text
stringlengths 0
9.8k
|
---|
จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ หรือรู้จักในนาม แอน จักรพงษ์ (เกิด 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522) เป็นนักธุรกิจหญิงข้ามเพศชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและส่งออกลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากทั่วโลก รวมถึงเป็นเจ้าขององค์กรนางงามจักรวาล ถือเป็นสตรีข้ามเพศคนแรกของโลกที่เป็นเจ้าของการประกวดนางงามระดับแกรนด์สแลม
|
จากข้อมูลเมื่อ พ.ศ. 2563 ติดอันดับเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 149 ของประเทศไทย และถือเป็นสตรีข้ามเพศที่มีมูลค่าสินทรัพย์มากที่สุดในประเทศไทยและเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของโลก
|
ประวัติ.
|
ภูมิหลัง.
|
จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ มีนามสกุลเดิมว่า "สุธีสถาพร" มีชื่อเล่นว่า "พงษ์" โดยใช้ชื่อในวงการว่า "แอนดรูว์" เกิดในครอบครัวเชื้อสายจีนซึ่งเคร่งเรื่องเพศอย่างมาก เป็นบุตรชายคนโตของ อชิระ สุธีสถาพร และ อำไพ จักราจุฑาธิบดิ์ (สุธีสถาพร) มีพี่น้อง 3 คน คือ จตุพล สุธีสถาพร (โจ้) น้องชาย และ พิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ (ดาว) น้องสาว จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ด้วยความกดดันเรื่องเพศผลักดันให้เธอไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียตั้งแต่อายุ 15–16 ปี จนจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบอนด์ ก่อนกลับมารับช่วงกิจการร้านเช่าวิดีโอจากบิดา เริ่มต้นธุรกิจในวัยเพียง 21 ปี แต่จากธุรกิจร้านเช่าวิดีโอที่ซบเซาจึงหาโอกาสทางธุรกิจในแนวทางอื่น จึงได้นำสารคดี "Walking With Dinosaurs" มาผลิตในรูปแบบดีวีดีจัดจำหน่ายในประเทศไทย สร้างรายได้ก้อนแรก 10 ล้านบาท
|
เจเคเอ็น.
|
ภายหลังจากที่ประเทศไทยเปลี่ยนเป็นโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล จึงได้นำเข้าคอนเทนต์รายการต่างประเทศโดยเฉพาะอินเดียที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับประเทศไทย เพื่อมาขายสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ภายหลังได้นำบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อ พ.ศ. 2560 ก่อนย้ายขึ้นไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2563 จากข้อมูลผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2564 จักรพงษ์ถือหุ้นบริษัท 322,923,173 หุ้น หรือ 53.16 %
|
เจ้าของกิจการนางงามจักรวาล.
|
ในการประกวดนางงามจักรวาล 2018 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย จักรพงษ์ได้รับข้อเสนอในการซื้อกิจการองค์กรนางงามจักรวาล ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 เจเคเอ็น เมตาเวิร์ส บริษัทในเครือเจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป ได้เข้าซื้อกิจการองค์กรนางงามจักรวาลและบริษัทที่เกี่ยวข้อง ทำให้เจเคเอ็นกลายเป็นผู้จัดการประกวดนางงามจักรวาลรายปัจจุบัน และทำให้จักรพงษ์เป็นสตรีข้ามเพศคนแรกของโลกที่เป็นเจ้าของการประกวดนางงามระดับแกรนด์สแลม
|
ชีวิตส่วนตัว.
|
เมื่อประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว เธอจึงตัดสินใจเปิดเผยตัวตน โดยได้บอกกับครอบครัวเรื่องรสนิยมทางเพศ บิดารับเรื่องนี้ได้ แต่มารดาไม่สามารถรับเรื่องนี้ได้ ไม่ยอมพูดด้วย 3 ปี เมื่อครอบครัวยอมรับได้ จึงก้าวต่อสู่สังคมภายนอก โดยตัดสินใจไปประเทศเกาหลีใต้ เริ่มต้นจากการปลูกผม ทำศัลยกรรมหน้าตา จนกระทั่งแปลงเพศ
|
จักรพงษ์วางแผนว่าอยากจะมีบุตรตั้งแต่แรก โดยวิธีอุ้มบุญ โดยเริ่มจากการบินไปสหรัฐอเมริกาเพื่อไปธนาคารสเปิร์มและเลือกไข่ของผู้หญิงเยอรมันคนหนึ่ง จัดการทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายถึงบินกลับประเทศ และเริ่มกินฮอร์โมนเพื่อเตรียมผ่าตัดแปลงเพศ เวลาผ่านไปประมาณ 8–9 เดือน จึงทราบว่าไข่เกิดการปฏิสนธิแล้ว ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่จักรพงษ์แปลงเพศสำเร็จแล้ว คือ เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561 โดยมีลูกชายคนแรกชื่อ แอนดรูว์ และต่อมามีลูกสาวชื่อ แองเจลิก้า เป็นลูกครึ่งเยอรมันไทยทั้ง 2 คน ที่เกิดจากไข่ของผู้หญิงอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน
|
แอน จักรพงษ์
|
นิโก กอนซาเลซ
|
นิโกลัส กอนซาเลซ อิเกลเซียส (; เกิด 3 มกราคม ค.ศ. 2002) หรือเรียกโดยย่อว่า นิโก เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวสเปน ปัจจุบันลงเล่นในตำแหน่งกองกลางให้กับบาเลนเซีย สโมสรในลาลิกา จากการยืมตัวมาจากบาร์เซโลนา และทีมชาติสเปน รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี
|
สโมสรอาชีพ.
