question
stringlengths
10
751
answer
stringlengths
3
12.6k
relevant_laws
listlengths
1
1
reference_answer
stringlengths
2
1.9k
reference_laws
listlengths
0
51
ในกรณีที่ไม่ออกใบรับให้ในทันทีที่ถูกเรียกร้องตามมาตรา 106 มีความผิดหรือไม่
มีความผิด คำอธิบาย ประมวลรัษฎากร มาตรา 127 ผู้ใดออกไม่ออกใบรับให้ในทันทีที่ถูกเรียกร้องตามมาตรา 106 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 127 ผู้ใดไม่ทำหรือไม่เก็บบันทึกตามมาตรา 105 ตรี หรือไม่ออกใบรับให้ในทันทีที่ถูกเรียกร้องตามมาตรา 106 หรือออกใบรับซึ่งไม่ปิดแสตมป์ตามจำนวนอากรที่ต้องเสียต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท", "section_num": "127" } ]
มีความผิด
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 105 ในกรณีต่อไปนี้ ผู้ขาย ผู้ให้เช่าซื้อ ผู้รับเงิน หรือผู้รับชำระราคาต้องออกใบรับให้แก่ผู้ซื้อ ผู้เช่าซื้อ ผู้จ่ายเงินหรือผู้ชำระราคา ในทันทีทุกคราวที่รับเงินหรือรับชำระราคาไม่ว่าจะมีการเรียกร้องให้ออกใบรับหรือไม่ก็ตาม\n(1) การรับเงินหรือรับชำระราคาจากการขายสินค้าหรือการให้บริการของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 และการรับเงินหรือรับชำระราคาจากการกระทำกิจการของผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามหมวด 5 ซึ่งรวมเงินหรือราคาที่ได้รับชำระแต่ละครั้งเกินจำนวนเงินตามที่อธิบดีกำหนด แต่อธิบดีจะกำหนดเกินหนึ่งพันบาทไม่ได้\n(2) การรับเงินหรือรับชำระราคาในกรณีอื่นซึ่งรวมเงิน หรือราคาที่ได้รับชำระแต่ละครั้งเกินจำนวนเงินตามที่อธิบดีกำหนด แต่อธิบดีจะกำหนดเกินหนึ่งหมื่นบาทไม่ได้\nถ้าการรับเงินหรือรับชำระราคาในกรณีเดียวกันมีจำนวนเกินกว่าที่อธิบดีกำหนดตาม (1) หรือ (2) แต่มีเงื่อนไขให้รับเงินหรือรับชำระราคาในภายหลังเป็นหลายงวด ให้ออกใบรับทุกคราวในทันทีที่รับเงินหรือรับชำระราคานั้น\nผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งได้ออกใบกำกับภาษีที่มีข้อความแสดงว่าได้รับเงินหรือรับชำระราคาแล้ว จะถือเอาใบกำกับภาษีนั้นเป็นใบรับที่ต้องออกตามมาตรานี้ก็ได้\nมาตรานี้ไม่ใช้บังคับแก่การจำหน่ายแสตมป์อากร หรือแสตมป์อื่นของรัฐบาลที่ยังมิได้ใช้", "section_num": "105" }, { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 106 ใบรับที่ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์แม้ไม่อยู่ในบังคับให้จำต้องออกใบรับตามความในมาตรา 105เมื่อผู้มีส่วนได้เสียเรียกร้อง ผู้มีหน้าที่ออกใบรับต้องออกให้ในทันทีที่ถูกเรียกร้อง", "section_num": "106" } ]
ในกรณีที่ทำสัญญาจ้างทำของมีการรับเงินสินจ้างเป็นคราว ๆ และอากรที่เสียไว้เดิมยังไม่ครบ ให้คำนวณค่าอากรแสตมป์อย่างไร และบุคคลใดเป็นผู้ที่ต้องเสียอากรและขีดฆ่าแสตมป์
ผู้รับจ้างต้องเป็นผู้ชำระค่าอากรและขีดฆ่าแสตมป์โดยให้เสียอากรเพิ่มเติมให้ครบตามจำนวนที่ต้องเสียทุกครั้งในทันทีที่มีการรับเงิน คำอธิบาย ประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสาร 4: จ้างทำของ หมายเหตุ (2) ถ้ามีการรับเงินสินจ้างเป็นคราว ๆ และอากรที่เสียไว้เดิมยังไม่ครบ ให้เสียอากรเพิ่มเติมให้ครบตามจำนวนที่ต้องเสียทุกครั้งในทันทีที่มีการรับเงิน ค่าอากรแสตมป์: 1 บาท ผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้รับจ้าง ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้รับจ้าง
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์\nลักษณะแห่งตราสาร: 4. จ้างทำของ\n\nหมายเหตุ\n(1) ถ้าในเวลากระทำสัญญาจ้างทำของไม่ทราบจำนวนสินจ้างว่าเป็นราคาเท่าใด ให้ประมาณจำนวนสินจ้างตามสมควร แล้วเสียอากรตามจำนวนสินจ้างที่ประมาณนั้น\n(2) ถ้ามีการรับเงินสินจ้างเป็นคราว ๆ และอากรที่เสียไว้เดิมยังไม่ครบ ให้เสียอากรเพิ่มเติมให้ครบตามจำนวนที่ต้องเสียทุกครั้งในทันทีที่มีการรับเงิน\n(3) เมื่อการรับจ้างทำของได้สิ้นสุดลงแล้วและปรากฏว่าได้เสียอากรเกินไปให้ขอคืน ตามมาตรา 122 ได้\nยกเว้นไม่ต้องเสียอากร\n\nค่าอากรแสตมป์: 1 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้รับจ้าง\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้รับจ้าง", "section_num": "บัญชีอัตราอากรแสตมป์ 4" } ]
ผู้รับจ้างต้องเป็นผู้ชำระค่าอากรและขีดฆ่าแสตมป์โดยให้เสียอากรเพิ่มเติมให้ครบตามจำนวนที่ต้องเสียทุกครั้งในทันทีที่มีการรับเงิน
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 122 ผู้ใดได้เสียค่าอากรหรือค่าเพิ่มอากรเกินไปไม่น้อยกว่า 2 บาท สำหรับตราสารลักษณะเดียวหรือเรื่องเดียว ผู้นั้นชอบที่จะทำคำร้องเป็นหนังสือยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่ออธิบดีเห็นว่าเกินไปจริงก็ให้คืนค่าอากรหรือค่าเพิ่มอากรที่เกินไปนั้นแก่ผู้เสียอากรได้ แต่คำร้องที่กล่าวนั้นต้องยื่นภายในเวลา 6 เดือน นับแต่วันเสียอากรหรือค่าเพิ่มอากรและต้องประกอบด้วยคำชี้แจงหรือเอกสารซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่หรืออธิบดีเห็นสมควรให้ยื่นสนับสนุนคำร้อง", "section_num": "122" } ]
ในกรณีที่มีการเบิกเงินเกินบัญชีเป็นจำนวนเงิน 25,000 บาท บุคคลใดเป็นผู้ที่ต้องชำระอากรแสตมป์, ขีดฆ่าแสตมป์, และชำระค่าอากรแสตมป์เป็นจำนวนเงินเท่าใด
ผู้ให้กู้เป็นบุคคลที่ต้องชำระค่าอากร 13 บาท เนื่องจากจำนวนที่ต้องเสียอากรนั้นไม่เกิน 10,000 บาท ในขณะที่ผู้กู้เป็นผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์อากร คำอธิบาย ประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสาร 5: ทุกจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท แห่งยอดเงินที่ให้กู้ยืม หรือตกลงให้เบิกเกินบัญชีค่าอากรตามลักษณะแห่งตราสารนี้ เมื่อคำนวณแล้ว ถ้าเกิน 10,000 บาท ให้เสีย 10,000 บาท ค่าอากรแสตมป์: 1 บาท ผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้ให้กู้ ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้กู้
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์\nลักษณะแห่งตราสาร: 5. กู้ยืมเงิน หรือการตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร\nทุกจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท แห่งยอดเงินที่ให้กู้ยืม หรือตกลงให้เบิกเกินบัญชีค่าอากรตามลักษณะแห่งตราสารนี้ เมื่อคำนวณแล้ว ถ้าเกิน 10,000 บาท ให้เสีย 10,000 บาท\nยกเว้นไม่ต้องเสียอากร\nการกู้ยืมเงินซึ่งสมาชิกกู้ยืมจากสหกรณ์หรือสหกรณ์กู้ยืมจากสหกรณ์หรือจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร\nค่าอากรแสตมป์: 1 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้ให้กู้\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้กู้", "section_num": "บัญชีอัตราอากรแสตมป์ 5" } ]
ผู้ให้กู้เป็นบุคคลที่ต้องชำระค่าอากร 13 บาท
[]
ใบมอบอำนาจคืออะไร และมีกี่ประเภท
ใบมอบอำนาจ คือ ใบตั้งตัวแทนซึ่งมิได้กระทำในรูปลักษณะตราสารสัญญา รวมทั้งใบตั้งอนุญาโตตุลาการ คำอธิบาย ตามประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสาร 7: ใบมอบอำนาจ คือ ใบตั้งตัวแทนซึ่งมิได้กระทำในรูปลักษณะตราสารสัญญา รวมทั้งใบตั้งอนุญาโตตุลาการ (ก) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียว (ข) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนร่วมกระทำการมากกว่าครั้งเดียว (ค) มอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียว โดยให้บุคคลหลายคนต่างคนต่างกระทำกิจการแยกกันได้คิดตามรายตัวบุคคลที่รับมอบ คนละ
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์\nลักษณะแห่งตราสาร: 7. ใบมอบอำนาจ คือ ใบตั้งตัวแทนซึ่งมิได้กระทำในรูปลักษณะตราสารสัญญา รวมทั้งใบตั้งอนุญาโตตุลาการ\n(ก) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียว\nค่าอากรแสตมป์: 10 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้มอบอำนาจ\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้รับมอบอำนาจ\n\n(ข) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนร่วมกระทำการมากกว่าครั้งเดียว\nค่าอากรแสตมป์: 30 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้มอบอำนาจ\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้รับมอบอำนาจ\n\n(ค) มอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียว โดยให้บุคคลหลายคนต่างคนต่างกระทำกิจการแยกกันได้คิดตามรายตัวบุคคลที่รับมอบ คนละ \nค่าอากรแสตมป์: 30 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้มอบอำนาจ\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้รับมอบอำนาจ\n\nหมายเหตุ ถ้าผู้มอบอำนาจมีหลายคน แต่มิได้เป็นผู้มีอำนาจร่วมกันแล้วมอบอำนาจในตราสารฉบับเดียวกัน ต้องคิดตามรายตัวบุคคลผู้มอบคนหนึ่ง เป็นเรื่องหนึ่ง ตามมาตรา 108 ยกเว้นไม่ต้องเสียอากร\n(1) ใบแต่งทนายและใบมอบอำนาจซึ่งทนายความให้แก่เสมียนของตน เพื่อเป็นตัวแทนดำเนินคดีในศาล\n(2) ใบมอบอำนาจให้โอน หรือให้กระทำการใด ๆ เกี่ยวด้วยสัตว์พาหนะ ตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ\n(3) ใบมอบอำนาจให้รับเงินหรือสิ่งของแทน\n(4) ใบมอบอำนาจซึ่งสหกรณ์เป็นผู้มอบ และใบมอบอำนาจตั้งสหกรณ์เป็นตัวแทนจัดการให้สหกรณ์ได้รับสิทธิในอสังหาริมทรัพย์", "section_num": "บัญชีอัตราอากรแสตมป์ 7" } ]
ใบมอบอำนาจ คือ ใบตั้งตัวแทนซึ่งมิได้กระทำในรูปลักษณะตราสารสัญญา รวมทั้งใบตั้งอนุญาโตตุลาการ โดยมี 3 ประเภท คือ (ก) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียว (ข) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนร่วมกระทำการมากกว่าครั้งเดียว (ค) มอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียว โดยให้บุคคลหลายคนต่างคนต่างกระทำกิจการแยกกันได้คิดตามรายตัวบุคคลที่รับมอบ คนละ
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 108 ถ้าทำตราสารหลายลักษณะตามที่ระบุในบัญชีท้ายหมวดนี้บนกระดาษแผ่นเดียวกัน หรือเป็นฉบับเดียวกัน เช่น เช่าและกู้ยืมรวมกันไว้ หรือทำตราสารลักษณะเดียวกันหลายเรื่องบนกระดาษแผ่นเดียวกัน หรือเป็นฉบับเดียวกัน เช่น ขายของสิ่งหนึ่งให้แก่คนหนึ่ง และขายอีกสิ่งหนึ่งให้แก่อีกคนหนึ่ง ซึ่งตามสภาพควรจะแยกกัน ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ให้ครบทุกลักษณะหรือทุกเรื่อง โดยปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นรายตราสารแยกไว้ ให้ปรากฏว่าตราสารใดอยู่ที่ใด และแสตมป์ดวงใดสำหรับตราสารลักษณะหรือเรื่องใด", "section_num": "108" } ]
ในกรณีที่ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตราสารทำนองเดียวกันที่ใช้อย่างตั๋วสัญญาใช้เงิน บุคคลใดเป็นผู้ที่ต้องชำระอากรแสตมป์, ขีดฆ่าแสตมป์, และชำระค่าอากรแสตมป์เป็นจำนวนเงินเท่าใด
ผู้ออกตั๋วเป็นผู้ที่ต้องขีดฆ่าอากรแสตมป์และชำระค่าอากรแสตมป์เป็นจำนวนเงิน 3 บาท คำอธิบาย ตามประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสาร 9: (2) ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตราสารทำนองเดียวกันที่ใช้อย่างตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉบับละ ค่าอากรแสตมป์: 3 บาท ผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้ออกตั๋ว ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้ออกตั๋ว ยกเว้นไม่ต้องเสียอากร ถ้าตั๋วออกเป็นสำรับและฉบับแรกในสำรับนั้นปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว ฉบับอื่น ๆ ไม่ต้องปิดอีก แต่ต้องสลักฉบับนั้น ๆ ไว้ว่า ได้เสียอากรแล้ว
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์\nลักษณะแห่งตราสาร: 9. (1) ตั๋วแลกเงินหรือตราสารทำนองเดียวกันที่ใช้อย่างตั๋วแลกเงิน ฉบับละ\nค่าอากรแสตมป์: 3 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้สั่งจ่าย\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้สั่งจ่าย\n\n(2) ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตราสารทำนองเดียวกันที่ใช้อย่างตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉบับละ\nค่าอากรแสตมป์: 3 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้ออกตั๋ว\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้ออกตั๋ว\n\nยกเว้นไม่ต้องเสียอากร\nถ้าตั๋วออกเป็นสำรับและฉบับแรกในสำรับนั้นปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว ฉบับอื่น ๆ ไม่ต้องปิดอีก แต่ต้องสลักฉบับนั้น ๆ ไว้ว่า ได้เสียอากรแล้ว", "section_num": "บัญชีอัตราอากรแสตมป์ 9" } ]
ผู้ออกตั๋วเป็นผู้ที่ต้องขีดฆ่าอากรแสตมป์และชำระค่าอากรแสตมป์เป็นจำนวนเงิน 3 บาท
[]
หากต้นฉบับของคู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร เสียอากรแสตมป์เกิน 5 บาท บุคคลใดจะต้องเป็นผู้ชำระอากรแสตมป์, ขีดฆ่าแสตมป์และเป็นจำนวนเงินเท่าใด
ถ้ามีบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่สัญญา บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นต้องเป็นผู้เสียอากรเป็นผู้เสียอากรในกรณีที่บุคคลนั้นไม่ใช่สหกรณ์ เป็นจำนวนเงิน 1 บาท และผู้ขีดฆ่าต้นฉบับเป็นผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์สำหรับคู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร คำอธิบาย: ตามประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสาร ข้อ 23: คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร คือ ตราสารซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกันกับต้นฉบับหรือต้นสัญญา และผู้กระทำตราสารได้ลงลายมือชื่อไว้อย่างเดียวกับต้นฉบับ (ข) ถ้าต้นฉบับเสียอากรเกิน 5 บาท ค่าอากรแสตมป์: 1 บาท ผู้ที่ต้องเสียอากร: (2) ถ้ามีบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่สัญญา บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นต้องเป็นผู้เสียอากร ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: คนเดียวกับผู้ขีดฆ่าต้นฉบับ ยกเว้นในกรณีที่ฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นสหกรณ์
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์\nลักษณะแห่งตราสาร: 23. คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร คือ ตราสารซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกันกับต้นฉบับหรือต้นสัญญา และผู้กระทำตราสารได้ลงลายมือชื่อไว้อย่างเดียวกับต้นฉบับ\n(ก) ถ้าต้นฉบับเสียอากรไม่เกิน 5 บาท\nค่าอากรแสตมป์: 1 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: (1) ถ้าไม่มีบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่สัญญาคนที่เสียอากรสำหรับต้นฉบับเป็นผู้เสีย\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: คนเดียวกับผู้ขีดฆ่าต้นฉบับ\n\n(ข) ถ้าเกิน 5 บาท\nค่าอากรแสตมป์: 1 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: (2) ถ้ามีบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่สัญญา บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นต้องเป็นผู้เสียอากร\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: คนเดียวกับผู้ขีดฆ่าต้นฉบับ\n\nยกเว้นไม่ต้องเสียอากร\nถ้าฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นสหกรณ์", "section_num": "บัญชีอัตราอากรแสตมป์ 23" } ]
บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นต้องเป็นผู้เสียอากรเป็นผู้เสียอากรในกรณีที่บุคคลนั้นไม่ใช่สหกรณ์ เป็นจำนวนเงิน 1 บาท และผู้ขีดฆ่าต้นฉบับเป็นผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์สำหรับคู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร
[]
ใบรับรางวัลสลากกินแบ่งของรัฐบาลจำนวนเงิน 200,150 บาท จะต้องชำระค่าอากรอย่างไร
ผู้ออกใบรับสลากกินแบ่งของรัฐบาลดังกล่าว จะต้องเป็นผู้เสียอากรเป็นจำนวนเงิน 1001 บาท และขีดค่าแสตมป์สำหรับใบรับนั้นๆ คำอธิบาย: ตามประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสาร ข้อ 28: ใบรับจะต้องชำระค่าอากรเป็นจำนวนเงิน 1 บาท สำหรับมูลค่าของใบรับที่มีจำนวนเงินตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป ทุก 200 บาท หรือเศษของ 200 บาท
[ { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร บัญชีอัตราอากรแสตมป์\nลักษณะแห่งตราสาร: 28. ใบรับ เฉพาะตามที่ระบุต่อไปนี้\n(ก) ใบรับรางวัลสลากกินแบ่งของรัฐบาล\n(ข) ใบสำหรับการโอน หรือก่อตั้งสิทธิใด ๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ในเมื่อนิติกรรมที่เป็นเหตุให้ออกใบรับนั้นมีการจดทะเบียนตามกฎหมาย\n(ค) ใบรับสำหรับการขาย ขายฝาก ให้เช่าซื้อหรือโอนกรรมสิทธิ์ยานพาหนะ ทั้งนี้ เฉพาะยานพาหนะซึ่งมีการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนั้น ๆ\nถ้าใบรับตาม (ก) (ข) หรือ (ค) มีจำนวนเงินตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป ทุก 200 บาท หรือเศษของ 200 บาท\nค่าอากรแสตมป์: 1 บาท\nผู้ที่ต้องเสียอากร: ผู้ออกใบรับ\nผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์: ผู้ออกใบรับ\n\nยกเว้นไม่ต้องเสียอากร\nใบรับ สำหรับจำนวนเงินที่ผู้รับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะ", "section_num": "บัญชีอัตราอากรแสตมป์ 28" } ]
ผู้ออกใบรับสลากกินแบ่งของรัฐบาลดังกล่าว จะต้องเป็นผู้เสียอากรเป็นจำนวนเงิน 1001 บาท และขีดค่าแสตมป์สำหรับใบรับนั้นๆ
[]
ในช่วงระยะเวลาที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยังไม่ได้รับใบอนุญาตในการประกอบกิจการพลังงาน กฎหมายใดมีหน้าที่กำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท
พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับต่อไป คำอธิบาย พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 149 เพื่อให้การประกอบกิจการพลังงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถดำเนินงานได้ต่อไปตามมาตรา 146 มิให้นำมาตรา 26 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 มาใช้บังคับกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จนกว่าบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จะได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ และในช่วงเวลาดังกล่าวให้พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับต่อไป
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550", "section_content": "พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 149 เพื่อให้การประกอบกิจการพลังงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถดำเนินงานได้ต่อไปตามมาตรา 146 มิให้นำมาตรา 26 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 มาใช้บังคับกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จนกว่าบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จะได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ และในช่วงเวลาดังกล่าวให้พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับต่อไป", "section_num": "149" } ]
พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มีผลใช้บังคับต่อไป
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550", "section_content": "พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 146 นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการพลังงานได้ต่อไปจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้\nในระหว่างการประกอบกิจการพลังงานตามวรรคหนึ่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้านครหลวง กฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แล้วแต่กรณี", "section_num": "146" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542", "section_content": "พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 มาตรา 26 ในกรณีที่กฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจที่มีการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นของบริษัทหรือกฎหมายอื่นมีบทบัญญัติให้อำนาจรัฐวิสาหกิจดำเนินการใด ๆ ต่อบุคคล ทรัพย์สิน หรือสิทธิของบุคคล หรือมีบทบัญญัติให้การดำเนินการของรัฐวิสาหกิจนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการใด หรือได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายในเรื่องใด หรือมีบทบัญญัติให้สิทธิพิเศษแก่รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นกรณีเฉพาะ หรือมีบทบัญญัติคุ้มครองกิจการ พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ให้ถือว่าบทบัญญัตินั้นมีผลใช้บังคับต่อไป โดยบริษัทมีฐานะอย่างเดียวกับรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายดังกล่าว แต่อำนาจ สิทธิ หรือประโยชน์ที่ว่านั้นอาจจำกัดหรืองดได้ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาและอาจกำหนดในพระราชกฤษฎีกาให้อำนาจนั้นเป็นของคณะกรรมการคณะหนึ่งคณะใดตามที่จะกำหนด หรือจะให้แต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ และให้นำมาตรา 9 มาใช้บังคับแก่คณะกรรมการดังกล่าวด้วยโดยอนุโลม\nในกรณีตามวรรคหนึ่งให้ดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาให้บริษัทคงมีอำนาจ สิทธิ หรือประโยชน์เพียงเท่าที่จำเป็นแก่การดำเนินงานที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจ การควบคุมให้การใช้อำนาจทางกฎหมายเป็นไปโดยถูกต้อง และการรักษาประโยชน์ของรัฐประกอบด้วย โดยจะกำหนดเงื่อนเวลาหรือเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติหรือให้กรณีใดจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งก่อนก็ได้ และคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจต้องเสนอแนะให้ทบทวนแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สอดคล้องกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจประเภทนั้นอยู่เสมอ\nในกรณีที่รัฐวิสาหกิจที่มีการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นของบริษัทได้ทำสัญญาที่มีข้อกำหนดให้บุคคลผู้เป็นคู่สัญญาได้มีสิทธิในการดำเนินกิจการใด ให้ถือว่าคู่สัญญาดังกล่าวมีสิทธิตามกฎหมายที่จะดำเนินกิจการตามสัญญานั้นต่อไป จนกว่าสัญญาจะสิ้นสุด แม้ต่อมาจะมีกฎหมายกำหนดให้กิจการนั้นต้องจัดให้มีการแข่งขันโดยเสรีก็ตาม\nอำนาจของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง อำนาจของรัฐมนตรีผู้กำกับดูแล อำนาจ สิทธิ หรือประโยชน์ตามวรรคหนึ่งและวรรคสามเป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อมีการตรากฎหมายว่าด้วยการดำเนินกิจการที่บริษัทตามวรรคหนึ่งหรือคู่สัญญาตามวรรคสามดำเนินการอยู่ โดยกิจการของบริษัทหรือของคู่สัญญาดังกล่าว แล้วแต่กรณี ต้องอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการนั้นตามหลักการแห่งความเท่าเทียมกันอย่างเป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจและในกรณีที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้กิจการนั้นต้องได้รับอนุญาตหรือสัมปทาน หรือต้องดำเนินการใด ๆ ถ้าบริษัทหรือคู่สัญญาดังกล่าวมีคำขอก็ให้อนุญาตหรือให้สัมปทานหรือให้ดำเนินการดังกล่าวได้ สำหรับกรณีของคู่สัญญาให้มีสิทธิดังกล่าวได้เท่าระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามสัญญา เว้นแต่คู่สัญญาจะยินยอมสละสิทธิดังกล่าว หรือคณะรัฐมนตรีมีมติให้สิทธิดังกล่าวสิ้นสุดลงโดยชดเชยค่าเสียหายให้ตามความเป็นธรรม\nอำนาจ สิทธิ หรือประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้สิ้นสุดลงเมื่อบริษัทนั้นสิ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ", "section_num": "26" } ]
คำว่า "ปิโตเลียม" "น้ำมันดิบ" "ขาย" "จำหน่าย" "บริษัท" ซึ้งคำเหล่านี้ใช้อ้างอิงตามความหมายตามกฎหมายปิโตเลียม ดังนั้น คำแต่ละคำมีความหมายว่าอย่างไร
“ปิโตรเลียม” หมายความว่า ปิโตรเลียมที่ผลิตในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม “น้ำมันดิบ” หมายความว่า น้ำมันดิบตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม “จำหน่าย” หมายความว่า ส่งน้ำมันดิบไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงแยกก๊าซ โรงทำก๊าซให้เป็นของเหลว โรงอัดก๊าซหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อกิจการดังกล่าวของบริษัทนำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆของบริษัทหรือของผู้อื่นโดยไม่มีการขายหรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงโดยไม่มีค่าตอบแทน “บริษัท” หมายความว่า บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่ง (1)ได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน หรือ (2) ซื้อน้ำมันดิบที่บริษัทตาม(1) เป็นผู้ผลิต เพื่อส่งน้ำมันดิบนั้นทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันตามมาตรา39 แห่งประมวลรัษฎากร คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ “ปิโตรเลียม” หมายความว่า ปิโตรเลียมที่ผลิตในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม “น้ำมันดิบ” หมายความว่า น้ำมันดิบตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม “จำหน่าย” หมายความว่า ส่งน้ำมันดิบไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงแยกก๊าซ โรงทำก๊าซให้เป็นของเหลว โรงอัดก๊าซหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อกิจการดังกล่าวของบริษัทนำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆของบริษัทหรือของผู้อื่นโดยไม่มีการขายหรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงโดยไม่มีค่าตอบแทน “บริษัท” หมายความว่า บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่ง (1)ได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน หรือ (2) ซื้อน้ำมันดิบที่บริษัทตาม(1) เป็นผู้ผลิต เพื่อส่งน้ำมันดิบนั้นทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันตามมาตรา39 แห่งประมวลรัษฎากร
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้\n“ปิโตรเลียม” หมายความว่า ปิโตรเลียมที่ผลิตในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“น้ำมันดิบ” หมายความว่า น้ำมันดิบตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“น้ำมันดิบที่ส่งออก” หมายความว่า น้ำมันดิบที่บริษัทซึ่งได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือขายให้แก่บุคคลอื่นเพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักรและให้หมายความรวมถึงน้ำมันดิบที่กลั่นในราชอาณาจักรเฉพาะส่วนที่ถือว่าเป็นน้ำมันดิบที่ส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“กิจการปิโตรเลียม” หมายความว่า กิจการปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและให้หมายความรวมถึงการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ทั้งหมดหรือบางส่วนที่เกี่ยวกับกิจการดังกล่าวไม่ว่าการโอนนั้นจะเป็นปกติธุระหรือไม่ก็ตามรวมทั้งกิจการใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการหรือการโอนดังกล่าวด้วย\n“เงินได้” หมายความว่า เงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาอันอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินและรวมถึงภาษีอากรที่มีผู้อื่นออกแทนให้แต่ไม่รวมถึงภาษีที่ให้บริษัทผู้ขายนำมาเป็นเครดิตตามมาตรา 32\n“ราชอาณาจักร” หมายความว่า ราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“สัมปทาน” หมายความว่า สัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“ขาย” หมายความว่า ขายตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“จำหน่าย” หมายความว่า ส่งน้ำมันดิบไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงแยกก๊าซ โรงทำก๊าซให้เป็นของเหลว โรงอัดก๊าซหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อกิจการดังกล่าวของบริษัทนำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆของบริษัทหรือของผู้อื่นโดยไม่มีการขายหรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงโดยไม่มีค่าตอบแทน\n“ราคามาตรฐาน” หมายความว่า ราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม หักด้วยส่วนลดถ้ามี\n“ราคาตลาด” หมายความว่า ราคาในตลาดเปิดเผย หากไม่มีราคาดังกล่าวหมายความว่าราคาที่พึงคิดกันระหว่างบุคคลซึ่งเป็นอิสระต่อกันโดยไม่มีความสัมพันธ์ในด้านทุนหรือการจัดการ\n“ค่าภาคหลวง” หมายความว่า ค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“บริษัท” หมายความว่า บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่ง\n(1)ได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน หรือ\n(2) ซื้อน้ำมันดิบที่บริษัทตาม(1) เป็นผู้ผลิต เพื่อส่งน้ำมันดิบนั้นทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร\n“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันตามมาตรา39 แห่งประมวลรัษฎากร\n“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมสรรพากร\n“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "4" } ]
“ปิโตรเลียม” หมายความว่า ปิโตรเลียมที่ผลิตในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม; “น้ำมันดิบ” หมายความว่า น้ำมันดิบตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม; “จำหน่าย” หมายความว่า ส่งน้ำมันดิบไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงแยกก๊าซ โรงทำก๊าซให้เป็นของเหลว โรงอัดก๊าซหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อกิจการดังกล่าวของบริษัทนำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆของบริษัทหรือของผู้อื่นโดยไม่มีการขายหรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงโดยไม่มีค่าตอบแทน; “บริษัท” หมายความว่า บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่ง (1)ได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน หรือ (2) ซื้อน้ำมันดิบที่บริษัทตาม(1) เป็นผู้ผลิต เพื่อส่งน้ำมันดิบนั้นทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 32 ในกรณีที่บริษัทผู้ได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานขายน้ำมันดิบให้แก่บริษัทผู้ซื้อเพื่อส่งน้ำมันดิบนั้นทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร ถ้าบริษัทผู้ซื้อต้องเสียภาษีตามมาตรา 20 เป็นจำนวนเท่าใดให้บริษัทผู้ขายนำภาษีจำนวนนั้นมาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่บริษัทผู้ขายต้องเสียในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันได้ แต่ต้องไม่เกินจำนวนภาษีที่บริษัทผู้ขายต้องเสีย\nในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคาต่ำกว่าราคามาตรฐานและขายไปในราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน เครดิตที่บริษัทผู้ขายจะหักตามวรรคหนึ่งต้องไม่เกินส่วนของจำนวนภาษีที่บริษัทผู้ซื้อเสียสำหรับผลต่างระหว่างราคามาตรฐานกับราคาที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบ\nในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคามาตรฐานหรือราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน ไม่ให้หักเครดิตตามวรรคหนึ่ง", "section_num": "32" }, { "law_name": "ประมวลรัษฎากร", "section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ในหมวดนี้เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น\n“เงินได้พึงประเมิน” หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ ด้วย\n“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน”หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปซึ่งมีความสัมพันธ์กันในลักษณะดังต่อไปนี้\n(1)ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนเกินกว่ากึ่งจำนวนผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนเกินกว่ากึ่งจำนวนผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่ง\n(2)ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งมีมูลค่าเกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมดถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งมีมูลค่าเกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด\n(3)นิติบุคคลหนึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมดหรือ\n(4)บุคคลเกินกว่ากึ่งจำนวนกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการในนิติบุคคลหนึ่งเป็นกรรมการหรือเป็นผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการในอีกนิติบุคคลหนึ่ง\n“ปีภาษี” หมายความว่า ปีปฏิทิน\n“บริษัทจดทะเบียน” หมายความว่า บริษัทจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย\n“บริษัทจัดการกิจการลงทุน” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการจัดการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน\n“กองทุนรวม” (ยกเลิก)\n“บริษัทเงินทุน” หมายความว่า บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน\n“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึง\n(1) กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ\n(2) กิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือระหว่างบริษัทและ/หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น\n(3) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 47 (7) (ข)\n(3/1) กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ\n(4) นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา\n“คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” หมายความว่า บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงกระทำการร่วมกันอันมิใช่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ\n“ขาย” หมายความรวมถึง ขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้ โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าด้วยวิธีใดและไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่แต่ไม่รวมถึง\n(1) ขาย แลกเปลี่ยน ให้ หรือโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และราคาหรือมูลค่าตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(2) การโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาทซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์\n“ราคาขาย” หมายความรวมถึง ราคาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดตามมาตรา 49 ทวิ\n“สิทธิครอบครอง” หมายความถึง สิทธิครอบครองในการถือครองอสังหาริมทรัพย์", "section_num": "39" } ]
