญชวนในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-GP) หรือมีหนังสือเชิญชวนไปแล้วก่อนวันที่กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้าง ให้หน่วยงานของรัฐนั้นดําเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ โดยได้รับยกเว้นการกําหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ต้องขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง
“กรมบัญชีกลางมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในครั้งนี้ จะทําให้การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมาตรฐาน มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งเกิดความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ครั้งที่ 2 ได้ตามบัญชีเอกสารแนบท้ายประกาศ ผ่านทางเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37909
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid - 19
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid - 19
สรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการและประชาชนใช้บริการทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ทุกขั้นตอน ง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม ลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม
สรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการและประชาชนใช้บริการทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ทุกขั้นตอน ง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชําระภาษีออนไลน์จากธนาคารที่ร่วมโครงการอีกด้วย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ในขณะนี้ กรมสรรพากรมีความห่วงใยผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีที่ต้องทําธุรกรรมด้านภาษี กับหน่วยงานกรมสรรพากรทั่วประเทศ จึงขอแนะนําให้ผู้ประกอบการและผู้เสียภาษี “ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home” โดยทุกขั้นตอนของการทําธุรกรรมจะผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ www.rd.go.th และผู้ใช้บริการยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชําระภาษีออนไลน์จากธนาคารที่ร่วมโครงการอีกด้วย สําหรับบริการ “ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home” ประกอบด้วย
การลงทะเบียน e-Registration ยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สามารถทําแบบออนไลน์ และนําส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านทาง e-mail ได้ทันที
การยื่นแบบ e-Filing ได้สิทธิพิเศษขยายเวลาการยื่นแบบและชําระภาษีออนไลน์ออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี
การชําระภาษี e-Payment โดยธนาคารที่ร่วมโครงการ* ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการสําหรับแบบที่ยื่นและชําระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จนถึงปี 2564
การคืนเงินภาษี e-Refund ผู้เสียภาษีที่ชําระภาษีไว้เกิน กรมสรรพากรจะดําเนินการคืนเงินให้ผ่านระบบพร้อมเพย์ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home จะช่วยให้ผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ได้เป็นอย่างดี”
สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
*ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ยกเว้นค่าธรรมเนียมถึง 30 มิถุนายน 2564 ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ยกเว้นค่าธรรมเนียมถึง 31 ธันวาคม 2564
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid - 19
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid - 19
สรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการและประชาชนใช้บริการทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ทุกขั้นตอน ง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม ลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม
สรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการและประชาชนใช้บริการทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ทุกขั้นตอน ง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) และยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชําระภาษีออนไลน์จากธนาคารที่ร่วมโครงการอีกด้วย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ในขณะนี้ กรมสรรพากรมีความห่วงใยผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีที่ต้องทําธุรกรรมด้านภาษี กับหน่วยงานกรมสรรพากรทั่วประเทศ จึงขอแนะนําให้ผู้ประกอบการและผู้เสียภาษี “ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home” โดยทุกขั้นตอนของการทําธุรกรรมจะผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ www.rd.go.th และผู้ใช้บริการยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชําระภาษีออนไลน์จากธนาคารที่ร่วมโครงการอีกด้วย สําหรับบริการ “ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home” ประกอบด้วย
การลงทะเบียน e-Registration ยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สามารถทําแบบออนไลน์ และนําส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านทาง e-mail ได้ทันที
การยื่นแบบ e-Filing ได้สิทธิพิเศษขยายเวลาการยื่นแบบและชําระภาษีออนไลน์ออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี
การชําระภาษี e-Payment โดยธนาคารที่ร่วมโครงการ* ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการสําหรับแบบที่ยื่นและชําระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จนถึงปี 2564
การคืนเงินภาษี e-Refund ผู้เสียภาษีที่ชําระภาษีไว้เกิน กรมสรรพากรจะดําเนินการคืนเงินให้ผ่านระบบพร้อมเพย์ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home จะช่วยให้ผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ได้เป็นอย่างดี”
สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
*ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ยกเว้นค่าธรรมเนียมถึง 30 มิถุนายน 2564 ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ยกเว้นค่าธรรมเนียมถึง 31 ธันวาคม 2564
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37901
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเปิดตัวโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเปิดตัวโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
นางอรัญญา ทองน้ําตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดี ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
วันที่ ๒๔ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๙อาคารกรมบังคับคดี นางอรัญญา ทองน้ําตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดี ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี ๒๕๖๔ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
นางอรัญญา ทองน้ําตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า จากนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 ที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐยกระดับการพัฒนาระบบราชการให้ขับเคลื่อนด้วยการใช้เทคโนโลยี ในการให้บริการแก่ประชาชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอน และลดภาระของประชาชนผู้ใช้บริการ โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นหลัก กรมบังคับคดี เป็นหน่วยงานภาครัฐที่ได้พัฒนานวัตกรรมการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ๒๕๖๔ กําหนดให้มีการนําเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการบังคับคดีให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ LED 4.0 ผ่านระบบ e – Filing ทั่วประเทศ ประกอบด้วย การอายัดทรัพย์ การวางเงินค่าใช้จ่ายในคดี การยื่นคําร้องอื่นๆ และการยึดทรัพย์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน อันเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงการให้บริการของหน่วยงานรัฐได้โดยง่ายแบบ Easier Anywhere Better ง่าย ทําได้ทุกที่ ดีกว่าเดิม และเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน อีกทั้งเป็นการสอดรับกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) อีกด้วย ซึ่งภายในงานได้มีการแนะนํา พร้อมสาธิตการใช้ระบบ e – Filing โดยเปิดให้มีการลงทะเบียนยืนยันตัวตนในระบบการใช้งานจริง ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะเปิดให้บริการระบบอายัดทรัพย์ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑มกราคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเปิดตัวโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเปิดตัวโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
นางอรัญญา ทองน้ําตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดี ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2564 ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
วันที่ ๒๔ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๙อาคารกรมบังคับคดี นางอรัญญา ทองน้ําตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Open House มิติใหม่นวัตกรรมการให้บริการด้านการบังคับคดี ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี ๒๕๖๔ ภายใต้แนวคิด LED New Normal Service 2021
นางอรัญญา ทองน้ําตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า จากนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 ที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐยกระดับการพัฒนาระบบราชการให้ขับเคลื่อนด้วยการใช้เทคโนโลยี ในการให้บริการแก่ประชาชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอน และลดภาระของประชาชนผู้ใช้บริการ โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นหลัก กรมบังคับคดี เป็นหน่วยงานภาครัฐที่ได้พัฒนานวัตกรรมการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ๒๕๖๔ กําหนดให้มีการนําเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการบังคับคดีให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ LED 4.0 ผ่านระบบ e – Filing ทั่วประเทศ ประกอบด้วย การอายัดทรัพย์ การวางเงินค่าใช้จ่ายในคดี การยื่นคําร้องอื่นๆ และการยึดทรัพย์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน อันเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงการให้บริการของหน่วยงานรัฐได้โดยง่ายแบบ Easier Anywhere Better ง่าย ทําได้ทุกที่ ดีกว่าเดิม และเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน อีกทั้งเป็นการสอดรับกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) อีกด้วย ซึ่งภายในงานได้มีการแนะนํา พร้อมสาธิตการใช้ระบบ e – Filing โดยเปิดให้มีการลงทะเบียนยืนยันตัวตนในระบบการใช้งานจริง ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะเปิดให้บริการระบบอายัดทรัพย์ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑มกราคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37907
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ห่วงแรงงานไทยในเกาหลีติดเชื้อโควิด-19 กำชับ ทูตแรงงานประสานความช่วยเหลือ
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ห่วงแรงงานไทยในเกาหลีติดเชื้อโควิด-19 กําชับ ทูตแรงงานประสานความช่วยเหลือ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใย กรณีคนงานไทยในสาธารณรัฐเกาหลีตรวจพบเชื้อโควิด -19 กว่า 30 คน กําชับทูตแรงงาน สนร.กรุงโซล ประสานให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอน
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่คนไทยในสาธารณรัฐเกาหลีตรวจพบเชื้อโควิด -19 กว่า 30 คน ว่า กระทรวงแรงงานได้รับการรายงานจากอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซลว่า เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา เทศบาลเมืองชอนัน จังหวัดชุงชองนัม สาธารณรัฐเกาหลีได้รายงานผลการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 พบว่า มีคนไทยที่มีผลการตรวจเป็นบวก จํานวน 31 คน ซึ่งฝ่ายแรงงานฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่า สถานที่ที่ตรวจพบว่าเป็นแหล่งที่คนไทยติดเชื้อโควิด -19 คือ อาคารพาณิชย์ในย่านเพียงชอน โดยชั้น 2 เป็นร้านอาหารไทยตามสั่งและบริการบุฟเฟ่ต์ รวมทั้งมีโต๊ะสนุ๊กให้บริการด้วย ซึ่งคาดว่า พ่อครัวติดเชื้อโควิด – 19 แต่ยังไม่แสดงอาการ จึงทําให้คนไทยที่ไปใช้บริการในร้านติดเชื้อไปด้วยจํานวนมาก ในจํานวน 31 คนนี้ ส่วนใหญ่ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีวีซ่าและยังไม่ทราบชื่อทั้งหมด รอรับการแจ้งจากศูนย์อนามัย ทั้งนี้ มีการตรวจผู้มีความเสี่ยงจากร้านอาหารจํานวน 90 คน และรอผลอยู่ 28 คน
นายสุชาติ ยังกล่าวถึงรายงานของอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสถานเอกอัครราชทูต
ณ กรุงโซลว่า การให้บริการตรวจหาเชื้อจะไม่มีค่าใช้จ่ายและจากการสอบถามสายด่วน 1339 ของกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าคนไทยติดเชื้อโควิด – 19 ในเกาหลีใต้จะได้รับสนับสนุนค่ารักษา อย่างไรก็ตามคนไม่มีวีซ่าต้องสอบถามแต่ละโรงพยาบาลอีกครั้ง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซลได้ตั้งกลุ่มไลน์ชื่อ “ที่ปรึกษาสุขภาพกรณีโควิด-19 เกาหลี” โดยมีนายแพทย์จากประเทศไทยเข้ามาให้คําแนะนําปรึกษาทางไลน์
ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีมีมาตรการเข้มงวดให้งดรวมกลุ่มเกิน 5 คนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 – 3 มกราคม 2564 และนายจ้างจํานวนมากไม่อนุญาตให้แรงงานออกนอกโรงงานด้วย สําหรับการให้ความช่วยเหลือฝ่ายแรงงานฯ อยู่ระหว่างประสานข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานต่างๆ พร้อมดําเนินงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตเพื่อให้การช่วยเหลือแก่ผู้ติดเชื้อ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์และเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานศูนย์ช่วยเหลือต่างๆ แจ้งให้ผู้ที่มีความเสี่ยงออกมาตรวจหาเชื้อด้วยแล้ว โดยจนถึงขณะนี้สาธารณรัฐเกาหลีมีผู้ติดเชื้อสะสม 54,770 คน ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จํานวน 38,048 คน เสียชีวิต 773 คน ผู้ป่วยเฝ้าระวัง 156,789 คน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ห่วงแรงงานไทยในเกาหลีติดเชื้อโควิด-19 กำชับ ทูตแรงงานประสานความช่วยเหลือ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ห่วงแรงงานไทยในเกาหลีติดเชื้อโควิด-19 กําชับ ทูตแรงงานประสานความช่วยเหลือ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใย กรณีคนงานไทยในสาธารณรัฐเกาหลีตรวจพบเชื้อโควิด -19 กว่า 30 คน กําชับทูตแรงงาน สนร.กรุงโซล ประสานให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอน
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่คนไทยในสาธารณรัฐเกาหลีตรวจพบเชื้อโควิด -19 กว่า 30 คน ว่า กระทรวงแรงงานได้รับการรายงานจากอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซลว่า เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา เทศบาลเมืองชอนัน จังหวัดชุงชองนัม สาธารณรัฐเกาหลีได้รายงานผลการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 พบว่า มีคนไทยที่มีผลการตรวจเป็นบวก จํานวน 31 คน ซึ่งฝ่ายแรงงานฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่า สถานที่ที่ตรวจพบว่าเป็นแหล่งที่คนไทยติดเชื้อโควิด -19 คือ อาคารพาณิชย์ในย่านเพียงชอน โดยชั้น 2 เป็นร้านอาหารไทยตามสั่งและบริการบุฟเฟ่ต์ รวมทั้งมีโต๊ะสนุ๊กให้บริการด้วย ซึ่งคาดว่า พ่อครัวติดเชื้อโควิด – 19 แต่ยังไม่แสดงอาการ จึงทําให้คนไทยที่ไปใช้บริการในร้านติดเชื้อไปด้วยจํานวนมาก ในจํานวน 31 คนนี้ ส่วนใหญ่ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีวีซ่าและยังไม่ทราบชื่อทั้งหมด รอรับการแจ้งจากศูนย์อนามัย ทั้งนี้ มีการตรวจผู้มีความเสี่ยงจากร้านอาหารจํานวน 90 คน และรอผลอยู่ 28 คน
นายสุชาติ ยังกล่าวถึงรายงานของอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสถานเอกอัครราชทูต
ณ กรุงโซลว่า การให้บริการตรวจหาเชื้อจะไม่มีค่าใช้จ่ายและจากการสอบถามสายด่วน 1339 ของกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าคนไทยติดเชื้อโควิด – 19 ในเกาหลีใต้จะได้รับสนับสนุนค่ารักษา อย่างไรก็ตามคนไม่มีวีซ่าต้องสอบถามแต่ละโรงพยาบาลอีกครั้ง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซลได้ตั้งกลุ่มไลน์ชื่อ “ที่ปรึกษาสุขภาพกรณีโควิด-19 เกาหลี” โดยมีนายแพทย์จากประเทศไทยเข้ามาให้คําแนะนําปรึกษาทางไลน์
ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีมีมาตรการเข้มงวดให้งดรวมกลุ่มเกิน 5 คนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 – 3 มกราคม 2564 และนายจ้างจํานวนมากไม่อนุญาตให้แรงงานออกนอกโรงงานด้วย สําหรับการให้ความช่วยเหลือฝ่ายแรงงานฯ อยู่ระหว่างประสานข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานต่างๆ พร้อมดําเนินงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตเพื่อให้การช่วยเหลือแก่ผู้ติดเชื้อ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์และเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานศูนย์ช่วยเหลือต่างๆ แจ้งให้ผู้ที่มีความเสี่ยงออกมาตรวจหาเชื้อด้วยแล้ว โดยจนถึงขณะนี้สาธารณรัฐเกาหลีมีผู้ติดเชื้อสะสม 54,770 คน ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จํานวน 38,048 คน เสียชีวิต 773 คน ผู้ป่วยเฝ้าระวัง 156,789 คน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37927
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
ในวันศุกร์ที่๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น ๑๑ กรมโยธาธิการและผังเมือง
ถนนพระราม ๖ เขตพญาไท กรุงเทพฯ
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม
พร้อมด้วยพลตํารวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงมหาดไทย
ทําหน้าที่เป็นประธานการประชุม
สําหรับการประชุมครั้งนี้มีประเด็นที่ถูกหยิบยกมาหารือ อาทิ การติดตามการยื่นคําขออนุญาต
เข้าทําประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน๒๕๖๓ ผลการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและ
การขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยที่สําคัญ
และการหารือเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
ในวันศุกร์ที่๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น ๑๑ กรมโยธาธิการและผังเมือง
ถนนพระราม ๖ เขตพญาไท กรุงเทพฯ
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘/๒๕๖๓
โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม
พร้อมด้วยพลตํารวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงมหาดไทย
ทําหน้าที่เป็นประธานการประชุม
สําหรับการประชุมครั้งนี้มีประเด็นที่ถูกหยิบยกมาหารือ อาทิ การติดตามการยื่นคําขออนุญาต
เข้าทําประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน๒๕๖๓ ผลการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและ
การขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยที่สําคัญ
และการหารือเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)เป็นต้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37920
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank แจ้งปิดสาขาสมุทรสาครเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
SME D Bank แจ้งปิดสาขาสมุทรสาครเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ประกาศ ผวจ.สมุทรสาคร เรื่อง มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นการชั่วคราวนั้น
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ห่วงใยสุขภาพความปลอดภัยของลูกค้า และพนักงาน เป็นสําคัญ ได้ดําเนินการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัย เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด จึงขอปิดให้บริการ SME D Bank สาขาสมุทรสาคร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการได้ยัง SME D Bank สาขาอื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมถึง สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นขอสินเชื่อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น LINE Official Account: SME Development Bank, เว็บไซต์ www.smebank.co.th และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank แจ้งปิดสาขาสมุทรสาครเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
SME D Bank แจ้งปิดสาขาสมุทรสาครเป็นการชั่วคราว เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ประกาศ ผวจ.สมุทรสาคร เรื่อง มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นการชั่วคราวนั้น
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ห่วงใยสุขภาพความปลอดภัยของลูกค้า และพนักงาน เป็นสําคัญ ได้ดําเนินการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัย เพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด จึงขอปิดให้บริการ SME D Bank สาขาสมุทรสาคร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการได้ยัง SME D Bank สาขาอื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมถึง สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นขอสินเชื่อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น LINE Official Account: SME Development Bank, เว็บไซต์ www.smebank.co.th และผ่านแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37900