|
กอนซาเลซเกิดในอาโกรุญญา แคว้นกาลิเซีย เขาเป็นลูกชายของฟรันและเป็นหลานของโฆเซ รามอน ซึ่งเป็นอดีตนักฟุตบอลชาวสเปน กอนซาเลซเริ่มต้นอาชีพกับทีมในท้องถิ่นอย่างเมื่ออายุ 7 ขวบ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 เขาตกลงที่จะย้ายไป ซึ่งมีผลในเดือนกรกฎาคมปีถัดไป
|
ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 กอนซาเลซในวัย 16 ปี ได้ลงประเดิมสนามกับทีมสำรองของสโมสร ซึ่งลงเล่นอยู่ในเซกุนดาดิบิซิออน เบ ลีกลำดับที่สามของสเปนในขณะนั้น จากการเปลี่ยนตัวมาแทนกิเก ซาเบริโอ ในนัดที่แพ้กัสเตยอน 1–2 ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2020–21 เขาได้รับการบรรจุให้เป็นส่วนหนึ่งของทีม รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี (Juvenil A) ก่อนที่จะเริ่มได้ลงเล่นกับทีมชุดสำรองเป็นประจำตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 เป็นต้นมา
|
ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 กอนซาเลซได้ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไปจนถึง ค.ศ. 2024 โดยมีค่าฉีกสัญญา 500 ล้านยูโร
|
ในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 เขาได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลนาเป็นครั้งแรก ในเกมกระชับมิตรช่วงก่อนเริ่มฤดูกาลซึ่งเอาชนะ 3–1 ที่สนามกีฬาโยฮัน ไกรฟฟ์ โดยได้ลงเล่นเป็นตัวจริงก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกในนาที่ 60 ในวันที่ 15 สิงหาคม เขาได้ลงเล่นในลาลิกาเป็นครั้งแรก ในนัดแรกของฤดูกาล 2021–22 ซึ่งเอาชนะเรอัลโซซิเอดัด 4–2 จากการเปลี่ยนตัวลงมาแทนเซร์ฆิโอ บุสเกตส์ ในนาทีที่ 83 ในวันที่ 26 กันยายน เขายังได้ลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรกและลงเล่นครบ 90 นาที ในนัดที่เอาชนะเลบันเต 3–0 ในอีก 4 วันถัดมา กอนซาเลซได้ลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งแพ้ไบฟีกา 3–0 ที่อิชตาดียูดาลุช จากการเปลี่ยนตัวลงมาแทนเซร์ฆิโอ บุสเกตส์ ในนาทีที่ 68
|
กอนซาเลซทำประตูแรกในระดับอาชีพได้เป็นครั้งแรกในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2021 ในนัดที่ออกไปเยือนโอซาซูนาที่ปัมโปลนา เป็นประตูขึ้นนำ 1–0 จากการเปิดบอลยาวของกาบิ เข้าไปให้ตัวเขาทำประตูด้วยเท้าขวาในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ผลจะจบลงด้วยการเสมอกัน 2–2 ในอีก 7 วันถัดมาเขายังทำประตูได้ในนัดที่พบกับที่กัมนอว์ โดยเป็นประตูขึ้นนำ 3–2 ในนาทีที่ 85 ซึ่งช่วยให้ทีมชนะด้วยผลคะแนนนี้
|
ละครโน
|
โน หรือ ละครโน (, มาจากคำว่า "ทักษะ" หรือ "ความสามารถ" ของคำภาษาจีน-ญี่ปุ่น) เป็นศิลปะการแสดงนาฏกรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมแขนงใหญ่ที่แสดงมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 พัฒนาโดย คันอามิ คิโยสึกุ และบุตรชายของเขา เซอามิ โมโตกิโยะ ละครโนเป็นศิลปะการแสดงที่เก่าแก่ที่สุดและยังคงสืบทอดต่อกันมาจวบจนถึงทุกวันนี้ แม้คำว่า โน และ"โนงากุ" (能楽, "Nōgaku") จะสามารถนำมาใช้แทนกันได้ก็ตาม แต่"โนงากุ"จะครอบคลุมความหมายของทั้งละครโนและ"เคียวเง็น" ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา การแสดง"โนงากุ"เต็มรูปแบบจะประกอบไปด้วยการแสดงละครโนหลายองก์ที่มีการแสดงตลก"เคียวเง็น"คั่นกลางระหว่างการสับเปลี่ยนหรือช่วงพักการแสดง ในปัจจุบันนิยมทำการแสดงละครโนสององก์และ"เคียวเง็น"หนึ่งบท นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มการแสดงประกอบพิธีกรรมที่เรียก"โอกินะ" ({翁, "Okina") ในตอนต้นของการแสดง"โนงากุ"
|
เนื้อหาของละครโนจะอิงจากนิทานวรรณกรรมโบราณ ซึ่งเป็นเรื่องราวของเทพเจ้าแปลงกายเป็นมนุษย์ รับหน้าที่เป็นตัวเอกคอยบรรยายเนื้อเรื่องตลอดการแสดง ละครโนจะมีการใช้หน้ากาก เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ประกอบร่วมกับการรำ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ผู้แสดงและนักดนตรีที่ได้รับการฝึกอย่างดี อารมณ์ความรู้สึกจะถ่ายทอดผ่านนาฏยภาษาที่เป็นแบบแผนและหน้ากากที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งใช้เป็นสัญลักษณ์บอกบทบาทต่าง ๆ เช่น วิญญาณ ผู้หญิง เทพเจ้า และภูตผีปิศาจ ละครโนจะให้น้ำหนักไปทางขนบธรรมเนียมที่สืบต่อกันมามากกว่าการรับนวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังถูกจัดประมวลและวางระเบียบอย่างเป็นแบบแผนโดยระบบ"อิเอโมโตะ"
|
ประวัติ.
|
ต้นกำเนิด.