การขยายหรือเลื่อนเวลาของอธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีต้องอิงจากอะไร
ความจำเป็นในแต่ละกรณี คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 5 กำหนดเวลาตามที่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ ให้อธิบดี โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งขยายหรือเลื่อนเวลาออกไปได้ตามความจำเป็นแก่กรณี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 5 กำหนดเวลาตามที่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ ให้อธิบดี โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งขยายหรือเลื่อนเวลาออกไปได้ตามความจำเป็นแก่กรณี", "section_num": "5" } ]
ความจำเป็นในแต่ละกรณี
[]
ในกรณีฉุกเฉิน สามารถทำการตรวจค้นหรือยึดบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นใดซึ่งเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียมหรือซึ่งอธิบดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่าย ในช่วงเวลาใด
ช่วงเวลาใดก็ได้ ตามที่อธิบดีได้ออกคำสั่ง คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 6 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานตรวจค้นหรือยึดบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นใดซึ่งเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียมหรือซึ่งอธิบดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่าย การตรวจค้นหรือยึดตามวรรคหนึ่งให้กระทำในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของผู้ถูกตรวจค้นหรือถูกยึด เว้นแต่การตรวจค้นหรือยึดในเวลาดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ จะกระทำต่อไปก็ได้ หรือในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง อธิบดีจะออกคำสั่งให้ตรวจค้นหรือยึดในเวลาใด ๆ ก็ได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 6 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานตรวจค้นหรือยึดบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นใดซึ่งเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียมหรือซึ่งอธิบดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายดังกล่าว\nการตรวจค้นหรือยึดตามวรรคหนึ่งให้กระทำในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของผู้ถูกตรวจค้นหรือถูกยึด เว้นแต่การตรวจค้นหรือยึดในเวลาดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ จะกระทำต่อไปก็ได้ หรือในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง อธิบดีจะออกคำสั่งให้ตรวจค้นหรือยึดในเวลาใด ๆ ก็ได้", "section_num": "6" } ]
ช่วงเวลาใดก็ได้ ตามที่อธิบดีได้ออกคำสั่ง
[]
เมื่อต้องการให้ผู้เสียภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 แสดงบัญชี หลักฐาน รายงาน หรือแจ้งข้อความใด ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท อธิบดีจะต้องออกคำสั่งในรูปแบบใด
ออกคำสั่งเป็นหนังสือ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 7 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้บริษัทแสดงบัญชี หลักฐาน รายงาน หรือแจ้งข้อความใด ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท คำสั่งตามวรรคหนึ่งจะให้ปฏิบัติก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกของบริษัทก็ได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 7 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้บริษัทแสดงบัญชี หลักฐาน รายงาน หรือแจ้งข้อความใด ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท\nคำสั่งตามวรรคหนึ่งจะให้ปฏิบัติก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกของบริษัทก็ได้", "section_num": "7" } ]
ออกคำสั่งเป็นหนังสือ
[]
หากได้รับการอนุมัติจากอธิบดีให้สามารถใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทย ต้องใช้ช่วงใดถึงช่วงใด
ตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดี คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8 บรรดาบัญชี หลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีซึ่งเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทให้ทำเป็นภาษาไทยและต้องระบุเป็นเงินตราไทยเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้บริษัททำเป็นภาษาต่างประเทศหรือระบุเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือเปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามวรรคหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยดังกล่าวตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนแปลงได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8 บรรดาบัญชี หลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีซึ่งเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทให้ทำเป็นภาษาไทยและต้องระบุเป็นเงินตราไทยเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้บริษัททำเป็นภาษาต่างประเทศหรือระบุเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือเปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nให้บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามวรรคหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยดังกล่าวตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนแปลงได้", "section_num": "8" } ]
ตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดี
[]
การคำนวณมูลค่าของเงินตรา ทรัพย์สิน หนี้สิน และรายการอื่น ๆ ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ที่ไม่ใช่เงินตราไทย ต้องคำนวณเมื่อใด
วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีอนุมัติ ซึ่งโดยปกติแล้ว 1 รอบระยะบัญชีเริ่มวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม (1รอบระยะเวลาบัญชี) ของปีนั้นๆ แต่ก็มีบริษัทที่ขอจดทะเบียนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของรอบระยะบัญชี ไปจนถึงวันที่ 31 ธนวาคม คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8/1 เมื่ออธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือให้เปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามมาตรา8 ให้บริษัทคำนวณมูลค่าของเงินตรา ทรัพย์สิน หนี้สิน และรายการอื่น ๆ ในงบการเงินณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีอนุมัติและบรรดารายการต่าง ๆ รวมทั้งผลขาดทุนประจำปีคงเหลือตามมาตรา 28 (1)ที่ใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้ที่เหลืออยู่ ณ วันนั้น เป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8/1 เมื่ออธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือให้เปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามมาตรา8 ให้บริษัทคำนวณมูลค่าของเงินตรา ทรัพย์สิน หนี้สิน และรายการอื่น ๆ ในงบการเงินณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีอนุมัติและบรรดารายการต่าง ๆ รวมทั้งผลขาดทุนประจำปีคงเหลือตามมาตรา 28 (1)ที่ใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้ที่เหลืออยู่ ณ วันนั้น เป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา", "section_num": "8/1" } ]
วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีอนุมัติ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 28 ในกรณีที่มีผลกำไรประจำปี ให้หักลดหย่อนได้ ดังต่อไปนี้\n(1) ผลขาดทุนประจำปีของรอบระยะเวลาบัญชีใด ๆ ในสิบรอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน\nผลขาดทุนประจำปี เมื่อได้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว หากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี\n(2) เงินบริจาครวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ 1 ของผลกำไรประจำปีหลังจากหักลดหย่อนตาม (1) แล้ว ทั้งนี้ เฉพาะเงินบริจาคดังต่อไปนี้\n(ก) เงินที่บริจาคแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาของทางราชการ\n(ข) เงินที่บริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาอื่นนอกจากที่กล่าวใน (ก) ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา", "section_num": "28" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8 บรรดาบัญชี หลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีซึ่งเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทให้ทำเป็นภาษาไทยและต้องระบุเป็นเงินตราไทยเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้บริษัททำเป็นภาษาต่างประเทศหรือระบุเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือเปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nให้บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามวรรคหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยดังกล่าวตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนแปลงได้", "section_num": "8" } ]
เอกสารใดบ้างที่ถ้าทำเป็นภาษาต่างประเทศ อธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งการให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีแปลเป็นภาษาไทย
1. บัญชี 2. หลักฐาน 3. รายงาน 4. เอกสารต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียม คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 9 บรรดาบัญชี หลักฐาน รายงาน และเอกสารต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียม ถ้าทำเป็นภาษาต่างประเทศ อธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จัดการแปลเป็นภาษาไทยให้เสร็จภายในเวลาอันสมควรได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 9 บรรดาบัญชี หลักฐาน รายงาน และเอกสารต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียม ถ้าทำเป็นภาษาต่างประเทศ อธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จัดการแปลเป็นภาษาไทยให้เสร็จภายในเวลาอันสมควรได้", "section_num": "9" } ]
1. บัญชี 2. หลักฐาน 3. รายงาน 4. เอกสารต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียม
[]
หาใช้วิธีปิดหมายในการส่ง ต้องล่วงพ้นเป็นระยะเวลากี่วัน จึงจะถือว่าบุคคลนั้นได้รับหมายเรียก หนังสือแจ่งการประเมิน หรือหนังสืออื่นแล้ว
3 วัน คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 10 หมายเรียก หนังสือแจ้งการประเมิน หรือหนังสืออื่นที่มีถึงบุคคลใดเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ให้นำไปส่งในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของผู้รับ หรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ถ้าไม่สามารถจะส่งตามวิธีดังกล่าวในวรรคหนึ่งด้วยเหตุใด ๆ ให้ส่งโดยวิธีปิดหมายเรียก หนังสือแจ้งการประเมิน หรือหนังสืออื่น ณ ที่เห็นได้ง่ายที่ประตูบ้าน สำนักงาน ภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ของผู้รับ หรือส่งโดยวิธีย่อข้อความในหมายเรียก หนังสือแจ้งการประเมิน หรือหนังสืออื่นนั้นลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ก็ได้ เมื่อได้ส่งตามวิธีดังกล่าวในวรรคสองและเวลาได้ล่วงพ้นไปสามวันแล้ว ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รับหมายเรียก หนังสือแจ้งการประเมิน หรือหนังสืออื่นนั้นแล้ว
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 10 หมายเรียก หนังสือแจ้งการประเมิน หรือหนังสืออื่นที่มีถึงบุคคลใดเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ให้นำไปส่งในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของผู้รับ หรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน\nถ้าไม่สามารถจะส่งตามวิธีดังกล่าวในวรรคหนึ่งด้วยเหตุใด ๆ ให้ส่งโดยวิธีปิดหมายเรียก หนังสือแจ้งการประเมิน หรือหนังสืออื่น ณ ที่เห็นได้ง่ายที่ประตูบ้าน สำนักงาน ภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ของผู้รับ หรือส่งโดยวิธีย่อข้อความในหมายเรียก หนังสือแจ้งการประเมิน หรือหนังสืออื่นนั้นลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ก็ได้\nเมื่อได้ส่งตามวิธีดังกล่าวในวรรคสองและเวลาได้ล่วงพ้นไปสามวันแล้ว ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รับหมายเรียก หนังสือแจ้งการประเมิน หรือหนังสืออื่นนั้นแล้ว", "section_num": "10" } ]
3 วัน
[]
เมือเจ้าพนักงานที่ตามหน้าที่ราชการนนั้น ได้รู้เรื่องกิจการของผู้เสียภาษี หรือของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง เจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตนเช่นใด
ไม่นำข้อมูลที่ล่วงรู้แจ้งแก่ผู้ใด หรือยังให้ทราบกันไปโดยวิธีใด เว้นแต่จะมีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 11 เจ้าพนักงานผู้ใดโดยหน้าที่ราชการได้รู้เรื่องกิจการของผู้เสียภาษี หรือของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง ห้ามมิให้นำออกแจ้งแก่ผู้ใดหรือทำให้เป็นที่ล่วงรู้แก่ผู้อื่นโดยวิธีใด ๆ เว้นแต่จะมีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 11 เจ้าพนักงานผู้ใดโดยหน้าที่ราชการได้รู้เรื่องกิจการของผู้เสียภาษี หรือของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง ห้ามมิให้นำออกแจ้งแก่ผู้ใดหรือทำให้เป็นที่ล่วงรู้แก่ผู้อื่นโดยวิธีใด ๆ เว้นแต่จะมีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย", "section_num": "11" } ]
ไม่นำข้อมูลที่ล่วงรู้แจ้งแก่ผู้ใด หรือยังให้ทราบกันไปโดยวิธีใด เว้นแต่จะมีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
[]
ภาษีอากรที่บริษัทหรือนิติบุคคลที่ได้รับสัมปทานน้ำมันหรือที่ซื้อน้ำมันดิบจากผู้ที่ไ้ด้รับสัมปทานน้ำมัน ที่ได้รับยกเว้นคือภาษีอากรที่เก็บได้จากที่ใด
ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร หรือตามกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายปิโตรเลียมที่ได้รับยกเว้น คือภาษีอากรที่เก็บจากกำไรสุทธิหรือที่เก็บจากเงินได้ที่ต้องนำมารวมเพื่อคำนวณกำไรสุทธิ หรือเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตาม พรบ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม คำอธิบาย : ให้บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ ได้รับยกเว้น (1) ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร และ (2) ภาษีอากรตามกฎหมายอื่น เว้นแต่ตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ทั้งนี้ เฉพาะภาษีอากรที่เก็บจากกำไรสุทธิหรือที่เก็บจากเงินได้ที่ต้องนำมารวมเพื่อคำนวณกำไรสุทธิ หรือเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 12 ให้บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ ได้รับยกเว้น\n(1) ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร และ\n(2) ภาษีอากรตามกฎหมายอื่น เว้นแต่ตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\nทั้งนี้ เฉพาะภาษีอากรที่เก็บจากกำไรสุทธิหรือที่เก็บจากเงินได้ที่ต้องนำมารวมเพื่อคำนวณกำไรสุทธิ หรือเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "12" } ]
ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร หรือตามกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายปิโตรเลียมที่ได้รับยกเว้น คือภาษีอากรที่เก็บจากกำไรสุทธิหรือที่เก็บจากเงินได้ที่ต้องนำมารวมเพื่อคำนวณกำไรสุทธิ หรือเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตาม พรบ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
[]
ภาษีอากรใดที่บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศ ไม่ได้รับการยกเว้ยไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
ภาษีอากรที่เก็บจากเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายจากกำไรสุทธิ หรือที่จ่ายจากเงินได้อัน คำ อธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 13 ให้บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศได้รับยกเว้น (1) ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร และ (2) ภาษีอากรตามกฎหมายอื่น ทั้งนี้ เฉพาะภาษีอากรที่เก็บจากเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายจากกำไรสุทธิ หรือที่จ่ายจากเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 13 ให้บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศได้รับยกเว้น\n(1) ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร และ\n(2) ภาษีอากรตามกฎหมายอื่น\nทั้งนี้ เฉพาะภาษีอากรที่เก็บจากเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายจากกำไรสุทธิ หรือที่จ่ายจากเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "13" } ]
ภาษีอากรที่เก็บจากเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายจากกำไรสุทธิ หรือที่จ่ายจากเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
[]
ภาษีค้าง จะสามารถชำระได้อย่างไร
การชำระภาษีค้างให้นำบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับวิธีการชำระภาษีค้างมาใช้บังคับ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 14 ภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อถึงกำหนดชำระหรือนำส่งแล้ว มิได้ชำระหรือนำส่ง ให้ถือเป็นภาษีค้าง เพื่อให้ได้รับชำระภาษีค้าง ให้นำบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับวิธีการเพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้างมาใช้บังคับ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 14 ภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อถึงกำหนดชำระหรือนำส่งแล้ว มิได้ชำระหรือนำส่ง ให้ถือเป็นภาษีค้าง\nเพื่อให้ได้รับชำระภาษีค้าง ให้นำบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับวิธีการเพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้างมาใช้บังคับ", "section_num": "14" } ]
การชำระภาษีค้างให้นำบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับวิธีการชำระภาษีค้างมาใช้บังคับ
[]
ภายใต้สัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่รัฐบาลไทยทำกับรัฐบาลต่างประเทศทำให้บุคคลตามสัญญาดังกล่าวนี้มีสิทธิพิเศษอย่างไรในด้านภาษี
บุคคลตามสัญญาว่าด้วยการเก็บภาษีซ้อน จะทำให้บุคคลตามสัญญานี้ไ้ด้รับการลดหรือยกเว้นภาษี คำอธิบาย : คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 15 ให้ลดหรือยกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัตินี้แก่บุคคลตามสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่รัฐบาลไทยทำกับรัฐบาลต่างประเทศ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 15 ให้ลดหรือยกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัตินี้แก่บุคคลตามสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่รัฐบาลไทยทำกับรัฐบาลต่างประเทศ", "section_num": "15" } ]
บุคคลตามสัญญาว่าด้วยการเก็บภาษีซ้อน จะทำให้บุคคลตามสัญญานี้ไ้ด้รับการลดหรือยกเว้นภาษี
[]
อธิบดีมีอำนาจในการกำหนดแบบแสดงรายการและแบบพิมพ์อื่นหรือไม่
มีอำนาจในการกำหนดแบบแสดงรายการและแบบพิมพ์อื่น คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 16 ให้อธิบดีมีอำนาจ (1) กำหนดแบบแสดงรายการและแบบพิมพ์อื่น
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 16 ให้อธิบดีมีอำนาจ\n(1) กำหนดแบบแสดงรายการและแบบพิมพ์อื่น\n(2) แต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมินและเจ้าพนักงานอื่น\n(3) กำหนดระเบียบหรือข้อบังคับให้ผู้เสียภาษีหรือผู้ทำการแทนทำบัญชี หลักฐาน รายงาน หรือทำการใด ๆ ตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บและการเสียภาษี\nการแต่งตั้งเจ้าพนักงานตาม (2) และการกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับตาม (3) ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา", "section_num": "16" } ]
มีอำนาจในการกำหนดแบบแสดงรายการและแบบพิมพ์อื่น
[]
ในกรณีที่มีผู้เสียร้องขอจัดทำหลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีเป็นภาษาต่างประเทศและบันทึกในสกุลเงินที่ไม่ใช่เงินตราไทย อธิบดีสามารถสั่งการให้ผู้ใดเป็นผู้อนุมัติแทนได้ และต้องกระทำในรูปแบบใด
อธิบดีอาจมอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือให้ผู้อำนวยการกอง หัวหน้ากองในกรมสรรพากร หรือสรรพากรเขต เป็นผู้ทำการแทนได้ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 17 อำนาจของอธิบดีตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 26 (1) และมาตรา 77 อธิบดีอาจมอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือให้ผู้อำนวยการกอง หัวหน้ากองในกรมสรรพากร หรือสรรพากรเขต เป็นผู้ทำการแทนได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 17 อำนาจของอธิบดีตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 26 (1) และมาตรา 77 อธิบดีอาจมอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือให้ผู้อำนวยการกอง หัวหน้ากองในกรมสรรพากร หรือสรรพากรเขต เป็นผู้ทำการแทนได้", "section_num": "17" } ]
อธิบดีอาจมอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือให้ผู้อำนวยการกอง หัวหน้ากองในกรมสรรพากร หรือสรรพากรเขต เป็นผู้ทำการแทนได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์ และการปฏิบัติทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้คำนวณตามราคาที่ขายได้จริงซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมแต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้นเว้นแต่กรณีน้ำมันดิบที่ส่งออกถ้าราคาที่ขายได้จริงต่ำกว่าราคามาตรฐานให้คำนวณตามราคามาตรฐาน\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาดซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(9/1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สินให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขสำหรับการคำนวณรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายประเภทได้\n(9/2)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(10)ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลงส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุน หรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้ว หากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ\n(16) ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงโดยแปลงสำรวจบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมพ.ศ. 2514ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 และบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิสำหรับแปลงสำรวจที่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้น ๆเสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน\nการคำนวณรายได้และรายจ่ายสำหรับแปลงสำรวจตามวรรคหนึ่งถ้ารายได้และรายจ่ายรายการใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งให้เฉลี่ยรายได้และรายจ่ายตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "26" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 5 กำหนดเวลาตามที่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ ให้อธิบดี โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งขยายหรือเลื่อนเวลาออกไปได้ตามความจำเป็นแก่กรณี", "section_num": "5" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 6 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานตรวจค้นหรือยึดบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นใดซึ่งเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียมหรือซึ่งอธิบดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายดังกล่าว\nการตรวจค้นหรือยึดตามวรรคหนึ่งให้กระทำในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของผู้ถูกตรวจค้นหรือถูกยึด เว้นแต่การตรวจค้นหรือยึดในเวลาดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ จะกระทำต่อไปก็ได้ หรือในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง อธิบดีจะออกคำสั่งให้ตรวจค้นหรือยึดในเวลาใด ๆ ก็ได้", "section_num": "6" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 7 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้บริษัทแสดงบัญชี หลักฐาน รายงาน หรือแจ้งข้อความใด ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท\nคำสั่งตามวรรคหนึ่งจะให้ปฏิบัติก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกของบริษัทก็ได้", "section_num": "7" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 77 ความผิดตามมาตรา 67 ถึงมาตรา 70 และมาตรา 72 ถึงมาตรา 76 ถ้าอธิบดีเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรต้องรับโทษถึงจำคุก ให้มีอำนาจเปรียบเทียบกำหนดค่าปรับได้ เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามจำนวนที่อธิบดีกำหนดภายในสามสิบวัน คดีนั้นเป็นอันเสร็จเด็ดขาด\nถ้าผู้ต้องหาไม่ยินยอมตามที่เปรียบเทียบ หรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ดำเนินคดีเพื่อฟ้องร้องต่อไป", "section_num": "77" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8 บรรดาบัญชี หลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีซึ่งเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทให้ทำเป็นภาษาไทยและต้องระบุเป็นเงินตราไทยเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้บริษัททำเป็นภาษาต่างประเทศหรือระบุเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือเปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nให้บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามวรรคหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยดังกล่าวตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนแปลงได้", "section_num": "8" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 9 บรรดาบัญชี หลักฐาน รายงาน และเอกสารต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับ หรือซึ่งอธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียม ถ้าทำเป็นภาษาต่างประเทศ อธิบดีหรือเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จัดการแปลเป็นภาษาไทยให้เสร็จภายในเวลาอันสมควรได้", "section_num": "9" } ]
รัฐมนตรีสามารถกำหนดส่วนลดเพื่อประโยชน์ในการคำนวณราคามาตรฐานได้อย่างไร
1. ไม่เกินร้อยละ 7 ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแปลงสำรวจแต่ละแปลงที่มิใช่แปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม 2. ไม่เกินร้อยละ 30 ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแต่ละพื้นที่ผลิตในแปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 18 รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดส่วนลดเพื่อประโยชน์ในการคำนวณราคามาตรฐานดังต่อไปนี้ (1) ไม่เกินร้อยละ 7ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแปลงสำรวจแต่ละแปลงที่มิใช่แปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม (2) ไม่เกินร้อยละ 30ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแต่ละพื้นที่ผลิตในแปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 18 รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดส่วนลดเพื่อประโยชน์ในการคำนวณราคามาตรฐานดังต่อไปนี้\n(1) ไม่เกินร้อยละ 7ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแปลงสำรวจแต่ละแปลงที่มิใช่แปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n(2) ไม่เกินร้อยละ 30ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแต่ละพื้นที่ผลิตในแปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\nหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดส่วนลดตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง\nในกรณีที่มีการขยายอายุสัมปทานในส่วนที่เกี่ยวกับการผลิตปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเนื่องจากการผลิตปิโตรเลียมต้องหยุดชะงักลงเพราะเหตุที่มิใช่ความผิดของผู้รับสัมปทานมิให้นับระยะเวลาที่ได้รับการขยายอายุสัมปทานนั้นรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง", "section_num": "18" } ]
1. ไม่เกินร้อยละ 7 ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแปลงสำรวจแต่ละแปลงที่มิใช่แปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม 2. ไม่เกินร้อยละ 30 ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแต่ละพื้นที่ผลิตในแปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม.
[]
ผู้ใดมีหน้าที่ต้องยื่นแผนการผลิตปิโตรเลียม รายงานผลประกอบการ แผนงบและงบประมาณประจำปี รวมถึงเสนองบบัญชีค่าใช้จ่ายและงบการเงินประจำปี
บริษัทที่ประกอบกิจการปิโตรเลียม คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 18/1 ให้บริษัทซึ่งมีหน้าที่ยื่นแผนการผลิตปิโตรเลียม รายงานผลการประกอบกิจการปิโตรเลียม แผนงานและงบประมาณประจำปี และเสนองบบัญชีค่าใช้จ่ายและงบการเงินประจำปี ตามมาตรา 42 ทวิ มาตรา 76 และมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ต้องส่งสำเนาแผนการผลิตปิโตรเลียม ผลการประกอบกิจการปิโตรเลียม แผนงานและงบประมาณประจำปี และงบบัญชีค่าใช้จ่ายและงบการเงินประจำปีดังกล่าวต่ออธิบดี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 18/1 ให้บริษัทซึ่งมีหน้าที่ยื่นแผนการผลิตปิโตรเลียม รายงานผลการประกอบกิจการปิโตรเลียม แผนงานและงบประมาณประจำปี และเสนองบบัญชีค่าใช้จ่ายและงบการเงินประจำปี ตามมาตรา 42 ทวิ มาตรา 76 และมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ต้องส่งสำเนาแผนการผลิตปิโตรเลียม ผลการประกอบกิจการปิโตรเลียม แผนงานและงบประมาณประจำปี และงบบัญชีค่าใช้จ่ายและงบการเงินประจำปีดังกล่าวต่ออธิบดี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด", "section_num": "18/1" } ]
บริษัทที่ประกอบกิจการปิโตรเลียม
[]
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจใดตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 19 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 19 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้\nกฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้", "section_num": "19" } ]
มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการ
[]
ภาษีเงินได้ที่บริษัทจะต้องชำระ มีอัตราเท่าใด
อัตราในการชำระนั้น ขึ้นอยู่กับที่พระราชกฤษฎีกาได้กำหนดไว้ แต่มีมาตรฐานว่าต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 20 ภายใต้บังคับมาตรา 43 ทวิ บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 20 ภายใต้บังคับมาตรา 43 ทวิ บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม", "section_num": "20" } ]
อัตราในการชำระนั้น ขึ้นอยู่กับที่พระราชกฤษฎีกาได้กำหนดไว้ แต่มีมาตรฐานว่าต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 43 ถ้ามีภาษีต้องเสีย ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวด 3 ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\nในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย", "section_num": "43" } ]
เงินใด ที่เกิดจาการโอนกิจการปิโตรเลียม ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอนจะต้องเสียภาษีในอัตราที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
เงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอน คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" } ]
เงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33 การหักต้นทุนจากเงินได้ตามมาตรา 21 ให้หักได้เพียงเท่าผลขาดทุนประจำปีคงเหลือตามมาตรา 28 (1) ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "33" } ]
การโอนกิจการปิโตรเลียม ให้เอายอดใดมาคำนวณรายได้
ให้เอามูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน มาเป็นยอดเงินได้ เพื่อมาคำนวณรายได้ต่อไป คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้ (1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม (2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย (3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง (4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน (5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม ในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
ให้เอามูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน มาเป็นยอดเงินได้ เพื่อมาคำนวณรายได้ต่อไป
[]
รายได้ (1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม (2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย (3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง (4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน (5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม สามารถหักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นได้หรือไม่
สามารถหักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นได้ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 23 รายได้ตามมาตรา 22 ให้หักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นได้ พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้ (1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม (2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย (3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง (4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน (5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม ในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 23 รายได้ตามมาตรา 22 ให้หักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นได้", "section_num": "23" } ]
สามารถหักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
ค่าสัมปทานที่กิจการปิโตรเลียมต้องจ่ายให้แก่ภาครัฐถือว่าเป็นรายจ่ายหรือไม่
เป็น เพราะเงินหรือทรัพย์สินที่ผู้ได้รับสัมปทานในทรัพยากรของชาติ ต้องจ่ายให้แก่รัฐ จะเรียกว่าค่าภาคหลวง ดังนั้นการที่กิจการปิโตรเลียมต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับภาครัฐจึงถือว่าเป็นเงินค่าภาคหลวง ซึ่งตามกฎหมายถือว่าเป็นรายจ่าย คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 24 ภายใต้บังคับมาตรา 25 และมาตรา 26 รายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควร และได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียม ไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักร และภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง (1) ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน (2) ค่าแรงงาน ค่าบริการ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต (3) ค่ารับรอง (4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี (5) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ (6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน (7) ค่าภาคหลวงสำหรับปิโตรเลียม ไม่ว่าจะชำระเป็นตัวเงินหรือปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 24 ภายใต้บังคับมาตรา 25 และมาตรา 26 รายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควร และได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียม ไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักร และภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง\n(1) ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน\n(2) ค่าแรงงาน ค่าบริการ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต\n(3) ค่ารับรอง\n(4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี\n(5) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ\n(6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน\n(7) ค่าภาคหลวงสำหรับปิโตรเลียม ไม่ว่าจะชำระเป็นตัวเงินหรือปิโตรเลียม\n(8) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท และรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน\n(9) ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้ว สำหรับรายได้ตามมาตรา 22 (4)\n(10) ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม", "section_num": "24" } ]
เป็น เพราะเงินหรือทรัพย์สินที่ผู้ได้รับสัมปทานในทรัพยากรของชาติ ต้องจ่ายให้แก่รัฐ จะเรียกว่าค่าภาคหลวง ดังนั้นการที่กิจการปิโตรเลียมต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับภาครัฐจึงถือว่าเป็นเงินค่าภาคหลวง ซึ่งตามกฎหมายถือว่าเป็นรายจ่าย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 25 รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง\n(1) รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออกหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน\nรายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 26 (1) วรรคสอง และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 26 (1) วรรคสองด้วย\n(2) รายจ่ายที่เป็นการส่วนตัว หรือการให้โดยเสน่หาหรือรายจ่ายที่เป็นการบริจาค\n(3) ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ\n(4) รายจ่ายเพื่อตอบแทนทุนหรือทรัพย์สินของบริษัท\n(5) เงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใด ๆ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 24 (5)\n(6) ภาษีเงินได้ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่บริษัทต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้หรือที่ต้องเสียในต่างประเทศ\n(7) รายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อประโยชน์ในการหามาซึ่งเงินได้อันไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้\n(8) รายจ่ายที่บริษัทพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ\n(9) (ยกเลิก)\n(10) ดอกเบี้ย\n(11) ค่าธรรมเนียมการสงวนพื้นที่และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n(12) ค่าปรับทางอาญา", "section_num": "25" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์ และการปฏิบัติทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้คำนวณตามราคาที่ขายได้จริงซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมแต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้นเว้นแต่กรณีน้ำมันดิบที่ส่งออกถ้าราคาที่ขายได้จริงต่ำกว่าราคามาตรฐานให้คำนวณตามราคามาตรฐาน\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาดซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(9/1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สินให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขสำหรับการคำนวณรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายประเภทได้\n(9/2)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(10)ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลงส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุน หรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้ว หากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ\n(16) ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงโดยแปลงสำรวจบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมพ.ศ. 2514ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 และบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิสำหรับแปลงสำรวจที่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้น ๆเสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน\nการคำนวณรายได้และรายจ่ายสำหรับแปลงสำรวจตามวรรคหนึ่งถ้ารายได้และรายจ่ายรายการใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งให้เฉลี่ยรายได้และรายจ่ายตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "26" } ]
รายจ่ายที่เป็นทุนหมายถึงอะไร
รายจ่ายที่เป็นทุน หมายถึง รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อให้ไ้ดมาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม โดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และยังหมายถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรก และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรก คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 25 รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง (1) รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออกหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน รายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 26 (1) วรรคสอง และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 26 (1) วรรคสองด้วย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 25 รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง\n(1) รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออกหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน\nรายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 26 (1) วรรคสอง และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 26 (1) วรรคสองด้วย\n(2) รายจ่ายที่เป็นการส่วนตัว หรือการให้โดยเสน่หาหรือรายจ่ายที่เป็นการบริจาค\n(3) ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ\n(4) รายจ่ายเพื่อตอบแทนทุนหรือทรัพย์สินของบริษัท\n(5) เงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใด ๆ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 24 (5)\n(6) ภาษีเงินได้ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่บริษัทต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้หรือที่ต้องเสียในต่างประเทศ\n(7) รายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อประโยชน์ในการหามาซึ่งเงินได้อันไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้\n(8) รายจ่ายที่บริษัทพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ\n(9) (ยกเลิก)\n(10) ดอกเบี้ย\n(11) ค่าธรรมเนียมการสงวนพื้นที่และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n(12) ค่าปรับทางอาญา", "section_num": "25" } ]
รายจ่ายที่เป็นทุน หมายถึง รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม โดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และยังหมายถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรก และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรก.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 24 ภายใต้บังคับมาตรา 25 และมาตรา 26 รายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควร และได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียม ไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักร และภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง\n(1) ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน\n(2) ค่าแรงงาน ค่าบริการ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต\n(3) ค่ารับรอง\n(4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี\n(5) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ\n(6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน\n(7) ค่าภาคหลวงสำหรับปิโตรเลียม ไม่ว่าจะชำระเป็นตัวเงินหรือปิโตรเลียม\n(8) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท และรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน\n(9) ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้ว สำหรับรายได้ตามมาตรา 22 (4)\n(10) ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม", "section_num": "24" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์ และการปฏิบัติทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้คำนวณตามราคาที่ขายได้จริงซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมแต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้นเว้นแต่กรณีน้ำมันดิบที่ส่งออกถ้าราคาที่ขายได้จริงต่ำกว่าราคามาตรฐานให้คำนวณตามราคามาตรฐาน\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาดซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(9/1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สินให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขสำหรับการคำนวณรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายประเภทได้\n(9/2)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(10)ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลงส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุน หรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้ว หากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ\n(16) ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงโดยแปลงสำรวจบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมพ.ศ. 2514ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 และบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิสำหรับแปลงสำรวจที่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้น ๆเสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน\nการคำนวณรายได้และรายจ่ายสำหรับแปลงสำรวจตามวรรคหนึ่งถ้ารายได้และรายจ่ายรายการใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งให้เฉลี่ยรายได้และรายจ่ายตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "26" } ]
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ถือว่าเป็นรายจ่ายของกิจการปิโตรเลียมต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง
เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขคือ 1. กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ 2. เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท 3. เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ 4. เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ 5. เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้ (15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้ (ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ (ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท (ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ (ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ (จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์ และการปฏิบัติทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้คำนวณตามราคาที่ขายได้จริงซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมแต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้นเว้นแต่กรณีน้ำมันดิบที่ส่งออกถ้าราคาที่ขายได้จริงต่ำกว่าราคามาตรฐานให้คำนวณตามราคามาตรฐาน\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาดซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(9/1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สินให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขสำหรับการคำนวณรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายประเภทได้\n(9/2)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(10)ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลงส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุน หรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้ว หากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ\n(16) ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงโดยแปลงสำรวจบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมพ.ศ. 2514ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 และบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิสำหรับแปลงสำรวจที่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้น ๆเสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน\nการคำนวณรายได้และรายจ่ายสำหรับแปลงสำรวจตามวรรคหนึ่งถ้ารายได้และรายจ่ายรายการใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งให้เฉลี่ยรายได้และรายจ่ายตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "26" } ]
1. กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ 2. เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท 3. เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ 4. เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ 5. เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
ผลกำไรประจำปีหรือผลขาดทุนประจำปี คิดจากอะไร
รายได้เมื่อได้หักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นออกแล้ว คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 27 รายได้เมื่อได้หักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นออกแล้ว ผลลัพธ์เป็นผลกำไรประจำปีหรือผลขาดทุนประจำปี แล้วแต่กรณี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 27 รายได้เมื่อได้หักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นออกแล้ว ผลลัพธ์เป็นผลกำไรประจำปีหรือผลขาดทุนประจำปี แล้วแต่กรณี", "section_num": "27" } ]
รายได้เมื่อได้หักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นออกแล้ว
[]
ผลขาดทุนประจำปีตามมีวิธีคิดอย่างไร ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 28
ให้นำผลขาดทุนประจำปี ไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดรอบบัญชีหนึ่งที่มีระยะเวลาไม่เกิน 10 รอบบัญชี แต่ในกรณีที่ยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือ สามารถนำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 28 ในกรณีที่มีผลกำไรประจำปี ให้หักลดหย่อนได้ ดังต่อไปนี้ (1) ผลขาดทุนประจำปีของรอบระยะเวลาบัญชีใด ๆ ในสิบรอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน ผลขาดทุนประจำปี เมื่อได้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว หากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 28 ในกรณีที่มีผลกำไรประจำปี ให้หักลดหย่อนได้ ดังต่อไปนี้\n(1) ผลขาดทุนประจำปีของรอบระยะเวลาบัญชีใด ๆ ในสิบรอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน\nผลขาดทุนประจำปี เมื่อได้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว หากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี\n(2) เงินบริจาครวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ 1 ของผลกำไรประจำปีหลังจากหักลดหย่อนตาม (1) แล้ว ทั้งนี้ เฉพาะเงินบริจาคดังต่อไปนี้\n(ก) เงินที่บริจาคแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาของทางราชการ\n(ข) เงินที่บริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาอื่นนอกจากที่กล่าวใน (ก) ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา", "section_num": "28" } ]
ให้นำผลขาดทุนประจำปี ไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดรอบบัญชีหนึ่งที่มีระยะเวลาไม่เกิน 10 รอบบัญชี แต่ในกรณีที่ยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือ สามารถนำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี
[]
ผลขาดทุนประจำปีที่นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว แต่ยังคงเหลืออยู่ บริษัทผู้รับโอนสามารถนำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้หรือไม่
สามารถนำไปลดหย่อนได้ โดยหากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชีนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนเป็นต้นไป คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 29 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียมให้บริษัทผู้รับโอนถือเอาผลขาดทุนประจำปีคงเหลือของบริษัทผู้โอนเพื่อประโยชน์ในการหักลดหย่อนตามมาตรา28 (1)นับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนเป็นต้นไปได้เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการโอนกิจการปิโตรเลียมทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 29 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียมให้บริษัทผู้รับโอนถือเอาผลขาดทุนประจำปีคงเหลือของบริษัทผู้โอนเพื่อประโยชน์ในการหักลดหย่อนตามมาตรา28 (1)นับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนเป็นต้นไปได้เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการโอนกิจการปิโตรเลียมทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "29" } ]
สามารถนำไปลดหย่อนได้ โดยหากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชีนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนเป็นต้นไป
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 28 ในกรณีที่มีผลกำไรประจำปี ให้หักลดหย่อนได้ ดังต่อไปนี้\n(1) ผลขาดทุนประจำปีของรอบระยะเวลาบัญชีใด ๆ ในสิบรอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน\nผลขาดทุนประจำปี เมื่อได้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว หากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี\n(2) เงินบริจาครวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ 1 ของผลกำไรประจำปีหลังจากหักลดหย่อนตาม (1) แล้ว ทั้งนี้ เฉพาะเงินบริจาคดังต่อไปนี้\n(ก) เงินที่บริจาคแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาของทางราชการ\n(ข) เงินที่บริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาอื่นนอกจากที่กล่าวใน (ก) ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา", "section_num": "28" } ]
กำไรสุทธิ ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ต้องเสียภาษีเงินได้หรือไม่
ต้องเสียภาษีเงินได้ตาม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 30 ผลกำไรประจำปีเมื่อได้หักลดหย่อนตามมาตรา 28 ออกแล้วเหลือเท่าใด เป็นกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 20
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 30 ผลกำไรประจำปีเมื่อได้หักลดหย่อนตามมาตรา 28 ออกแล้วเหลือเท่าใด เป็นกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 20", "section_num": "30" } ]
ต้องเสียภาษีเงินได้ตาม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 20 ภายใต้บังคับมาตรา 43 ทวิ บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม", "section_num": "20" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 28 ในกรณีที่มีผลกำไรประจำปี ให้หักลดหย่อนได้ ดังต่อไปนี้\n(1) ผลขาดทุนประจำปีของรอบระยะเวลาบัญชีใด ๆ ในสิบรอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน\nผลขาดทุนประจำปี เมื่อได้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว หากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี\n(2) เงินบริจาครวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ 1 ของผลกำไรประจำปีหลังจากหักลดหย่อนตาม (1) แล้ว ทั้งนี้ เฉพาะเงินบริจาคดังต่อไปนี้\n(ก) เงินที่บริจาคแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาของทางราชการ\n(ข) เงินที่บริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาอื่นนอกจากที่กล่าวใน (ก) ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา", "section_num": "28" } ]
ในกรณีใดที่บริษัทผู้ขายน้ำมันดิบไม่สามารถหักเครดิตออกจากภาษีที่ต้องเสียได้
ในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคามาตรฐานหรือราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 32 ... ในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคามาตรฐานหรือราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน ไม่ให้หักเครดิตตามวรรคหนึ่ง
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 32 ในกรณีที่บริษัทผู้ได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานขายน้ำมันดิบให้แก่บริษัทผู้ซื้อเพื่อส่งน้ำมันดิบนั้นทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร ถ้าบริษัทผู้ซื้อต้องเสียภาษีตามมาตรา 20 เป็นจำนวนเท่าใดให้บริษัทผู้ขายนำภาษีจำนวนนั้นมาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่บริษัทผู้ขายต้องเสียในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันได้ แต่ต้องไม่เกินจำนวนภาษีที่บริษัทผู้ขายต้องเสีย\nในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคาต่ำกว่าราคามาตรฐานและขายไปในราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน เครดิตที่บริษัทผู้ขายจะหักตามวรรคหนึ่งต้องไม่เกินส่วนของจำนวนภาษีที่บริษัทผู้ซื้อเสียสำหรับผลต่างระหว่างราคามาตรฐานกับราคาที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบ\nในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคามาตรฐานหรือราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน ไม่ให้หักเครดิตตามวรรคหนึ่ง", "section_num": "32" } ]
ในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคามาตรฐานหรือราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 20 ภายใต้บังคับมาตรา 43 ทวิ บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม", "section_num": "20" } ]
การหักต้นทุนจากเงินได้ที่เกิดจากการโอนกิจการปิโตรเลียม สามารถหักเกิดผลขาดทุนประจำปีคงเหลือไม่เกิน 10รอบระยะเวลาบัญชีได้หรือไม่
ไม่สามารถหักได้ เนื่องจากตามบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดให้สามารถหักได้เพียงเท่าผลขาดทุนประจำปีคงเหลือไม่เกิน 10 รอบระยะเวลาบัญชีเท่านั้น คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33 การหักต้นทุนจากเงินได้ตามมาตรา 21 ให้หักได้เพียงเท่าผลขาดทุนประจำปีคงเหลือตามมาตรา 28 (1) ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 28 ในกรณีที่มีผลกำไรประจำปี ให้หักลดหย่อนได้ ดังต่อไปนี้ (1) ผลขาดทุนประจำปีของรอบระยะเวลาบัญชีใด ๆ ในสิบรอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน ผลขาดทุนประจำปี เมื่อได้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว หากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33 การหักต้นทุนจากเงินได้ตามมาตรา 21 ให้หักได้เพียงเท่าผลขาดทุนประจำปีคงเหลือตามมาตรา 28 (1) ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "33" } ]
ไม่สามารถหักได้ เนื่องจากตามบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดให้สามารถหักได้เพียงเท่าผลขาดทุนประจำปีคงเหลือไม่เกิน 10 รอบระยะเวลาบัญชีเท่านั้น.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 28 ในกรณีที่มีผลกำไรประจำปี ให้หักลดหย่อนได้ ดังต่อไปนี้\n(1) ผลขาดทุนประจำปีของรอบระยะเวลาบัญชีใด ๆ ในสิบรอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบัน\nผลขาดทุนประจำปี เมื่อได้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว หากยังมีผลขาดทุนประจำปีคงเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้นำไปหักลดหย่อนในรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้เพียงเท่าจำนวนที่เหลือนั้น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบรอบระยะเวลาบัญชี\n(2) เงินบริจาครวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ 1 ของผลกำไรประจำปีหลังจากหักลดหย่อนตาม (1) แล้ว ทั้งนี้ เฉพาะเงินบริจาคดังต่อไปนี้\n(ก) เงินที่บริจาคแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาของทางราชการ\n(ข) เงินที่บริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือแก่สถานพยาบาลและสถานศึกษาอื่นนอกจากที่กล่าวใน (ก) ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา", "section_num": "28" } ]
ในกรณีที่บริษัทได้รับอนุมัติให้ใช่เงินตราสกุลต่างประเทศในการดำเนินงาน จะสามารถคำนวณภาษีเงินได้และกำไรสุทธิได้อย่างๆร
ให้คำนวณด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเหมือนการดำเนินงานด้วยเงินตราไทย ยกเว้นจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับ 1. ราคาทรัพย์สินที่ถืออยู่ นอกจากสินค้า 2. เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่รับมาหรือจ่ายไปในรอบระยะเวลาบัญชี 3. เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องเหลืออยู่ในวันสิ้นรอบบัญชี เนื่องจากเงินประเภทดังกล่าวนั้นมีการคำนวนเป็นเป็นสกุลเงินไทยอยู่ก่อนแล้วก่อนขออธิบดีอนุมัติดังนั้นจึงไม่ต้องเปลี่ยนวิธีการคำนวนอัตราค่าแลกเปลี่ยนสกุลเงินแล้วเหมือนวงเล็บอื่นในมาตรานั้น ไม่ต้องนำมาคำนวณใหม่ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33/1 บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา8 ให้คำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้โดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานนั้น และให้นำบทบัญญัติในหมวด 2ภาษีเงินได้และการคำนวณกำไรสุทธิ เว้นแต่มาตรา 26 (10) (12) และ (13)มาใช้บังคับโดยอนุโลม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้ (10)ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลงส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร (12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น ในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป (13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33/1 บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา8 ให้คำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้โดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานนั้น และให้นำบทบัญญัติในหมวด 2ภาษีเงินได้และการคำนวณกำไรสุทธิ เว้นแต่มาตรา 26 (10) (12) และ (13)มาใช้บังคับโดยอนุโลม", "section_num": "33/1" } ]
ให้คำนวณด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเหมือนการดำเนินงานด้วยเงินตราไทย ยกเว้นจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับ 1. ราคาทรัพย์สินที่ถืออยู่ นอกจากสินค้า 2. เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่รับมาหรือจ่ายไปในรอบระยะเวลาบัญชี 3. เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องเหลืออยู่ในวันสิ้นรอบบัญชี.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์ และการปฏิบัติทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้คำนวณตามราคาที่ขายได้จริงซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมแต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้นเว้นแต่กรณีน้ำมันดิบที่ส่งออกถ้าราคาที่ขายได้จริงต่ำกว่าราคามาตรฐานให้คำนวณตามราคามาตรฐาน\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาดซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(9/1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สินให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขสำหรับการคำนวณรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายประเภทได้\n(9/2)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(10)ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลงส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุน หรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้ว หากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ\n(16) ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงโดยแปลงสำรวจบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมพ.ศ. 2514ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 และบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิสำหรับแปลงสำรวจที่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้น ๆเสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน\nการคำนวณรายได้และรายจ่ายสำหรับแปลงสำรวจตามวรรคหนึ่งถ้ารายได้และรายจ่ายรายการใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งให้เฉลี่ยรายได้และรายจ่ายตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "26" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8 บรรดาบัญชี หลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีซึ่งเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทให้ทำเป็นภาษาไทยและต้องระบุเป็นเงินตราไทยเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้บริษัททำเป็นภาษาต่างประเทศหรือระบุเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือเปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nให้บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามวรรคหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยดังกล่าวตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนแปลงได้", "section_num": "8" } ]
อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในการคำนวณเงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่น ให้อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนใด
อัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราสกุลนั้นซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33/3 เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทที่ได้รับอนุมัติตามมาตรา8 ให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานนั้น ในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานให้คำนวณเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงาน หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราสกุลนั้นซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขออธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33/3 เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทที่ได้รับอนุมัติตามมาตรา8 ให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานให้คำนวณเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงาน หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราสกุลนั้นซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขออธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป", "section_num": "33/3" } ]
อัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราสกุลนั้นซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8 บรรดาบัญชี หลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีซึ่งเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทให้ทำเป็นภาษาไทยและต้องระบุเป็นเงินตราไทยเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้บริษัททำเป็นภาษาต่างประเทศหรือระบุเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือเปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nให้บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามวรรคหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยดังกล่าวตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนแปลงได้", "section_num": "8" } ]
ในกิจการปิโตรเลียม การคำนวณเงินตราสกุลอื่นใช้หลักเกณฑ์ อย่างไรในแปลงสกุลเงินเพื่อนำมาคิดบัญชี
1. ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี 2. อัตราแลกอื่นที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชี ซึ่งจะใช้หลักเกณฑ์นี้ได้เมื่อบริษัทร้องขอ และอธิบดีได้อนุมัติแล้ว และนำไปใช้ได้ในรอบบัญชีถัดไปจากที่อธิบดีอนุมัติ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33/4 เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี แล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้ว ให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33/4 เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี แล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้ว ให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป", "section_num": "33/4" } ]
1. ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี 2. อัตราแลกอื่นที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชี ซึ่งจะใช้หลักเกณฑ์นี้ได้เมื่อบริษัทร้องขอ และอธิบดีได้อนุมัติแล้ว และนำไปใช้ได้ในรอบบัญชีถัดไปจากที่อธิบดีอนุมัติ
[]
ค่าผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนถือว่าเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้
ไม่สามารถนำมาคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิได้ เนื่องจากค่าผลกำไรขาดทุนของอัตราแลกไม่ได้เป็นรายได้หรือรายจ่าย คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33/5 ผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอันเนื่องมาจากการคำนวณตามมาตรา 8/1 หรือจากการคำนวณมูลค่าของเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานเป็นเงินตราไทย เพื่อชำระภาษีตามมาตรา 42 มิให้ถือเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33/5 ผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอันเนื่องมาจากการคำนวณตามมาตรา 8/1 หรือจากการคำนวณมูลค่าของเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานเป็นเงินตราไทย เพื่อชำระภาษีตามมาตรา 42 มิให้ถือเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้", "section_num": "33/5" } ]
ไม่สามารถนำมาคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิได้ เนื่องจากค่าผลกำไรขาดทุนของอัตราแลกไม่ได้เป็นรายได้หรือรายจ่าย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 42 การชำระภาษีตามมาตรา 20 ให้ชำระต่อเจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด\nการชำระภาษีตามวรรคหนึ่ง บริษัทจะยื่นคำขอชำระเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลใดก็ได้ เมื่ออธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีพิจารณาเห็นสมควรจะอนุมัติให้ชำระเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลนั้นตามเงื่อนไขและวิธีการที่กำหนดก็ได้\nเว้นแต่จะได้รับอนุมัติตามวรรคสอง ให้บริษัทที่ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 ชำระภาษีตามวรรคหนึ่งเป็นเงินตราไทย โดยให้คำนวณค่าตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ในวันทำการสุดท้ายก่อนวันชำระภาษี", "section_num": "42" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8/1 เมื่ออธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือให้เปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามมาตรา8 ให้บริษัทคำนวณมูลค่าของเงินตรา ทรัพย์สิน หนี้สิน และรายการอื่น ๆ ในงบการเงินณ วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีอนุมัติและบรรดารายการต่าง ๆ รวมทั้งผลขาดทุนประจำปีคงเหลือตามมาตรา 28 (1)ที่ใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้ที่เหลืออยู่ ณ วันนั้น เป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา", "section_num": "8/1" } ]
ในกรณีที่บริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงจะต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินอย่างไร
ต้องยื่น (1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี พร้อมทั้งจัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้นหากมีรอบระยะบัญชีสุดท้ายมากกว่าหรือเท่ากับ 12 เดือน เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือแยกแปลงเอกสารที่ต้องยื่นสำหรับแต่ละแปลง คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 34 บริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ดังต่อไปนี้ (1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม(1)ให้บริษัทมีหน้าที่จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้น ความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายน้อยกว่าสิบสองเดือน บริษัทที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานแต่ละบริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ซึ่งเป็นส่วนของบริษัทเอง บริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงตามมาตรา26 (16) มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม (1) และ (2)เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 34 บริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ดังต่อไปนี้\n(1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม(1)ให้บริษัทมีหน้าที่จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้น\nความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายน้อยกว่าสิบสองเดือน\nบริษัทที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานแต่ละบริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ซึ่งเป็นส่วนของบริษัทเอง\nบริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงตามมาตรา26 (16) มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม (1) และ (2)เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน", "section_num": "34" } ]
ต้องยื่น (1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี พร้อมทั้งจัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้นหากมีรอบระยะบัญชีสุดท้ายมากกว่าหรือเท่ากับ 12 เดือน เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือแยกแปลงเอกสารที่ต้องยื่นสำหรับแต่ละแปลง.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์ และการปฏิบัติทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้คำนวณตามราคาที่ขายได้จริงซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมแต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้นเว้นแต่กรณีน้ำมันดิบที่ส่งออกถ้าราคาที่ขายได้จริงต่ำกว่าราคามาตรฐานให้คำนวณตามราคามาตรฐาน\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาดซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(9/1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สินให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขสำหรับการคำนวณรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายประเภทได้\n(9/2)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(10)ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลงส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุน หรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้ว หากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ\n(16) ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงโดยแปลงสำรวจบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมพ.ศ. 2514ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 และบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิสำหรับแปลงสำรวจที่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้น ๆเสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน\nการคำนวณรายได้และรายจ่ายสำหรับแปลงสำรวจตามวรรคหนึ่งถ้ารายได้และรายจ่ายรายการใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งให้เฉลี่ยรายได้และรายจ่ายตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "26" } ]
ในกรณีบริษัทตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศและบริษัทตั้งอยู่ที่ต่างประเทศจะต้องทำเช่นไร
ในกรณีบริษัทตั้งขึ่นตามกฎหมายต่างประเทศและบริษัทตั้งอยู่ที่ต่างประเทศแต่เข้ามาประกอบกิจการภายในราชอาณาจักรไทยนั้น ให้ผู้ทำการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นผู้ยื่นแบบได้ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 35 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษี ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 35 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท\nในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษี ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท", "section_num": "35" } ]
ให้ผู้ทำการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นผู้ยื่นแบบได้
[]
ในกรณีที่บริษัทได้ควบกันในรอบระยะเวลาบัญชีไม่ถึง 12 เดือน และบริษัทเดิมยังไม่ได้นำส่งแบบแสดงรายการเงินได้ตามรอบระยะเวลาบัญชี รวมถึงประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้นจะต้องดำเนินการอย่างไร
ให้บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากันมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทเดิม แต่ไม่ต้องนำส่งประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิสำหรับระยะเวลาบัญชี เนื่องจากรอบระยะเวลาบัญชีล่าสุดไม่ถึง 12 เดือน คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 36 ในกรณีที่บริษัทควบเข้ากัน ถ้าบริษัทเดิมยังมิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 ให้บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากันมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทเดิม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 34 บริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ดังต่อไปนี้ (1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม(1)ให้บริษัทมีหน้าที่จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้น ความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายน้อยกว่าสิบสองเดือน บริษัทที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานแต่ละบริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ซึ่งเป็นส่วนของบริษัทเอง บริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงตามมาตรา26 (16) มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม (1) และ (2)เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 36 ในกรณีที่บริษัทควบเข้ากัน ถ้าบริษัทเดิมยังมิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 ให้บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากันมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทเดิม", "section_num": "36" } ]
ให้บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากันมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทเดิม แต่ไม่ต้องนำส่งประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิสำหรับระยะเวลาบัญชี เนื่องจากรอบระยะเวลาบัญชีล่าสุดไม่ถึง 12 เดือน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 34 บริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ดังต่อไปนี้\n(1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม(1)ให้บริษัทมีหน้าที่จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้น\nความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายน้อยกว่าสิบสองเดือน\nบริษัทที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานแต่ละบริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ซึ่งเป็นส่วนของบริษัทเอง\nบริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงตามมาตรา26 (16) มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม (1) และ (2)เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน", "section_num": "34" } ]
ก่อนที่ผู้รับโอน จากกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียมจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทผู้โอนได้ เจ้าพนักงานประเมินจะต้องดำเนินการสิ่งใดก่อน
เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 37 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้โอนไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนดและเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว ให้บริษัทผู้รับโอนยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทผู้โอน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 37 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้โอนไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนดและเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว ให้บริษัทผู้รับโอนยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทผู้โอน", "section_num": "37" } ]
เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว
[]
ในกรณีใดที่ผู้ชำระบัญชีของบริษัทมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ร่วมกับผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักร
ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษี แต่ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร มีผู้ชำระบัญชีเมื่อเลิกกิจการปิโตรเลียม คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 38 ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนตามมาตรา 35 มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ถ้ามีผู้ชำระบัญชี ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนตามมาตรา 35 กับผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่ร่วมกันยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 35 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษี ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 38 ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนตามมาตรา 35 มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ถ้ามีผู้ชำระบัญชี ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนตามมาตรา 35 กับผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่ร่วมกันยื่นแบบแสดงรายการเงินได้", "section_num": "38" } ]
ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่ยเสียภาษี แต่ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร มีผู้ชำระบัญชีเมื่อเลิกกิจการปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 35 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท\nในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษี ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท", "section_num": "35" } ]
แบบแสดงรายการเงินได้ ต้องใช้แบบใด
แบบที่อธิบดีกำหนด โดยต้องกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ภ.ง.ป 70 หรือ ภ.ง.ป 71 (สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี) คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 39 แบบแสดงรายการเงินได้ ให้ใช้แบบที่อธิบดีกำหนด ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้กรอกรายการในแบบนั้นโดยครบถ้วน และให้ยื่นเอกสารประกอบตามที่อธิบดีกำหนดไปพร้อมด้วย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 39 แบบแสดงรายการเงินได้ ให้ใช้แบบที่อธิบดีกำหนด\nให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้กรอกรายการในแบบนั้นโดยครบถ้วน และให้ยื่นเอกสารประกอบตามที่อธิบดีกำหนดไปพร้อมด้วย", "section_num": "39" } ]
แบบที่อธิบดีกำหนด โดยต้องกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ภ.ง.ป 70 หรือ ภ.ง.ป 71 (สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี)
[]
หากต้องการยื่นแบบแสดงรายการเงิน สามารถยื่นที่สำนักงานสรรพากรข้ามท้องที่ได้หรือไม่
ไม่ได้ เนื่องจากต้องยื่น ณ​ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด กล่าวคือ สำนักงานสรรพากรอำเภอหรือเขตท้องที่นั้นๆ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 40 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ให้ยื่นต่อเจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 40 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ให้ยื่นต่อเจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด", "section_num": "40" } ]
ไม่ได้ เนื่องจากต้องยื่น ณ​ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด กล่าวคือ สำนักงานสรรพากรอำเภอหรือเขตท้องที่นั้นๆ
[]
ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้โอนไม่ยื่นแบบแสดงรายการ และเจ้าพนักงานได้แจ้งการไม่ยื่นแบบนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว บริษัทผู้รับโอนจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภายในเมื่อไหร่
ภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่า สามสิบวัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 41 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา34 (1)ให้ยื่นภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของวันครบกำหนดครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีนั้นและการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (2) ให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี การยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 41 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา34 (1)ให้ยื่นภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของวันครบกำหนดครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีนั้นและการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (2) ให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "41" } ]
ภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่า สามสิบวัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 34 บริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ดังต่อไปนี้\n(1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม(1)ให้บริษัทมีหน้าที่จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้น\nความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายน้อยกว่าสิบสองเดือน\nบริษัทที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานแต่ละบริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ซึ่งเป็นส่วนของบริษัทเอง\nบริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงตามมาตรา26 (16) มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม (1) และ (2)เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน", "section_num": "34" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 37 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้โอนไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนดและเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว ให้บริษัทผู้รับโอนยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทผู้โอน", "section_num": "37" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "59" } ]
หากบริษัทปิโตรเลียมได้เงินสกุลต่างประเทศในการดำเนินงานจะต้องชำระภาษีเป็นเงินไทยหรือเงินสกุลต่างประเทศที่ใช้ในการดำเนินงาน
หากบริษัทไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีก็ต้องใช้เงินสกุลไทยในการชำระภาษี โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ในวันทำการสุดท้ายก่อนวันชำระภาษี คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 42 การชำระภาษีตามมาตรา 20 ให้ชำระต่อเจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด การชำระภาษีตามวรรคหนึ่ง บริษัทจะยื่นคำขอชำระเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลใดก็ได้ เมื่ออธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีพิจารณาเห็นสมควรจะอนุมัติให้ชำระเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลนั้นตามเงื่อนไขและวิธีการที่กำหนดก็ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติตามวรรคสอง ให้บริษัทที่ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 ชำระภาษีตามวรรคหนึ่งเป็นเงินตราไทย โดยให้คำนวณค่าตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ในวันทำการสุดท้ายก่อนวันชำระภาษี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 42 การชำระภาษีตามมาตรา 20 ให้ชำระต่อเจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด\nการชำระภาษีตามวรรคหนึ่ง บริษัทจะยื่นคำขอชำระเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลใดก็ได้ เมื่ออธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีพิจารณาเห็นสมควรจะอนุมัติให้ชำระเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลนั้นตามเงื่อนไขและวิธีการที่กำหนดก็ได้\nเว้นแต่จะได้รับอนุมัติตามวรรคสอง ให้บริษัทที่ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 ชำระภาษีตามวรรคหนึ่งเป็นเงินตราไทย โดยให้คำนวณค่าตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ในวันทำการสุดท้ายก่อนวันชำระภาษี", "section_num": "42" } ]
หากบริษัทไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีก็ต้องใช้เงินสกุลไทยในการชำระภาษี โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ในวันทำการสุดท้ายก่อนวันชำระภาษี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 20 ภายใต้บังคับมาตรา 43 ทวิ บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม", "section_num": "20" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8 บรรดาบัญชี หลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีซึ่งเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทให้ทำเป็นภาษาไทยและต้องระบุเป็นเงินตราไทยเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้บริษัททำเป็นภาษาต่างประเทศหรือระบุเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือเปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nให้บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามวรรคหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยดังกล่าวตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนแปลงได้", "section_num": "8" } ]
ในกรณีบริษัทได้จัดขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจอยู่ในประเทศไทย บุคคลใดมีหน้าที่ต้องขำระภาษี
ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ซึ่งเป็นทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษี มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 43 ถ้ามีภาษีต้องเสีย ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวด 3 ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 35 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษี ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 43 ถ้ามีภาษีต้องเสีย ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวด 3 ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\nในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย", "section_num": "43" } ]
ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ซึ่งเป็นทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษี มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 35 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท\nในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษี ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท", "section_num": "35" } ]
ก่ารชำระยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีทีต้องชำระได้หรือไม่
ได้ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 43 ทวิ การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา34 (1) ถ้ามีภาษีต้องเสียให้บริษัทคำนวณและชำระภาษีจากจำนวนกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิตามมาตรา 34วรรคสอง พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ภาษีที่ชำระตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 43
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 43 ทวิ การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา34 (1) ถ้ามีภาษีต้องเสียให้บริษัทคำนวณและชำระภาษีจากจำนวนกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิตามมาตรา 34วรรคสอง พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\nภาษีที่ชำระตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 43", "section_num": "43 ทวิ" } ]
ได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 34 บริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ดังต่อไปนี้\n(1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม(1)ให้บริษัทมีหน้าที่จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้น\nความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายน้อยกว่าสิบสองเดือน\nบริษัทที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานแต่ละบริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ซึ่งเป็นส่วนของบริษัทเอง\nบริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงตามมาตรา26 (16) มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม (1) และ (2)เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน", "section_num": "34" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 43 ถ้ามีภาษีต้องเสีย ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวด 3 ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\nในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย", "section_num": "43" } ]
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ผู้มีหน้าที่ชำระภาษีชำระภาษีชำระภาษีก่อน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินหรือไม่
มีอำนาจ หากทำเพื่อความจำเป็นและประฌยชน์ในการจัดเก็ยภาษี คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 44 ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินตามหมวด 6 ให้ผู้มีหน้าที่ชำระภาษีชำระภาษีนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน เว้นแต่การประเมินตามมาตรา 59 ให้ชำระภาษีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 44 ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินตามหมวด 6 ให้ผู้มีหน้าที่ชำระภาษีชำระภาษีนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน เว้นแต่การประเมินตามมาตรา 59 ให้ชำระภาษีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "44" } ]
มีอำนาจ หากทำเพื่อความจำเป็นและประฌยชน์ในการจัดเก็ยภาษี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "59" } ]
ในกรณีใดที่ผู้มีสิทธิขอคืนภาษีเงินได้ปิโตรเลียมสามารถยื่นขอได้ ถึงแม้ว่าเกินระยะเวลาสามปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
(1)ในกรณีผู้มีสิทธิขอคืนได้ยื่นรายการเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือได้ยื่นรายการภายในเวลาที่อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีขยายหรือเลื่อนออกไป ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายการ (2)ในกรณีผู้มีสิทธิขอคืนอุทธรณ์การประเมินหรือเป็นคดีในศาล ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินเป็นหนังสือหรือนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 44/1 การขอคืนภาษีเงินได้ปิโตรเลียมหรือภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี หรือที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด เว้นแต่ (1)ในกรณีผู้มีสิทธิขอคืนได้ยื่นรายการเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือได้ยื่นรายการภายในเวลาที่อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีขยายหรือเลื่อนออกไป ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายการ (2)ในกรณีผู้มีสิทธิขอคืนอุทธรณ์การประเมินหรือเป็นคดีในศาล ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินเป็นหนังสือหรือนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี คำร้องขอคืนตามมาตรานี้ ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกำหนด และให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืน ณ สถานที่ตามที่อธิบดีกำหนด
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 44/1 การขอคืนภาษีเงินได้ปิโตรเลียมหรือภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี หรือที่ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด เว้นแต่\n(1)ในกรณีผู้มีสิทธิขอคืนได้ยื่นรายการเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือได้ยื่นรายการภายในเวลาที่อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีขยายหรือเลื่อนออกไป ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายการ\n(2)ในกรณีผู้มีสิทธิขอคืนอุทธรณ์การประเมินหรือเป็นคดีในศาล ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินเป็นหนังสือหรือนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี\nคำร้องขอคืนตามมาตรานี้ ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกำหนด และให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืน ณ สถานที่ตามที่อธิบดีกำหนด", "section_num": "44/1" } ]
(1)ในกรณีผู้มีสิทธิขอคืนได้ยื่นรายการเมื่อพ้นเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือได้ยื่นรายการภายในเวลาที่อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีขยายหรือเลื่อนออกไป ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายการ (2)ในกรณีผู้มีสิทธิขอคืนอุทธรณ์การประเมินหรือเป็นคดีในศาล ให้ผู้มีสิทธิขอคืนยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินเป็นหนังสือหรือนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี
[]
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินต้องการเรียกผู้มีสิทธิขอคืนหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสาร หรือหลักฐานอันควรแก่เรื่องเพื่อประกอบการพิจารณาได้ จะต้องทำการแจ้งในรูปแบบใด
ส่งหนังสือแจ้งความแก่ผู้มีสิทธิขอคืนหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 44/2 เพื่อประโยชน์ในการคืนภาษีเงินได้ปิโตรเลียมตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ เจ้าพนักงานประเมินอาจส่งหนังสือแจ้งความแก่ผู้มีสิทธิขอคืนหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง มาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสาร หรือหลักฐานอันควรแก่เรื่องเพื่อประกอบการพิจารณาได้ตามที่เห็นสมควร
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 44/2 เพื่อประโยชน์ในการคืนภาษีเงินได้ปิโตรเลียมตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ เจ้าพนักงานประเมินอาจส่งหนังสือแจ้งความแก่ผู้มีสิทธิขอคืนหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง มาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสาร หรือหลักฐานอันควรแก่เรื่องเพื่อประกอบการพิจารณาได้ตามที่เห็นสมควร", "section_num": "44/2" } ]
ส่งหนังสือแจ้งความแก่ผู้มีสิทธิขอคืนหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
[]
ผู้มีเงินได้จากการโอนกิจการปิโตรเลียม มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่ทำงานจ่ายเงินหรือไม่
ผู้มีเงินได้จากการโอนกิจการปิโตรเลียม มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่ทำงานจ่ายเงิน ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุน แล้ว คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 45 ให้บริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 มีหน้าที่ (1) หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายทุกคราวที่จ่ายเงินได้นั้นในอัตราตามมาตรา 21 (2) ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย (3) นำส่งภาษีที่ต้องหักตาม (1) การหักภาษีตาม (1) ให้คำนวณหักตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33 การหักต้นทุนจากเงินได้ตามมาตรา 21 ให้หักได้เพียงเท่าผลขาดทุนประจำปีคงเหลือตามมาตรา 28 (1) ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 45 ให้บริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 มีหน้าที่\n(1) หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายทุกคราวที่จ่ายเงินได้นั้นในอัตราตามมาตรา 21\n(2) ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย\n(3) นำส่งภาษีที่ต้องหักตาม (1)\nการหักภาษีตาม (1) ให้คำนวณหักตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "45" } ]
ผู้มีเงินได้จากการโอนกิจการปิโตรเลียม มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่ทำงานจ่ายเงิน ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุน แล้ว
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" } ]
สำหรับกรณีของบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย แต่ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร บุคคลใดมีหน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย
ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 46 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่จ่ายตามมาตรา 21 มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 46 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท\nในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่จ่ายตามมาตรา 21 มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท", "section_num": "46" } ]
ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" } ]
บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากัน สามารถยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนบริษัทเดิมได้หรือไม่
สามารถทำได้ หากบริษัทได้ทำการควบกันแล้ว แต่บริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ยังไม่ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 47 ในกรณีที่บริษัทควบเข้ากัน ถ้าบริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 ยังมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากัน มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนบริษัทเดิม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 47 ในกรณีที่บริษัทควบเข้ากัน ถ้าบริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 ยังมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้บริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากัน มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนบริษัทเดิม", "section_num": "47" } ]
สามารถทำได้ หากบริษัทได้ทำการควบกันแล้ว แต่บริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ยังไม่ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" } ]
ในกรณีที่มีการดำเนินการโอนกิจการปิโตรเลียม แต่ทางบริษัทผู้โอนไม่ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายภายในเวลาที่กำหนด ก่อนที่บริษัทผู้รับโอนจะต้องยื่นแยยแทนบริษัทผู้โอน เจ้าพนักงานประเมินจะต้องดำเนินการอะไรก่อร
เจ้าพนักงานประเมินต้องแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนก่อน คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 48 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้โอนไม่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายภายในเวลาที่กำหนด และเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว ให้บริษัทผู้รับโอนยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนบริษัทผู้โอน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 48 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้โอนไม่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายภายในเวลาที่กำหนด และเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว ให้บริษัทผู้รับโอนยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนบริษัทผู้โอน", "section_num": "48" } ]
เจ้าพนักงานประเมินต้องแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนก่อน
[]
ในกรณีใดของการเลิกกิจการปิโตรเลีบมที่ผู้ชำระบัญชีต้องยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายร่วมกันกรรมการผู้มีอำนาจประทำแทนบริษัท
กรณีที่บริษัทกิจการปิโตรเลียมที่ประสงค์จะเลิกกิจการมีผู้ชำระบัญชีให้ผู้ชำระบัญชีเป็นผู้มีหน้าที่ร่วมด้วย คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 49 ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนตามมาตรา 46 มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ถ้ามีผู้ชำระบัญชีให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนตามมาตรา 46 กับผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่ร่วมกัน ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 46 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่จ่ายตามมาตรา 21 มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 49 ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนตามมาตรา 46 มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ถ้ามีผู้ชำระบัญชีให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนตามมาตรา 46 กับผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่ร่วมกัน ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย", "section_num": "49" } ]
กรณีที่บริษัทกิจการปิโตรเลียมที่ประสงค์จะเลิกกิจการมีผู้ชำระบัญชีให้ผู้ชำระบัญชีเป็นผู้มีหน้าที่ร่วมด้วย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 46 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท\nในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่จ่ายตามมาตรา 21 มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท", "section_num": "46" } ]
ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย มีหน้าที่ต้องยื่นเอกสารใดบ้าง
แสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่อธิบดีกำหนด 1. ภ.ง.ป.72 (สำหรับกรณีการโอน ควบ หรือเลิกกิจการปิโตรเลียม) 2. ภ.ง.ป.73 (สำหรับกรณีจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เงินปันผล หรือส่วนแบ่งกำไร) พร้อมทั้งกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน และแนบเอกสารประกอบตามที่อธิบดีกำหนดไปพร้อมด้วย คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 50 แบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ใช้แบบที่อธิบดีกำหนด ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย กรอกรายการในแบบนั้นโดยครบถ้วน และให้ยื่นเอกสารประกอบตามที่อธิบดีกำหนดไปพร้อมด้วย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 50 แบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ใช้แบบที่อธิบดีกำหนด\nให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย กรอกรายการในแบบนั้นโดยครบถ้วน และให้ยื่นเอกสารประกอบตามที่อธิบดีกำหนดไปพร้อมด้วย", "section_num": "50" } ]
1. ภ.ง.ป.72 (สำหรับกรณีการโอน ควบ หรือเลิกกิจการปิโตรเลียม) 2. ภ.ง.ป.73 (สำหรับกรณีจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เงินปันผล หรือส่วนแบ่งกำไร) พร้อมทั้งกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน และแนบเอกสารประกอบตามที่อธิบดีกำหนดไปพร้อมด้วย
[]
การยื่นแบบแสดงรายการในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ต้องกระทำภายในเมื่อใด
ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 51 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ยื่นภายในเจ็ดวันนับแต่วันจ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 การยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 48 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม การยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 51 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ยื่นภายในเจ็ดวันนับแต่วันจ่ายเงินได้ตามมาตรา 21\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 48 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "51" } ]
ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 48 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้โอนไม่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายภายในเวลาที่กำหนด และเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว ให้บริษัทผู้รับโอนยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายแทนบริษัทผู้โอน", "section_num": "48" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "59" } ]
ในกรณีที่บริษัทได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ จะต้องดำเนินการอย่างไร
ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้มีหน้าที่นำส่งภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 52 ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายนำส่งภาษีในเจ็ดวันนับแต่วันจ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 51 ในกรณีตามมาตรา 46 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย มีหน้าที่นำส่งภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 46 ... ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่จ่ายตามมาตรา 21 มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 52 ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายนำส่งภาษีในเจ็ดวันนับแต่วันจ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 51\nในกรณีตามมาตรา 46 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย มีหน้าที่นำส่งภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย", "section_num": "52" } ]
ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้มีหน้าที่นำส่งภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 46 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท\nในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่จ่ายตามมาตรา 21 มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท", "section_num": "46" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 51 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ยื่นภายในเจ็ดวันนับแต่วันจ่ายเงินได้ตามมาตรา 21\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 48 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "51" } ]
เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินจำนวนเเงินหักภาษี ณ ​ที่จ่ายแล้ว สามารถเรียกผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องนำส่งภาษีก่อน 30 วันได้หรือไม่
ได้ ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี ให้นำส่งภาษีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 53 ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินตามหมวด 6 ให้ผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี นำส่งภาษีนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน เว้นแต่การประเมินตามมาตรา 59 ให้นำส่งภาษีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 53 ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินตามหมวด 6 ให้ผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี นำส่งภาษีนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน เว้นแต่การประเมินตามมาตรา 59 ให้นำส่งภาษีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "53" } ]
ได้ ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี ให้นำส่งภาษีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "59" } ]
การยื่นแบบแสดงรายการและการนำส่งภาษี ณ​ ที่จ่ายตามพระราชบัญญัติเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ต้องนำส่งแก่บุคคลใด
เจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด ในที่นี้คือข้าราชการพลเรือนสามัญตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป สังกัดสำนักงานสรรพากรอำเภอหรือเขตท้องที่ แล้วแต่กรณี คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 54 การยื่นแบบแสดงรายการและการนำส่งภาษีตามหมวดนี้ให้ยื่นและนำส่งต่อเจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 2) เรื่อง การแต่งตั้งเจ้าพนักงาน และกำหนดสถานที่รับแบบแสดงรายการ รับชำระเงินภาษี และรับเงินภาษีนำส่งตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียม: ข้อ 2 ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป สังกัดสำนักงานสรรพากรอำเภอหรือเขตท้องที่ แล้วแต่กรณี เป็นเจ้าพนักงานรับแบบแสดงรายการเงินได้ ตาม มาตรา 40 แบบแสดงรายการภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และเป็นเจ้าพนักงานรับชำระเงินภาษี และรับเงินภาษีนำส่งตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 54 การยื่นแบบแสดงรายการและการนำส่งภาษีตามหมวดนี้ให้ยื่นและนำส่งต่อเจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด", "section_num": "54" } ]
เจ้าพนักงาน ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนด ในที่นี้คือข้าราชการพลเรือนสามัญตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป สังกัดสำนักงานสรรพากรอำเภอหรือเขตท้องที่ แล้วแต่กรณี
[]
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว แต่มิได้นำส่งภาษีหรือนำส่งภาษีโดยไม่ถูกต้องก็ดี บุคคลใดมีหน้าที่ต้องผิด
ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ต้องเป็นผู้รับผิด แต่ผู้ซึ่งได้รับเงินจากการโอนกิจการปิโตรเลียมพ้นความรับผิดในการเสียภาษีเท่าจำนวนที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้หักภาษีไว้ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 55 ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งมิได้หักภาษีหรือหักภาษีโดยไม่ถูกต้องก็ดี ต้องรับผิดร่วมกับบุคคลซึ่งได้รับเงินได้ตามมาตรา 21 ในการชำระภาษีนั้น ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว แต่มิได้นำส่งภาษีหรือนำส่งภาษีโดยไม่ถูกต้องก็ดี ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้ตามมาตรา 21 พ้นความรับผิดในการเสียภาษีเท่าจำนวนที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้หักภาษีไว้ และให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย รับผิดในการชำระภาษีนั้นแต่ฝ่ายเดียว
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 55 ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งมิได้หักภาษีหรือหักภาษีโดยไม่ถูกต้องก็ดี ต้องรับผิดร่วมกับบุคคลซึ่งได้รับเงินได้ตามมาตรา 21 ในการชำระภาษีนั้น\nในกรณีที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว แต่มิได้นำส่งภาษีหรือนำส่งภาษีโดยไม่ถูกต้องก็ดี ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้ตามมาตรา 21 พ้นความรับผิดในการเสียภาษีเท่าจำนวนที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้หักภาษีไว้ และให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย รับผิดในการชำระภาษีนั้นแต่ฝ่ายเดียว", "section_num": "55" } ]
ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ต้องเป็นผู้รับผิด แต่ผู้ซึ่งได้รับเงินจากการโอนกิจการปิโตรเลียมพ้นความรับผิดในการเสียภาษีเท่าจำนวนที่ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ได้หักภาษีไว้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" } ]
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม เมื่อใด
(1) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด (2) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป (3) บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษี (4) บริษัทมิได้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้นำส่งภาษีโดยถูกต้อง คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 56 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อ (1) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด (2) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป (3) บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษี หรือ (4) บริษัทมิได้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้นำส่งภาษีโดยถูกต้องตามหมวด 5 การประเมินภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หรือการปฏิบัติการอื่นใดของเจ้าพนักงานประเมินตามพระราชบัญญัตินี้กับบริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 ให้เจ้าพนักงานประเมินดำเนินการโดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท ดังกล่าว
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 56 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อ\n(1) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด\n(2) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป\n(3) บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษี หรือ\n(4) บริษัทมิได้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้นำส่งภาษีโดยถูกต้องตามหมวด 5\nการประเมินภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หรือการปฏิบัติการอื่นใดของเจ้าพนักงานประเมินตามพระราชบัญญัตินี้กับบริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 ให้เจ้าพนักงานประเมินดำเนินการโดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท ดังกล่าว", "section_num": "56" } ]
(1) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด (2) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป (3) บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษี (4) บริษัทมิได้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้นำส่งภาษีโดยถูกต้อง
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 8 บรรดาบัญชี หลักฐานและเอกสารประกอบการลงบัญชีซึ่งเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทให้ทำเป็นภาษาไทยและต้องระบุเป็นเงินตราไทยเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้บริษัททำเป็นภาษาต่างประเทศหรือระบุเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยหรือเปลี่ยนแปลงเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nให้บริษัทที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามวรรคหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศหรือเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยดังกล่าวตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัติและต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนแปลงได้", "section_num": "8" } ]
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจในการปรับปรุงจำนวนรายได้และรายจ่ายของบริษัทปิโตรเลียมอย่างไร เมื่อบริษัทมิได้ดำเนินการโดยอิสระเนื่องจากมีความสัมพันธ์กับบริษัทหรือบุคคลอื่น
พนักงานประเมินมีอำนาจปรับปรุงจำนวนรายได้และรายจ่ายของบริษัทเพื่อให้ได้จำนวนที่บริษัทควรได้รับและจ่ายเสมือนบริษัทได้ดำเนินการอย่างอิสระ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 57 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 56 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจ (1) จัดทำรายการลงในแบบแสดงรายการเงินได้ตามหลักฐานที่เห็นว่าถูกต้อง เมื่อมิได้มีการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ (2) แก้ไขเพิ่มเติมรายการในแบบแสดงรายการเงินได้หรือในเอกสารที่ยื่นประกอบแบบแสดงรายการเงินได้เพื่อให้ถูกต้อง (3) ปรับปรุงจำนวนรายได้และรายจ่ายของบริษัทเพื่อให้ได้จำนวนที่บริษัทควรได้รับและจ่ายถ้าหากบริษัทได้ดำเนินการโดยอิสระ แต่บริษัทมิได้ดำเนินการโดยอิสระเพราะมีความสัมพันธ์ในด้านทุนหรือการจัดการกับบริษัทหรือบุคคลอื่น
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 57 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 56 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจ\n(1) จัดทำรายการลงในแบบแสดงรายการเงินได้ตามหลักฐานที่เห็นว่าถูกต้อง เมื่อมิได้มีการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\n(2) แก้ไขเพิ่มเติมรายการในแบบแสดงรายการเงินได้หรือในเอกสารที่ยื่นประกอบแบบแสดงรายการเงินได้เพื่อให้ถูกต้อง\n(3) ปรับปรุงจำนวนรายได้และรายจ่ายของบริษัทเพื่อให้ได้จำนวนที่บริษัทควรได้รับและจ่ายถ้าหากบริษัทได้ดำเนินการโดยอิสระ แต่บริษัทมิได้ดำเนินการโดยอิสระเพราะมีความสัมพันธ์ในด้านทุนหรือการจัดการกับบริษัทหรือบุคคลอื่น\n(4) กำหนดราคาหรือมูลค่าของทรัพย์สินหรือกิจการปิโตรเลียมตามราคาตลาดในวันโอน เมื่อการโอนทรัพย์สินหรือกิจการปิโตรเลียมนั้นไม่มีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร\n(5) กำหนดกำไรสุทธิหรือเงินได้ตามที่รู้เห็นหรือพิจารณาว่าถูกต้องเมื่อมีกรณีตามมาตรา 56 (3)", "section_num": "57" } ]
พนักงานประเมินมีอำนาจปรับปรุงจำนวนรายได้และรายจ่ายของบริษัทเพื่อให้ได้จำนวนที่บริษัทควรได้รับและจ่ายเสมือนบริษัทได้ดำเนินการอย่างอิสระ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 56 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อ\n(1) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด\n(2) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป\n(3) บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษี หรือ\n(4) บริษัทมิได้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้นำส่งภาษีโดยถูกต้องตามหมวด 5\nการประเมินภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หรือการปฏิบัติการอื่นใดของเจ้าพนักงานประเมินตามพระราชบัญญัตินี้กับบริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 ให้เจ้าพนักงานประเมินดำเนินการโดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท ดังกล่าว", "section_num": "56" } ]
นอกจากการดำเนินการประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจในการออกหมายหรือคำสั่งหรือไม่
มี พนักงานประเมินมีอำนาจ 1. ออกหมายเรียกผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายและออกหมายเรียกพยานมาให้ถ้อยคำ 2. ออกคำสั่งให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายและออกคำสั่งให้พยานตอบคำถามเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีหลักฐาน รายงานหรือเอกสารอื่นอันควรแก่กรณีมาตรวจสอบไต่สวน คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 58 ในการดำเนินการตามมาตรา 56 หรือมาตรา 57 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจ (1) ออกหมายเรียกผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายและออกหมายเรียกพยานมาให้ถ้อยคำ (2) ออกคำสั่งให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายและออกคำสั่งให้พยานตอบคำถามเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีหลักฐาน รายงานหรือเอกสารอื่นอันควรแก่กรณีมาตรวจสอบไต่สวน ทั้งนี้ ต้องให้เวลาแก่ผู้รับหมายเรียกหรือคำสั่งไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันได้รับหมายเรียกหรือคำสั่งนั้น
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 58 ในการดำเนินการตามมาตรา 56 หรือมาตรา 57 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจ\n(1) ออกหมายเรียกผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายและออกหมายเรียกพยานมาให้ถ้อยคำ\n(2) ออกคำสั่งให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายและออกคำสั่งให้พยานตอบคำถามเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีหลักฐาน รายงานหรือเอกสารอื่นอันควรแก่กรณีมาตรวจสอบไต่สวน\nทั้งนี้ ต้องให้เวลาแก่ผู้รับหมายเรียกหรือคำสั่งไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันได้รับหมายเรียกหรือคำสั่งนั้น", "section_num": "58" } ]
มี พนักงานประเมินมีอำนาจ 1. ออกหมายเรียกผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายและออกหมายเรียกพยานมาให้ถ้อยคำ 2. ออกคำสั่งให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายและออกคำสั่งให้พยานตอบคำถามเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีหลักฐาน รายงานหรือเอกสารอื่นอันควรแก่กรณีมาตรวจสอบไต่สวน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 56 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อ\n(1) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด\n(2) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป\n(3) บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษี หรือ\n(4) บริษัทมิได้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้นำส่งภาษีโดยถูกต้องตามหมวด 5\nการประเมินภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หรือการปฏิบัติการอื่นใดของเจ้าพนักงานประเมินตามพระราชบัญญัตินี้กับบริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 ให้เจ้าพนักงานประเมินดำเนินการโดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท ดังกล่าว", "section_num": "56" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 57 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 56 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจ\n(1) จัดทำรายการลงในแบบแสดงรายการเงินได้ตามหลักฐานที่เห็นว่าถูกต้อง เมื่อมิได้มีการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\n(2) แก้ไขเพิ่มเติมรายการในแบบแสดงรายการเงินได้หรือในเอกสารที่ยื่นประกอบแบบแสดงรายการเงินได้เพื่อให้ถูกต้อง\n(3) ปรับปรุงจำนวนรายได้และรายจ่ายของบริษัทเพื่อให้ได้จำนวนที่บริษัทควรได้รับและจ่ายถ้าหากบริษัทได้ดำเนินการโดยอิสระ แต่บริษัทมิได้ดำเนินการโดยอิสระเพราะมีความสัมพันธ์ในด้านทุนหรือการจัดการกับบริษัทหรือบุคคลอื่น\n(4) กำหนดราคาหรือมูลค่าของทรัพย์สินหรือกิจการปิโตรเลียมตามราคาตลาดในวันโอน เมื่อการโอนทรัพย์สินหรือกิจการปิโตรเลียมนั้นไม่มีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร\n(5) กำหนดกำไรสุทธิหรือเงินได้ตามที่รู้เห็นหรือพิจารณาว่าถูกต้องเมื่อมีกรณีตามมาตรา 56 (3)", "section_num": "57" } ]
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจในการสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่
มีอำนาจในกรณ๊ที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "59" } ]
มีอำนาจในกรณ๊ที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี
[]
ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินแล้ว บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ชำระภาษีสามารถอุทธรณ์การประเมินได้ในกรณีใดบ้าง
สามารถอุทธรณ์ได้ทุกกรณีเว้นแต่การประเมินที่ บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษีนั้นห้ามไม่ให้อุทธรณ์การประเมิน คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 60 เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินแล้ว ให้แจ้งการประเมินเป็นหนังสือไปยังบริษัทหรือผู้มีหน้าที่ชำระภาษีหรือนำส่งภาษี ในกรณีนี้จะอุทธรณ์การประเมินก็ได้ เว้นแต่การประเมินตามมาตรา 56 (3) ห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมิน การอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับการอุทธรณ์มาใช้บังคับ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 60 เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินแล้ว ให้แจ้งการประเมินเป็นหนังสือไปยังบริษัทหรือผู้มีหน้าที่ชำระภาษีหรือนำส่งภาษี ในกรณีนี้จะอุทธรณ์การประเมินก็ได้ เว้นแต่การประเมินตามมาตรา 56 (3) ห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมิน\nการอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับการอุทธรณ์มาใช้บังคับ", "section_num": "60" } ]
สามารถอุทธรณ์ได้ทุกกรณีเว้นแต่การประเมินที่ บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษีนั้นห้ามไม่ให้อุทธรณ์การประเมิน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 56 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อ\n(1) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด\n(2) ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป\n(3) บริษัทหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจไต่สวนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานในการคำนวณภาษี หรือ\n(4) บริษัทมิได้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือมิได้นำส่งภาษีโดยถูกต้องตามหมวด 5\nการประเมินภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หรือการปฏิบัติการอื่นใดของเจ้าพนักงานประเมินตามพระราชบัญญัตินี้กับบริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 ให้เจ้าพนักงานประเมินดำเนินการโดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท ดังกล่าว", "section_num": "56" } ]
หากบริษัทแสดงจำนวนรายได้หรือภาษีที่ต้องนำส่งขาดไปเกินร้อยละ 25 ของจำนวนที่ต้องนำส่งในการยื่นแบบแสดงรายการ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต้องดำเนินการภายในระยะเวลาเท่าใด
10 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 61 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้ (1) ห้าปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง หรือวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาที่อธิบดีขยายหรือเลื่อนออกไปตามมาตรา 5 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในกำหนดเวลาดังกล่าว (2) ห้าปีนับแต่วันที่บริษัทยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่บริษัทยื่นแบบแสดงรายการภายหลังวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาดังกล่าวใน (1) แต่ต้องไม่เกินสิบปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการ (3) สิบปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในกรณีที่บริษัทมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหรือยื่นแบบแสดงรายการเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหรือการนำส่งภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการโดยแสดงจำนวนรายได้หรือภาษีที่ต้องนำส่งขาดไปเกินร้อยละ 25 ของจำนวนรายได้หรือภาษีที่ต้องนำส่งในแบบแสดงรายการ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 61 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้\n(1) ห้าปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง หรือวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาที่อธิบดีขยายหรือเลื่อนออกไปตามมาตรา 5 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในกำหนดเวลาดังกล่าว\n(2) ห้าปีนับแต่วันที่บริษัทยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่บริษัทยื่นแบบแสดงรายการภายหลังวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาดังกล่าวใน (1) แต่ต้องไม่เกินสิบปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการ\n(3) สิบปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในกรณีที่บริษัทมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหรือยื่นแบบแสดงรายการเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหรือการนำส่งภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการโดยแสดงจำนวนรายได้หรือภาษีที่ต้องนำส่งขาดไปเกินร้อยละ 25 ของจำนวนรายได้หรือภาษีที่ต้องนำส่งในแบบแสดงรายการ", "section_num": "61" } ]
10 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 41 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา34 (1)ให้ยื่นภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของวันครบกำหนดครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีนั้นและการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (2) ให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "41" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 5 กำหนดเวลาตามที่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ ให้อธิบดี โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งขยายหรือเลื่อนเวลาออกไปได้ตามความจำเป็นแก่กรณี", "section_num": "5" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 51 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ยื่นภายในเจ็ดวันนับแต่วันจ่ายเงินได้ตามมาตรา 21\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 48 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "51" } ]
ถ้าบริษัทยื่นแบบแสดงรายได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี แต่ไม่ยื่นยื่นภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของวันครบกำหนดครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีต้องเสียค่าปรับหรือไม่
หากไม่มีเหตุผลอันสมควรต้องเสียเบี้ยปรับร้อยละ 20 ของภาษีที่ต้องชำระ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 62 ให้บริษัทเสียเบี้ยปรับในกรณีและตามอัตราดังต่อไปนี้ (1)ถ้ามิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (1) ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 41วรรคหนึ่ง หรือยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (1) ภายในกำหนดเวลาโดยแสดงประมาณการกำไรสุทธิตามมาตรา 34 วรรคสอง ขาดไปเกินร้อยละ 25ของกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้เสียเบี้ยปรับอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 43 ทวิหรือของภาษีที่ชำระขาด แล้วแต่กรณี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 62 ให้บริษัทเสียเบี้ยปรับในกรณีและตามอัตราดังต่อไปนี้\n(1)ถ้ามิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (1) ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 41วรรคหนึ่ง หรือยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (1) ภายในกำหนดเวลาโดยแสดงประมาณการกำไรสุทธิตามมาตรา 34 วรรคสอง ขาดไปเกินร้อยละ 25ของกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้เสียเบี้ยปรับอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 43 ทวิหรือของภาษีที่ชำระขาด แล้วแต่กรณี\n(2)ถ้ามิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง หรือภายในกำหนดเวลาตามมาตรา34 (2) ที่ขยายหรือเลื่อนออกไปตามมาตรา 5 ให้เสียเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของภาษี\n(3)ถ้ายื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียลดน้อยลงให้เสียเบี้ยปรับอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ประเมินเพิ่มเติม\n(4) ถ้ามิได้หักภาษี ณ ที่จ่ายหรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ภายในกำหนดเวลาตามหมวด 5หรือยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายไม่ถูกต้องทำให้จำนวนภาษีที่นำส่งนั้นน้อยไปกว่าจำนวนที่ควรต้องนำส่ง ให้เสียเบี้ยปรับอีกร้อยละ20 ของภาษีที่มิได้หัก ณ ที่จ่าย หรือที่มิได้ยื่นแบบแสดงรายการหรือที่ยื่นแบบแสดงรายการขาดไปแล้วแต่กรณี", "section_num": "62" } ]