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
และคณะกรรมการเข้าร่วมฯ เพื่อทราบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ดํารงตําแหน่ง
ครบวาระ ผลการดําเนินงานที่สําคัญของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด
และการรายงานสถานการณ์ด้านกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ที่ประชุมพิจารณา ร่างพระราชพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนของหลักสูตรอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ การทบทวนกระบวนการพิจารณาคําสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ และพิจารณาร่างรายงานประจําปี ๒๕๖๓
ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
และคณะกรรมการเข้าร่วมฯ เพื่อทราบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ดํารงตําแหน่ง
ครบวาระ ผลการดําเนินงานที่สําคัญของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ผลการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด
และการรายงานสถานการณ์ด้านกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ที่ประชุมพิจารณา ร่างพระราชพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนของหลักสูตรอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ การทบทวนกระบวนการพิจารณาคําสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ และพิจารณาร่างรายงานประจําปี ๒๕๖๓
ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37903
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “สุชาติ” ย้ำบุคลากร กสร. ต้องสร้างศรัทธาให้ลูกจ้าง-นายจ้าง ยึดค่านิยมในการทำงานเพื่อประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” ย้ําบุคลากร กสร. ต้องสร้างศรัทธาให้ลูกจ้าง-นายจ้าง ยึดค่านิยมในการทํางานเพื่อประชาชน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ตอบรับนโยบายและทิศทางการปฏิบัติราชการของรมว.แรงงาน บ่มเพาะจรรยาข้าราชการ ให้บุคลากรกรมมีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสํานึกความซื่อสัตย์สุจริต ยึดค่านิยมในการทํางานเพื่อประชาชน สร้างความเชื่อถือ และศรัทธาให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญในการพัฒนาบุคลากรโดยการสร้างคนให้มีศักยภาพเป็น คนเก่งและดี พร้อมน้อมนําแนวเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางปฏิบัติงาน โดยเน้นย้ําว่า บุคลากรของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น ต้องปฏิบัติงานอยู่ระหว่างผลประโยชน์ของนายจ้าง ลูกจ้าง และต้องบริการอย่างใกล้ชิด บางครั้งอาจถูกร้องเรียน กล่าวหา หรืออาจถูกดําเนินการทางวินัย อาจทําให้กระทบกับภารกิจของกรมและตัวของข้าราชการได้ ดังนั้น จึงต้องสร้างความน่าเชื่อถือ และศรัทธาให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง โดยการปลูกฝังค่านิยมให้มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประเทศชาติและประชาชน
อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นกลไกสําคัญที่จะสนับสนุนให้ระบบราชการมีบุคลากรที่มีคุณภาพสูงและมีความพร้อมในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ ตามทิศทางการปฏิบัติราชการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่สอดคล้องกับแผนปฏิรูปด้านบริหารราชการแผ่นดิน แผนแม่บทและแผนปฏิบัติการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ กรมจึงได้จัดโครงการอบรม เสริมสร้างวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาสําหรับข้าราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขึ้น เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาทัศนคติ จิตสํานึกและพฤติกรรมให้เป็นผู้มีวินัยในการทํางาน ตลอดจนทราบถึงขั้นตอน วิธีการ หรือวิธีปฏิบัติเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม บรรลุผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน คือ แรงงานได้รับการคุ้มครอง ดูแล และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการสร้างเครือข่ายการต่อต้านการทุจริตของกรม พร้อมทั้งประกาศเจตจํานงสุจริตของผู้บริหาร อันจะนําไปสู่การเป็นองค์กรราชการใสสะอาด เกิดภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธา ของนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนได้ในที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “สุชาติ” ย้ำบุคลากร กสร. ต้องสร้างศรัทธาให้ลูกจ้าง-นายจ้าง ยึดค่านิยมในการทำงานเพื่อประชาชน
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” ย้ําบุคลากร กสร. ต้องสร้างศรัทธาให้ลูกจ้าง-นายจ้าง ยึดค่านิยมในการทํางานเพื่อประชาชน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ตอบรับนโยบายและทิศทางการปฏิบัติราชการของรมว.แรงงาน บ่มเพาะจรรยาข้าราชการ ให้บุคลากรกรมมีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสํานึกความซื่อสัตย์สุจริต ยึดค่านิยมในการทํางานเพื่อประชาชน สร้างความเชื่อถือ และศรัทธาให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญในการพัฒนาบุคลากรโดยการสร้างคนให้มีศักยภาพเป็น คนเก่งและดี พร้อมน้อมนําแนวเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางปฏิบัติงาน โดยเน้นย้ําว่า บุคลากรของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น ต้องปฏิบัติงานอยู่ระหว่างผลประโยชน์ของนายจ้าง ลูกจ้าง และต้องบริการอย่างใกล้ชิด บางครั้งอาจถูกร้องเรียน กล่าวหา หรืออาจถูกดําเนินการทางวินัย อาจทําให้กระทบกับภารกิจของกรมและตัวของข้าราชการได้ ดังนั้น จึงต้องสร้างความน่าเชื่อถือ และศรัทธาให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง โดยการปลูกฝังค่านิยมให้มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประเทศชาติและประชาชน
อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นกลไกสําคัญที่จะสนับสนุนให้ระบบราชการมีบุคลากรที่มีคุณภาพสูงและมีความพร้อมในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ ตามทิศทางการปฏิบัติราชการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่สอดคล้องกับแผนปฏิรูปด้านบริหารราชการแผ่นดิน แผนแม่บทและแผนปฏิบัติการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ กรมจึงได้จัดโครงการอบรม เสริมสร้างวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาสําหรับข้าราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขึ้น เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาทัศนคติ จิตสํานึกและพฤติกรรมให้เป็นผู้มีวินัยในการทํางาน ตลอดจนทราบถึงขั้นตอน วิธีการ หรือวิธีปฏิบัติเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม บรรลุผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน คือ แรงงานได้รับการคุ้มครอง ดูแล และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการสร้างเครือข่ายการต่อต้านการทุจริตของกรม พร้อมทั้งประกาศเจตจํานงสุจริตของผู้บริหาร อันจะนําไปสู่การเป็นองค์กรราชการใสสะอาด เกิดภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธา ของนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนได้ในที่สุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37896
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม. พร้อมแล้ว!! กับการโอนดอกเบี้ยงวดแรกและการซื้อขายในตลาดรองบนแอปเป๋าตัง
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม. พร้อมแล้ว!! กับการโอนดอกเบี้ยงวดแรกและการซื้อขายในตลาดรองบนแอปเป๋าตัง
สบน.เปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. แล้ว 2 รุ่น วงเงินรวม 5,200 ล้านบาท โดยรุ่นที่สามารถขายคืนบนตลาดรองได้
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนวอลเล็ต สบม. จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) ดอกเบี้ยจ่ายงวดแรกของวอลเล็ต สบม. โอนเข้าวอลเล็ตผู้ลงทุนแล้ว 2) การเปิดตัวตลาดรอง โดยเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายพันธบัตรได้ด้วยตนเองผ่านโทรศัพท์มือถือ รวมถึงเช็คราคาพันธบัตรและรับเงินจากการขายได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งนวัตกรรมนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าพันธบัตรออมทรัพย์สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายโดยไม่มีค่าธรรมเนียม และดึงดูดความสนใจของผู้ลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ได้มากขึ้น นอกเหนือจากการซื้อได้ง่ายและทําทุกอย่างได้สะดวกผ่านปลายนิ้ว
สบน. ได้เปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. แล้ว 2 รุ่น วงเงินรวม 5,200 ล้านบาท โดยรุ่นที่สามารถขายคืนบนตลาดรองได้ คือ รุ่น SB236A อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี ที่จําหน่ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2563 วงเงิน 200 ล้านบาท ในขณะที่พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม.-2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี วงเงิน 5,000 ล้านบาท จะเริ่มซื้อขายในตลาดรองได้ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้ที่เคยยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยบัตรประชาชน (Dip chip) ที่ธนาคารกรุงไทยแล้ว สามารถสแกนใบหน้าในแอปพลิเคชันและทําธุรกรรมตลาดรองได้ทันที
สบน. ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ และขอให้ติดตามข่าวสารการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเว็บไซต์ http://www.pdmo.go.th และ Facebook ของสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809, 5820
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม. พร้อมแล้ว!! กับการโอนดอกเบี้ยงวดแรกและการซื้อขายในตลาดรองบนแอปเป๋าตัง
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม. พร้อมแล้ว!! กับการโอนดอกเบี้ยงวดแรกและการซื้อขายในตลาดรองบนแอปเป๋าตัง
สบน.เปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. แล้ว 2 รุ่น วงเงินรวม 5,200 ล้านบาท โดยรุ่นที่สามารถขายคืนบนตลาดรองได้
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนวอลเล็ต สบม. จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) ดอกเบี้ยจ่ายงวดแรกของวอลเล็ต สบม. โอนเข้าวอลเล็ตผู้ลงทุนแล้ว 2) การเปิดตัวตลาดรอง โดยเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายพันธบัตรได้ด้วยตนเองผ่านโทรศัพท์มือถือ รวมถึงเช็คราคาพันธบัตรและรับเงินจากการขายได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งนวัตกรรมนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าพันธบัตรออมทรัพย์สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายโดยไม่มีค่าธรรมเนียม และดึงดูดความสนใจของผู้ลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ได้มากขึ้น นอกเหนือจากการซื้อได้ง่ายและทําทุกอย่างได้สะดวกผ่านปลายนิ้ว
สบน. ได้เปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม. แล้ว 2 รุ่น วงเงินรวม 5,200 ล้านบาท โดยรุ่นที่สามารถขายคืนบนตลาดรองได้ คือ รุ่น SB236A อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี ที่จําหน่ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2563 วงเงิน 200 ล้านบาท ในขณะที่พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นวอลเล็ต สบม.-2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.7% ต่อปี วงเงิน 5,000 ล้านบาท จะเริ่มซื้อขายในตลาดรองได้ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้ที่เคยยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยบัตรประชาชน (Dip chip) ที่ธนาคารกรุงไทยแล้ว สามารถสแกนใบหน้าในแอปพลิเคชันและทําธุรกรรมตลาดรองได้ทันที
สบน. ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจลงทุนพันธบัตรออมทรัพย์ และขอให้ติดตามข่าวสารการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านเว็บไซต์ http://www.pdmo.go.th และ Facebook ของสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809, 5820
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37897
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับใช้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด พร้อมออกมาตรการป้องกันการขาดแคลนแอลกอฮอล์เพื่อใช้สู้ภัยโควิด
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
สรรพสามิตมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดสําหรับใช้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด พร้อมออกมาตรการป้องกันการขาดแคลนแอลกอฮอล์เพื่อใช้สู้ภัยโควิด
กรมสรรพสามิตได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จํานวน 2,000 ลิตร ให้แก่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 16 หน่วยงานที่มีพื้นที่รับผิดชอบ 3 จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่าตามที่มีรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ในจังหวัดสมุทรสาคร โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2563 นั้น ในวันนี้ (25 ธ.ค. 2563) กรมสรรพสามิตได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จํานวน 2,000 ลิตร ให้แก่ พลตรี นิธิศ เปลี่ยนปาน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 16 หน่วยงานที่มีพื้นที่รับผิดชอบ 3 จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมและควบคุมสูงสุด ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งนี้ เพื่อนําไปใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบต่อไป
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างหนึ่ง คือ การทําความสะอาดโดยการฆ่าเชื้อโรคด้วยแอลกอฮอล์ หรือผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ดังนั้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดมีเพียงพอต่อความต้องการและเพื่อส่งเสริมการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงได้ออกประกาศกรมสรรพสามิตเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอใช้สิทธิเสียภาษีในอัตราภาษีศูนย์สําหรับสุราสามทับ ที่นําไปทําการแปลงสภาพ เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2563 โดยประกาศดังกล่าว เป็นการขยายระยะเวลาการให้สิทธิเสียภาษีในอัตราภาษีศูนย์ของสุราสามทับ (แอลกอฮอล์) ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด
ปัจจุบันผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราสามทับ ทั้ง 3 กลุ่ม คือ 1. องค์การสุรา กรมสรรพสามิต (กําลังการผลิต 60,000 ลิตรต่อวัน หรือ 18 ล้านลิตรต่อปี) 2. ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราสามทับ เพื่อส่งออก (กําลังการผลิต 365,000 ลิตรต่อวัน หรือ 100 ล้านลิตร ต่อปี) และ 3. กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง (กําลังการผลิต 6.3 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อใช้ผสมน้ํามัน 4.4 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งจะเหลือเอทานอลจากการใช้เป็นเชื้อเพลิง 1.9 ล้านลิตรต่อวัน) ได้ผลิตและจําหน่ายแอลกอฮอล์บริสุทธิ์และแอลกอฮอล์แปลงสภาพเข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรม การแพทย์ และพลังงาน ได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการแล้ว แต่เมื่อเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้มีความต้องการปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์และแอลกอฮอล์แปลงสภาพเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กระทบกับปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ที่ใช้ในด้านการแพทย์ที่มีอยู่เดิม และเพื่อให้ประชาชนมีผลิตภัณฑ์ป้องกันการติดเชื้อจากโรคไวรัสโคโรน่า 2019 อย่างทั่วถึง กรมสรรพสามิตจึงได้ประกาศขยายระยะเวลาการให้สิทธิทางภาษีของสุราสามทับ (แอลกอฮอล์) ดังกล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวทิ้งท้ายว่า กรมสรรพสามิตยังมีความห่วงใยและให้ความสําคัญในความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโคโรนา 2019 เพื่อให้สามารถก้าวผ่านภาวะวิกฤตนี้ไปได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับใช้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด พร้อมออกมาตรการป้องกันการขาดแคลนแอลกอฮอล์เพื่อใช้สู้ภัยโควิด
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
สรรพสามิตมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดสําหรับใช้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด พร้อมออกมาตรการป้องกันการขาดแคลนแอลกอฮอล์เพื่อใช้สู้ภัยโควิด
กรมสรรพสามิตได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จํานวน 2,000 ลิตร ให้แก่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 16 หน่วยงานที่มีพื้นที่รับผิดชอบ 3 จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่าตามที่มีรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ในจังหวัดสมุทรสาคร โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2563 นั้น ในวันนี้ (25 ธ.ค. 2563) กรมสรรพสามิตได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จํานวน 2,000 ลิตร ให้แก่ พลตรี นิธิศ เปลี่ยนปาน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 16 หน่วยงานที่มีพื้นที่รับผิดชอบ 3 จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมและควบคุมสูงสุด ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งนี้ เพื่อนําไปใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบต่อไป
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างหนึ่ง คือ การทําความสะอาดโดยการฆ่าเชื้อโรคด้วยแอลกอฮอล์ หรือผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ดังนั้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดมีเพียงพอต่อความต้องการและเพื่อส่งเสริมการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงได้ออกประกาศกรมสรรพสามิตเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอใช้สิทธิเสียภาษีในอัตราภาษีศูนย์สําหรับสุราสามทับ ที่นําไปทําการแปลงสภาพ เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2563 โดยประกาศดังกล่าว เป็นการขยายระยะเวลาการให้สิทธิเสียภาษีในอัตราภาษีศูนย์ของสุราสามทับ (แอลกอฮอล์) ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด
ปัจจุบันผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราสามทับ ทั้ง 3 กลุ่ม คือ 1. องค์การสุรา กรมสรรพสามิต (กําลังการผลิต 60,000 ลิตรต่อวัน หรือ 18 ล้านลิตรต่อปี) 2. ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราสามทับ เพื่อส่งออก (กําลังการผลิต 365,000 ลิตรต่อวัน หรือ 100 ล้านลิตร ต่อปี) และ 3. กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง (กําลังการผลิต 6.3 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อใช้ผสมน้ํามัน 4.4 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งจะเหลือเอทานอลจากการใช้เป็นเชื้อเพลิง 1.9 ล้านลิตรต่อวัน) ได้ผลิตและจําหน่ายแอลกอฮอล์บริสุทธิ์และแอลกอฮอล์แปลงสภาพเข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรม การแพทย์ และพลังงาน ได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการแล้ว แต่เมื่อเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้มีความต้องการปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์และแอลกอฮอล์แปลงสภาพเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กระทบกับปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ที่ใช้ในด้านการแพทย์ที่มีอยู่เดิม และเพื่อให้ประชาชนมีผลิตภัณฑ์ป้องกันการติดเชื้อจากโรคไวรัสโคโรน่า 2019 อย่างทั่วถึง กรมสรรพสามิตจึงได้ประกาศขยายระยะเวลาการให้สิทธิทางภาษีของสุราสามทับ (แอลกอฮอล์) ดังกล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวทิ้งท้ายว่า กรมสรรพสามิตยังมีความห่วงใยและให้ความสําคัญในความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโคโรนา 2019 เพื่อให้สามารถก้าวผ่านภาวะวิกฤตนี้ไปได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37899
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการและประธานคณะอนุกรรมาธิการ นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ ๑ พร้อมคณะฯ
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๕-๐๑ ชั้น ๕ อาคารที่ทําการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการและประธานคณะอนุกรรมาธิการ นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ ๑ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและหาแนวทางการขับเคลื่อน เรื่อง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการดําเนินงาน ๕ ประเด็นที่เกี่ยวข้อง
โดยนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้นําเสนอความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน พันตํารวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นําเสนอความคืบหน้าเรื่องกฎหมายว่าด้วยนิติวิทยาศาสตร์ ระบบนิติเวช และนายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนยุติธรรม กล่าวถึงประเด็นพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘
ทั้งนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลในครั้งนี้ จะได้จัดทําเป็นข้อสรุป พร้อมทั้งข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อน เรื่อง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา และเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการและประธานคณะอนุกรรมาธิการ นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ ๑ พร้อมคณะฯ