|
คันจิของคำว่า โน (能) หมายถึง "ทักษะ" "งานฝีมือ" หรือ "ความสามารถ" อย่างเฉพาะเจาะจงในแวดวงศิลปะการแสดง คำว่า โน อาจใช้อยู่เดี่ยว ๆ หรือคู่กับ "กากุ" (, ความบันเทิงหรือดนตรี) เพื่อสร้างคำ"โนงากุ" ในปัจจุบันละครโนเป็นขนบธรรมเนียมที่ได้รับการเคารพโดยผู้คนจำนวนมาก หากใช้อยู่เดี่ยว ๆ โนจะหมายถึงประเภทของละครทางประวัติศาสตร์ที่มีต้นกำเนิดมาจาก"ซารูงากุ" (猿楽, "Sarugaku") ในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 และยังคงแสดงอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
|
รากฐานการแสดงละครโนและ"เคียวเง็น"ที่เก่าแก่ที่สุดคือ"" โดยประเทศญี่ปุ่นได้รับมาจากประเทศจีนในศตวรรษที่ 8 ณ ขณะนั้น คำว่า"ซังงากุ" หมายถึงการแสดงหลากหลายประเภทที่มีทั้งกายกรรม ดนตรี และการเต้นรำประกอบอยู่ เช่นเดียวกันกับการแสดงตลกแบบสเก็ตช์คอมเมดี ซึ่งหลังจากการดัดแปลง"ซังงากุ"สู่สังคมญี่ปุ่นที่นำพาไปสู่การกลายกลืนของรูปแบบทางศิลปะดั้งเดิมอื่น ๆ องค์ประกอบของศิลปะการแสดงที่หลากหลายของ"ซังงากุ" เฉกเช่นเดียวกันกับองค์ประกอบการแสดงของ"เด็งงากุ" (田楽, "Dengaku"; เพลงทุ่งนา, การเฉลิมฉลองการปลูกข้าวในท้องถิ่น) "ซารูงากุ" (การแสดงที่ประกอบไปด้วยกายกรรม เล่นพิเรนทร์ และละครใบ้) "ชิราเบียวชิ" (白拍子, "Shirabyōshi", รำโบราณโดยผู้แสดงหญิงในพระราชวังในศตวรรษที่ 12) "กางากุ" (雅楽, "Gagaku", การรำและการแสดงดนตรีในพระราชวังตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 7) และ "คางูระ" (神楽, "Kagura", รำชินโตโบราณในนิทานชาวบ้าน) ถูกวิวัฒนาการมาเป็นละครโนและ"เคียวเง็น"
|
การศึกษาทางพงศาวลีวิทยาของนักแสดงละครโนในศตวรรษที่ 14 ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มีความสามารถในด้านศิลปะการแสดง ตามตำนานแล้วโรงเรียนคนปารุ ซึ่งถือเป็นโรงเรียนละครโนที่เก่าแก่ที่สุด ก่อตั้งโดยฮาตะ โนะ คาวากัตสึ ในศตวรรษที่ 6 แต่อย่างไรก็ตามผู้ก่อตั้งโรงเรียนคนปารุซึ่งเป็นที่ยอมรับในหมู่นักประวัติศาสตร์คือคนปารุ กนโนกามิ ในยุคราชสำนักเหนือ-ใต้เสียมากกว่า จากพงศาวลีของโรงเรียนดังกล่าว คนปารุ กนโนกามิเป็นทายาทรุ่นที่ 53 ของฮาตะ โนะ คาวากัตสึ โรงเรียนคนปารุสืบทอดมาจากคณะผู้แสดง"ซารูงากุ"ในศาลเจ้าคาซูงะและวัดโคฟูกุในจังหวัดยาโมโตะ (ปัจจุบันคือจังหวัดนาระ)
|
อีกหนึ่งทฤษฎีโดยชินฮาจิโร มัตสึโมโตะ สันนิษฐานว่าละครโนมีต้นกำเนิดจากผู้ไร้วรรณะที่พยายามยกสถานะทางสังคมของตนให้สูงขึ้นด้วยการมอบความบันเทิงแก่ผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้น กล่าวคือซามูไรที่เป็นผู้ปกครองชนชั้นวรรณะ การโอนถ่ายอำนาจของโชกุนจากคามากูระไปยังเกียวโตในตอนต้นของยุคมูโรมาจิซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มอำนาจของชนชั้นซามูไรและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างโชกุนและพระราชวัง ขณะที่ละครโนเป็นรูปแบบทางศิลปะที่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าโชกุน ละครโนจึงสามารถเป็นศิลปะที่สง่างามได้ผ่านการสร้างความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้ โดยในศตวรรษที่ 14 ด้วยแรงสนับสนุนและการอุปถัมภ์ค้ำชูจากโชกุนอาชิกางะ โยชิมิตสึ บุตรชายของคันอามิ เซอามิ โมโตกิโยะ จึงสามารถทำให้ละครโนเป็นศิลปะการแสดงโรงละครที่มีความโดดเด่นและมีชื่อเสียงได้
|
การริเริ่มละครโนโดยคันอามิและเซอามิ.
|
ยุคมูโรมาจิในศตวรรษที่ 14 (ค.ศ. 1336–1573) คันอามิ คิโยสึกุ และบุตรชายของเขา เซอามิ โมโตกิโยะ ได้ตีความศิลปะการแสดงดั้งเดิมที่หลากหลายใหม่อีกครั้ง และพัฒนาละครโนให้แตกต่างไปจากแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิงจนเป็นละครโนในปัจจุบัน คันอามิเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงจากการเล่นเป็นหญิงอรชร เด็กชาย ไปจนถึงชายแกร่ง เมื่อเขาได้ทำการแสดงแก่อาชิกางะ โยชิมิตสึที่ ณ ขณะนั้นอายุ 17 ปี เป็นครั้งแรก เซอามิที่ยังเป็นเด็กอายุราว 12 ปี ในการแสดงครั้งนั้น โยชิมิตสึได้ชื่นชอบการแสดงของเซอามิและชักชวนเขาให้ไปเล่นในพระราชวัง จึงทำให้ละครโนถูกแสดงอยู่บ่อยครั้งเพื่อโยชิมิตสึตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
|
คนปารุ เซ็นจิกุ ซึ่งเป็นเหลนของคนปารุ กนโนกามิ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนคนปารุ และสามีของลูกสาวของเซอามินำองค์ประกอบของวากะ (กวี) ไปใช้ในการแสดงละครโนของเซอามิและพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป
|
ในบรรดาโรงเรียนละครโนหลักทั้ง 5 โรง มีโรงเรียน 4 โรงอันได้แก่ โรงเรียนคันเซะ ก่อตั้งโดยคันอามิและเซอามิ โรงเรียนโฮโช ก่อตั้งโดยพี่ชายคนโตของคันอามิ โรงเรียนคนปารุ และโรงเรียนคงโง โรงเรียนเหล่านี้สืบทอดมาจากคณะผู้แสดง"ซารุงากุ"ในจังหวัดยาโมโตะ รัฐบาลโชกุนอาชิกางะให้การสนับสนุนเพียงแค่โรงเรียนคันเซะจาก 4 โรงเท่านั้น
|
ยุคโทกูงาวะ.