ต้องเสียเบี้ยปรับร้อยละ 20 ของภาษีที่ต้องชำระ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 34 บริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ดังต่อไปนี้\n(1)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ทุกรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม(1)ให้บริษัทมีหน้าที่จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิที่จะพึงมีสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้น\nความในวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายน้อยกว่าสิบสองเดือน\nบริษัทที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานแต่ละบริษัทมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ซึ่งเป็นส่วนของบริษัทเอง\nบริษัทที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงตามมาตรา26 (16) มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตาม (1) และ (2)เสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน", "section_num": "34" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 41 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา34 (1)ให้ยื่นภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของวันครบกำหนดครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีนั้นและการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (2) ให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "41" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 43 ถ้ามีภาษีต้องเสีย ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวด 3 ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\nในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย", "section_num": "43" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 5 กำหนดเวลาตามที่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ ให้อธิบดี โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งขยายหรือเลื่อนเวลาออกไปได้ตามความจำเป็นแก่กรณี", "section_num": "5" } ]
บริษัทใดที่ไม่ได้ชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาหรือชำระหรือนำส่งขาดจากจำนวนที่ควรต้องชำระหรือนำส่ง ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของภาษีที่ต้องชำระหรือชำระขาดหรือที่ต้องนำส่งหรือนำส่งขาด โดยไม่รวมเบี้ยปรับ หรือได้มีการชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขยายหรือเลื่อนให้นั้น ต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 0.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน เงินเพิ่มที่ต้องเสียเพิ่มนั้นหากต้องเสียเกินภาษีที่ต้องชำระจะสามารถทำได้หรือไม่
ไม่สามารถทำได้ เงินเพิ่มที่ต้องเสียเพิ่มเติมนั้น จะต้องไม่เกินจำนวนภาษีท่ีต้องชำระหรือนำส่งโดยที่ไม่รวมเบี้ยปรับ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 63 บริษัทใดมิได้ชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาตามหมวด 4 หรือหมวด 5 หรือชำระหรือนำส่งขาดจากจำนวนที่ควรต้องชำระหรือนำส่ง ให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของภาษีที่ต้องชำระหรือชำระขาดหรือที่ต้องนำส่งหรือนำส่งขาด โดยไม่รวมเบี้ยปรับตามมาตรา 62 การคำนวณเงินเพิ่มดังกล่าวมิให้คิดทบต้น ในกรณีที่อธิบดีสั่งให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาชำระหรือนำส่งภาษีตามมาตรา 5 และได้มีการชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขยายหรือเลื่อนให้นั้น เงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งให้ลดลงเหลือร้อยละ 0.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน การคำนวณเงินเพิ่มทุกกรณีตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เริ่มนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่งหรือวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี เว้นแต่การประเมินตามมาตรา 59 ให้เริ่มนับแต่วันสุดท้ายแห่งเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด เงินเพิ่มตามมาตรานี้มิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องชำระหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 63 บริษัทใดมิได้ชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาตามหมวด 4 หรือหมวด 5 หรือชำระหรือนำส่งขาดจากจำนวนที่ควรต้องชำระหรือนำส่ง ให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของภาษีที่ต้องชำระหรือชำระขาดหรือที่ต้องนำส่งหรือนำส่งขาด โดยไม่รวมเบี้ยปรับตามมาตรา 62 การคำนวณเงินเพิ่มดังกล่าวมิให้คิดทบต้น\nในกรณีที่อธิบดีสั่งให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาชำระหรือนำส่งภาษีตามมาตรา 5 และได้มีการชำระหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขยายหรือเลื่อนให้นั้น เงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งให้ลดลงเหลือร้อยละ 0.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน\nการคำนวณเงินเพิ่มทุกกรณีตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เริ่มนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่งหรือวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี เว้นแต่การประเมินตามมาตรา 59 ให้เริ่มนับแต่วันสุดท้ายแห่งเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด\nเงินเพิ่มตามมาตรานี้มิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องชำระหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ", "section_num": "63" } ]
ไม่สามารถทำได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 41 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา34 (1)ให้ยื่นภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของวันครบกำหนดครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีนั้นและการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (2) ให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "41" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 5 กำหนดเวลาตามที่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ ให้อธิบดี โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งขยายหรือเลื่อนเวลาออกไปได้ตามความจำเป็นแก่กรณี", "section_num": "5" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 51 การยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ยื่นภายในเจ็ดวันนับแต่วันจ่ายเงินได้ตามมาตรา 21\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 48 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "51" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "59" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 62 ให้บริษัทเสียเบี้ยปรับในกรณีและตามอัตราดังต่อไปนี้\n(1)ถ้ามิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (1) ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 41วรรคหนึ่ง หรือยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (1) ภายในกำหนดเวลาโดยแสดงประมาณการกำไรสุทธิตามมาตรา 34 วรรคสอง ขาดไปเกินร้อยละ 25ของกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้เสียเบี้ยปรับอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 43 ทวิหรือของภาษีที่ชำระขาด แล้วแต่กรณี\n(2)ถ้ามิได้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง หรือภายในกำหนดเวลาตามมาตรา34 (2) ที่ขยายหรือเลื่อนออกไปตามมาตรา 5 ให้เสียเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของภาษี\n(3)ถ้ายื่นแบบแสดงรายการเงินได้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียลดน้อยลงให้เสียเบี้ยปรับอีกร้อยละ 20 ของภาษีที่ประเมินเพิ่มเติม\n(4) ถ้ามิได้หักภาษี ณ ที่จ่ายหรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย ภายในกำหนดเวลาตามหมวด 5หรือยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่ายไม่ถูกต้องทำให้จำนวนภาษีที่นำส่งนั้นน้อยไปกว่าจำนวนที่ควรต้องนำส่ง ให้เสียเบี้ยปรับอีกร้อยละ20 ของภาษีที่มิได้หัก ณ ที่จ่าย หรือที่มิได้ยื่นแบบแสดงรายการหรือที่ยื่นแบบแสดงรายการขาดไปแล้วแต่กรณี", "section_num": "62" } ]
ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 64 เบี้ยปรับและเงินเพิ่มอาจงดหรือลดลงได้หรือไม่
สามารถงดหรือลดลงได้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ปรากฎในกฎกระทรวง คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 64 เบี้ยปรับและเงินเพิ่มอาจงดหรือลดลงได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 64 เบี้ยปรับและเงินเพิ่มอาจงดหรือลดลงได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "64" } ]
สามารถงดหรือลดลงได้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ปรากฎในกฎกระทรวง
[]
เงินเพิ่มถือว่าเป็นภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 หรือไม่
เป็นภาษี คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
เป็นภาษี
[]
ราคามาตราฐานมีความหมายว่าอย่างไรบทนิยามคำว่า "เงินได้" "จำหน่าย" และ "บริษัท" ในมาตรา 65 ตรี มีผลใช้แทนคำในมาตราใดบ้าง
มาใช้แทนมาตรา 4 ที่เป็นบทบัญญัติที่ให้นิยามคำต่างๆที่ใช้ในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ทวิ ความในหมวดนี้ให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งได้ทำสัญญาปิโตรเลียมก่อนปี พ.ศ. 2512 และได้ทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับองค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทยก่อนปี พ.ศ. 2522 และบริษัทอื่นตามที่จะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนด ให้นำบทนิยามคำว่า “เงินได้” “จำหน่าย” และ “บริษัท” ในมาตรา 65 ตรี มาใช้แทนบทนิยามของคำเหล่านั้นในมาตรา 4
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ทวิ ความในหมวดนี้ให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งได้ทำสัญญาปิโตรเลียมก่อนปี พ.ศ. 2512 และได้ทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับองค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทยก่อนปี พ.ศ. 2522 และบริษัทอื่นตามที่จะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนด\nให้นำบทนิยามคำว่า “เงินได้” “จำหน่าย” และ “บริษัท” ในมาตรา 65 ตรี มาใช้แทนบทนิยามของคำเหล่านั้นในมาตรา 4 และให้นำความในมาตรา 65 จัตวา มาตรา 65 เบญจ มาตรา 65 ฉ มาตรา 65 สัตต มาตรา 65 อัฏฐ มาตรา 65 นว มาตรา 65 ทศ และมาตรา 65 เอกาทศ มาใช้บังคับแทนความใน มาตรา 20 มาตรา 21 มาตรา 24 มาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 31 มาตรา 41 และมาตรา 43 ตามลำดับ สำหรับบริษัทตามวรรคหนึ่ง\nมิให้นำคำนิยาม “ราคามาตรฐาน” ในมาตรา 4 กับความในมาตรา 13 มาตรา 18 และมาตรา 32 มาใช้บังคับกับบริษัทตามวรรคหนึ่ง\nให้นำบทบัญญัติในหมวดอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับกับบริษัทตามวรรคหนึ่งได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในหมวดนี้ และที่ใดบัญญัติถึง “เงินได้” “จำหน่าย” หรือ “บริษัท” ให้หมายถึง “เงินได้” “จำหน่าย” หรือ “บริษัท” ตามลำดับตามหมวดนี้ และที่ใดที่อ้างถึง มาตรา 20 มาตรา 21 มาตรา 24 มาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 31 มาตรา 41 และมาตรา 43 ให้หมายถึงมาตรา 65 จัตวา มาตรา 65 เบญจ มาตรา 65 ฉ มาตรา 65 สัตต มาตรา 65 อัฏฐ มาตรา 65 นว มาตรา 65 ทศ และมาตรา 65 เอกาทศ ตามลำดับตามหมวดนี้", "section_num": "65 ทวิ" } ]
มาใช้แทนมาตรา 4 ที่เป็นบทบัญญัติที่ให้นิยามคำต่างๆที่ใช้ในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 13 ให้บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศได้รับยกเว้น\n(1) ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร และ\n(2) ภาษีอากรตามกฎหมายอื่น\nทั้งนี้ เฉพาะภาษีอากรที่เก็บจากเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายจากกำไรสุทธิ หรือที่จ่ายจากเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "13" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 18 รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดส่วนลดเพื่อประโยชน์ในการคำนวณราคามาตรฐานดังต่อไปนี้\n(1) ไม่เกินร้อยละ 7ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแปลงสำรวจแต่ละแปลงที่มิใช่แปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n(2) ไม่เกินร้อยละ 30ของราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเป็นเวลาไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่บริษัทเริ่มผลิตปิโตรเลียมจากแต่ละพื้นที่ผลิตในแปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกินสองร้อยเมตรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\nหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดส่วนลดตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง\nในกรณีที่มีการขยายอายุสัมปทานในส่วนที่เกี่ยวกับการผลิตปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมเนื่องจากการผลิตปิโตรเลียมต้องหยุดชะงักลงเพราะเหตุที่มิใช่ความผิดของผู้รับสัมปทานมิให้นับระยะเวลาที่ได้รับการขยายอายุสัมปทานนั้นรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง", "section_num": "18" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 20 ภายใต้บังคับมาตรา 43 ทวิ บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม", "section_num": "20" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 21 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน ให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว", "section_num": "21" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 24 ภายใต้บังคับมาตรา 25 และมาตรา 26 รายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควร และได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียม ไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักร และภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง\n(1) ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน\n(2) ค่าแรงงาน ค่าบริการ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต\n(3) ค่ารับรอง\n(4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี\n(5) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ\n(6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน\n(7) ค่าภาคหลวงสำหรับปิโตรเลียม ไม่ว่าจะชำระเป็นตัวเงินหรือปิโตรเลียม\n(8) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท และรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน\n(9) ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้ว สำหรับรายได้ตามมาตรา 22 (4)\n(10) ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม", "section_num": "24" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 25 รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง\n(1) รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออกหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน\nรายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 26 (1) วรรคสอง และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 26 (1) วรรคสองด้วย\n(2) รายจ่ายที่เป็นการส่วนตัว หรือการให้โดยเสน่หาหรือรายจ่ายที่เป็นการบริจาค\n(3) ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ\n(4) รายจ่ายเพื่อตอบแทนทุนหรือทรัพย์สินของบริษัท\n(5) เงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใด ๆ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 24 (5)\n(6) ภาษีเงินได้ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่บริษัทต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้หรือที่ต้องเสียในต่างประเทศ\n(7) รายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อประโยชน์ในการหามาซึ่งเงินได้อันไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้\n(8) รายจ่ายที่บริษัทพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ\n(9) (ยกเลิก)\n(10) ดอกเบี้ย\n(11) ค่าธรรมเนียมการสงวนพื้นที่และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n(12) ค่าปรับทางอาญา", "section_num": "25" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 26 การคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิตามหมวดนี้ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์ และการปฏิบัติทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้คำนวณตามราคาที่ขายได้จริงซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมแต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้นเว้นแต่กรณีน้ำมันดิบที่ส่งออกถ้าราคาที่ขายได้จริงต่ำกว่าราคามาตรฐานให้คำนวณตามราคามาตรฐาน\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาดซึ่งใช้เป็นเกณฑ์การคำนวณค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม แต่ไม่ให้ปรับปรุงราคาเนื่องจากความแตกต่างของค่าขนส่งตามกฎหมายนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(9/1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สินให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขสำหรับการคำนวณรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายประเภทได้\n(9/2)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(10)ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลงส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุน หรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้ว หากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ\n(16) ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับสัมปทานสำหรับแปลงสำรวจหลายแปลงโดยแปลงสำรวจบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมพ.ศ. 2514ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 และบางแปลงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิสำหรับแปลงสำรวจที่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้น ๆเสมือนหนึ่งเป็นบริษัทแยกต่างหากจากกัน\nการคำนวณรายได้และรายจ่ายสำหรับแปลงสำรวจตามวรรคหนึ่งถ้ารายได้และรายจ่ายรายการใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งให้เฉลี่ยรายได้และรายจ่ายตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "26" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 31 (ยกเลิก)", "section_num": "31" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 32 ในกรณีที่บริษัทผู้ได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานขายน้ำมันดิบให้แก่บริษัทผู้ซื้อเพื่อส่งน้ำมันดิบนั้นทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร ถ้าบริษัทผู้ซื้อต้องเสียภาษีตามมาตรา 20 เป็นจำนวนเท่าใดให้บริษัทผู้ขายนำภาษีจำนวนนั้นมาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่บริษัทผู้ขายต้องเสียในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันได้ แต่ต้องไม่เกินจำนวนภาษีที่บริษัทผู้ขายต้องเสีย\nในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคาต่ำกว่าราคามาตรฐานและขายไปในราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน เครดิตที่บริษัทผู้ขายจะหักตามวรรคหนึ่งต้องไม่เกินส่วนของจำนวนภาษีที่บริษัทผู้ซื้อเสียสำหรับผลต่างระหว่างราคามาตรฐานกับราคาที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบ\nในกรณีที่บริษัทผู้ซื้อซื้อน้ำมันดิบในราคามาตรฐานหรือราคาที่สูงกว่าราคามาตรฐาน ไม่ให้หักเครดิตตามวรรคหนึ่ง", "section_num": "32" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้\n“ปิโตรเลียม” หมายความว่า ปิโตรเลียมที่ผลิตในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“น้ำมันดิบ” หมายความว่า น้ำมันดิบตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“น้ำมันดิบที่ส่งออก” หมายความว่า น้ำมันดิบที่บริษัทซึ่งได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือขายให้แก่บุคคลอื่นเพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักรและให้หมายความรวมถึงน้ำมันดิบที่กลั่นในราชอาณาจักรเฉพาะส่วนที่ถือว่าเป็นน้ำมันดิบที่ส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“กิจการปิโตรเลียม” หมายความว่า กิจการปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและให้หมายความรวมถึงการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ทั้งหมดหรือบางส่วนที่เกี่ยวกับกิจการดังกล่าวไม่ว่าการโอนนั้นจะเป็นปกติธุระหรือไม่ก็ตามรวมทั้งกิจการใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการหรือการโอนดังกล่าวด้วย\n“เงินได้” หมายความว่า เงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาอันอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินและรวมถึงภาษีอากรที่มีผู้อื่นออกแทนให้แต่ไม่รวมถึงภาษีที่ให้บริษัทผู้ขายนำมาเป็นเครดิตตามมาตรา 32\n“ราชอาณาจักร” หมายความว่า ราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“สัมปทาน” หมายความว่า สัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“ขาย” หมายความว่า ขายตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“จำหน่าย” หมายความว่า ส่งน้ำมันดิบไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงแยกก๊าซ โรงทำก๊าซให้เป็นของเหลว โรงอัดก๊าซหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อกิจการดังกล่าวของบริษัทนำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆของบริษัทหรือของผู้อื่นโดยไม่มีการขายหรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงโดยไม่มีค่าตอบแทน\n“ราคามาตรฐาน” หมายความว่า ราคาประกาศตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม หักด้วยส่วนลดถ้ามี\n“ราคาตลาด” หมายความว่า ราคาในตลาดเปิดเผย หากไม่มีราคาดังกล่าวหมายความว่าราคาที่พึงคิดกันระหว่างบุคคลซึ่งเป็นอิสระต่อกันโดยไม่มีความสัมพันธ์ในด้านทุนหรือการจัดการ\n“ค่าภาคหลวง” หมายความว่า ค่าภาคหลวงตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n“บริษัท” หมายความว่า บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่ง\n(1)ได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน หรือ\n(2) ซื้อน้ำมันดิบที่บริษัทตาม(1) เป็นผู้ผลิต เพื่อส่งน้ำมันดิบนั้นทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร\n“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันตามมาตรา39 แห่งประมวลรัษฎากร\n“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมสรรพากร\n“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "4" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 41 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา34 (1)ให้ยื่นภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของวันครบกำหนดครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีนั้นและการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามมาตรา 34 (2) ให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 59ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "41" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 43 ถ้ามีภาษีต้องเสีย ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวด 3 ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\nในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย", "section_num": "43" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
จำหน่าย ตามคำจะกัดความของพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 หมายความว่าอย่างไร
การส่งปิโตรเลียมออกนอกราชอาณาจักร ส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นปิโตรเลียมของบริษัท นำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆ ของบริษัทโดยไม่มีการขาย หรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวง ไปโดยไม่มีค่าตอบแทน คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ตรี ในหมวดนี้ “จำหน่าย” หมายความว่า ส่งปิโตรเลียมออกนอกราชอาณาจักร ส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นปิโตรเลียมของบริษัท นำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆ ของบริษัทโดยไม่มีการขาย หรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวง ไปโดยไม่มีค่าตอบแทน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ตรี ในหมวดนี้\n“เงินได้” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาอันอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินและหมายความรวมถึงภาษีอากรที่มีผู้อื่นออกแทนให้\n“จำหน่าย” หมายความว่า ส่งปิโตรเลียมออกนอกราชอาณาจักร ส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นปิโตรเลียมของบริษัท นำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆ ของบริษัทโดยไม่มีการขาย หรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวง ไปโดยไม่มีค่าตอบแทน\n“บริษัท” หมายความว่า บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน", "section_num": "65 ตรี" } ]
การส่งปิโตรเลียมออกนอกราชอาณาจักร ส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นปิโตรเลียมของบริษัท นำปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไปใช้ในกิจการใด ๆ ของบริษัทโดยไม่มีการขาย หรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวง ไปโดยไม่มีค่าตอบแทน
[]
บริษัทต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราเท่าใดจากเงินกำไรที่เหลือหลังจากการชำระภาษีตามอัตราที่กำหนดสำหรับกิจการปิโตรเลียม
บริษัทจะต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08 ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินไของกำไรสุทธิจากกิจการปิโตรเลียมหรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรดังกล่าว หรือที่ถือว่าเป็นเงินกำไรดังกล่าว ทั้งนี้ เฉพาะจำนวนที่จำหน่ายออกนอกราชอาณาจักร คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 จัตวา บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้ (1)ภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 แต่ไม่เกินร้อยละ 48 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม (2) ภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ23.08 ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินได้ตาม (1)หรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรดังกล่าว หรือที่ถือว่าเป็นเงินกำไรดังกล่าว ทั้งนี้ เฉพาะจำนวนที่จำหน่ายออกนอกราชอาณาจักร เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีเงินได้ตาม(2) ให้ถือภาษีเงินได้ตาม (2) นั้น เป็นเงินกำไรที่จำหน่ายออกนอกราชอาณาจักรด้วย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 จัตวา บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้\n(1)ภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 แต่ไม่เกินร้อยละ 48 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม\n(2) ภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ23.08 ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินได้ตาม (1)หรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรดังกล่าว หรือที่ถือว่าเป็นเงินกำไรดังกล่าว ทั้งนี้ เฉพาะจำนวนที่จำหน่ายออกนอกราชอาณาจักร\nเพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีเงินได้ตาม(2) ให้ถือภาษีเงินได้ตาม (2) นั้น เป็นเงินกำไรที่จำหน่ายออกนอกราชอาณาจักรด้วย", "section_num": "65 จัตวา" } ]
บริษัทจะต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08 ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินไของกำไรสุทธิจากกิจการปิโตรเลียม
[]
ภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจากดอกเบี้ยเงินกู้ยืมและเงินปันผลจะต้องนำภาษีที่หักไว้ ณ ที่จ่ายมาคำนวณและหักออกจากภาษีที่ต้องเสียได้อย่างไร
ภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจากดอกเบี้ยกู้ยืม บุคคลใดได้รับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากบริษัทบุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยนั้นในอัตราอัตราที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา แต่ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังหักจากต้นทุนแล้ว และให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วมาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย ภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจากการได้รับปันผล บุคคลใดได้รับเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 แต่ไม่เกินร้อยละ 48 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม แต่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากกำไรส่วนที่เหลือจากการชำระภาษี บุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08 ของเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรนั้น และให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้ว มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เบญจ ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียมถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปีหรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอนให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว บุคคลใดได้รับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากบริษัทบุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยนั้นในอัตราตามวรรคหนึ่งและให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วตามมาตรา 45มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย บุคคลใดได้รับเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา65 จัตวา (1) แต่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตาม ตามมาตรา 65 จัตวา (2)บุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08ของเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรนั้น และให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ ณที่จ่ายและนำส่งแล้วตามมาตรา 45 มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เบญจ ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียมถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปีหรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอนให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว\nบุคคลใดได้รับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากบริษัทบุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยนั้นในอัตราตามวรรคหนึ่งและให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วตามมาตรา 45มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย\nบุคคลใดได้รับเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา65 จัตวา (1) แต่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตาม ตามมาตรา 65 จัตวา (2)บุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08ของเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรนั้น และให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ ณที่จ่ายและนำส่งแล้วตามมาตรา 45 มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย", "section_num": "65 เบญจ" } ]
ภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจากดอกเบี้ยกู้ยืม บุคคลใดได้รับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากบริษัทบุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยนั้นในอัตราที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา แต่ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังหักจากต้นทุนแล้ว และให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วมาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย. สำหรับเงินปันผล บุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08 ของเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรนั้น และให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้ว มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 33 การหักต้นทุนจากเงินได้ตามมาตรา 21 ให้หักได้เพียงเท่าผลขาดทุนประจำปีคงเหลือตามมาตรา 28 (1) ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "33" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 45 ให้บริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 มีหน้าที่\n(1) หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายทุกคราวที่จ่ายเงินได้นั้นในอัตราตามมาตรา 21\n(2) ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย\n(3) นำส่งภาษีที่ต้องหักตาม (1)\nการหักภาษีตาม (1) ให้คำนวณหักตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "45" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
บริษัทปิโตรเลียมสามารถหักค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเช่า, ค่าแรงงาน, ค่ารับรอง, หนี้สูญ, เงินสมทบกองทุน, ค่าชดเชย, ค่าภาคหลวง, และดอกเบี้ยเงินกู้ยืมได้หรือไม่