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๕-๐๑ ชั้น ๕ อาคารที่ทําการกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการและประธานคณะอนุกรรมาธิการ นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ ๑ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและหาแนวทางการขับเคลื่อน เรื่อง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการดําเนินงาน ๕ ประเด็นที่เกี่ยวข้อง
โดยนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้นําเสนอความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน พันตํารวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นําเสนอความคืบหน้าเรื่องกฎหมายว่าด้วยนิติวิทยาศาสตร์ ระบบนิติเวช และนายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนยุติธรรม กล่าวถึงประเด็นพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘
ทั้งนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลในครั้งนี้ จะได้จัดทําเป็นข้อสรุป พร้อมทั้งข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อน เรื่อง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา และเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37904
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ
รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ
วันนี้ (25 ธ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยมี พลตํารวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงมหาดไทย นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงมหาดไทย) พร้อมด้วย กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟัง
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 ในวันนี้ "ซึ่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนี้ถือเป็นวาระสําคัญที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานของกระทรวง เพื่อนําข้อสรุปมาเป็นแนวทางสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีต่อไป"
จากนั้น พลตํารวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงมหาดไทย นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงมหาดไทย) เป็นประธานร่วมการประชุม โดยมีวาระการประชุมที่สําคัญ เช่น การรายงานผลการดําเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2563 ผลการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยที่สําคัญ เป็นต้น
สําหรับการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 นี้ กระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ซึ่งในการประชุมฯ ได้มีการนําเสนอภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทยและผลการดําเนินงานที่สําคัญตามนโยบายรัฐบาล ได้แก่ โครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดินและรังวัดรูปแปลงโฉนดที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน การดําเนินการวางและจัดทําผังเมืองรวมเมือง/ชุมชน การบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ (Linkage Center) และการดําเนินโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จากนั้นคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เพื่อเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันของทุกกระทรวงต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ
รมว.มท. เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ
วันนี้ (25 ธ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 โดยมี พลตํารวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงมหาดไทย นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงมหาดไทย) พร้อมด้วย กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟัง
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 ในวันนี้ "ซึ่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนี้ถือเป็นวาระสําคัญที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานของกระทรวง เพื่อนําข้อสรุปมาเป็นแนวทางสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีต่อไป"
จากนั้น พลตํารวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงมหาดไทย นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงมหาดไทย) เป็นประธานร่วมการประชุม โดยมีวาระการประชุมที่สําคัญ เช่น การรายงานผลการดําเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2563 ผลการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยที่สําคัญ เป็นต้น
สําหรับการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 8/2563 นี้ กระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ซึ่งในการประชุมฯ ได้มีการนําเสนอภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทยและผลการดําเนินงานที่สําคัญตามนโยบายรัฐบาล ได้แก่ โครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดินและรังวัดรูปแปลงโฉนดที่ดินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน การดําเนินการวางและจัดทําผังเมืองรวมเมือง/ชุมชน การบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ (Linkage Center) และการดําเนินโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จากนั้นคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เพื่อเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันของทุกกระทรวงต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37914
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19
ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19
วันนี้ (25 ธ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การระบาดใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและมีการแพร่กระจายไปยังจังหวัดอื่นๆซึ่งส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและจําเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ติดต่อหรือพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) และหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีคําสั่งให้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ส่วนหน้า ในพื้นที่ "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" หรือ "พื้นที่ควบคุม" โดยมี นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร เป็นหัวหน้าผู้ปฏิบัติหน้าที่ นายพิริยะ ฉันทดิลก รองอธิบดีกรมการปกครอง พร้อมด้วยรองอธิบดีจากทุกกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยมี ผู้อํานวยการสํานักอํานวยการกองอาสารักษาดินแดน กรมการปกครอง และผู้อํานวยการสํานักนโยบายและแผน สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นเลขานุการร่วม โดย ศบค.มท. ส่วนหน้า ทําหน้าที่สนับสนุน กํากับ และประสานการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดใน "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" และ "พื้นที่ควบคุม" ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ นนทบุรี และนครปฐม รวมทั้งจังหวัดอื่น ๆ ที่อาจถูกกําหนดเป็น "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" และ "พื้นที่ควบคุม"
ทั้งนี้ องค์ประกอบใน ศบค.มท. ส่วนหน้า เป็นผู้ที่เคยดํารงตําแหน่งในพื้นที่ และมีความคุ้นเคยในเชิงพื้นที่ เข้าใจกลไกระบบการทํางาน และงานมวลชนในพื้นที่เป็นอย่างดี อาทิ นายสมคิด จันทมฤก เคยดํารงตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงนายพิริยะ ฉันทดิลก เคยดํารงตําแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นอกจากนี้ ได้มีคําสั่งแต่งตั้งโยกย้าย นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช หัวหน้าสํานักงานจังหวัดเพชรบุรี มาดํารงตําแหน่งหัวหน้าสํานักงานจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งนายวุฒิพงษ์ เคยดํารงตําแหน่งนายอําเภอเมืองจังหวัดสมุทรสาครมาก่อน และมีคําสั่งโยกย้ายนายณัฐภัทร์ เอมอ่อน นายอําเภอนครชัยศรีมาดํารงตําแหน่งนายอําเภอเมืองสมุทรสาคร เคยดํารงตําแหน่งป้องกันจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งการจัดตั้ง ศบค.มท. ส่วนหน้า และการแต่งตั้งข้าราชการในครั้งนี้ เป็นการเสริมกําลังและสนับสนุนการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในพื้นที่ รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติงานตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19
ศบค.มท. ตั้ง ศบค. ส่วนหน้า เสริมทัพผู้ว่าฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม สกัดกั้นการระบาดโควิด-19
วันนี้ (25 ธ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การระบาดใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและมีการแพร่กระจายไปยังจังหวัดอื่นๆซึ่งส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและจําเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ติดต่อหรือพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) และหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีคําสั่งให้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ส่วนหน้า ในพื้นที่ "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" หรือ "พื้นที่ควบคุม" โดยมี นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร เป็นหัวหน้าผู้ปฏิบัติหน้าที่ นายพิริยะ ฉันทดิลก รองอธิบดีกรมการปกครอง พร้อมด้วยรองอธิบดีจากทุกกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยมี ผู้อํานวยการสํานักอํานวยการกองอาสารักษาดินแดน กรมการปกครอง และผู้อํานวยการสํานักนโยบายและแผน สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นเลขานุการร่วม โดย ศบค.มท. ส่วนหน้า ทําหน้าที่สนับสนุน กํากับ และประสานการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดใน "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" และ "พื้นที่ควบคุม" ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ นนทบุรี และนครปฐม รวมทั้งจังหวัดอื่น ๆ ที่อาจถูกกําหนดเป็น "พื้นที่ควบคุมสูงสุด" และ "พื้นที่ควบคุม"
ทั้งนี้ องค์ประกอบใน ศบค.มท. ส่วนหน้า เป็นผู้ที่เคยดํารงตําแหน่งในพื้นที่ และมีความคุ้นเคยในเชิงพื้นที่ เข้าใจกลไกระบบการทํางาน และงานมวลชนในพื้นที่เป็นอย่างดี อาทิ นายสมคิด จันทมฤก เคยดํารงตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงนายพิริยะ ฉันทดิลก เคยดํารงตําแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นอกจากนี้ ได้มีคําสั่งแต่งตั้งโยกย้าย นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช หัวหน้าสํานักงานจังหวัดเพชรบุรี มาดํารงตําแหน่งหัวหน้าสํานักงานจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งนายวุฒิพงษ์ เคยดํารงตําแหน่งนายอําเภอเมืองจังหวัดสมุทรสาครมาก่อน และมีคําสั่งโยกย้ายนายณัฐภัทร์ เอมอ่อน นายอําเภอนครชัยศรีมาดํารงตําแหน่งนายอําเภอเมืองสมุทรสาคร เคยดํารงตําแหน่งป้องกันจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งการจัดตั้ง ศบค.มท. ส่วนหน้า และการแต่งตั้งข้าราชการในครั้งนี้ เป็นการเสริมกําลังและสนับสนุนการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในพื้นที่ รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติงานตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37924
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม
เพื่อรับทราบการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ และมาตรการด้านสาธารณสุข
กรณีการแพร่ระบาดใน จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.นครปฐม จ.พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ และแนวชายแดน
ความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนโรคโควิด - 19
การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 กรณีการแพร่ระบาดใน จ.สมุทรสาคร
จ.สมุทรปราการ จ.นครปฐม จ.พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ และ แนวชายแดน
มาตรการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี ๒๕๖๔
มาตรการเพื่อบรรเทาและช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19
มาตรการและแนวทางการใช้แอปพลิเคชันเพื่อรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19
นอกจากนี้ที่ประชุมพิจารณาความเหมาะสมในการจัดงานฉลองปีใหม่ ๒๕๖๔
งานวันเด็ก รวมถึงความเหมาะสมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแบดมินตันนานาชาติ
พร้อมทั้งพิจารณาปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งข้อเสนอแนะในการดําเนินงาน
ของศูนย์ปฏิบัติการด้านต่างๆ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓
โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม
เพื่อรับทราบการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ และมาตรการด้านสาธารณสุข
กรณีการแพร่ระบาดใน จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.นครปฐม จ.พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ และแนวชายแดน
ความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนโรคโควิด - 19
การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 กรณีการแพร่ระบาดใน จ.สมุทรสาคร
จ.สมุทรปราการ จ.นครปฐม จ.พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ และ แนวชายแดน
มาตรการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี ๒๕๖๔
มาตรการเพื่อบรรเทาและช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19
มาตรการและแนวทางการใช้แอปพลิเคชันเพื่อรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19
นอกจากนี้ที่ประชุมพิจารณาความเหมาะสมในการจัดงานฉลองปีใหม่ ๒๕๖๔
งานวันเด็ก รวมถึงความเหมาะสมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแบดมินตันนานาชาติ
พร้อมทั้งพิจารณาปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งข้อเสนอแนะในการดําเนินงาน
ของศูนย์ปฏิบัติการด้านต่างๆ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37905
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะฯ เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจ เฝ้าระวัง สถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด ป้องก
|
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
สุริยะฯ เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจ เฝ้าระวัง สถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด ป้องก
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึง กรณีที่มีการเสนอข่าวเกี่ยวกับสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่มีการะบาดของโรคโควิด-19 ขนย้าย หรือนําแรงงานต่างด้าวไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ เนื่องจากเกรงกลัวความผิด นั้น กรณีดังกล่าวสันนิษฐานว่าอาจจะมีการใช้แรงงานผิดกฎหมาย เมื่อจะมีการตรวจสอบผู้ประกอบการเกรงกลัวความผิดและขนย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้สั่งการให้อุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจเข้ม เฝ้าระวัง ชี้แจงทําความเข้าใจกับผู้ประกอบการ และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะโรงงานที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวเพื่อให้ความช่วยเหลือและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ตรวจสอบ คัดกรอง หาผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง รายงานจํานวนสถานประกอบการที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว โดยประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับแรงงานจังหวัด พร้อมย้ําเตือนผู้ประกอบการ อย่าตระหนก อย่าเกรงกลัวความผิด หากฝ่าฝืนโทษจะยิ่งหนักกว่าหลายเท่า และไม่ให้มีการดําเนินการใดๆ ที่เป็น การขนย้ายแรงงานออกนอกโรงงานโดยเด็ดขาด ซึ่งจะเป็นการซ้ําเติมสถานการณ์และสุ่มเสี่ยง การแพร่ระบาดมากขึ้น เตือนผู้ประกอบการจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ในการดูแลแรงงานของตนอย่างดีตามหลักมนุษยชน
พร้อมปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้น สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สําคัญที่สุด และหากมีแรงงานในสถานประกอบการติดเชื้อ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน(quarantine) ไม่ให้ออกนอกพื้นที่ และเข้าสู่กระบวนการรักษาตามหลักสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนทุกคนมีสุขอนามัยที่ดี มีการป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดทุกอย่างและเราจะผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ในเร็ววัน
นอกจากนี้ นายสรวุฒิ เนื่องจํานงค์ ประธานอนุกรรมาธิการเพื่อการศึกษา ติดตาม ตรวจสอบ การใช้เงินตามพระราชกําหนด 3 ฉบับ (โควิด-19) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของสถานประกอบการขนาดเล็กที่ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หากมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้แรงงานต่างด้าว ไม่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องวิตก กังวลหรือกลัวความผิด ด้วยการขนย้ายแรงงานไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ สามารถขอความช่วยเหลือและแนะนําจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค โควิด-19 ได้อีกทางหนึ่งด้วย
--------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะฯ เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจ เฝ้าระวัง สถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด ป้องก
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563
สุริยะฯ เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจ เฝ้าระวัง สถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด ป้องก
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เตือนผู้ประกอบการ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ สั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึง กรณีที่มีการเสนอข่าวเกี่ยวกับสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่มีการะบาดของโรคโควิด-19 ขนย้าย หรือนําแรงงานต่างด้าวไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ เนื่องจากเกรงกลัวความผิด นั้น กรณีดังกล่าวสันนิษฐานว่าอาจจะมีการใช้แรงงานผิดกฎหมาย เมื่อจะมีการตรวจสอบผู้ประกอบการเกรงกลัวความผิดและขนย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้สั่งการให้อุตสาหกรรมจังหวัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจเข้ม เฝ้าระวัง ชี้แจงทําความเข้าใจกับผู้ประกอบการ และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะโรงงานที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวเพื่อให้ความช่วยเหลือและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ตรวจสอบ คัดกรอง หาผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง รายงานจํานวนสถานประกอบการที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว โดยประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับแรงงานจังหวัด พร้อมย้ําเตือนผู้ประกอบการ อย่าตระหนก อย่าเกรงกลัวความผิด หากฝ่าฝืนโทษจะยิ่งหนักกว่าหลายเท่า และไม่ให้มีการดําเนินการใดๆ ที่เป็น การขนย้ายแรงงานออกนอกโรงงานโดยเด็ดขาด ซึ่งจะเป็นการซ้ําเติมสถานการณ์และสุ่มเสี่ยง การแพร่ระบาดมากขึ้น เตือนผู้ประกอบการจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ในการดูแลแรงงานของตนอย่างดีตามหลักมนุษยชน
พร้อมปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้น สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สําคัญที่สุด และหากมีแรงงานในสถานประกอบการติดเชื้อ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน(quarantine) ไม่ให้ออกนอกพื้นที่ และเข้าสู่กระบวนการรักษาตามหลักสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนทุกคนมีสุขอนามัยที่ดี มีการป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดทุกอย่างและเราจะผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ในเร็ววัน
นอกจากนี้ นายสรวุฒิ เนื่องจํานงค์ ประธานอนุกรรมาธิการเพื่อการศึกษา ติดตาม ตรวจสอบ การใช้เงินตามพระราชกําหนด 3 ฉบับ (โควิด-19) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของสถานประกอบการขนาดเล็กที่ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หากมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้แรงงานต่างด้าว ไม่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องวิตก กังวลหรือกลัวความผิด ด้วยการขนย้ายแรงงานไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ สามารถขอความช่วยเหลือและแนะนําจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค โควิด-19 ได้อีกทางหนึ่งด้วย
--------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37898
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งคัดกรองโควิดเชิงรุก 1 หมื่นรายใน 7 ชุมชน และแรงงานต่างด้าว
|
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
สธ.เร่งคัดกรองโควิดเชิงรุก 1 หมื่นรายใน 7 ชุมชน และแรงงานต่างด้าว
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 กรณีสมุทรสาคร รวม 689 ราย จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง พบที่นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย และสมุทรปราการ 3 ราย ควบคุมติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงได้ เร่งคัดกรองเชิงรุก ใน 7 ชุมชนอีก 1 หมื่นราย รวมถึงชุมชนแรงงานต่างด้าว..