|
ในช่วงยุคเอโดะ ละครโนถูกมองว่าเป็นศิลปะของชนชั้นสูงที่ได้รับการสนับสนุนจาก"โชกุน" และขุนนางในระบอบศักดินา ("ไดเมียว") เช่นเดียวกันกับสามัญชนผู้มีความร่ำรวยและมากประสบการณ์ ในขณะที่"คาบูกิ"และ"โจรูริ" นั้นเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นกลางที่ชื่นชอบความบันเทิงแบบใหม่ที่อยู่ในขั้นลองผิดลองถูก ละครโนจึงต้องพยายามและดิ้นรนในการคงรักษาประวัติศาสตร์ของละครโนที่ถ่องแท้และมาตรฐานการแสดงที่สูงไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้จึงแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ตลอดยุคเอโดะ และเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวแก่นสาระของการแสดงโดยนักแสดงละครโนมืออาชีพ ทุกรายละเอียดของท่าทางและตำแหน่งการยืนจะถูกทำเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อสืบทอดต่อไปแก่รุ่นอื่น ๆ ในอนาคต ส่งผลให้จังหวะของการแสดงค่อย ๆ ช้าลงตามกาลเวลา
|
ในยุคโทกูงาวะ รัฐบาลเอโดะได้กำหนดให้โรงเรียนคันเซะเป็นหัวหน้าของโรงเรียนละครโน อีก 4 โรง คิตะ ชิจิดายู (ชิจิดายู โชโน) นักแสดงละครโนที่รับใช้โทกูงาวะ ฮิเดตาดะ ได้ก่อตั้งโรงเรียนคิตะ ซึ่งเป็นโรงเรียนละครโนสุดท้ายในบรรดาโรงเรียนละครโนหลัก 5 โรง
|
ละครโนสมัยใหม่หลังยุคเมจิ.
|
หลังจากการล่มสลายของรัฐบาลเอโดะในปี 1868 และการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความทันสมัยใหม่ ส่งผลให้ละครโนไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐอีกต่อไปและต้องประสบกับวิกฤติทางการเงินครั้งใหญ่ หลังจากการฟื้นฟูเมจิไม่นาน ตัวเลขของผู้แสดงละครโนและเวทีละครโนลดลงอย่างเห็นได้ชัด การสนับสนุนบางส่วนจากรัฐบาลจักรวรรดิได้กลับคืนมาหลังผู้แสดงละครโนยื่นขออุทธรณ์แก่นักการทูตต่างประเทศ บริษัทที่ยังคงอยู่ตลอดยุคเมจิได้ทำให้ละครโนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้นโดยการทำการแสดงแก่สาธารณชน หรือทำการแสดงที่โรงละครในเมืองใหญ่ ๆ เช่น โตเกียวและโอซากะ
|
ในปี 1957 รัฐบาลญี่ปุ่น ได้กำหนดให้"โนงากุ"เป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมสำคัญที่จับต้องไม่ได้ซึ่งส่งผลให้"โนงากุ"และนักแสดงได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย มีการเปิดให้บริการโรงละครโนแห่งชาติ โดยรัฐบาลในปี 1983 เพื่อทำการแสดงและจัดหลักสูตรฝึกหัดแก่นักแสดงในการรับบทนำใน"โนงากุ" ในปี 2008 โรงละครโนงากุได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติโดยยูเนสโก
|
แม้คำว่า โน และ"โนงากุ" จะสามารถนำมาใช้แทนกันได้ก็ตาม แต่ตามคำจำกัดความของรัฐบาลญี่ปุ่นนั้น"โนงากุ"จะครอบคลุมความหมายของการแสดงทั้งละครโนและ"เคียวเง็น""" โดยจะแสดง"เคียวเง็น"คั่นกลางระหว่างช่วงสับเปลี่ยนการแสดงละครโนบนเวทีเดียวกัน เมื่อเปรียบกับละครโน "เคียวเง็น"จะไม่ค่อยใช้หน้ากากและแผลงมาจากการแสดงเชิงตลกขบขันเรียก"ซังงากุ"ดังจะทราบได้จากบทพูดของการแสดง
|
ผู้หญิงในละครโน.
|
ในยุคเอโดะ ระบบสมาคม (guild system) ที่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงทำการแสดงละครโนได้ค่อย ๆ เคร่งขรัดมากยิ่งขึ้น เว้นแต่โสเภณีชั้นสูง (courtesan) ที่สามารถเล่นดนตรีในบางโอกาสได้บ้างเป็นกรณีพิเศษ ต่อมาในยุคเมจิผู้แสดงละครโนได้มีการฝึกสอนการแสดงให้แก่สามัญชนที่มีความร่ำรวยและขุนนางซึ่งนำไปสู่โอกาสที่จะมีผู้แสดงหญิงมากขึ้นเนื่องจากผู้เข้ารับการฝึกที่เป็นผู้หญิงยืนกรานที่จะรับการฝึกจากอาจารย์ที่เป็นผู้หญิงเช่นกัน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โรงเรียนดนตรีโตเกียว (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศิลปกรรมโตเกียว) ได้อนุญาตให้ผู้หญิงเข้ารับการศึกษาได้ ทำให้กฎที่ห้ามผู้หญิงศึกษาในโรงเรียนละครโนต่าง ๆ ได้รับการผ่อนปรน ในปี 1948 และ 2004 ผู้หญิงสามารถเข้าร่วมสมาคมละครโนต่าง ๆ ได้ ในปี 2007 โรงละครโนแห่งชาติเริ่มจัดการแสดงที่มีผู้แสดงเป็นผู้หญิงในทุกปี และในปี 2009 มีนักแสดงละครโนชายประมาณ 1,200 คน และหญิงราว 200 คน
|
"โจฮากีว".
|
"โจฮากีว"มาจากคำว่า"กางากุ" (ดนตรีที่เล่นในพระราชวัง) แนวคิดของ"โจฮากีว"จะควบคุมทุกองค์ประกอบของละครโน เช่น การจัดเรียงลำดับ โครงสร้าง ดนตรี ความเร็วของจังหวะ และการรำของการแสดง เป็นต้น โดย "โจ" หมายถึงการเริ่มต้น "ฮา" หมายถึง การแตกหัก และ "กีว" หมายถึง รวดเร็วเร่งรัด การนำแนวคิด"โจฮากีว"ไปใช้สามารถพบเห็นได้ในจารีตประเพณีต่าง ๆ เช่น ละครโน พิธีน้ำชา กวีนิพนธ์ และการจัดดอกไม้
|
"โจฮากีว"จะถูกนำไปใช้ในการแสดง 5 องก์ของละครโน องก์แรกคือ"โจ" องก์ที่สอง สาม และสี่คือ"ฮา" และองก์ที่ห้าคือ"กีว" ซึ่งจากการนำแนวคิด"โจฮากีว"มาใช้ในละครโน จึงมีการแบ่งประเภทของการแสดงออกเป็น 5 ประเภท โดยองก์หนึ่งจะถูกเลือกและแสดงเป็นลำดับ ในแต่ละองก์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงแนะนำ ช่วงพัฒนาเนื้อเรื่อง และช่วงสรุป การแสดงจะเริ่มต้นด้วยจังหวะที่ช้า ("โจ") ค่อย ๆ เร็วขึ้น ("ฮา") และถึงจุดสูงสุด ("กีว")
|
ผู้แสดงและบทบาท.