สามารถหักได้ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ฉ ภายใต้บังคับมาตรา 65 สัตตและมาตรา 65 อัฏฐรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควรและได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียมไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักรและภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง (1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน (2) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต (3) ค่ารับรอง (4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี (5) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ (6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน (7) ค่าภาคหลวงไม่ว่าจะชำระเป็นตัวเงินหรือปิโตรเลียม (8)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท (9)ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้วสำหรับรายได้ตามมาตรา22 (4) (10) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเฉพาะที่บริษัทพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดเป็นผู้รับและได้หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายสำหรับการจ่ายดอกเบี้ยนั้นแล้วตามมาตรา 45
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ฉ ภายใต้บังคับมาตรา 65 สัตตและมาตรา 65 อัฏฐรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควรและได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียมไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักรและภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง\n(1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน\n(2) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต\n(3) ค่ารับรอง\n(4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี\n(5) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ\n(6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน\n(7) ค่าภาคหลวงไม่ว่าจะชำระเป็นตัวเงินหรือปิโตรเลียม\n(8)รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท\n(9)ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้วสำหรับรายได้ตามมาตรา22 (4)\n(10) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเฉพาะที่บริษัทพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดเป็นผู้รับและได้หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายสำหรับการจ่ายดอกเบี้ยนั้นแล้วตามมาตรา 45", "section_num": "65 ฉ" } ]
สามารถหักได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 45 ให้บริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 มีหน้าที่\n(1) หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายทุกคราวที่จ่ายเงินได้นั้นในอัตราตามมาตรา 21\n(2) ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย\n(3) นำส่งภาษีที่ต้องหักตาม (1)\nการหักภาษีตาม (1) ให้คำนวณหักตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "45" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
รายจ่ายที่ถือเป็นการลงทุน, รายจ่ายส่วนตัว, ผลเสียหายจากการประกัน, การบริจาค, และค่าปรับมีข้อกำหนดอย่างไรในเรื่องของการหักเป็นรายจ่ายสำหรับการคำนวณภาษี
ไม่ให้ถือว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในการคำนวณภาษี คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 สัตต รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง (1)รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลงขยายออกหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน รายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่งหมายความว่ารายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมโดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีและให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 อัฏฐ (1) วรรคสอง และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 อัฏฐ (1) วรรคสองด้วย (2) รายจ่ายที่เป็นการส่วนตัวหรือการให้โดยเสน่หาหรือรายจ่ายที่เป็นการบริจาค (3)ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกัน หรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ (4)รายจ่ายเพื่อตอบแทนทุนหรือทรัพย์สินของบริษัท (5)เงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใด ๆ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65 ฉ (5) (6) ภาษีเงินได้ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่บริษัทต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้หรือที่ต้องเสียในต่างประเทศ (7) รายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อประโยชน์ในการหามาซึ่งเงินได้อันไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ (8)รายจ่ายที่บริษัทพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ (9) ค่าธรรมเนียมการสงวนพื้นที่และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม (10) ค่าปรับทางอาญา
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 สัตต รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง\n(1)รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลงขยายออกหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน\nรายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่งหมายความว่ารายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมโดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีและให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 อัฏฐ (1) วรรคสอง และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 อัฏฐ (1) วรรคสองด้วย\n(2) รายจ่ายที่เป็นการส่วนตัวหรือการให้โดยเสน่หาหรือรายจ่ายที่เป็นการบริจาค\n(3)ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกัน หรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ\n(4)รายจ่ายเพื่อตอบแทนทุนหรือทรัพย์สินของบริษัท\n(5)เงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใด ๆ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65 ฉ (5)\n(6) ภาษีเงินได้ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่บริษัทต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้หรือที่ต้องเสียในต่างประเทศ\n(7) รายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อประโยชน์ในการหามาซึ่งเงินได้อันไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้\n(8)รายจ่ายที่บริษัทพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ\n(9) ค่าธรรมเนียมการสงวนพื้นที่และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n(10) ค่าปรับทางอาญา", "section_num": "65 สัตต" } ]
ไม่ให้ถือว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในการคำนวณภาษี
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
การคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัทต้องดำเนินการอย่างไรในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีและตามข้อกำหนดของกฎหมาย
1. กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี รอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไป ให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน รอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้ 1.1 บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก 1.2ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี 1.3 บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี ในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี 2.ภายใต้บังคับบทบัญญัติ วิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีเพื่อคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการหลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม 3.ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมห้ถือตามราคาที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับจากการขายปิโตรเลียมหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมนั้น 4. มูลค่าของปิโตรเลียมให้คำนวณตามราคาตลาด ในกรณีที่มีการส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในวันที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นและรวมเป็นเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นในกรณีที่มีการจำหน่ายปิโตรเลียมโดยประการอื่น ให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในเวลาที่มีการจำหน่ายและรวมเป็นเงินได้ในปีที่มีการจำหน่ายนั้น การกำหนดราคาตลาดและปริมาณของปิโตรเลียมที่จะต้องนำมูลค่ามารวมเป็นเงินได้ตามวรรคสองให้เฉลี่ยเงินได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมหรือมูลค่าตามราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรทั้งหมดแล้วแต่กรณี เป็นมูลค่าของปิโตรเลียมนั้น ทั้งนี้ตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมแต่มิให้ถือว่ามีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีใดๆ หลังจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งปิโตรเลียมนั้นไปยังโรงกลั่นเว้นแต่บริษัทพิสูจน์ได้ว่ายังมิได้มีการขายหรือส่งออกซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้น 5. มูลค่าของปิโตรเลียมให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง 6. ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น 7. ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา 8. ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้ 9. ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง 10. ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้าให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตามข้อ 12 ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม ข้อ 7 แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลง ส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร 11. ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาด แล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ การคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไปเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้ 12. เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น ในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป 13. เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขออธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป 14. การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงแต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้วหากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก 15. เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้ (ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ (ข)เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท (ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ (ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ (จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 อัฏฐ การคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิตามหมวดนี้ ให้เป็นไปดังต่อไปนี้ (1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี รอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไป ให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน รอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้ (ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก (ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี ในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี (2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวด 2 และหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีเพื่อคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการหลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม (3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้ถือตามราคาที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับจากการขายปิโตรเลียมหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมนั้น (4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาด ในกรณีที่มีการส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในวันที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นและรวมเป็นเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นในกรณีที่มีการจำหน่ายปิโตรเลียมโดยประการอื่น ให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในเวลาที่มีการจำหน่ายและรวมเป็นเงินได้ในปีที่มีการจำหน่ายนั้น การกำหนดราคาตลาดและปริมาณของปิโตรเลียมที่จะต้องนำมูลค่ามารวมเป็นเงินได้ตามวรรคสองให้เฉลี่ยเงินได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมหรือมูลค่าตามราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรทั้งหมดแล้วแต่กรณี เป็นมูลค่าของปิโตรเลียมนั้น ทั้งนี้ตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมแต่มิให้ถือว่ามีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีใดๆ หลังจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งปิโตรเลียมนั้นไปยังโรงกลั่นเว้นแต่บริษัทพิสูจน์ได้ว่ายังมิได้มีการขายหรือส่งออกซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้น (5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง (6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น (7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้ (9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง (10) ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้าให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลง ส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร (11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาด แล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ การคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไปเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้ (12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น ในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป (13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขออธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป (14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงแต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้วหากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก (15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้ (ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ (ข)เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท (ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ (ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ (จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 อัฏฐ การคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิตามหมวดนี้ ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไป ให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวด 2 และหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีเพื่อคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการหลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้ถือตามราคาที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับจากการขายปิโตรเลียมหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมนั้น\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาด\nในกรณีที่มีการส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในวันที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นและรวมเป็นเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นในกรณีที่มีการจำหน่ายปิโตรเลียมโดยประการอื่น ให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในเวลาที่มีการจำหน่ายและรวมเป็นเงินได้ในปีที่มีการจำหน่ายนั้น\nการกำหนดราคาตลาดและปริมาณของปิโตรเลียมที่จะต้องนำมูลค่ามารวมเป็นเงินได้ตามวรรคสองให้เฉลี่ยเงินได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมหรือมูลค่าตามราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรทั้งหมดแล้วแต่กรณี เป็นมูลค่าของปิโตรเลียมนั้น ทั้งนี้ตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมแต่มิให้ถือว่ามีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีใดๆ หลังจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งปิโตรเลียมนั้นไปยังโรงกลั่นเว้นแต่บริษัทพิสูจน์ได้ว่ายังมิได้มีการขายหรือส่งออกซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(10) ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้าให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลง ส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาด แล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไปเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขออธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงแต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้วหากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข)เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ", "section_num": "65 อัฏฐ" } ]
1. กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี โดยเริ่มนับจากวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรก 2. วิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีต้องเป็นไปตามที่เหมาะสมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม 3. ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมต้องถือตามราคาที่ได้รับ 4. มูลค่าของปิโตรเลียมต้องคำนวณตามราคาตลาด 5. มูลค่าของปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมต้องคำนวณตามบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง 6. ค่าใช้จ่ายในการสำรวจหรือพัฒนาจะไม่ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่น 7. ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้ตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนด 8. ค่าแรงงานและค่าบริการที่ใช้ในการเจาะหรือผลิตปิโตรเลียมถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุน 9. ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้าให้ถือตามราคาทุน 10. ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาด 11. เงินตราหนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยน 12. การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด 13. เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับ.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
ผลกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนถือว่าเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ของกิจการปิโตรเลียมหรือไม่
ผลกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ถือว่าเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ของกิจการปิโตรเลียม คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 อัฏฐ/1 ในกรณีที่บริษัทตามหมวดนี้เป็นบริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา8 การคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัทดังกล่าวเพื่อเสียภาษีเงินได้ให้คำนวณโดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานนั้นตามมาตรา 65 อัฏฐแต่มิให้นำมาตรา 65 อัฏฐ (10) (12) และ (13) มาใช้บังคับ และให้ดำเนินการดังนี้แทน (4)ผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอันเนื่องมาจากการคำนวณตามมาตรา 8/1หรือจากการคำนวณมูลค่าของเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานเป็นเงินตราไทยเพื่อชำระภาษีตามมาตรา 42มิให้ถือเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 อัฏฐ การคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิตามหมวดนี้ ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไป ให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวด 2 และหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีเพื่อคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการหลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้ถือตามราคาที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับจากการขายปิโตรเลียมหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมนั้น\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาด\nในกรณีที่มีการส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในวันที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นและรวมเป็นเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นในกรณีที่มีการจำหน่ายปิโตรเลียมโดยประการอื่น ให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในเวลาที่มีการจำหน่ายและรวมเป็นเงินได้ในปีที่มีการจำหน่ายนั้น\nการกำหนดราคาตลาดและปริมาณของปิโตรเลียมที่จะต้องนำมูลค่ามารวมเป็นเงินได้ตามวรรคสองให้เฉลี่ยเงินได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมหรือมูลค่าตามราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรทั้งหมดแล้วแต่กรณี เป็นมูลค่าของปิโตรเลียมนั้น ทั้งนี้ตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมแต่มิให้ถือว่ามีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีใดๆ หลังจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งปิโตรเลียมนั้นไปยังโรงกลั่นเว้นแต่บริษัทพิสูจน์ได้ว่ายังมิได้มีการขายหรือส่งออกซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(10) ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้าให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลง ส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาด แล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไปเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขออธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงแต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้วหากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข)เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ", "section_num": "65 อัฏฐ" } ]
ผลกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ถือว่าเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ของกิจการปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
ในกรณีที่บริษัทมีภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจากกิจการปิโตรเลียม บริษัทสามารถได้รับเครดิตเพื่อลดภาษีได้เครดิตเหล่านั้นมีข้อจำกัดในการใช้อย่างไรบ้าง
1. เครดิตที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด จะต้องมีจำนวนภาษีไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 แต่ไม่เกินร้อยละ 48 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม และภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08 ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินได้ สำหรับกำไรที่ได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น 2. เครดิตที่จะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีใดจะต้องไม่เกินภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08 ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินได้ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือไม่เกินภาษีในอัตราร้อยละ 23.08 ของเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรนั้น สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นซึ่งต้องหักไว้ ณ ที่จ่ายแล้วแต่กรณี ถ้ายังมีเครดิตเหลืออยู่ให้ยกเครดิตส่วนที่เหลือนั้นไปหักในรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปได้ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 นว ในกรณีที่บริษัทมีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 จัตวา (2)หรือมีหน้าที่หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 45 สำหรับเงินได้ตามมาตรา 65 เบญจวรรคสาม ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้บริษัทได้รับเครดิตเพื่อหักออกจากภาษีดังกล่าวสำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตได้เพื่อใช้ในราชอาณาจักรเป็นจำนวนเงินตามอัตรา ดังต่อไปนี้ (1) ร้อยละ 4.375 ของยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่ายหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวงตามมาตรา22 (1) (2) และ (3)สำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตจากแปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกิน200 เมตร (2) ร้อยละ 6.25ของยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่ายหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวงตามมาตรา22 (1) (2) และ (3) สำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตจากแปลงสำรวจนอกจาก (1) การนำเครดิตมาหักจากภาษีตามวรรคหนึ่งให้อยู่ภายใต้ข้อจำกัด ดังต่อไปนี้ (1)เครดิตที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด จะต้องมีจำนวนไม่เกินภาษีตามมาตรา 65 จัตวา(1) และ (2) สำหรับกำไรที่ได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือภาษีตามมาตรา 65 จัตวา(1) และมาตรา 65 เบญจ วรรคสาม แล้วแต่กรณี (2) เครดิตที่จะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีใดจะต้องไม่เกินภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 65 จัตวา (2) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นหรือไม่เกินภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 65 เบญจ วรรคสาม สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นซึ่งต้องหักไว้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 45 แล้วแต่กรณี ถ้ายังมีเครดิตเหลืออยู่ให้ยกเครดิตส่วนที่เหลือนั้นไปหักในรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 นว ในกรณีที่บริษัทมีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 จัตวา (2)หรือมีหน้าที่หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 45 สำหรับเงินได้ตามมาตรา 65 เบญจวรรคสาม ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้บริษัทได้รับเครดิตเพื่อหักออกจากภาษีดังกล่าวสำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตได้เพื่อใช้ในราชอาณาจักรเป็นจำนวนเงินตามอัตรา ดังต่อไปนี้\n(1) ร้อยละ 4.375 ของยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่ายหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวงตามมาตรา22 (1) (2) และ (3)สำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตจากแปลงสำรวจที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ*กำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจในทะเลที่มีน้ำลึกเกิน200 เมตร\n(2) ร้อยละ 6.25ของยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่ายหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวงตามมาตรา22 (1) (2) และ (3) สำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตจากแปลงสำรวจนอกจาก (1)\nการนำเครดิตมาหักจากภาษีตามวรรคหนึ่งให้อยู่ภายใต้ข้อจำกัด ดังต่อไปนี้\n(1)เครดิตที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด จะต้องมีจำนวนไม่เกินภาษีตามมาตรา 65 จัตวา(1) และ (2) สำหรับกำไรที่ได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือภาษีตามมาตรา 65 จัตวา(1) และมาตรา 65 เบญจ วรรคสาม แล้วแต่กรณี\n(2) เครดิตที่จะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีใดจะต้องไม่เกินภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 65 จัตวา (2) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นหรือไม่เกินภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 65 เบญจ วรรคสาม สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นซึ่งต้องหักไว้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 45 แล้วแต่กรณี ถ้ายังมีเครดิตเหลืออยู่ให้ยกเครดิตส่วนที่เหลือนั้นไปหักในรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปได้", "section_num": "65 นว" } ]
1. เครดิตที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด จะต้องมีจำนวนไม่เกินภาษีตามมาตรา 65 จัตวา(1) และ (2) สำหรับกำไรที่ได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือภาษีตามมาตรา 65 จัตวา(1) และมาตรา 65 เบญจ วรรคสาม แล้วแต่กรณี 2. เครดิตที่จะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีใดจะต้องไม่เกินภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 65 จัตวา (2) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นหรือไม่เกินภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 65 เบญจ วรรคสาม สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นซึ่งต้องหักไว้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 45 แล้วแต่กรณี ถ้ายังมีเครดิตเหลืออยู่ให้ยกเครดิตส่วนที่เหลือนั้นไปหักในรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไปได้.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 45 ให้บริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ตามมาตรา 21 มีหน้าที่\n(1) หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายทุกคราวที่จ่ายเงินได้นั้นในอัตราตามมาตรา 21\n(2) ยื่นแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย\n(3) นำส่งภาษีที่ต้องหักตาม (1)\nการหักภาษีตาม (1) ให้คำนวณหักตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง", "section_num": "45" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
ในกรณีที่บริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียมไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด บริษัทผู้รับโอนต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในระยะเวลาใด และหากได้รับแจ้งการยื่นแบบแสดงรายการจากเจ้าพนักงานประเมินจะต้องยื่นแบบภายในระยะเวลาเท่าใด
1. หากบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียมไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนด และเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอน บริษัทผู้รับโอนจะต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทผู้โอนภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด โดยต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม 2. การยื่นแบบแสดงที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้ยื่น ต้องยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ทศ การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้สำหรับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา65 จัตวา (1) หรือมาตรา 65 เบญจให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีสำหรับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 จัตวา (2)ให้ยื่นภายในเจ็ดวันนับแต่วันจำหน่าย การยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม การยื่นแบบแสดงรายการมาตรา 59 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ทศ การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้สำหรับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา65 จัตวา (1) หรือมาตรา 65 เบญจให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีสำหรับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 จัตวา (2)ให้ยื่นภายในเจ็ดวันนับแต่วันจำหน่าย\nการยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม\nการยื่นแบบแสดงรายการมาตรา 59 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด", "section_num": "65 ทศ" } ]
1. บริษัทผู้รับโอนจะต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทผู้โอนภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด โดยต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการของบริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม 2. การยื่นแบบแสดงที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้ยื่น ต้องยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 37 ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียม ถ้าบริษัทผู้โอนไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ภายในเวลาที่กำหนดและเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการนั้นต่อบริษัทผู้รับโอนแล้ว ให้บริษัทผู้รับโอนยื่นแบบแสดงรายการเงินได้แทนบริษัทผู้โอน", "section_num": "37" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 59 ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจสั่งให้ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้หรือแบบแสดงรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย และมีอำนาจประเมินภาษี สั่งให้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีก่อนกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "59" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
หากบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนในราชอาณาจักร การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้และการชำระภาษีต้องดำเนินการอย่างไร
ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่มีหน้าที่เสียภาษี และไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เอกาทศ ถ้ามีภาษีต้องเสียให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวด 3ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เว้นแต่ในกรณีการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้สำหรับภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 65 จัตวา(2) ให้ชำระภาษีภายในเจ็ดวันนับแต่วันจำหน่ายพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ ในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เอกาทศ ถ้ามีภาษีต้องเสียให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวด 3ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เว้นแต่ในกรณีการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้สำหรับภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา 65 จัตวา(2) ให้ชำระภาษีภายในเจ็ดวันนับแต่วันจำหน่ายพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้\nในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย", "section_num": "65 เอกาทศ" } ]
ในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่มีหน้าที่เสียภาษี และไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มีหน้าที่ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 35 การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ตามหมวดนี้ ให้กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทมีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท\nในกรณีที่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษี ไม่มีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทอยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้ทำกิจการแทนบริษัทที่อยู่ในราชอาณาจักรในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้มีหน้าที่ยื่นแทนบริษัท", "section_num": "35" }, { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
บริษัทที่จำกัดและนิติบุคคลที่มีลักษณะเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศจะได้รับการยกเว้นภาษีอากร เว้นแต่เงินได้ประเภทใดที่ไม่สามารถได้รับยกเว้นภาษีอากร
1. เงินได้ที่บริษัทได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียม 2. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บุคคลใดได้รับจากบริษัท คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ทวาทศ บทบัญญัติมาตรา 12 มิให้นำมาใช้บังคับแก่ (1)เงินได้ที่บริษัทได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียม (2)ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บุคคลใดได้รับจากบริษัท
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ทวาทศ บทบัญญัติมาตรา 12 มิให้นำมาใช้บังคับแก่\n(1)เงินได้ที่บริษัทได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียม\n(2)ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บุคคลใดได้รับจากบริษัท", "section_num": "65 ทวาทศ" } ]
1. เงินได้ที่บริษัทได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียม 2. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บุคคลใดได้รับจากบริษัท
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 12 ให้บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่างประเทศผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ ได้รับยกเว้น\n(1) ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร และ\n(2) ภาษีอากรตามกฎหมายอื่น เว้นแต่ตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\nทั้งนี้ เฉพาะภาษีอากรที่เก็บจากกำไรสุทธิหรือที่เก็บจากเงินได้ที่ต้องนำมารวมเพื่อคำนวณกำไรสุทธิ หรือเงินได้อันต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้", "section_num": "12" } ]
ในกรณีที่บริษัทมีรายจ่ายซึ่งเป็นทั้งของกิจการอื่นและกิจการปิโตรเลียมรวมกันให้แบ่งเฉลี่ยรายจ่ายตามส่วนระหว่างกิจการอื่นและกิจการปิโตรเลียม ให้ปฏิบัติอย่างไร
ให้บริษัทปฏิบัติตามระเบียบการจัดแบ่งเฉลี่ยรายจ่ายระหว่างกิจการต่างๆ ตามที่อธิบดีได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบแล้ว มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา 22(2) ซึ่งบริษัทนำไปใช้ในกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิตามประมวลรัษฎากรสำหรับเงินได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นได้ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เตรส ... ในกรณีที่บริษัทมีรายจ่ายซึ่งเป็นทั้งของกิจการอื่นและกิจการปิโตรเลียมรวมกันให้แบ่งเฉลี่ยรายจ่ายตามส่วนระหว่างกิจการอื่นและกิจการปิโตรเลียม ให้บริษัทปฏิบัติตามระเบียบการจัดแบ่งเฉลี่ยรายจ่ายระหว่างกิจการต่างๆ ตามที่อธิบดีได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบแล้ว มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา 22(2) ซึ่งบริษัทนำไปใช้ในกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิตามประมวลรัษฎากรสำหรับเงินได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เตรส ในกรณีที่บริษัทมีเงินได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมให้บริษัทเสียภาษีสำหรับเงินได้นั้นตามประมวลรัษฎากร\nให้บริษัทจัดทำบัญชี หลักฐานรายงาน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับเงินได้จากกิจการอื่นที่กล่าวในวรรคหนึ่งแยกต่างหากจากบัญชีหลักฐาน รายงาน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับเงินได้จากกิจการจากปิโตรเลียม\nในกรณีที่บริษัทมีรายจ่ายซึ่งเป็นทั้งของกิจการอื่นและกิจการปิโตรเลียมรวมกันให้แบ่งเฉลี่ยรายจ่ายตามส่วนระหว่างกิจการอื่นและกิจการปิโตรเลียม\nให้บริษัทปฏิบัติตามระเบียบการจัดแบ่งเฉลี่ยรายจ่ายระหว่างกิจการต่างๆ ตามที่อธิบดีได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบแล้ว\nมูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา 22(2) ซึ่งบริษัทนำไปใช้ในกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิตามประมวลรัษฎากรสำหรับเงินได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นได้", "section_num": "65 เตรส" } ]
ให้บริษัทปฏิบัติตามระเบียบการจัดแบ่งเฉลี่ยรายจ่ายระหว่างกิจการต่างๆ ตามที่อธิบดีได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบแล้ว
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
ในการบังคับใช้พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 สำหรับบริษัทที่ทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับองค์กรร่วม คำนิยามและข้อบังคับใดที่ไม่ต้องนำมาใช้
สำหรับบริษัทที่ทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับองค์กรร่วมตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ไม่ต้องนำคำนิยาม “ราคามาตรฐาน” ในมาตรา 4 และความในมาตรา 18 มาใช้บังคับ คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 จตุทศ ความในหมวดนี้ให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งได้ทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับองค์กรร่วม ให้นำบทนิยามคำว่า “ปิโตรเลียม” “กิจการปิโตรเลียม” “เงินได้” “จำหน่าย” “ค่าภาคหลวง” และ “บริษัท” ในมาตรา 65 ปัณรสมาใช้แทนบทนิยามของคำเหล่านั้นในมาตรา 4 และให้นำความในมาตรา 65 โสฬส มาตรา 65สัตตรส มาตรา 65 อัฏฐารส มาตรา 65 เอกูนวีสติ มาตรา 65 วีสติ และมาตรา 65 เอกวีสติมาใช้บังคับแทนความในมาตรา 20 มาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 24 มาตรา 25 และมาตรา 26ตามลำดับ สำหรับบริษัทตามวรรคหนึ่ง มิให้นำคำนิยาม “ราคามาตรฐาน” ในมาตรา 4 และความในมาตรา 18 มาใช้บังคับกับบริษัทตามวรรคหนึ่ง
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
ไม่ต้องนำคำนิยาม “ราคามาตรฐาน” ในมาตรา 4 และความในมาตรา 18 มาใช้บังคับ
[]
พื้นที่พัฒนาร่วม ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 คือองค์กรใด
“พื้นที่พัฒนาร่วม” หมายความว่า“พื้นที่พัฒนาร่วมตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533 คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ปัณรส ในหมวดนี้ “พื้นที่พัฒนาร่วม” หมายความว่า“พื้นที่พัฒนาร่วมตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 ปัณรส ในหมวดนี้\n“องค์กรร่วม” หมายความว่าองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533\n“พื้นที่พัฒนาร่วม” หมายความว่า“พื้นที่พัฒนาร่วมตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533\n“ปิโตรเลียม” หมายความว่าน้ำมันดิบหรือไฮโดรคาร์บอนอื่นใด และก๊าซธรรมชาติซึ่งอยู่ในสภาพอันเป็นธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลวที่ปากหลุมรวมทั้งหินบิทูเมนและทรัพยากรอื่นที่สะสมอยู่เป็นชั้น ๆซึ่งสามารถจะสกัดน้ำมันออกมาได้\n“กิจการปิโตรเลียม” หมายความว่า กิจการปิโตรเลียมตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตและให้หมายความรวมถึงการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ทั้งหมดหรือบางส่วนที่เกี่ยวกับกิจการดังกล่าว ไม่ว่าการโอนนั้นจะเป็นปกติธุระหรือไม่ก็ตามรวมทั้งกิจการใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการหรือการโอนดังกล่าวด้วย\n“เงินได้” หมายความว่า เงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาอันอาจคำนวณได้เป็นเงินและหมายความรวมถึงภาษีอากรที่มีผู้อื่นออกแทนให้\n“จำหน่าย” หมายความว่าส่งน้ำมันดิบส่วนที่เป็นของบริษัทไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงแยกก๊าซ โรงทำก๊าซให้เป็นของเหลว โรงอัดก๊าซหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อกิจการดังกล่าวของบริษัทนำปิโตรเลียมส่วนที่เป็นของบริษัทไปใช้ในกิจการใด ๆ ของบริษัท โดยไม่มีการขายหรือโอนปิโตรเลียมส่วนที่เป็นของบริษัทโดยไม่มีค่าตอบแทน\n“ค่าภาคหลวง” หมายความว่า ค่าภาคหลวงที่บริษัทต้องชำระให้แก่องค์กรร่วมตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย- มาเลเซีย พ.ศ. 2533\n“บริษัท” หมายความว่าผู้ได้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัญญาแบ่งปันผลผลิตที่ทำกับองค์กรร่วมไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม\n“สัญญาแบ่งปันผลผลิต” หมายความว่าสัญญาแบ่งปันผลผลิตที่ออกตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533", "section_num": "65 ปัณรส" } ]
“พื้นที่พัฒนาร่วม” หมายความว่า“พื้นที่พัฒนาร่วมตามพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย พ.ศ. 2533
[]
อัตราการคำนวณภาษีตาม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 คือเท่าใด
ตามรอบระยะเวลาบัญชีที่บริษัทได้นำส่ง โดย รอบระยะเวลาบัญชีแรกถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่แปดร้อยละ 0 รอบระยะเวลาบัญชีที่เก้าถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่สิบห้าร้อยละ 10 รอบระยะเวลาบัญชีที่สิบหกเป็นต้นไปร้อยละ 20 คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 โสฬส บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีในอัตราดังต่อไปนี้ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม รอบระยะเวลาบัญชีแรกถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่แปดร้อยละ 0 รอบระยะเวลาบัญชีที่เก้าถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่สิบห้าร้อยละ 10 รอบระยะเวลาบัญชีที่สิบหกเป็นต้นไปร้อยละ 20
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 โสฬส บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีในอัตราดังต่อไปนี้ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่แปดร้อยละ 0\nรอบระยะเวลาบัญชีที่เก้าถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่สิบห้าร้อยละ 10\nรอบระยะเวลาบัญชีที่สิบหกเป็นต้นไปร้อยละ 20", "section_num": "65 โสฬส" } ]
รอบระยะเวลาบัญชีแรกถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่แปดร้อยละ 0 รอบระยะเวลาบัญชีที่เก้าถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่สิบห้าร้อยละ 10 รอบระยะเวลาบัญชีที่สิบหกเป็นต้นไปร้อยละ 20
[]
ในการโอนกิจการปิโตรเลียมถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปีหรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้นโดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน บุคคลผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องชำระภาษีในอัตราร้อยละ 0 ตามบทบัญญัติเฉพาะเขตพื้นที่พัฒนาร่วม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
ในกรณีที่มีการโอนในรอบระยะเวลาบัญชีแรกถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่แปด คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 สัตตรส ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียมถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปีหรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้นโดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอนให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราดังต่อไปนี้ของเงินได้หลังจากหักต้นทุนตามมาตรา33 แล้ว ในกรณีที่มีการโอนในรอบระยะเวลาบัญชีแรกถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่แปดร้อยละ 0
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 สัตต รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง\n(1)รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลงขยายออกหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน\nรายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่งหมายความว่ารายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมโดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีและให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 อัฏฐ (1) วรรคสอง และรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 อัฏฐ (1) วรรคสองด้วย\n(2) รายจ่ายที่เป็นการส่วนตัวหรือการให้โดยเสน่หาหรือรายจ่ายที่เป็นการบริจาค\n(3)ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกัน หรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ\n(4)รายจ่ายเพื่อตอบแทนทุนหรือทรัพย์สินของบริษัท\n(5)เงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใด ๆ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65 ฉ (5)\n(6) ภาษีเงินได้ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่บริษัทต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้หรือที่ต้องเสียในต่างประเทศ\n(7) รายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อประโยชน์ในการหามาซึ่งเงินได้อันไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้\n(8)รายจ่ายที่บริษัทพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ\n(9) ค่าธรรมเนียมการสงวนพื้นที่และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม\n(10) ค่าปรับทางอาญา", "section_num": "65 สัตต" } ]
ในกรณีที่มีการโอนในรอบระยะเวลาบัญชีแรกถึงรอบระยะเวลาบัญชีที่แปด ร้อยละ 0
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆอันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียม ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน สามารถนำมาคำนวณกำไรสุทธิ ตามบทบัญญัติเฉพาะเขตพื้นที่พัฒนาร่วม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ได้หรือไม่
ไม่ได้ เรื่องจากตามบทบัญญัติเฉพาะเขตพื้นที่พัฒนาร่วม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ให้นำยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆอันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน มาคำนวณได้เท่านั้น คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 อัฏฐารส การคำนวณกำไรสุทธิให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้ (1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม (2)มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย (3)ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆอันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน (4)ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 อัฏฐ การคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิตามหมวดนี้ ให้เป็นไปดังต่อไปนี้\n(1)กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี\nรอบระยะเวลาบัญชีแรกให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสียค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรกแต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกันก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรกก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือก ส่วนรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไป ให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน\nรอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือนเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้จะมีกำหนดน้อยกว่าสิบสองเดือนก็ได้\n(ก)บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก\n(ข)ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\n(ค)บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี\nในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอนเป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีและในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสองให้ถือว่าไม่มีรอบระยะเวลาบัญชี\n(2)ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวด 2 และหมวดนี้ วิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีเพื่อคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการหลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม\n(3)ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1)ให้ถือตามราคาที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับจากการขายปิโตรเลียมหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมนั้น\n(4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาด\nในกรณีที่มีการส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมันของบริษัทให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในวันที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นและรวมเป็นเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้นในกรณีที่มีการจำหน่ายปิโตรเลียมโดยประการอื่น ให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในเวลาที่มีการจำหน่ายและรวมเป็นเงินได้ในปีที่มีการจำหน่ายนั้น\nการกำหนดราคาตลาดและปริมาณของปิโตรเลียมที่จะต้องนำมูลค่ามารวมเป็นเงินได้ตามวรรคสองให้เฉลี่ยเงินได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมหรือมูลค่าตามราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรทั้งหมดแล้วแต่กรณี เป็นมูลค่าของปิโตรเลียมนั้น ทั้งนี้ตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมแต่มิให้ถือว่ามีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีใดๆ หลังจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งปิโตรเลียมนั้นไปยังโรงกลั่นเว้นแต่บริษัทพิสูจน์ได้ว่ายังมิได้มีการขายหรือส่งออกซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้น\n(5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา22 (3)ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(6)ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้นแต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของบริษัทอื่นนั้น\n(7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนให้หักได้เฉพาะตามประเภท อัตรา และเงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(8) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียมบริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้\n(9) ค่ารับรองให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง\n(10) ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้าให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12)ราคาทุนดังกล่าวอาจลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7)แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลง ส่วนการตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร\n(11)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาด แล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่\nการคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไปเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้\n(12) เงินตรา หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น\nในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(13) เงินตราหนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในวันทำการสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขออธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา\nในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้วให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป\n(14) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงแต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใดให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น\nหนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้วหากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมาคำนวณเป็นรายได้อีก\n(15)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญจะถือเป็นรายจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 10ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้\n(ก)กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ\n(ข)เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นจากการครอบครองของบริษัท\n(ค)เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่กองทุนโดยเฉพาะ\n(ง)เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีก และ\n(จ)เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ", "section_num": "65 อัฏฐ" } ]
ไม่ได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 22 การคำนวณกำไรสุทธิ ให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้\n(1) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียม\n(2) มูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่าย\n(3) มูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง\n(4) ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน\n(5) ยอดเงินได้อื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม\nในกรณีการโอนสัมปทานตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ตาม (4) ให้ถือมูลค่าตามบัญชีครั้งสุดท้ายของบริษัทผู้โอนในวันที่โอน", "section_num": "22" } ]
ตามบทบัญญัติเฉพาะะเขตพื้นที่พัฒนาร่วม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 รายจ่ายปกติและจำเป็น มีความหมายรวมถึงรายจ่ายประเภทใดบ้าง
(1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน (2) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต (3) ค่ารับรอง (4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี (5)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ (6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน (7) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน (8)ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้วสำหรับรายได้ที่เป็นยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆอันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เอกูนวีสติ ภายใต้บังคับมาตรา 65 วีสติ และมาตรา 65เอกวีสติรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควรและได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียม ไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักรและภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง (1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน (2) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต (3) ค่ารับรอง (4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี (5)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ (6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน (7) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน (8)ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้วสำหรับรายได้ตามมาตรา 65 อัฏฐารส (3) พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 อัฏฐารส การคำนวณกำไรสุทธิให้นำเอาจำนวนดังต่อไปนี้มารวมเป็นรายได้ (3)ยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆอันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เอกูนวีสติ ภายใต้บังคับมาตรา 65 วีสติ และมาตรา 65เอกวีสติรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควรและได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียม ไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักรและภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง\n(1)ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน\n(2) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต\n(3) ค่ารับรอง\n(4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี\n(5)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ\n(6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน\n(7) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน\n(8)ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้วสำหรับรายได้ตามมาตรา 65 อัฏฐารส (3)", "section_num": "65 เอกูนวีสติ" } ]
(1) ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน (2) ค่าแรงงาน ค่าบริการค่าวัสดุสิ้นเปลืองและรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต (3) ค่ารับรอง (4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี (5) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ (6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน (7) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทและรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน (8) ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้วสำหรับรายได้ที่เป็นยอดเงินได้เนื่องจากการโอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ อันเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมซึ่งอาจกำหนดจำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอน.
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
ตามบทบัญญัติเฉพาะเขตพืนที่พัฒนาร่วม รายการเงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใดที่ให้ถือว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและรายจ่ายที่จำเป็นมีอะไรบ้าง
เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ คำอธิบาย พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 วีสติ รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง (1)รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออกหรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน รายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่งหมายความว่ารายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมโดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็นเวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีและให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65เอกวีสติ (1) วรรคสองและรายจ่ายตามปกติและจำเป็นที่จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 เอกวีสติ(1) วรรคสอง ด้วย (2) รายจ่ายที่เป็นการส่วนตัวหรือการให้โดยเสน่หา หรือรายจ่ายที่เป็นการบริจาค (3)ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกัน หรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ (4)รายจ่ายเพื่อตอบแทนทุนหรือทรัพย์สินของบริษัท (5)เงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใด ๆ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65 เอกูนวีสติ (5) (6) ภาษีเงินได้ เบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่บริษัทต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้ หรือที่ต้องเสียในต่างประเทศ (7)รายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อประโยชน์ในการหามาซึ่งเงินได้อันไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ (8)รายจ่ายที่บริษัทพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ (9) ดอกเบี้ย (10) ค่าปรับทางอาญา (11) ค่าภาคหลวงสำหรับปิโตรเลียมไม่ว่าจะชำระเป็นตัวเงินหรือปิโตรเลียม พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เอกูนวีสติ ภายใต้บังคับมาตรา 65 วีสติ และมาตรา 65เอกวีสติรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควรและได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียม ไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักรและภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง (5)เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ
[]
ในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัทตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ควรใช้หลักเกณฑ์ใดในการคำนวณราคาสินค้าคงเหลือและราคาทรัพย์สินอื่น
ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีสามารถคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาดแล้วแต่จะต่ำกว่าก็ได้ และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกันตลอดไปเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนหลักเกณฑ์ ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้าให้ถือที่ราคาทุน และถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศ ให้คำนวณเป็นเงินตราไทยตามวิธีการบัญชีที่เหมาะสม คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เอกวีสติ การคำนวณรายได้รายจ่าย และกำไรสุทธิตามหมวดนี้ ให้เป็นไปดังต่อไปนี้ (9)ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุนก็ได้หรือจะคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ การคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้นเมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิธีการบัญชีแล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีสามารถคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาดแล้วแต่จะต่ำกว่าก็ได้ และให้ถือราคานี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกันตลอดไปเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยนหลักเกณฑ์ ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้าให้ถือที่ราคาทุน และถ้าราคาทุนเป็นเงินตราต่างประเทศ ให้คำนวณเป็นเงินตราไทยตามวิธีการบัญชีที่เหมาะสม.
[]
สำหรับบริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ไม่ใช่เงินตราไทยในการดำเนินงาน จะมีวิธีการคำนวณมูลค่าของเงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่นอย่างไรเมื่อได้รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี
มูลค่าของเงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานให้คำนวณเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราสกุลนั้น ถ้ามิได้มีการซื้อขาย ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไป โดยอาจได้รับอนุมัติให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนอื่นที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์บัญชีได้ตามการประกาศของรัฐมนตรี คำอธิบาย : พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เอกวีสติ/1 ในกรณีที่บริษัทซึ่งได้ทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับองค์กรร่วมตามหมวดนี้เป็นบริษัทที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานซึ่งมิใช่เงินตราไทยตามมาตรา 8 การคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิของบริษัทดังกล่าวเพื่อเสียภาษีเงินได้ ให้คำนวณโดยใช้เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานนั้นตามมาตรา 65 เอกวีสติ แต่มิให้นำมาตรา 65 เอกวีสติ (8) (10) และ (11) มาใช้บังคับ และให้ดำเนินการดังนี้แทน (2) เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานที่รับมาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานนั้น ในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานให้คำนวณเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงาน หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไป โดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทร้องขอ อธิบดีอาจอนุมัติให้คำนวณโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนอื่นซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้บริษัทใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่บริษัทร้องขอแล้ว ให้บริษัทถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป
[ { "law_name": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514", "section_content": "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 65 เพื่อให้ได้รับชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้ถือว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหมวดนี้เป็นภาษี", "section_num": "65" } ]
มูลค่าของเงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานให้คำนวณเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานตามอัตราที่ได้ซื้อขายเงินตราสกุลนั้น ถ้ามิได้มีการซื้อขาย ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับมาหรือจ่ายไป โดยอาจได้รับอนุมัติให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนอื่นที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์บัญชีได้ตามการประกาศของรัฐมนตรี.
[]