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด19 กรณีสมุทรสาคร รวม 689 ราย จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง พบที่นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย และสมุทรปราการ 3 ราย ควบคุมติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงได้ เร่งคัดกรองเชิงรุก ใน 7 ชุมชนอีก 1 หมื่นราย รวมถึงชุมชนแรงงานต่างด้าวจังหวัดต่างๆ พร้อมให้ทุกจังหวัดตั้งศูนย์ EOC ร่วมเฝ้าระวัง หากผู้ติดเชื้อสมุทรสาครไม่เพิ่มขึ้นมาก คาดควบคุมโรคได้ใน 2-4 สัปดาห์ แนะประชาชนกลับมาจากตลาดกลางกุ้ง รายงานตัวเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประเมินความเสี่ยง รับคําแนะนํา
บ่ายวันนี้ (20 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์กิตติ กรรภิรมย์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 5 แถลงข่าวความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร เริ่มต้นจากวันที่ 17 ธันวาคม 2563 พบการติดเชื้อของผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 67 ปี ที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นผู้นําเชื้อหรือต้นเชื้อคนแรก ทีมสอบสวนโรคได้ค้นหาสาเหตุของการติดเชื้อ และสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับแรงงานเมียนมา ซึ่งตลาดกลางกุ้งมีแรงงานเมียนมาจํานวนมาก เมื่อทําการตรวจคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่พบว่า มีการติดเชื้อจํานวนมาก ร้อยละ 90 เป็นแรงงานเมียนมา ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เนื่องจากมีการพักอาศัยในพื้นที่แออัดและอยู่ใกล้ชิดกันจากชีวิตประจําวัน
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ควบคุมโรคให้อยู่ใน จ.สมุทรสาคร โดยล็อกดาวน์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง คือ บริเวณตลาดกลางกุ้งและแหล่งระบาด ส่วนพื้นที่อื่นภายใน จ.สมุทรสาคร ก็ควบคุมไม่ให้แรงงานต่างด้าวเข้าออกพื้นที่ ทําให้การแพร่ระบาดอยู่ในพื้นที่จํากัด ส่วนผู้ที่มาซื้อขายในตลาดดังกล่าวแล้วออกไปสู่จังหวัดอื่นสามารถติดตามทุกราย ขณะนี้บางจังหวัดพบผู้ป่วยประมาณ 1-2 ราย แต่การควบคุมตรวจจับได้รวดเร็ว ทําให้สามารถสอบสวนโรคค้นหาผู้สัมผัสและควบคุมเฝ้าระวังอาการได้ หากพ้นระยะเฝ้าระวังก็จะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อของจ.สมุทรสาคร อาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการตรวจคัดกรองเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง แต่หากภายใน 1 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มนิ่ง คาดว่าจะสามารถควบคุมได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามมาตรการสําคัญที่ประชาชนต้องร่วมมือกัน คือ สวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด หากมีอาการทางเดินหายใจ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้สวมหน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์
สําหรับมาตรการด้านสาธารณสุข จะมีการค้นหา ตีวง เฝ้าระวัง สื่อสาร และสร้างความร่วมมือ โดย 1. ค้นหากลุ่มเสี่ยงทั้งหมดโดยเร็ว โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว จ.สมุทรสาคร และชุมชนแรงงานต่างด้าวจังหวัดอื่น เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ส่วนประชาชน จ.สมุทรสาคร และคนที่ออกมาจาก จ.สมุทรสาครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ให้สังเกตอาการตนเอง หากสงสัยให้ไปรับการตรวจสถานพยาบาลใกล้บ้าน 2.เฝ้าระวังตรวจสอบผู้ป่วยที่มีอาการทางเดินหายใจและปอดอักเสบทุกราย3. เตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมรับการระบาด ขณะนี้มียาและเวชภัณฑ์เพียงพอ โดยมียาฟาวิพิราเวียร์ 552,811 เม็ด รักษาได้ประมาณ 8 พันราย หน้ากากอนามัย 46 ล้านชิ้น ใช้ได้ 3-4 เดือน ผลิตได้วันละ 4 ล้านชิ้น หน้ากาก N 95 2.9 ล้านชิ้น ชุด PPE 2 ล้านกว่าชุด ผลิตเพิ่มได้วันละ 6 หมื่นชุด 4.จัดตั้งศูนย์ให้คําปรึกษาทุกจังหวัดหรือโทร.ปรึกษาสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 5. กําหนดผู้รับผิดชอบของทุกจังหวัด และตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (EOC) เพื่อดูแลการระบาด และ 6.ตรวจสอบ ยกระดับการป้องกัน ควบคุมการติดเชื้อในสถานพยาบาลทุกแห่ง สําหรับเทศกาลปีใหม่จะจัดงานได้หรือไม่นั้น จะมีการประเมินสถานการณ์ภายใน 1 สัปดาห์
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด 19 กรณี จ.สมุทรสาคร จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกุ้ง และมีผู้ป่วยขยายวงใน จ.สมุทรสาคร และจังหวัดอื่น คือ นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย สมุทรปราการ 3 ราย แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับตลาดกุ้งทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ป่วยสะสมขณะนี้อยู่ที่ 689 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่มาตรวจในโรงพยาบาลและค้นหาผู้สัมผัส 32 ราย และการค้นหาในชุมชน 657 ราย จากการส่งตรวจทั้งหมด 1,443 ราย ส่วนใหญ่อยู่ที่ตลาดกลางกุ้งและหอพัก ขณะนี้ปิดกั้นไม่ให้มีการเข้าออกแล้ว ซึ่งตรวจไปแล้ว 2 พันกว่าราย และกําลังตรวจเพิ่มอีก 2 พันราย
ทั้งนี้ การสอบสวนโรคผู้ป่วยหญิงอายุ 33 ปี เขตคลองสามวา กทม. พบว่า วันที่ 12 ธันวาคม มีประวัติไปรับซื้ออาหารทะเลที่ตลาดกลางกุ้งมาขายที่ตลาดนวลจันทร์ เวลา 16.00 - 20.00 น. โดยซื้อกุ้งกับผู้ป่วยหญิงอายุ 67 ปี วันที่ 14 ธันวาคม เริ่มมีอาการจาม น้ํามูก ไม่ได้ไปขายของที่ตลาด วันที่ 16-17 ธันวาคม มีน้ํามูก จมูกไม่ได้กลิ่น วันที่ 18 ธันวาคม ไปตรวจที่โรงพยาบาลสินแพทย์ ผลพบเชื้อ วันที่ 19 ธันวาคม เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวิภารามชัยปราการ คัดกรองผู้สัมผัสในครอบครัวพบ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย
สําหรับผู้ที่เคยไปยังพื้นที่ตลาดกลางกุ้ง ขอแนะนําให้มาพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อประเมินความเสี่ยง และรับคําแนะนํา จะกักตัวเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงคือ ถูกผู้ติดเชื้อไอจามรด พูดคุยกับผู้ติดเชื้อระยะห่างไม่เกิน 1 เมตรนานเกิน 5 นาที โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ไม่ใส่หน้ากาก หากไม่ได้เป็นสัมผัสเสี่ยงสูงจะแนะนําให้สังเกตอาการ หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ก็ให้มาตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนกรณีอาหารทะเลยืนยันว่ารับประทานได้ โดยเน้นสุกร้อน ส่วนที่ต่างประเทศเคยตรวจพบเชื้อโควิดในปลาแซลมอนหรืออาหารทะเลบางประเภท เป็นการพบสารพันธุกรรมในอาหาร แปลว่ามีการปนเปื้อน ไม่ได้แปลว่าเชื้อบนอาหารจะสามารถถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจะทําให้ติดเชื้อและถ่ายทอดเชื้อได้
นายแพทย์กิตติ กรรภิรมย์ สาธารณสุขนิเทศก์เขตสุขภาพที่ 5 กล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 5 ได้ตั้ง EOC ระดับเขตสุขภาพ และระดับจังหวัดทั้ง 8 จังหวัด และมีการระดมบุคลากรจาก 8 จังหวัดมาสนับสนุน จ.สมุทรสาครในการตรวจคัดกรองเชิงรุก ตั้งเป้าหมาย 10,000 ราย ใน 7 ชุมชนภายใน 3 วัน โดยมีรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน 7 คัน นอกจากนี้ ได้สํารองเตียงพร้อมรับผู้ป่วย 1,083 เตียง ระบบส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยมีกรมการแพทย์เป็นศูนย์บริหารจัดการเตียง ร่วมกับสํานักการแพทย์ กรุงเทพมหานครและเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(UHOSNET) ซึ่งพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการจะจํากัดพื้นที่ให้อยู่ในหอพัก พร้อมจัดหน่วยปฐมพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขดูแลใกล้ชิด ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม แจกหน้ากากอนามัย หากมีอาการป่วยจะส่งต่อรับการรักษาในโรงพยาบาลตามระบบ และมีสถานกักกันโรค (Local Quarantine) รับได้ 600 คน และประสานหน่วยงานอื่น ๆ เตรียมสถานที่เพิ่มมีหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ป้องกัน และยารักษาโรค พร้อมใช้ได้ 3- 4 เดือน
********************************* 20 ธันวาคม 2563
****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งคัดกรองโควิดเชิงรุก 1 หมื่นรายใน 7 ชุมชน และแรงงานต่างด้าว
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
สธ.เร่งคัดกรองโควิดเชิงรุก 1 หมื่นรายใน 7 ชุมชน และแรงงานต่างด้าว
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด 19 กรณีสมุทรสาคร รวม 689 ราย จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง พบที่นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย และสมุทรปราการ 3 ราย ควบคุมติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงได้ เร่งคัดกรองเชิงรุก ใน 7 ชุมชนอีก 1 หมื่นราย รวมถึงชุมชนแรงงานต่างด้าว..