|
ตามขนบธรรมเนียม นักแสดงละครโนจะเริ่มการฝึกฝนตั้งแต่อายุ 3 ปี
|
การฝึกหัด.
|
เซอามิได้แบ่งการแสดงละครโนออกเป็น 9 รูปแบบ จากการเน้นอากัปกริยาท่าทางและความรุนแรงไปจนถึงการเปรียบได้ดั่งดอกไม้ที่น่าเกรงขามและความองอาจของจิตวิญญาณ
|
ในปี 2012 ยังมีโรงเรียนละครโนที่ยังคงเปิดการเรียนการสอน"ชิเตะ" 5 โรงได้แก่ โรงเรียนคันเซะ โรงเรียนโฮโช โรงเรียนคนปารุ โรงเรียนคงโง และโรงเรียนคิตะ ในชื่อโรงเรียนของแต่ละโรงจะมีชื่อของครอบครัวในระบบ"อิเอโมโตะ"ที่มีอำนาจในการสร้างบทละครใหม่หรือเปลี่ยนแปลงเนื้อเพลงและรูปแบบการแสดงใหม่ได้ นักแสดงที่ได้รับบทเป็น"วากิ"จะผ่านการฝึกหัดในโรงเรียนทากายาซุ โรงเรียนฟูกูโอ และโรงเรียนโฮโช สำหรับโรงเรียนอื่น ๆ เช่น โรงเรียนโอกูระ และโรงเรียนอิซูมิ จะเปิดการสอนและฝึกหัดการแสดง"เคียวเง็น" และโรงเรียนอีก 11 โรงจะฝึกการเล่นเครื่องดนตรี โดยแต่ละโรงเรียนจะมีความเชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีใดเครื่องดนตรีหนึ่งหรืออาจมากกว่านั้นเป็นพิเศษ
|
สมาคมนักแสดงโนงากุ ซึ่งนักแสดงละครโนมืออาชีพเป็นสมาชิกนั้นจะคุ้มครองและปกป้องจารีตประเพณีที่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ ("อิเอโมโตะ") แต่อย่างไรก็ตาม เอกสารลับหลายฉบับของโรงเรียนคันเซะที่เขียนโดยเซอามิและคนปารุ เซ็นจิกุก็หลุดออกมาสู่ชุมชนของนักวิชาการด้านเวทีการแสดงญี่ปุ่น
|
บทบาท.
|
สามารถแบ่งประเภทของนักแสดงละครโนได้ออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ได้แก่ "ชิเตะ วากิ เคียวเง็น" และ "ฮายาชิ"
|
บทละครโนโดยทั่วไปจะมีการขับร้องหมู่ วงมโหรี (กลุ่มของ"ฮายาชิ") ผู้แสดงที่รับบทเป็น"ชิเตะ"และ"วากิ"อย่างน้อย 1 คน
|
องค์ประกอบการแสดง.
|
การแสดงละครโนเป็นการผสมผสานระหว่างองค์ประกอบที่หลากหลายให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน เช่น ความบริสุทธิ์ใสสะอาดที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นตามความเชื่อของลัทธิชินโต และแนวคิดแบบมินิมอลลิสม์ตามหลักสุนทรียศาสตร์ของละครโน
|
หน้ากาก.
|
หน้ากากโน แกะสลักจากแท่งไม้ฮิโนกิ และลงสีด้วยสีย้อมธรรมชาติด้วยกาวและผงเปลือกหอยที่มีเบสเป็นกลาง หน้ากากโนมีประมาณทั้งสิ้น 450 แบบที่แตกต่างกัน สามารถแบ่งออกเป็น 60 ประเภทและมีชื่อเฉพาะเป็นของตนเอง หน้ากากบางแบบอาจใช้ได้ในบทละครโนหลายบท ในขณะที่หน้ากากน้อยแบบมีความเฉพาะเจาะจงมากและสามารถใช้ได้ในบทละครโนเพียงแค่ 1 หรือ 2 บทเท่านั้น หน้ากากละครโนบ่งบอกถึงเพศสภาพ อายุ และสถานะทางสังคมของตัวละคร นอกจากนี้นักแสดงละครโนยังสามารถสวมหน้ากากเพื่อแสดงเป็นคนหนุ่มสาว ชายสูงวัย ผู้หญิง หรืออมนุษย์ (พระเจ้า ปิศาจ หรือสัตว์) แต่เฉพาะ"ชิเตะ"เท่านั้นที่จำเป็นที่จะต้องสวมหน้ากากในทุกบทละคร แม้ว่า"สึเระ"อาจสวมหน้ากากในบางโอกาสเพื่อแสดงเป็นตัวละครเพศหญิง
|
แม้ว่าหน้ากากจะปิดบังการแสดงออกทางสีหน้าของนักแสดงก็ตาม แต่การใช้หน้ากากในละครโนก็ไม่ได้ละทิ้งการแสดงออกดังกล่าวไปเสียทีเดียว ในทางตรงกันข้าม เจตนาหลักของการสวมหน้ากากคือเพื่อจัดระเบียบการแสดงออกทางสีหน้าให้เป็นแบบแผนผ่านการใช้หน้ากาก และกระตุ้นจินตนาการของผู้รับชมการแสดง นอกจากนี้นักแสดงยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและภาษากายในลักษณะที่ควบคุมได้ดีกว่า หน้ากากบางแบบนำเทคนิคการจัดแสงไฟเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านการเอียงหรือตะแคงศีรษะเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ การแหงนศีรษะขึ้น หรือการทำหน้ากาก "สว่างขึ้น" จะทำให้หน้ากากสามารถรับแสงไฟได้มากขึ้น รูปหน้าอื่น ๆ เช่น หัวเราะ หรือยิ้ม จึงปรากฏขึ้น ในทางกลับกัน การหันหน้าลงหรือการทำหน้ากาก "มืดลง" จะทำให้หน้ากากแสดงใบหน้าเศร้าหมองหรือโกรธเคือง
|
หน้ากากโนเป็นสมบัติตกทอดมาจากครอบครัวและสถาบันละครโน โรงเรียนละครโนมีหน้ากากโนที่เก่าแก่และทรงคุณค่าที่สุดไว้ในครอบครองโดยจะสะสมไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของพวกเขาและมักไม่ได้นำออกมาให้สาธารณชนได้เห็น มีการสันนิษฐานว่า หน้ากากที่มีอายุมากที่สุด ถูกเก็บไว้ในโรงเรียนละครโนที่เก่าแก่ที่สุดเช่นกัน กล่าวคือโรงเรียนคนปารุ โดยอ้างอิงจากครูใหญ่ของโรงเรียน หน้ากากนั้นถูกแกะสลักเมื่อหลายพันปีก่อนโดยเจ้าชายโชโตกุ (ค.ศ. 572–622) ขณะที่ความแม่นยำทางประวัติศาสตร์ของหน้ากากที่เจ้าชายโชโตกุแกะสลักนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียง ตำนานดังกล่าวได้รับการกล่าวถึงในศาสตรนิพนธ์ของเซอามิในชื่อ ""ฟูชิกาเด็ง" " ที่ถูกบันทึกในศตวรรษที่ 14 ทั้งนี้ยังมีหน้ากากบางส่วนของโรงเรียนคนปารุที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียวเป็นผู้เก็บรักษาและจัดแสดงไว้ให้ผู้เข้าชม
|
เวที.
|
เวทีละครโนโบราณ ("บูไต") เป็นเวทีแบบเปิดโดยไม่มีส่วนหน้าของเวที (proscenium) หรือผ้าม่านที่บดบังสายตา ผู้ชมยังสามารถเห็นนักแสดงก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าและออกจากเวทีกลาง ด้วย ซึ่งสร้างความใกล้ชิดระหว่างนักแสดงและผู้ชมตลอดการแสดง โรงละครโนถือเป็นว่าเป็นสัญลักษณ์และได้รับความเคารพนับถือโดยทั้งผู้แสดงและผู้ชม
|
ลักษณะเด่นของละครโนที่สามารถสังเกตและจดจำได้ที่สุดคือหลังคาที่มีเสาทั้ง 4 ค้ำจุนติดตั้งอยู่บนเวทีแม้ว่าโรงละครจะอยู่ภายในก็ตาม หลังคาดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ การออกแบบสถาปัตยกรรมของเวทีละครโนได้รับอิทธิพลมาจาก "ไฮเด็ง" (ศาลาใช้เพื่อการสักการะบูชา) หรือ "คางูราเด็ง" (ศาลาใช้เพื่อการเต้นรำบูชา) แบบชินโต หลังคายังทำให้พื้นที่บนเวทีเป็นหนึ่งเดียวกันและสื่อให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม
|
เสาทั้ง 4 ที่ค้ำจุนหลังคาจะเรียกว่า"ชิเตะบาชิระ" (เสาของตัวชูโรง) "เมสึเกะบาชิระ" (เสานำสายตา) "วากิบาชิระ" (เสาของตัวสมทบ) และ "ฟูเอะบาชิระ" (เสาของผู้เป่าขลุ่ย) ตามเข็มนาฬิกาจากหลังเวทีฝั่งขวามือตามลำดับ เสาแต่ละต้นจะสัมพันธ์กับนักแสดงและอากัปกิริยาของพวกเขา เวทีจะทำด้วยต้นไซปรัสญี่ปุ่นหรือไม้ฮิโนกิที่ยังไม่ได้ขัดเงาเกือบทั้งหมด นักกวีและนักแต่งนวนิยาย โทซง ชิมาซากิ ได้เขียนไว้ว่า
|
อีกหนึ่งลักษณะเด่นของเวทีคือ"ฮาชิงาการิ" หรือทางเดินของนักแสดงที่ใช้เดินเข้าเวที "ฮาชิงาการิ"แปลว่าสะพานแขวน ซึ่งสื่อความหมายโดยนัยว่าเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโลกสองโลกให้อยู่ในระดับเดียวกัน และยังเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติของละครโนโบราณที่ผีและวิญญาณมักจะปรากฏตัว เมื่อเปรียบเทียบกับ"ฮานามิจิ" ในโรงละครคาบูกิ ซึ่งก็เป็นทางเดิน เช่นเดียวกันกับ"ฮาชิงาการิ" แต่"ฮานามิจิ"เป็นทางเดินที่ใช้เชื่อมระหว่างสองสถานที่ในโลกเดียวกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้วจึงมีความหมายที่แตกต่างกัน
|
เครื่องแต่งกาย.
|
นักแสดงละครโนจะสวมเสื้อคลุมทำจากผ้าไหมที่เรียกว่า"โชโซกุ" ตามด้วยผมปลอม หมวก และพัด ด้วยสีสันของเสื้อคลุมที่สะดุดตาและเนื้อผ้าที่เย็บปักถักร้อยอย่างประณีต เสื้อคลุมละครโนจึงจัดเป็นงานศิลปะแขนงหนึ่งด้วยตัวของมันเอง เครื่องแต่งกายโดยเฉพาะของ"ชิเตะ"นั้นจะมีความหรูหราตระการตาเป็นอย่างยิ่งจากผ้ายกที่มีความแวววาว แต่สำหรับเครื่องแต่งกายของ"สึเระ" "วากิสึเระ" และนักแสดง"เคียวเง็น"นั้นจะไม่โออ่าเท่า"ชิเตะ"
|
เป็นเวลาหลายศตวรรษ มุมมองของเซอามิที่ว่าเครื่องแต่งกายละครโนเป็นการเอาอย่างเสื้อผ้าที่ตัวละครจะสวมใส่จริง ๆ อย่างเช่นเสื้อคลุมของข้าราชสำนักและเครื่องแต่งกายของชาวไร่ชาวนาหรือสามัญชน แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 เครื่องแต่งกายละครโนถูกทำให้ทันสมัยขึ้นด้วยจารีตประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ ในยุคเอโดะ (โทกูงาวะ) เสื้อคลุมที่ทำอย่างพิถีพิถันถูกมอบไปยังนักแสดงโดยขุนนางและซามูไรในยุคมูโรมาจิถูกพัฒนาเป็นเครื่องแต่งกายละครโน
|
โดยปกตินักดนตรีและคณะขับร้องหมู่จะสวม"มนสึกิกิโมโน" (เสื้อคลุมสีดำประดับตกแต่งด้วยตราประจำตระกูลทั้ง 5) ร่วมกับ"ฮากามะ" (คล้ายกระโปรง) หรือ "คามิชิโมะ" (เครื่องแต่งกายที่เป็นการผสมผสานระหว่าง"ฮากามะ"และเสื้อกั๊กแบบไหล่กว้าง) ส่วนผู้ควบคุมเวทีจะสวมเสื้อคลุมสีดำแต่ไม่มีการประดับตกแต่งใด ๆ ลักษณะคล้ายเครื่องแต่งกายของผู้ควบคุมเวทีในโรงละครแบบตะวันตกร่วมสมัย
|
อุปกรณ์ประกอบการแสดง.