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ติดเชื้อโควิด19 กรณีสมุทรสาคร รวม 689 ราย จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง พบที่นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย และสมุทรปราการ 3 ราย ควบคุมติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงได้ เร่งคัดกรองเชิงรุก ใน 7 ชุมชนอีก 1 หมื่นราย รวมถึงชุมชนแรงงานต่างด้าวจังหวัดต่างๆ พร้อมให้ทุกจังหวัดตั้งศูนย์ EOC ร่วมเฝ้าระวัง หากผู้ติดเชื้อสมุทรสาครไม่เพิ่มขึ้นมาก คาดควบคุมโรคได้ใน 2-4 สัปดาห์ แนะประชาชนกลับมาจากตลาดกลางกุ้ง รายงานตัวเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประเมินความเสี่ยง รับคําแนะนํา
บ่ายวันนี้ (20 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์กิตติ กรรภิรมย์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 5 แถลงข่าวความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร เริ่มต้นจากวันที่ 17 ธันวาคม 2563 พบการติดเชื้อของผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 67 ปี ที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นผู้นําเชื้อหรือต้นเชื้อคนแรก ทีมสอบสวนโรคได้ค้นหาสาเหตุของการติดเชื้อ และสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับแรงงานเมียนมา ซึ่งตลาดกลางกุ้งมีแรงงานเมียนมาจํานวนมาก เมื่อทําการตรวจคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่พบว่า มีการติดเชื้อจํานวนมาก ร้อยละ 90 เป็นแรงงานเมียนมา ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เนื่องจากมีการพักอาศัยในพื้นที่แออัดและอยู่ใกล้ชิดกันจากชีวิตประจําวัน
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ควบคุมโรคให้อยู่ใน จ.สมุทรสาคร โดยล็อกดาวน์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง คือ บริเวณตลาดกลางกุ้งและแหล่งระบาด ส่วนพื้นที่อื่นภายใน จ.สมุทรสาคร ก็ควบคุมไม่ให้แรงงานต่างด้าวเข้าออกพื้นที่ ทําให้การแพร่ระบาดอยู่ในพื้นที่จํากัด ส่วนผู้ที่มาซื้อขายในตลาดดังกล่าวแล้วออกไปสู่จังหวัดอื่นสามารถติดตามทุกราย ขณะนี้บางจังหวัดพบผู้ป่วยประมาณ 1-2 ราย แต่การควบคุมตรวจจับได้รวดเร็ว ทําให้สามารถสอบสวนโรคค้นหาผู้สัมผัสและควบคุมเฝ้าระวังอาการได้ หากพ้นระยะเฝ้าระวังก็จะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อของจ.สมุทรสาคร อาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการตรวจคัดกรองเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง แต่หากภายใน 1 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มนิ่ง คาดว่าจะสามารถควบคุมได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามมาตรการสําคัญที่ประชาชนต้องร่วมมือกัน คือ สวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด หากมีอาการทางเดินหายใจ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้สวมหน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์
สําหรับมาตรการด้านสาธารณสุข จะมีการค้นหา ตีวง เฝ้าระวัง สื่อสาร และสร้างความร่วมมือ โดย 1. ค้นหากลุ่มเสี่ยงทั้งหมดโดยเร็ว โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว จ.สมุทรสาคร และชุมชนแรงงานต่างด้าวจังหวัดอื่น เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ส่วนประชาชน จ.สมุทรสาคร และคนที่ออกมาจาก จ.สมุทรสาครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ให้สังเกตอาการตนเอง หากสงสัยให้ไปรับการตรวจสถานพยาบาลใกล้บ้าน 2.เฝ้าระวังตรวจสอบผู้ป่วยที่มีอาการทางเดินหายใจและปอดอักเสบทุกราย3. เตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมรับการระบาด ขณะนี้มียาและเวชภัณฑ์เพียงพอ โดยมียาฟาวิพิราเวียร์ 552,811 เม็ด รักษาได้ประมาณ 8 พันราย หน้ากากอนามัย 46 ล้านชิ้น ใช้ได้ 3-4 เดือน ผลิตได้วันละ 4 ล้านชิ้น หน้ากาก N 95 2.9 ล้านชิ้น ชุด PPE 2 ล้านกว่าชุด ผลิตเพิ่มได้วันละ 6 หมื่นชุด 4.จัดตั้งศูนย์ให้คําปรึกษาทุกจังหวัดหรือโทร.ปรึกษาสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 5. กําหนดผู้รับผิดชอบของทุกจังหวัด และตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (EOC) เพื่อดูแลการระบาด และ 6.ตรวจสอบ ยกระดับการป้องกัน ควบคุมการติดเชื้อในสถานพยาบาลทุกแห่ง สําหรับเทศกาลปีใหม่จะจัดงานได้หรือไม่นั้น จะมีการประเมินสถานการณ์ภายใน 1 สัปดาห์
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด 19 กรณี จ.สมุทรสาคร จุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกุ้ง และมีผู้ป่วยขยายวงใน จ.สมุทรสาคร และจังหวัดอื่น คือ นครปฐม 2 ราย กทม. 2 ราย สมุทรปราการ 3 ราย แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับตลาดกุ้งทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ป่วยสะสมขณะนี้อยู่ที่ 689 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่มาตรวจในโรงพยาบาลและค้นหาผู้สัมผัส 32 ราย และการค้นหาในชุมชน 657 ราย จากการส่งตรวจทั้งหมด 1,443 ราย ส่วนใหญ่อยู่ที่ตลาดกลางกุ้งและหอพัก ขณะนี้ปิดกั้นไม่ให้มีการเข้าออกแล้ว ซึ่งตรวจไปแล้ว 2 พันกว่าราย และกําลังตรวจเพิ่มอีก 2 พันราย
ทั้งนี้ การสอบสวนโรคผู้ป่วยหญิงอายุ 33 ปี เขตคลองสามวา กทม. พบว่า วันที่ 12 ธันวาคม มีประวัติไปรับซื้ออาหารทะเลที่ตลาดกลางกุ้งมาขายที่ตลาดนวลจันทร์ เวลา 16.00 - 20.00 น. โดยซื้อกุ้งกับผู้ป่วยหญิงอายุ 67 ปี วันที่ 14 ธันวาคม เริ่มมีอาการจาม น้ํามูก ไม่ได้ไปขายของที่ตลาด วันที่ 16-17 ธันวาคม มีน้ํามูก จมูกไม่ได้กลิ่น วันที่ 18 ธันวาคม ไปตรวจที่โรงพยาบาลสินแพทย์ ผลพบเชื้อ วันที่ 19 ธันวาคม เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวิภารามชัยปราการ คัดกรองผู้สัมผัสในครอบครัวพบ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย
สําหรับผู้ที่เคยไปยังพื้นที่ตลาดกลางกุ้ง ขอแนะนําให้มาพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อประเมินความเสี่ยง และรับคําแนะนํา จะกักตัวเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงคือ ถูกผู้ติดเชื้อไอจามรด พูดคุยกับผู้ติดเชื้อระยะห่างไม่เกิน 1 เมตรนานเกิน 5 นาที โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ไม่ใส่หน้ากาก หากไม่ได้เป็นสัมผัสเสี่ยงสูงจะแนะนําให้สังเกตอาการ หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ก็ให้มาตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนกรณีอาหารทะเลยืนยันว่ารับประทานได้ โดยเน้นสุกร้อน ส่วนที่ต่างประเทศเคยตรวจพบเชื้อโควิดในปลาแซลมอนหรืออาหารทะเลบางประเภท เป็นการพบสารพันธุกรรมในอาหาร แปลว่ามีการปนเปื้อน ไม่ได้แปลว่าเชื้อบนอาหารจะสามารถถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจะทําให้ติดเชื้อและถ่ายทอดเชื้อได้
นายแพทย์กิตติ กรรภิรมย์ สาธารณสุขนิเทศก์เขตสุขภาพที่ 5 กล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 5 ได้ตั้ง EOC ระดับเขตสุขภาพ และระดับจังหวัดทั้ง 8 จังหวัด และมีการระดมบุคลากรจาก 8 จังหวัดมาสนับสนุน จ.สมุทรสาครในการตรวจคัดกรองเชิงรุก ตั้งเป้าหมาย 10,000 ราย ใน 7 ชุมชนภายใน 3 วัน โดยมีรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน 7 คัน นอกจากนี้ ได้สํารองเตียงพร้อมรับผู้ป่วย 1,083 เตียง ระบบส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยมีกรมการแพทย์เป็นศูนย์บริหารจัดการเตียง ร่วมกับสํานักการแพทย์ กรุงเทพมหานครและเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(UHOSNET) ซึ่งพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการจะจํากัดพื้นที่ให้อยู่ในหอพัก พร้อมจัดหน่วยปฐมพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขดูแลใกล้ชิด ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม แจกหน้ากากอนามัย หากมีอาการป่วยจะส่งต่อรับการรักษาในโรงพยาบาลตามระบบ และมีสถานกักกันโรค (Local Quarantine) รับได้ 600 คน และประสานหน่วยงานอื่น ๆ เตรียมสถานที่เพิ่มมีหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ป้องกัน และยารักษาโรค พร้อมใช้ได้ 3- 4 เดือน
********************************* 20 ธันวาคม 2563
****************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37754
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนำอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว
|
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนําอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว
นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนําอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว
วันที่ 19 ธันวาคม 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบสถานการณ์ล่าสุดของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดสมุทรสาคร และได้ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร โรงพยาบาลสมุทรสาคร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เฝ้าระวัง สอบสวน และเร่งดําเนินการตรวจค้นหาผู้ป่วยในจังหวัดสมุทรสาครในเชิงรุกต่อไป เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และเพื่อให้การรักษาผู้ป่วยเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชน ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดสมุทรสาคร ให้ดําเนินการตามแนวทางที่ฝ่ายปกครองและฝ่ายจังหวัด ได้แนะนําอย่างเคร่งครัด
ส่วนประชาชนที่เคยเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นมา ขอให้เฝ้าระวัง สังเกตอาการตนเอง เป็นเวลา 14 วัน และให้สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น โดยไม่ควรไปในที่ชุมชน หากเริ่มมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ให้รีบไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ และขอให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขณะเดินทางตลอดเวลา
สําหรับประชาชนทั่วไป ให้ติดตามข้อมูลจาก ศบค. และใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงที่แออัด ล้างมือบ่อย ๆ สแกนไทยชนะเมื่อเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ ซึ่งจะเป็นมาตรการสําคัญในการป้องกันการแพ่รระบาดโรคในที่อื่น ๆ
ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุดทางด้านสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมั่นว่า จะสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ โดยความร่วมมือของประชาชน เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นการระบาดในพื้นที่จํากัด และไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
นายอนุชา กล่าวว่า หากประชาชนมีข้อสงสัย ให้ติดต่อสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 และติดต่อสอบถามได้เพิ่มเติมที่สายด่วนสมุทรสาคร หมายเลข 065-549-3322 และ 034-871-274 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนำอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนําอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว
นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามที่แนะนําอย่างเคร่งครัด พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้โดยเร็ว
วันที่ 19 ธันวาคม 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบสถานการณ์ล่าสุดของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดสมุทรสาคร และได้ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร โรงพยาบาลสมุทรสาคร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เฝ้าระวัง สอบสวน และเร่งดําเนินการตรวจค้นหาผู้ป่วยในจังหวัดสมุทรสาครในเชิงรุกต่อไป เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และเพื่อให้การรักษาผู้ป่วยเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ นายกฯ ขอความร่วมมือประชาชน ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดสมุทรสาคร ให้ดําเนินการตามแนวทางที่ฝ่ายปกครองและฝ่ายจังหวัด ได้แนะนําอย่างเคร่งครัด
ส่วนประชาชนที่เคยเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นมา ขอให้เฝ้าระวัง สังเกตอาการตนเอง เป็นเวลา 14 วัน และให้สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น โดยไม่ควรไปในที่ชุมชน หากเริ่มมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ให้รีบไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถสาธารณะ และขอให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขณะเดินทางตลอดเวลา
สําหรับประชาชนทั่วไป ให้ติดตามข้อมูลจาก ศบค. และใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงที่แออัด ล้างมือบ่อย ๆ สแกนไทยชนะเมื่อเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ ซึ่งจะเป็นมาตรการสําคัญในการป้องกันการแพ่รระบาดโรคในที่อื่น ๆ
ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุดทางด้านสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมั่นว่า จะสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ โดยความร่วมมือของประชาชน เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นการระบาดในพื้นที่จํากัด และไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
นายอนุชา กล่าวว่า หากประชาชนมีข้อสงสัย ให้ติดต่อสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 และติดต่อสอบถามได้เพิ่มเติมที่สายด่วนสมุทรสาคร หมายเลข 065-549-3322 และ 034-871-274 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37749
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ฯ กำชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด
|
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายก ฯ กําชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด
โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี กําชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด
วันนี้(วันที่20ธันวาคม2563)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19เพิ่มขึ้นในประเทศพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กําชับกระทรวงพาณิชย์ให้เข้มงวดเรื่องการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยโดยประชาชนควรหาซื้อได้ง่ายในราคาที่ไม่แพง
ทั้งนี้ได้ให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคารวมทั้งดูแลเรื่องการกระจายหน้ากากอนามัยให้ทั่วถึงและให้ใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนและลงโทษคนที่ทําผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามนายกฯขอให้ประชาชนปฎิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขโดยให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ป่วยสามารถสวมใส่หน้ากากผ้าได้เพียงแต่ใช้แล้ว1วันต้องซักจึงควรมีหน้ากากผ้าสลับสับเปลี่ยนและสิ่งที่สําคัญสําหรับคนไม่ป่วยคือการล้างมือบ่อยๆเพราะเชื้อจะติดได้นั้นหลักๆคือการสัมผัสดังนั้นการล้างมือจะช่วยได้ไม่ว่าจะล้างมือด้วยน้ําและสบู่หรือล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลและข้อสําคัญสุดท้ายคือการรักษาระยะห่างหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ฯ กำชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายก ฯ กําชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด
โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี กําชับกระทรวงพาณิชย์ ดูแลราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้แพง และไม่ให้ขาดตลาด
วันนี้(วันที่20ธันวาคม2563)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19เพิ่มขึ้นในประเทศพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กําชับกระทรวงพาณิชย์ให้เข้มงวดเรื่องการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยโดยประชาชนควรหาซื้อได้ง่ายในราคาที่ไม่แพง
ทั้งนี้ได้ให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคารวมทั้งดูแลเรื่องการกระจายหน้ากากอนามัยให้ทั่วถึงและให้ใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนและลงโทษคนที่ทําผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามนายกฯขอให้ประชาชนปฎิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขโดยให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ป่วยสามารถสวมใส่หน้ากากผ้าได้เพียงแต่ใช้แล้ว1วันต้องซักจึงควรมีหน้ากากผ้าสลับสับเปลี่ยนและสิ่งที่สําคัญสําหรับคนไม่ป่วยคือการล้างมือบ่อยๆเพราะเชื้อจะติดได้นั้นหลักๆคือการสัมผัสดังนั้นการล้างมือจะช่วยได้ไม่ว่าจะล้างมือด้วยน้ําและสบู่หรือล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลและข้อสําคัญสุดท้ายคือการรักษาระยะห่างหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37753
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ
|
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายกฯสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ
รองโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ
วันนี้(20ธ.ค.63)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(18ธ.ค)ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มีการติดตามความก้าวหน้าแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซีโดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าให้การพัฒนาในพื้นที่ตรงนี้เป็นต้นแบบการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศการดําเนินการยึดกรอบแนวคิดการตลาดนําการผลิตเน้นการใช้เทคโนโลยีการเกษตรแก้ปัญหารากเหง้าของภาคเกษตรกรรมการกําหนดพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมพร้อมปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมกับคุณภาพดินและปริมาณน้ําประกอบด้วย5กลุ่มสินค้าเป้าหมายคือ1)ผลไม้พัฒนาคุณภาพสินค้าสู่ตลาดสินค้ามูลค่าสูง2)ประมงเพาะเลี้ยงเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานด้วยเทคโนโลยีการผลิต3)พืชสําหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ4)เพิ่มมูลค่าพืชสมุนไพร5)ปรับเปลี่ยนผลผลิตสินค้าเกษตรราคาต่ําไปสู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูงเช่นปศุสัตว์พืชผักผลไม้เมืองหนาวดอกไม้ทดแทนกันนําเข้าและเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมโครงการตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาการเกษตรในอีอีซีให้พร้อมเพื่อเริ่มดําเนินการตามเป้าหมายซึ่งในแผนฯระยะ5ปี(2565-2570)ประกอบด้วยโครงการทั้งหมด91โครงการวงเงินรวม3.2พันล้านบาทและในปีงบประมาณ2565จะเริ่มดําเนินการ56โครงการอาทิโครงการแผนที่การเกษตร(Agri-Map)โครงการพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรโครงการเพิ่มผลิตภาพการผลิตอ้อยโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออกโครงการต้นแบบการสร้างนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ:มะม่วงข้าวสมุนไพรและสัตว์น้ําโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และการตลาดอาหารทะเลเขตอีอีซี
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่านายกฯต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านการเกษตรในพื้นที่อีอีซีอย่างเป็นรูปธรรมโครงการต่างๆที่รัฐบาลตั้งเป้าดําเนินการในปีงบประมาณหน้าจะแก้ปัญหาสําคัญของภาคการเกษตรคือการผลิตโดยไม่ได้คํานึงถึงความต้องการที่แท้จริงของตลาดการผลิตที่ใช้ทรัพยากรมากแต่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างน้อยและการแปรรูปที่ไม่ได้เพิ่มมูลค่ามากนักอีกทั้งผลลัพธ์ของโครงการเหล่านั้นจะนําไปสู่การเพิ่มรายได้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตมวลรวมภาคการเกษตรซึ่งปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ2.3ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งหมดในพื้นที่อีอีซีเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรถึง5.51ล้านไร่หรือร้อยละ66ของพื้นที่ทั้งหมดในอีอีซี
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
นายกฯสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ
รองโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีสั่งเดินหน้าแผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี ปั้นเป็นต้นแบบ เพิ่มจีดีพีท้องถิ่น เริ่มปีหน้า 56โครงการ
วันนี้(20ธ.ค.63)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(18ธ.ค)ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มีการติดตามความก้าวหน้าแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่อีอีซีโดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าให้การพัฒนาในพื้นที่ตรงนี้เป็นต้นแบบการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศการดําเนินการยึดกรอบแนวคิดการตลาดนําการผลิตเน้นการใช้เทคโนโลยีการเกษตรแก้ปัญหารากเหง้าของภาคเกษตรกรรมการกําหนดพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมพร้อมปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมกับคุณภาพดินและปริมาณน้ําประกอบด้วย5กลุ่มสินค้าเป้าหมายคือ1)ผลไม้พัฒนาคุณภาพสินค้าสู่ตลาดสินค้ามูลค่าสูง2)ประมงเพาะเลี้ยงเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานด้วยเทคโนโลยีการผลิต3)พืชสําหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ4)เพิ่มมูลค่าพืชสมุนไพร5)ปรับเปลี่ยนผลผลิตสินค้าเกษตรราคาต่ําไปสู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูงเช่นปศุสัตว์พืชผักผลไม้เมืองหนาวดอกไม้ทดแทนกันนําเข้าและเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมโครงการตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาการเกษตรในอีอีซีให้พร้อมเพื่อเริ่มดําเนินการตามเป้าหมายซึ่งในแผนฯระยะ5ปี(2565-2570)ประกอบด้วยโครงการทั้งหมด91โครงการวงเงินรวม3.2พันล้านบาทและในปีงบประมาณ2565จะเริ่มดําเนินการ56โครงการอาทิโครงการแผนที่การเกษตร(Agri-Map)โครงการพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรโครงการเพิ่มผลิตภาพการผลิตอ้อยโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออกโครงการต้นแบบการสร้างนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ:มะม่วงข้าวสมุนไพรและสัตว์น้ําโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และการตลาดอาหารทะเลเขตอีอีซี
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่านายกฯต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านการเกษตรในพื้นที่อีอีซีอย่างเป็นรูปธรรมโครงการต่างๆที่รัฐบาลตั้งเป้าดําเนินการในปีงบประมาณหน้าจะแก้ปัญหาสําคัญของภาคการเกษตรคือการผลิตโดยไม่ได้คํานึงถึงความต้องการที่แท้จริงของตลาดการผลิตที่ใช้ทรัพยากรมากแต่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างน้อยและการแปรรูปที่ไม่ได้เพิ่มมูลค่ามากนักอีกทั้งผลลัพธ์ของโครงการเหล่านั้นจะนําไปสู่การเพิ่มรายได้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตมวลรวมภาคการเกษตรซึ่งปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ2.3ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งหมดในพื้นที่อีอีซีเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรถึง5.51ล้านไร่หรือร้อยละ66ของพื้นที่ทั้งหมดในอีอีซี
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37750
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ย้ำ นำนโยบายรวมไทยสร้างชาติลงสู่ปฏิบัติ สร้างแรงงานสมานฉันท์ปรองดอง
|
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ย้ํา นํานโยบายรวมไทยสร้างชาติลงสู่ปฏิบัติ สร้างแรงงานสมานฉันท์ปรองดอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ํา บนเวทีประชุมใหญ่สามัญประจําปีของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย จ.ฉะเชิงเทรา นํานโยบาย “รวมไทย สร้างชาติ” ผนึกกําลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันวางแผน สร้างความเข้มแข็งให้สถานประกอบกิจการ
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจําปี ของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย (TEAM) ณ ศูนย์ฝึกอบรมเพื่อคนทํางาน ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 111/4 หมู่ 1 ซอยวัดบางเกลือ ต.บางเกลือ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ผมขอชื่นชมความสําเร็จของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย ที่มาจากการรวมกันของพี่น้องผู้ใช้แรงงานของ 3 สหพันธ์ คือ 1) สหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย 2) สหพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์แห่งประเทศไทย และ 3) สมาพันธ์แรงงานโลหะแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกรวมกันมากถึง 75,000 คน แสดงถึงความเข้มแข็งขององค์กรที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
นายสุชาติกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และให้ความสําคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โรคโควิด -19 คลี่คลายลง โดยนํานโยบาย รวมไทยสร้างชาติ เข้ามาดําเนินการโดยกระทรวงแรงงานได้เร่งนํานโยบายที่สําคัญลงสู่ภาคปฏิบัติ ภายใต้ศูนย์อํานวยการแรงงานแห่งชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อน โดยเฉพาะด้านการเยียวยาสถานประกอบการ ผู้ใช้แรงงาน รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้จัดงาน Job Expo โครงการ Co – Payment ส่งเสริมการไปทํางานต่างประเทศ ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านประกันสังคมในหลายด้าน การพัฒนาทักษะฝีมือ การเร่งรัดพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมายแรงงาน ตลอดจนการสร้างความเข้มแข็งในสถานประกอบการต่างๆ ให้สามารถเผชิญวิกฤติฟันฝ่าอุปสรรคให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ย้ำ นำนโยบายรวมไทยสร้างชาติลงสู่ปฏิบัติ สร้างแรงงานสมานฉันท์ปรองดอง
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ย้ํา นํานโยบายรวมไทยสร้างชาติลงสู่ปฏิบัติ สร้างแรงงานสมานฉันท์ปรองดอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ํา บนเวทีประชุมใหญ่สามัญประจําปีของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย จ.ฉะเชิงเทรา นํานโยบาย “รวมไทย สร้างชาติ” ผนึกกําลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันวางแผน สร้างความเข้มแข็งให้สถานประกอบกิจการ
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจําปี ของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย (TEAM) ณ ศูนย์ฝึกอบรมเพื่อคนทํางาน ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 111/4 หมู่ 1 ซอยวัดบางเกลือ ต.บางเกลือ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ผมขอชื่นชมความสําเร็จของสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย ที่มาจากการรวมกันของพี่น้องผู้ใช้แรงงานของ 3 สหพันธ์ คือ 1) สหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย 2) สหพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์แห่งประเทศไทย และ 3) สมาพันธ์แรงงานโลหะแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกรวมกันมากถึง 75,000 คน แสดงถึงความเข้มแข็งขององค์กรที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
นายสุชาติกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และให้ความสําคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โรคโควิด -19 คลี่คลายลง โดยนํานโยบาย รวมไทยสร้างชาติ เข้ามาดําเนินการโดยกระทรวงแรงงานได้เร่งนํานโยบายที่สําคัญลงสู่ภาคปฏิบัติ ภายใต้ศูนย์อํานวยการแรงงานแห่งชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อน โดยเฉพาะด้านการเยียวยาสถานประกอบการ ผู้ใช้แรงงาน รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้จัดงาน Job Expo โครงการ Co – Payment ส่งเสริมการไปทํางานต่างประเทศ ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านประกันสังคมในหลายด้าน การพัฒนาทักษะฝีมือ การเร่งรัดพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมายแรงงาน ตลอดจนการสร้างความเข้มแข็งในสถานประกอบการต่างๆ ให้สามารถเผชิญวิกฤติฟันฝ่าอุปสรรคให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37751
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รัฐมนตรีสุชาติ’ เรียกประชุมด่วน สั่ง 5 เสือในสังกัด ควบคุมโควิดระบาดในกลุ่มแรงงาน
|
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
‘รัฐมนตรีสุชาติ’ เรียกประชุมด่วน สั่ง 5 เสือในสังกัด ควบคุมโควิดระบาดในกลุ่มแรงงาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมอธิบดีทุกกรม และผู้ที่เกี่ยวข้องกําชับหน่วยงานในสังกัดทุกพื้นที่บูรณาการทํางานควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน แจ้งนายจ้างในสถานประกอบการกําชับลูกจ้างปฏิ
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวถึงกรณีการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครว่า ผมได้ติดตามสถานการณ์และมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปต่อการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาล ภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกํากับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่มได้มีการสั่งการและดําเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมได้สั่งการให้กรมการจัดหางานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่เข้าไปชี้แจงทําความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 นอกจากนี้ ยังได้มีการประชุมและประสานข้อมูลรายงานกับศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 (ศบค.) อย่างใกล้ชิด ในส่วนของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้างเป็นจํานวนมาก ซึ่งสถานประกอบการแต่ละแห่งก็ได้มีมาตรการป้องกันโควิด – 19 ที่เข้มงวดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามในวันนี้ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อธิบดีทุกกรม และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อกําชับให้หน่วยงานในสังกัดทุกพื้นที่บูรณาการร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด รวมทั้งประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ไปยังหัวหน้าส่วนในสังกัดจังหวัดสมุทรสาครเพื่อติดตามสถานการณ์ โดยได้กําชับให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานทุกพื้นที่ชี้แจงทําความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการเพื่อให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 รวมทั้งให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทั้งในกลุ่มแรงงานไทย แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ รวมทั้งการออกประกาศห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณีและจัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค เช่น การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น
นายสุชาติยังกล่าวอีกว่า กระทรวงแรงงาน ยังได้ประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย เครือข่ายภาคเอกชน และ NGOs เพื่อให้ทางการเมียนมาออกสื่อประชาสัมพันธ์เป็นภาษาเมียนมาเพื่อให้ลูกจ้างเมียนมาที่มาทํางานในประเทศไทยรับทราบและปฏิบัติตัวในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 โดยรณรงค์ให้แรงงานต่างด้าวและสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวตระหนักถึงมาตรการป้องกันและควบคุมโรค โดยประชาสัมพันธ์ในภาษาของแรงงานต่างด้าวตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม ล้างมือบ่อย ๆ หรือทําความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร เป็นต้น รวมทั้งการระงับการให้บริการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมนี้ไปจนถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 ทั้งนี้ จังหวัดสมุทรสาครมีแรงงานต่างด้าว จํานวน 275,782 คน (ข้อมูล 15 ธ.ค.63) เมียนมา 243,617 คน ลาว 13,200 คน กัมพูชา 9,648 คน และสัญชาติอื่นๆ 9,317 คน โดยส่วนใหญ่ทํางานในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
นายสุชาติยังกล่าวถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวกระทรวงแรงงาน ด้านป้องกัน ได้แก่ 1) การชะลอการอนุมัตินําเข้แรงงานต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ 2) การผ่อนปรนให้แรงานต่างด้าว MOU ที่ใบอนุญาตจะครบตั้งแต่พฤศจิกายน 2563 – ธันวาคม 2564 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทํางานได้ต่อไปอีก 2 ปี 3) ตรวจสอบคัดกรองและเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าว ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมง (PIPO) 4) ขอความร่วมมือสถานประกอบการทั่วประเทศ ประขาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ลูกจ้าและผู้ประกันตนในสถานประกอบการ เรื่องไวรัสโควิด-19 และการปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข 5) แจ้งมาตรการให้นายจ้างในสถานประกอบการการคัดกรองลูกจ้างแรงานต่างด้าวและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-196) ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวโดยร่วมมือกับสภากาชาดไทย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโดยจัดทําเอกสารเผแพร่เป็นภาษาของแรงงานต่างด้าว สร้างความเข้าใจเรื่องมาตรการเยียวยาผลกระทบ มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ มีกระบวนการคัดกรองและการกักตัว 14 วัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด 7) รวบรวมรายชื่อสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวหรือสถานที่ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและจํานวนแรงงานต่างด้าวทุกจังหวัดทั่วประเทศ และแจ้งข้อมูลให้ ศบค.ทราบเพื่อใช้ในการวางแผนตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการป้องกันเชิงรุกร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานต่างด้าว (อสต.) ด้านเยียวยา ได้แก่ การให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 ภายหลังสถานการณ์ผ่อนคลาย ได้แก่ 1) ส่งเสริมการจ้างานคนไทยให้เข้าสู่ระบบการจ้างงาน 2) จัดทําข้อมูลความจําเป็นในการใช้แรงงานต่างด้าวในประเทศ และ 3) การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รัฐมนตรีสุชาติ’ เรียกประชุมด่วน สั่ง 5 เสือในสังกัด ควบคุมโควิดระบาดในกลุ่มแรงงาน
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563
‘รัฐมนตรีสุชาติ’ เรียกประชุมด่วน สั่ง 5 เสือในสังกัด ควบคุมโควิดระบาดในกลุ่มแรงงาน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมอธิบดีทุกกรม และผู้ที่เกี่ยวข้องกําชับหน่วยงานในสังกัดทุกพื้นที่บูรณาการทํางานควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน แจ้งนายจ้างในสถานประกอบการกําชับลูกจ้างปฏิ