|
อุปกรณ์ประกอบการแสดงในละครโนนั้นมีความทันสมัยและเป็นสารัตถศิลป์ อุปกรณ์ประกอบการแสดงที่จะพบได้บ่อยสุดคือพัด เนื่องจากทุกตัวละครจะถือมันโดยไม่คำนึงถึงบทบาทในการแสดง คณะขับร้องหมู่และนักดนตรีอาจถือพัดในมือระหว่างเดินขึ้นเวทีหรือสอดไว้ใน"โอบิ" (สายคาดเอวรัดชุดกิโมโนให้แน่น) โดยปกติพัดจะถูกวางไว้ทางด้านของผู้แสดงและจะไม่นำออกมาอีกครั้งจนกว่าจะออกจากเวที นอกจากนี้พัดยังสามารถใช้แทนอุปกรณ์ประกอบการแสดงอื่น ๆ ที่ใช้มือถือได้ เช่น ดาบ เหยือกแก้ว ขลุ่ย หรือพู่กัน
|
เมื่อนำอุปกรณ์การแสดงที่เป็นแบบมือถือนอกเหนือจากพัดมาใช้ก็จะถูกเก็บกลับคืนโดย"คูโรโกะ" ที่ทำหน้าเสมือนผู้ควบคุมเวทีในโรงละครร่วมสมัย "คูโรโกะ"สามารถปรากฏตัวได้ระหว่างการแสดงกำลังดำเนินอยู่หรือจะอยู่บนเวทีจนกว่าการแสดงจะจบก็ได้ โดยทั้งสองกรณีผู้ชมจะมองเห็นพวกเขา "คูโรโกะ"จะสวมเสื้อคลุมสีดำเพื่อแสดงเป็นนัยว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมบนเวทีและมองไม่เห็น
|
อุปกรณ์ประกอบฉากในละครโน เช่น เรือ บ่อน้ำ แท่นบูชา และระฆังจะถูกนำมาวางไว้บนเวทีก่อนที่จะเริ่มการแสดงของแต่ละองก์ถ้าต้องการ โดยทั่วไปอุปกรณ์ประกอบฉากเหล่านี้เป็นเพียงแค่สิ่งจำลองของวัตถุจริง ยกเว้นระฆังใบใหญ่เป็นกรณีพิเศษที่ถูกออกแบบเพื่อปิดบังนักแสดงในระหว่างการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายในช่วงการแสดง"เคียวเง็น"คั่นกลาง""
|
การขับร้องและดนตรี.
|
โรงละครโนจะมีคณะขับร้องหมู่และวงมโหรี (กลุ่มของ"ฮายาชิ") ที่เรียก"โนบายาชิ" ละครโนเป็นละครบทขับร้องที่มีเพียงผู้บรรยายพากย์เป็นบางส่วนเท่านั้น (เปรียบได้เหมือนอุปรากร) แต่อย่างไรก็ตาม การขับร้องในละครโนจะมีข้อจำกัดด้านระดับเสียงที่ยืดยาวและซ้ำหลายครั้งผ่านช่วงความกว้างของระดับความดังเสียงที่แคบ บทขับร้องจะให้น้ำหนักไปทางฉันทลักษณ์กลอนญี่ปุ่นแบบห้า-เจ็ดที่มีการจัดเรียงสำนวนอย่างเป็นระบบและเต็มไปด้วยการใช้คำอุปมาตลอดทั้งบท ช่วงการขับร้องของละครโนจะเรียกว่า"อูไต" และบทพูดจะเรียกว่า"คาตารุ" ดนตรีจะมีช่วงพักเป็นจำนวนมากระหว่างเสียงที่แท้จริง ซึ่งช่วงพักเหล่านั้นเป็นหัวใจที่แท้จริงของดนตรีในละครโน นอกจากนี้ วงมโหรี (กลุ่มของ"ฮายาชิ") ประกอบไปด้วยนักดนตรี 4 คน หรือที่รู้จักกันในชื่อ"ฮายาชิคาตะ" ซึ่งได้แก่ มือกลอง 3 คนที่เล่น กลองไทโกะ กลองใหญ่ กลองเล็ก ตามลำดับและคนเป่าขลุ่ย
|
บางครั้งนักแสดงจะพูดบทของตนหรืออธิบายเหตุการณ์จากมุมมองของอีกตัวละครหนึ่งหรือแม้กระทั่งผู้บรรยายที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง ซึ่งแตกต่างจากการขัดจังหวะของการแสดงละครโนแบบ"มูเก็ง"ที่พยายามรักษาความรู้สึกของการอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งเป็นอย่างมาก
|
บทละครโน.
|
มีบทละครโนที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้อยู่ประมาณ 2,000 เรื่อง ในบรรดาบทละครเหล่านั้น 240 เรื่องถูกแสดงโดยโรงเรียนละครโนทั้ง 5 ซึ่งได้รับอิทธิพลจากรสนิยมการชมของชนชั้นขุนนางเป็นอย่างมากในยุคเอโดะ ทำให้ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสามัญ บทละครโนสามารถจำแนกประเภทได้หลากหลายวิธี
|
ตัวละคร.
|
บทละครโนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
|
ในขณะที่ "เก็นไซ"โนใช้ความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกในการขับเคลื่อนโครงเรื่องและถ่ายทอดอารมรณ์ความรู้สึกออกมา "มูเก็งโน"เป็นการแสดงที่ให้น้ำหนักไปการใช้ภาพย้อนหลังของเหตุการณ์ในอดีตหรือเรื่องราวของคนที่เสียชีวิตไปแล้วเพื่อกระตุ้นความรู้สึกของผู้ชม
|
รูปแบบการแสดง.
|
นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกประเภทละครโนได้จากรูปแบบการแสดง
|
แก่นเรื่อง.
|
บทละครโนสามารถจำแนกประเภทตามแก่นเรื่องออกเป็น 5 ประเภท ซึ่งนับว่าสามารถใช้ได้จริงที่สุดและถูกใช้เป็นการ โดยแต่ดั้งเดิมแล้ว "การแสดงละครโน 5 องก์" จะมีแก่นเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
|
นอกจากการจำแนกบทละครโนตามแก่นเรื่อง 5 ประเภทด้านบน "โอกินะ" หรืออาจเรียก "คามิอูตะ" มักจะถูกนำมาแสดงในช่วงต้นการแสดงละครโน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันปีใหม่ วันนักขัตฤกษ์ และโอกาสพิเศษอื่น "โอกินะ"เป็นการรำที่ผสมผสานมาจากพิธีกรรมทางลัทธิชินโตและถือได้ว่าเป็นประเภทของบทละครโนที่เก่าแก่ที่สุด
|
บทละครโนที่มีชื่อเสียง.
|
ตารางด้านล่างเป็นการคัดเลือกบทละครโนที่มีชื่อเสียงโดยโรงเรียนคันเซะ
|
ศัพยวิทยาทางสุนทรียศาสตร์.
|
เซอามิและเซ็นจิกุได้บรรยายคุณลักษณะของนักแสดงละครโนที่จำเป็นต่อการทำความเข้าใจละครโนให้เป็นรูปแบบทางศิลปะอย่างหนึ่ง
|
โรงละครโนที่ยังคงอยู่.
|
ละครโนยังคงเล่นอยู่ในโรงละครตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ ปัจจุบันมีโรงละครโนทั้งสิ้น 70 โรงทั่วประเทศญี่ปุ่น มีการเปิดการแสดงโดยนักแสดงละครโนชำนาญการหรือมือสมัครเล่น
|
โรงละครโนที่สนับสนุนโดยภาครัฐฯ มีทั้งสิ้น 3 โรงอันได้แก่ โรงละครโนแห่งชาติ (โตเกียว) โรงละครโนนาโงยะ และโรงละครโนโอซากะ แต่ละโรงเรียนละครโนจะมีโรงละครเป็นของตน เช่น โรงละครโนคันเซะ (โตเกียว) โรงละครโนโฮโช (โตเกียว) โรงละครโนคงโง (เกียวโต) และโรงละครโนคนปารุนาระ (นาระ) นอกจากนี้ยังมีโรงละครส่วนจังหวัดและส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศญี่ปุ่นที่ทำการแสดงโดยผู้เชี่ยวชาญและมือสมัครเล่น ในบางภูมิภาคที่มีละครโนเฉพาะพื้นที่ จะมีโรงเรียนเพื่อฝึกอบรมละครโนแบบคูโรกาวะซึ่งแยกออกจากโรงเรียนละครโนดั้งเดิมทั้ง 5 โดยสิ้นเชิง
|
มารยาทของผู้ชม.
|
มารยาทในการชมละครโนนั้นมีความคล้ายคลึงกับโรงละครในตะวันตกซึ่งก็คือการนั่งชมอย่างเงียบสงบ โดยจะไม่มีการใช้ แต่อาจมีการอ่านลิเบรตโต (บทละคร) ในขณะชมการแสดง และเพราะว่าบนเวทีนั้นไม่มีผ้าม่าน การแสดงจะเริ่มขึ้นเมื่อผู้แสดงเดินเข้าเวทีและจบเมื่อเดินออกจากเวที โดยปกติแล้วแสงไฟในโรงละครโนจะเปิดไว้ตลอดการแสดงเพื่อสร้างความรู้สึกที่ใกล้ชิดกันระหว่างผู้แสดงและผู้ชมละครโน
|
ในตอนท้ายของการแสดง ผู้แสดงจะตั้งแถวตอนลึกและเดินออกอย่างช้า ๆ (เรียงลำดับจากตัวละครที่สำคัญก่อนและมีช่องว่างระหว่างผู้แสดง) ขณะที่ผู้แสดงเดินมาถึงบนทางเดิน ("ฮาชิงาการิ") ผู้ชมจะปรบมือและหยุด จากนั้นจึงปรบมืออีกครั้งเมื่อผู้แสดงคนถัดไปเดินออกจากเวที โดยจะแตกต่างจากโรงละครตะวันตกที่จะไม่มีการโค้งคำนับหรือกลับมาทำการแสดงอีกครั้งเมื่อลงจากเวทีไปแล้ว หรือบทละครอาจจบลงด้วย"ชิเตะ"เดินออกจากเวทีเสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่อง (ยกตัวอย่างบทละครโนเช่น"โคกาจิ") แทนที่ตัวละครทุกตัวจะมารวมตัวกันบนเวที
|
ช่วงสับเปลี่ยนการแสดงอาจมีการให้บริการอาหารหรือเครื่องดื่มที่ห้องโถง เช่น ชา กาแฟ หรือ"วากาชิ" (ขนมญี่ปุ่น) ในยุคเอโดะที่ทำการแสดงละครโนทั้งวัน จะมีการรับรอง"มากุโนะโออูจิ"เบ็นโต ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ในงานสำคัญต่าง ๆ เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง อาจมีการเตรียม"โอมิกิ" ไว้บริเวณทางออกสู่ห้องโถงเฉกเช่นเดียวกันกับพิธีกรรมทางลัทธิชินโต
|
ผู้เข้าชมจะนั่งจากแถวหน้าของเวที ทางซ้ายของเวที และมุมซ้ายหน้าของเวทีตามลำดับ ในขณะที่เสานำสายตา (ดู ) จะบดบังการมองเห็นเวที ผู้แสดงโดยส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณตามมุมต่าง ๆ ไม่ใช่ตรงกลาง ดังนั้นจึงมีเพียงทางเดินระหว่างที่นั่งทั้งสองฝั่งมองเห็นการแสดงได้ยากและทำให้สามารถชมการแสดงได้โดยไม่มีอะไรบดบังแม้ว่าจะนั่งอยู่ตรงไหนก็ตาม
|
CCCP
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.