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวถึงกรณีการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครว่า ผมได้ติดตามสถานการณ์และมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปต่อการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาล ภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกํากับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่มได้มีการสั่งการและดําเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมได้สั่งการให้กรมการจัดหางานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่เข้าไปชี้แจงทําความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 นอกจากนี้ ยังได้มีการประชุมและประสานข้อมูลรายงานกับศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 (ศบค.) อย่างใกล้ชิด ในส่วนของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้างเป็นจํานวนมาก ซึ่งสถานประกอบการแต่ละแห่งก็ได้มีมาตรการป้องกันโควิด – 19 ที่เข้มงวดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามในวันนี้ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อธิบดีทุกกรม และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อกําชับให้หน่วยงานในสังกัดทุกพื้นที่บูรณาการร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด รวมทั้งประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ไปยังหัวหน้าส่วนในสังกัดจังหวัดสมุทรสาครเพื่อติดตามสถานการณ์ โดยได้กําชับให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานทุกพื้นที่ชี้แจงทําความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการเพื่อให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 รวมทั้งให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทั้งในกลุ่มแรงงานไทย แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ รวมทั้งการออกประกาศห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณีและจัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค เช่น การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น
นายสุชาติยังกล่าวอีกว่า กระทรวงแรงงาน ยังได้ประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย เครือข่ายภาคเอกชน และ NGOs เพื่อให้ทางการเมียนมาออกสื่อประชาสัมพันธ์เป็นภาษาเมียนมาเพื่อให้ลูกจ้างเมียนมาที่มาทํางานในประเทศไทยรับทราบและปฏิบัติตัวในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 โดยรณรงค์ให้แรงงานต่างด้าวและสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวตระหนักถึงมาตรการป้องกันและควบคุมโรค โดยประชาสัมพันธ์ในภาษาของแรงงานต่างด้าวตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม ล้างมือบ่อย ๆ หรือทําความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร เป็นต้น รวมทั้งการระงับการให้บริการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมนี้ไปจนถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 ทั้งนี้ จังหวัดสมุทรสาครมีแรงงานต่างด้าว จํานวน 275,782 คน (ข้อมูล 15 ธ.ค.63) เมียนมา 243,617 คน ลาว 13,200 คน กัมพูชา 9,648 คน และสัญชาติอื่นๆ 9,317 คน โดยส่วนใหญ่ทํางานในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
นายสุชาติยังกล่าวถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวกระทรวงแรงงาน ด้านป้องกัน ได้แก่ 1) การชะลอการอนุมัตินําเข้แรงงานต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ 2) การผ่อนปรนให้แรงานต่างด้าว MOU ที่ใบอนุญาตจะครบตั้งแต่พฤศจิกายน 2563 – ธันวาคม 2564 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทํางานได้ต่อไปอีก 2 ปี 3) ตรวจสอบคัดกรองและเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าว ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมง (PIPO) 4) ขอความร่วมมือสถานประกอบการทั่วประเทศ ประขาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ลูกจ้าและผู้ประกันตนในสถานประกอบการ เรื่องไวรัสโควิด-19 และการปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข 5) แจ้งมาตรการให้นายจ้างในสถานประกอบการการคัดกรองลูกจ้างแรงานต่างด้าวและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-196) ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวโดยร่วมมือกับสภากาชาดไทย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโดยจัดทําเอกสารเผแพร่เป็นภาษาของแรงงานต่างด้าว สร้างความเข้าใจเรื่องมาตรการเยียวยาผลกระทบ มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ มีกระบวนการคัดกรองและการกักตัว 14 วัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด 7) รวบรวมรายชื่อสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวหรือสถานที่ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและจํานวนแรงงานต่างด้าวทุกจังหวัดทั่วประเทศ และแจ้งข้อมูลให้ ศบค.ทราบเพื่อใช้ในการวางแผนตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการป้องกันเชิงรุกร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานต่างด้าว (อสต.) ด้านเยียวยา ได้แก่ การให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 ภายหลังสถานการณ์ผ่อนคลาย ได้แก่ 1) ส่งเสริมการจ้างานคนไทยให้เข้าสู่ระบบการจ้างงาน 2) จัดทําข้อมูลความจําเป็นในการใช้แรงงานต่างด้าวในประเทศ และ 3) การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37752
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันทุกจังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 จากท่าขี้เหล็ก อยู่ภายใต้การควบคุม เดินทางท่องเที่ยวได้
|
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
สธ.ยันทุกจังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 จากท่าขี้เหล็ก อยู่ภายใต้การควบคุม เดินทางท่องเที่ยวได้
กระทรวงสาธารณสุข เผยวันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม 14 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานในสถานกักกันที่รัฐกําหนด และเป็นผู้ที่มาจากต่างประเทศ 13 ราย ในจํานวนนี้ลักลอบมาจากเมียนมา 3 ราย จาก จ.ท่าขี้เหล็ก และเมียวดี
ยันทุกจังหวัดที่พบผู้ป่วยติดเชื้อมาจากท่าขี้เหล็ก ยังควบคุมสถานการณ์ได้ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้
วันนี้ (6 ธันวาคม 2563) ที่ ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด 19 (ศบค.) พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการสอบสวนโรคผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา
นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกกําลังเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง โดย 2 วันจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1 ล้านคน ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสม 66,847,041 ราย เสียชีวิต 1,534,344 ราย ประเทศที่มีการติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศส ส่วนประเทศเมียนมาและมาเลเซียยังมีการติดเชื้อสูง ต้องเฝ้าระวังการเดินทางอย่างเข้มข้น สําหรับประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ จํานวน 14 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย คือ หญิงไทยอายุ 26 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานกักกันโรคที่รัฐกําหนด (ASQ) เป็นผู้ที่มาจากต่างประเทศ 13 ราย เข้าสู่ระบบการกักกันตามปกติ จํานวน 10 ราย จากเบลเยียม ยูเครน ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอเมริกา กาตาร์ สวีเดน ญี่ปุ่น เมียนมา และสหราชอาณาจักร และข้ามพรมแดนธรรมชาติมาจากเมียนมา จํานวน 3 ราย คือ 1. ชายไทยอายุ 70 ปี เข้ารักษาตัวโรงพยาบาลแม่สอด 2. หญิงไทยอายุ 26 ปี อาชีพพนักงานสถานบันเทิง เข้ารักษาตัวโรงพยาบาลนครพิงค์ และ 3.หญิงไทยอายุ 26 ปี เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน
"แม้การพบผู้ติดเชื้อจะสามารถติดตามควบคุมสอบสวนโรคได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องไม่ประมาท การ์ดอย่าตก ขอให้ยึดหลักการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ทําความสะอาดสถานที่ และสแกนไทยชนะ รวมถึงขอให้คนที่จะเดินทางกลับเข้าประเทศกลับมาตามระบบ หรือผู้ที่เข้ามาแล้วขอให้มาแสดงตัวเพื่อรับการตรวจหาเชื้อและดูแลตามระบบ จะทําให้สถานการณ์ในช่วงปลายปีและปีใหม่ที่เป็นบรรยากาศของการท่องเที่ยวในประเทศเดินหน้าต่อไปได้ สําหรับกรณีข่าวปลอมต่างๆ เช่น 10 จังหวัดที่ห้ามเดินทาง ขออย่าเชื่อถือและให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเท่านั้น" นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าว
ด้าน นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ของไทยช่วงนี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การติดเชื้อทั่วโลก ที่มีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ทําให้ผู้เดินทางเข้ามามีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่การมีระบบกักกันโรคที่ดีจะช่วยป้องกันควบคุมการแพร่เชื้อได้ ส่วนผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ทําให้มีการติดเชื้อภายในประเทศเพิ่ม 2 ราย ถือว่ายังไม่มาก แต่การสอบสวนโรคทําให้ได้ข้อมูลว่าผู้ป่วยเดินทางไปจุดไหน เวลาใด สัมผัสกับใคร ที่เรียกว่าไทม์ไลน์ มีประโยชน์อย่างมาก ทําให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในจุดนั้นๆเข้ามารับคําแนะนําการปฏิบัติตัว การตรวจหาเชื้อ ช่วยให้การควบคุมโรคง่ายขึ้น โดยเฉพาะการดําเนินการอย่างเข้มแข็งของแต่ละจังหวัด คือ พบผู้ติดเชื้อนําเข้าสู่การรักษา ผู้สัมผัสทุกคนได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติ และมีการกํากับมาตรการการดําเนินงานในสถานพยาบาล สถานที่ต่างๆ และยานพาหนะ ตามมาตรการป้องกันโรค โดยกรมควบคุมโรคจะประเมินสถานการณ์ร่วมกับทางจังหวัด
"กรณีของผู้ป่วยที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ขณะนี้ทุกจังหวัดอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ เช่นที่เชียงใหม่มีผู้ป่วย 5 ราย ไม่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก ประชาชนร่วมมือดี มีความปลอดภัย หากไปเที่ยวสามารถไปได้ พะเยา พิจิตร ราชบุรี สิงห์บุรี มีผู้ป่วยจังหวัดละราย ตรวจผู้สัมผัสได้ครบ ไม่พบการติดเชื้อ ส่วนเชียงรายพบผู้ป่วย 11 ราย เนื่องจากอยู่ฝั่งตรงข้ามของท่าขี้เหล็ก ฝ่ายความมั่นคงพยายามควบคุมผู้ลักลอบเข้ามาอย่างเข้มแข็ง ระยะหลังเป็นผู้ป่วยที่ตรวจพบในสถานกักกันโรค แปลว่าดําเนินการได้ดี ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้นตามลําดับ เพราะฉะนั้น ประชาชนไม่ต้องกังวล สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ ปัญหาการแพร่ระบาดโรคเป็นไปได้น้อย" นายแพทย์โอภาสกล่าว
ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา มีจํานวน 23 ราย ได้แก่ เชียงใหม่ 5 ราย, เชียงราย 11 ราย, กทม. 3 ราย, ราชบุรี พิจิตร สิงห์บุรี และพะเยาจังหวัดละ 1 ราย ส่วนความก้าวหน้าการสอบสวนโรคล่าสุดของผู้ป่วยโควิด 19 เพศชายอายุ 30 ปี และเพศหญิงอายุ 26 ปี ที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน พบว่าเป็นเพื่อนกัน วันที่ 6-27 พฤศจิกายน ไปสถานบันเทิง จ.ท่าขี้เหล็ก ผู้หญิงเดินทางกลับกทม. วันที่29 พฤศจิกายน ด้วยสายการบิน Thai Smile WE137 เวลา 20.40 น.ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ วันที่ 5 ธันวาคมไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนและพบเชื้อ ส่วนผู้ชายเริ่มมีไข้ต่ําๆ ก่อนเดินทางกลับ กทม. วันที่ 30 พฤศจิกายน ด้วยสายการบิน Thai Lion Air SL545 เวลา 19.15 น. วันที่ 4 ธันวาคมมารับการตรวจที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนและพบเชื้อ ทั้งสองรายอยู่ในการดูแลของแพทย์ อยู่ระหว่างติดตามข้อมูลผู้สัมผัส เบื้องต้นมีสัมผัส 15 ราย สัมผัสเสี่ยงสูงไม่น้อยกว่า 5 ราย คือ เพื่อนใน อ.แม่สาย 2 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ 1 ราย กําลังติดตาม 1 ราย ผู้สัมผัสในครัวเรือนที่ปทุมธานี 1 ราย แท็กซี่ 1 รายและผู้ร่วมเที่ยวบิน2 เที่ยวบิน สัมผัสเสี่ยงต่ําไม่ต่ํากว่า 10 ราย
ส่วนกรณีการติดเชื้อในประเทศ 2 ราย รายที่1.ผู้ป่วยหญิงอายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี มีผู้สัมผัสรวม 227 ราย ขณะนี้ยังไม่พบผู้ใดติดเชื้อ การสอบสวนจากผังที่นั่งของเที่ยวบิน DD8717 วันที่ 28 พฤศจิกายน เวลา13.40 น.ผู้ป่วยเดินทางเที่ยวบินเดียวกันกับผู้ป่วยราย กทม.อายุ 21 ปี และพิจิตร อายุ 25 ปี โดยรายกรุงเทพฯ และพิจิตรนั่งอยู่อยู่ที่ 44J และ 44K ส่วนรายสิงห์บุรีนั่งอยู่ที่ 52C ห่างกัน 8 แถวและไม่รู้จักกัน สวมหน้ากากบนเครื่องบินตลอด จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดสนามบินแม่ฟ้าหลวง พบว่าผู้ป่วยรายสิงห์บุรีอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับผู้ป่วยรายพิจิตร คาดว่าอาจมีช่วงเวลาหนึ่งที่ไปห้องน้ําในเวลาใกล้เคียงกัน แต่ต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบว่า จุดที่มีความเสี่ยงสูงสุดอยู่บริเวณใด ซึ่งทั้งเครื่องบินและสนามบินได้มีการปรับมาตรการแล้ว โดยบนเครื่องบินได้งดการเสิร์ฟอาหารและน้ําในเที่ยวบินที่เดินทางจากเชียงราย สนามบินทําความสะอาดห้องน้ําที่ถี่ขึ้นและจัดระเบียบการพักรอขึ้นเครื่อง ดังนั้น ผู้โดยสารเที่ยวบินดังกล่าวขอให้รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ หากมีอาการป่วยโทรแจ้งทันที2.ชายไทยอายุ 28 ปี จ.เชียงราย ที่ได้ไปงานฟาร์ม เฟสติวัล สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และกรมควบคุมโรคได้ดําเนินการตรวจหาเชื้อในผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงและผู้ที่ไปเที่ยวในงานดังกล่าวในช่วง 2 วันที่ผ่านมา จํานวนประมาณ 2 พันคน ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม
สําหรับการติดเชื้อจากประเทศเมียนมาที่ไม่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก จํานวน 2 ราย พบว่าลักลอบเข้ามาจาก จ.เมียวดี มาทางอ.แม่สอด จ.ตาก รายแรกเป็นชายชาวเมียนมาอายุ 43 ปี อาชีพนักธุรกิจ คาดว่าข้ามพรมแดนมาไทยวันที่ 30 พฤศจิกายน วันที่ 3 ธันวาคม ขอรับการตรวจเชื้อที่โรงพยาบาลแม่สอดเพื่อเป็นเอกสารการเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ วันที่ 4 ธันวาคม ตรวจพบการติดเชื้อ ไม่มีอาการป่วย มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 13 ราย ระบุตัวได้ กําลังเฝ้าระวังกักกัน และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา 14 ราย อีกรายเป็นชายเมียนมาอายุ 70 ปี เข้ามาวันที่ 29 พฤศจิกายน ทางช่องทางธรรมชาติ เริ่มมีอาการป่วย วันที่ 4 ธันวาคม มีอาการเหนื่อยมากขึ้น จึงเรียกรถโรงพยาบาลเอกชนมารับ ระหว่างทางอาการไม่ดีขึ้น นําส่งโรงพยาบาลแม่สอด แพทย์ให้การรักษาส่งตรวจพบเชื้อ มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 13 ราย
************************************** 6 ธันวาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันทุกจังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 จากท่าขี้เหล็ก อยู่ภายใต้การควบคุม เดินทางท่องเที่ยวได้
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
สธ.ยันทุกจังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 จากท่าขี้เหล็ก อยู่ภายใต้การควบคุม เดินทางท่องเที่ยวได้
กระทรวงสาธารณสุข เผยวันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม 14 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานในสถานกักกันที่รัฐกําหนด และเป็นผู้ที่มาจากต่างประเทศ 13 ราย ในจํานวนนี้ลักลอบมาจากเมียนมา 3 ราย จาก จ.ท่าขี้เหล็ก และเมียวดี
ยันทุกจังหวัดที่พบผู้ป่วยติดเชื้อมาจากท่าขี้เหล็ก ยังควบคุมสถานการณ์ได้ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้
วันนี้ (6 ธันวาคม 2563) ที่ ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด 19 (ศบค.) พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการสอบสวนโรคผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา
นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกกําลังเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง โดย 2 วันจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1 ล้านคน ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสม 66,847,041 ราย เสียชีวิต 1,534,344 ราย ประเทศที่มีการติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศส ส่วนประเทศเมียนมาและมาเลเซียยังมีการติดเชื้อสูง ต้องเฝ้าระวังการเดินทางอย่างเข้มข้น สําหรับประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ จํานวน 14 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย คือ หญิงไทยอายุ 26 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานกักกันโรคที่รัฐกําหนด (ASQ) เป็นผู้ที่มาจากต่างประเทศ 13 ราย เข้าสู่ระบบการกักกันตามปกติ จํานวน 10 ราย จากเบลเยียม ยูเครน ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอเมริกา กาตาร์ สวีเดน ญี่ปุ่น เมียนมา และสหราชอาณาจักร และข้ามพรมแดนธรรมชาติมาจากเมียนมา จํานวน 3 ราย คือ 1. ชายไทยอายุ 70 ปี เข้ารักษาตัวโรงพยาบาลแม่สอด 2. หญิงไทยอายุ 26 ปี อาชีพพนักงานสถานบันเทิง เข้ารักษาตัวโรงพยาบาลนครพิงค์ และ 3.หญิงไทยอายุ 26 ปี เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน
"แม้การพบผู้ติดเชื้อจะสามารถติดตามควบคุมสอบสวนโรคได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังต้องไม่ประมาท การ์ดอย่าตก ขอให้ยึดหลักการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ทําความสะอาดสถานที่ และสแกนไทยชนะ รวมถึงขอให้คนที่จะเดินทางกลับเข้าประเทศกลับมาตามระบบ หรือผู้ที่เข้ามาแล้วขอให้มาแสดงตัวเพื่อรับการตรวจหาเชื้อและดูแลตามระบบ จะทําให้สถานการณ์ในช่วงปลายปีและปีใหม่ที่เป็นบรรยากาศของการท่องเที่ยวในประเทศเดินหน้าต่อไปได้ สําหรับกรณีข่าวปลอมต่างๆ เช่น 10 จังหวัดที่ห้ามเดินทาง ขออย่าเชื่อถือและให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเท่านั้น" นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าว
ด้าน นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ของไทยช่วงนี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การติดเชื้อทั่วโลก ที่มีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ทําให้ผู้เดินทางเข้ามามีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่การมีระบบกักกันโรคที่ดีจะช่วยป้องกันควบคุมการแพร่เชื้อได้ ส่วนผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ทําให้มีการติดเชื้อภายในประเทศเพิ่ม 2 ราย ถือว่ายังไม่มาก แต่การสอบสวนโรคทําให้ได้ข้อมูลว่าผู้ป่วยเดินทางไปจุดไหน เวลาใด สัมผัสกับใคร ที่เรียกว่าไทม์ไลน์ มีประโยชน์อย่างมาก ทําให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในจุดนั้นๆเข้ามารับคําแนะนําการปฏิบัติตัว การตรวจหาเชื้อ ช่วยให้การควบคุมโรคง่ายขึ้น โดยเฉพาะการดําเนินการอย่างเข้มแข็งของแต่ละจังหวัด คือ พบผู้ติดเชื้อนําเข้าสู่การรักษา ผู้สัมผัสทุกคนได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติ และมีการกํากับมาตรการการดําเนินงานในสถานพยาบาล สถานที่ต่างๆ และยานพาหนะ ตามมาตรการป้องกันโรค โดยกรมควบคุมโรคจะประเมินสถานการณ์ร่วมกับทางจังหวัด
"กรณีของผู้ป่วยที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ขณะนี้ทุกจังหวัดอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ เช่นที่เชียงใหม่มีผู้ป่วย 5 ราย ไม่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก ประชาชนร่วมมือดี มีความปลอดภัย หากไปเที่ยวสามารถไปได้ พะเยา พิจิตร ราชบุรี สิงห์บุรี มีผู้ป่วยจังหวัดละราย ตรวจผู้สัมผัสได้ครบ ไม่พบการติดเชื้อ ส่วนเชียงรายพบผู้ป่วย 11 ราย เนื่องจากอยู่ฝั่งตรงข้ามของท่าขี้เหล็ก ฝ่ายความมั่นคงพยายามควบคุมผู้ลักลอบเข้ามาอย่างเข้มแข็ง ระยะหลังเป็นผู้ป่วยที่ตรวจพบในสถานกักกันโรค แปลว่าดําเนินการได้ดี ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้นตามลําดับ เพราะฉะนั้น ประชาชนไม่ต้องกังวล สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ ปัญหาการแพร่ระบาดโรคเป็นไปได้น้อย" นายแพทย์โอภาสกล่าว
ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา มีจํานวน 23 ราย ได้แก่ เชียงใหม่ 5 ราย, เชียงราย 11 ราย, กทม. 3 ราย, ราชบุรี พิจิตร สิงห์บุรี และพะเยาจังหวัดละ 1 ราย ส่วนความก้าวหน้าการสอบสวนโรคล่าสุดของผู้ป่วยโควิด 19 เพศชายอายุ 30 ปี และเพศหญิงอายุ 26 ปี ที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน พบว่าเป็นเพื่อนกัน วันที่ 6-27 พฤศจิกายน ไปสถานบันเทิง จ.ท่าขี้เหล็ก ผู้หญิงเดินทางกลับกทม. วันที่29 พฤศจิกายน ด้วยสายการบิน Thai Smile WE137 เวลา 20.40 น.ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ วันที่ 5 ธันวาคมไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนและพบเชื้อ ส่วนผู้ชายเริ่มมีไข้ต่ําๆ ก่อนเดินทางกลับ กทม. วันที่ 30 พฤศจิกายน ด้วยสายการบิน Thai Lion Air SL545 เวลา 19.15 น. วันที่ 4 ธันวาคมมารับการตรวจที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนและพบเชื้อ ทั้งสองรายอยู่ในการดูแลของแพทย์ อยู่ระหว่างติดตามข้อมูลผู้สัมผัส เบื้องต้นมีสัมผัส 15 ราย สัมผัสเสี่ยงสูงไม่น้อยกว่า 5 ราย คือ เพื่อนใน อ.แม่สาย 2 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ 1 ราย กําลังติดตาม 1 ราย ผู้สัมผัสในครัวเรือนที่ปทุมธานี 1 ราย แท็กซี่ 1 รายและผู้ร่วมเที่ยวบิน2 เที่ยวบิน สัมผัสเสี่ยงต่ําไม่ต่ํากว่า 10 ราย
ส่วนกรณีการติดเชื้อในประเทศ 2 ราย รายที่1.ผู้ป่วยหญิงอายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี มีผู้สัมผัสรวม 227 ราย ขณะนี้ยังไม่พบผู้ใดติดเชื้อ การสอบสวนจากผังที่นั่งของเที่ยวบิน DD8717 วันที่ 28 พฤศจิกายน เวลา13.40 น.ผู้ป่วยเดินทางเที่ยวบินเดียวกันกับผู้ป่วยราย กทม.อายุ 21 ปี และพิจิตร อายุ 25 ปี โดยรายกรุงเทพฯ และพิจิตรนั่งอยู่อยู่ที่ 44J และ 44K ส่วนรายสิงห์บุรีนั่งอยู่ที่ 52C ห่างกัน 8 แถวและไม่รู้จักกัน สวมหน้ากากบนเครื่องบินตลอด จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดสนามบินแม่ฟ้าหลวง พบว่าผู้ป่วยรายสิงห์บุรีอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับผู้ป่วยรายพิจิตร คาดว่าอาจมีช่วงเวลาหนึ่งที่ไปห้องน้ําในเวลาใกล้เคียงกัน แต่ต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบว่า จุดที่มีความเสี่ยงสูงสุดอยู่บริเวณใด ซึ่งทั้งเครื่องบินและสนามบินได้มีการปรับมาตรการแล้ว โดยบนเครื่องบินได้งดการเสิร์ฟอาหารและน้ําในเที่ยวบินที่เดินทางจากเชียงราย สนามบินทําความสะอาดห้องน้ําที่ถี่ขึ้นและจัดระเบียบการพักรอขึ้นเครื่อง ดังนั้น ผู้โดยสารเที่ยวบินดังกล่าวขอให้รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ หากมีอาการป่วยโทรแจ้งทันที2.ชายไทยอายุ 28 ปี จ.เชียงราย ที่ได้ไปงานฟาร์ม เฟสติวัล สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และกรมควบคุมโรคได้ดําเนินการตรวจหาเชื้อในผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงและผู้ที่ไปเที่ยวในงานดังกล่าวในช่วง 2 วันที่ผ่านมา จํานวนประมาณ 2 พันคน ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม
สําหรับการติดเชื้อจากประเทศเมียนมาที่ไม่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก จํานวน 2 ราย พบว่าลักลอบเข้ามาจาก จ.เมียวดี มาทางอ.แม่สอด จ.ตาก รายแรกเป็นชายชาวเมียนมาอายุ 43 ปี อาชีพนักธุรกิจ คาดว่าข้ามพรมแดนมาไทยวันที่ 30 พฤศจิกายน วันที่ 3 ธันวาคม ขอรับการตรวจเชื้อที่โรงพยาบาลแม่สอดเพื่อเป็นเอกสารการเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ วันที่ 4 ธันวาคม ตรวจพบการติดเชื้อ ไม่มีอาการป่วย มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 13 ราย ระบุตัวได้ กําลังเฝ้าระวังกักกัน และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา 14 ราย อีกรายเป็นชายเมียนมาอายุ 70 ปี เข้ามาวันที่ 29 พฤศจิกายน ทางช่องทางธรรมชาติ เริ่มมีอาการป่วย วันที่ 4 ธันวาคม มีอาการเหนื่อยมากขึ้น จึงเรียกรถโรงพยาบาลเอกชนมารับ ระหว่างทางอาการไม่ดีขึ้น นําส่งโรงพยาบาลแม่สอด แพทย์ให้การรักษาส่งตรวจพบเชื้อ มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 13 ราย
************************************** 6 ธันวาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37361
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระบบสาธารณสุขไทย หลังยุคโควิด 19 ต้องออกแบบ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อความปลอดภัยของคนไทยและประเทศ
|
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ระบบสาธารณสุขไทย หลังยุคโควิด 19 ต้องออกแบบ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อความปลอดภัยของคนไทยและประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้นําประสบการณ์ต่อสู้กับโควิด19 ที่ผ่านมา นําไปออกแบบการดําเนินชีวิตยุคหลังโควิด19 เพื่อให้ทุกคนอยู่ด้วยความปลอดภัย ลดสูญเสียทั้งชีวิต สุขภาพ ธุรกิจ และเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้นําประสบการณ์ต่อสู้กับโควิด19 ที่ผ่านมา นําไปออกแบบการดําเนินชีวิตยุคหลังโควิด19 เพื่อให้ทุกคนอยู่ด้วยความปลอดภัย ลดสูญเสียทั้งชีวิต สุขภาพ ธุรกิจ และเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด พร้อมดูแลรักษาสุขภาพประชาชนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
วันนี้ (6 ธันวาคม 2563) ที่ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บรยายายพิเศษ เรื่อง อนาคตระบบสาธารณสุขไทย ในงานการประชุมวิชาการประจําปี 2563 แพทยสภา-ปธพ.ครั้งที่ 8 โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา ผู้บริหาร และผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง กระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมประชุม
นายอนุทิน กล่าวว่า โลกทุกวันนี้มีแต่ความท้าทาย ทั้งเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และความรุนแรงของโรคที่เพิ่มขึ้น กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะองค์กรหลักด้านสุขภาพของประเทศ ต้องเป็นผู้นําในการออกแบบระบบสาธารณสุข เพื่อสร้างระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดสําหรับประเทศไทย และทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยจึงต้องพัฒนาให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การทํางานแบบเดิม จําเป็นต้องปรับเปลี่ยน และลดขั้นตอน เพื่อที่จะก้าวได้ทันการเปลี่ยนแปลง และจัดการโรค ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ประสบการณ์ในการต่อสู้กับโรคโควิด19 ที่ผ่านมา นําไปออกแบบการดําเนินชีวิตยุคหลังโควิด19 เพื่อให้ทุกคนอยู่ด้วยความปลอดภัย ลดการสูญเสียทั้งชีวิต สุขภาพ ธุรกิจ และเศรษฐกิจให้ได้น้อยที่สุด และตั้งรับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นให้มีประสิทธิภาพ
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนการสาธารณสุขไทย ได้ยึดนโยบายหลักของรัฐบาล โดยภารกิจที่สําคัญลําดับแรก คือ โครงการพระราชดําริทางด้านสาธารณสุข ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศ์ทุกพระองค์ ที่จะต้องนํามาปฏิบัติทันทีอย่างต่อเนื่อง และให้ความสําคัญใน 4 เรื่อง คือ 1.ระบบสุขภาพปฐมภูมิเพื่อการดูแลประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ให้มีสุขภาพที่ดี ปลอดโรค และคนไทยทุกครอบครัว ต้องมีหมอประจําตัว 3 คน ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ สร้างสุขภาพที่ดีให้แก่คนไทย มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพที่บ้านและชุมชน 2. ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่ประชาชน เช่น สปา นวดไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ บริการทางการแพทย์เพื่อความสวยงาม เป็นต้น 3. ส่งเสริมสมุนไพร กัญชา กัญชงทางการแพทย์ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอย่างปลอดภัยสมุนไพรไทย ประชาชนเข้าถึง และได้ใช้เพื่อสุขภาพ ปลูกเพื่อพึ่งพาตนเอง โดยไม่ผิดกฎหมาย และ4. 30 บาทรักษาทุกที่ เริ่มต้นที่หน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น รพ.สต. คลินิก และ โรงพยาบาลชุมชน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างมีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา ลดแออัด
“การขับเคลื่อนงานสาธารณสุขทั้งหมดนี้ จะสําเร็จลุล่วงและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชน ได้ด้วยความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่าย และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผมเชื่อว่า ทุกท่านจะมีส่วนช่วยในการพัฒนางานสาธารณสุขสู่การพัฒนาประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสาธารณสุขไทย สู่การยกระดับบริการและการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นระบบสาธารณสุขที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนและประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบสาธารณสุขร่วมกันอย่างบูรณาการ สู่การเดินหน้าขับเคลื่อนการสาธารณสุขไทย ให้ ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจไทยแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง” นายอนุทิน กล่าว
ธันวาคม 2/2 ************************************** 6 ธันวาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระบบสาธารณสุขไทย หลังยุคโควิด 19 ต้องออกแบบ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อความปลอดภัยของคนไทยและประเทศ
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ระบบสาธารณสุขไทย หลังยุคโควิด 19 ต้องออกแบบ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อความปลอดภัยของคนไทยและประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้นําประสบการณ์ต่อสู้กับโควิด19 ที่ผ่านมา นําไปออกแบบการดําเนินชีวิตยุคหลังโควิด19 เพื่อให้ทุกคนอยู่ด้วยความปลอดภัย ลดสูญเสียทั้งชีวิต สุขภาพ ธุรกิจ และเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้นําประสบการณ์ต่อสู้กับโควิด19 ที่ผ่านมา นําไปออกแบบการดําเนินชีวิตยุคหลังโควิด19 เพื่อให้ทุกคนอยู่ด้วยความปลอดภัย ลดสูญเสียทั้งชีวิต สุขภาพ ธุรกิจ และเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด พร้อมดูแลรักษาสุขภาพประชาชนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
วันนี้ (6 ธันวาคม 2563) ที่ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บรยายายพิเศษ เรื่อง อนาคตระบบสาธารณสุขไทย ในงานการประชุมวิชาการประจําปี 2563 แพทยสภา-ปธพ.ครั้งที่ 8 โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา ผู้บริหาร และผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง กระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมประชุม
นายอนุทิน กล่าวว่า โลกทุกวันนี้มีแต่ความท้าทาย ทั้งเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และความรุนแรงของโรคที่เพิ่มขึ้น กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะองค์กรหลักด้านสุขภาพของประเทศ ต้องเป็นผู้นําในการออกแบบระบบสาธารณสุข เพื่อสร้างระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดสําหรับประเทศไทย และทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยจึงต้องพัฒนาให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การทํางานแบบเดิม จําเป็นต้องปรับเปลี่ยน และลดขั้นตอน เพื่อที่จะก้าวได้ทันการเปลี่ยนแปลง และจัดการโรค ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ประสบการณ์ในการต่อสู้กับโรคโควิด19 ที่ผ่านมา นําไปออกแบบการดําเนินชีวิตยุคหลังโควิด19 เพื่อให้ทุกคนอยู่ด้วยความปลอดภัย ลดการสูญเสียทั้งชีวิต สุขภาพ ธุรกิจ และเศรษฐกิจให้ได้น้อยที่สุด และตั้งรับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นให้มีประสิทธิภาพ
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนการสาธารณสุขไทย ได้ยึดนโยบายหลักของรัฐบาล โดยภารกิจที่สําคัญลําดับแรก คือ โครงการพระราชดําริทางด้านสาธารณสุข ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศ์ทุกพระองค์ ที่จะต้องนํามาปฏิบัติทันทีอย่างต่อเนื่อง และให้ความสําคัญใน 4 เรื่อง คือ 1.ระบบสุขภาพปฐมภูมิเพื่อการดูแลประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ให้มีสุขภาพที่ดี ปลอดโรค และคนไทยทุกครอบครัว ต้องมีหมอประจําตัว 3 คน ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ สร้างสุขภาพที่ดีให้แก่คนไทย มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพที่บ้านและชุมชน 2. ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่ประชาชน เช่น สปา นวดไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ บริการทางการแพทย์เพื่อความสวยงาม เป็นต้น 3. ส่งเสริมสมุนไพร กัญชา กัญชงทางการแพทย์ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอย่างปลอดภัยสมุนไพรไทย ประชาชนเข้าถึง และได้ใช้เพื่อสุขภาพ ปลูกเพื่อพึ่งพาตนเอง โดยไม่ผิดกฎหมาย และ4. 30 บาทรักษาทุกที่ เริ่มต้นที่หน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น รพ.สต. คลินิก และ โรงพยาบาลชุมชน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างมีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา ลดแออัด
“การขับเคลื่อนงานสาธารณสุขทั้งหมดนี้ จะสําเร็จลุล่วงและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชน ได้ด้วยความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่าย และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผมเชื่อว่า ทุกท่านจะมีส่วนช่วยในการพัฒนางานสาธารณสุขสู่การพัฒนาประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสาธารณสุขไทย สู่การยกระดับบริการและการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นระบบสาธารณสุขที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนและประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบสาธารณสุขร่วมกันอย่างบูรณาการ สู่การเดินหน้าขับเคลื่อนการสาธารณสุขไทย ให้ ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจไทยแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง” นายอนุทิน กล่าว
ธันวาคม 2/2 ************************************** 6 ธันวาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37360
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.