question_id
int64
1
17k
question_type
int64
1
2
question
stringlengths
11
207
context
stringlengths
56
98.9k
answer
stringlengths
1
135
answer_begin_position
float64
79
65.4k
answer_end_position
float64
82
65.4k
201
1
สนามแข่งรถแห่งแรกที่นายแฮร์มันน์ ทิลเคอ ออกแบบมีชื่อว่าอะไร
แฮร์มันน์ ทิลเคอ แฮร์มันน์ ทิลเคอ () เป็นวิศวกรชาวเยอรมันและนักแข่งรถ เขาได้ออกแบบสนามแข่งรถสูตรหนึ่งจำนวนมาก ก่อนที่จะมาเริ่มเป็นนักออกแบบสนามแข่ง ทิลเคอเป็นนักแข่งรถมืออาชีพมาก่อน จนกระทั่งเขาสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรวิศวกรรมพลเรือนสาขาการขนส่งและการจัดการจราจรจาก FH Aachen เขาก็ออกมาตั้งบริษัทวิศวกรรมของตนเองในปี 1984 ทำทั้งงานสถาปัตย์, วิศวกรรมพลเรือน, วิศวกรรมไฟฟ้าในสนามแข่งต่างๆ จนกระทั่งในปี 1995 เขาได้เป็นผู้ออกแบบสนามแข่งรถแห่งแรกในชีวิต คือสนามเอวันริงในออสเตรีย
สนามเอวันริง
545
557
202
1
พรพิมล ธรรมสาร เกิดที่จังหวัดใด
พรพิมล ธรรมสาร พรพิมล ธรรมสาร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 4 จ.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย มีชื่อเล่นว่า "ก้อย" อดีตนักร้องนำของวงโอเวชั่นช่วง พ.ศ. 2530-2532 เป็นชาวลำปาง ศึกษาที่โรงเรียนเซนต์จอห์น และยังเรียนร้องเพลงที่ ที่โรงเรียนดนตรีวาธินี ควบคู่ไปด้วยและสำเร้จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์การทำงาน การทำงาน. พรพิมลได้มาเป็นนักร้องนำของวงสตริงชื่อดังในยุคนั้นอย่าง โอเวชั่น แทน พัชรา แวงวรรณ นักร้องนำคนเก่าที่ นิธิทัศน์ โปรโมชั่น เห็นว่าเหมาะกับร้องเพลงช้ามากกว่าเพลงเร็วจึงได้แยกให้ไปทำอัลบั้มเดี่ยวและทางบริษัทจึงให้วงไปหานักร้องนำคนใหม่ ขาว-ไวยวุฒิ สกุลทรัพย์ไพศาล มือคีย์บอร์ดและนักร้องนำ พี่ชายของ วิรุฬ สกุลทรัพย์ไพศาล (ดำ ฟอร์เอฟเวอร์) จึงได้ชักชวนก้อย พรพิมล ซึ่งเป็นเพื่อนมาเทสต์เสียงที่บริษัท ซึ่งพรพิมลผ่านการเทสต์เสียงและได้เป็นนักร้องนำคนใหม่ในอัลบั้ม "เริ่มวัยรัก" ใน พ.ศ. 2530 และเมื่ออัลบั้มนี้ขายดีจึงเร่งทำอัลบั้มชุดต่อมาโดยในปี พ.ศ. 2532 พรพิมลได้ออกอัลบั้มชุดใหม่กับวงโอเวชั่น ในชื่อว่า "ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว" หลังจากอัลบั้มนี้ทางบริษัทได้ให้พรพิมลออกมาทำอัลบั้มเดี่ยว ทำให้โอเวชั่นที่กำลังจะหมดสัญญากับนิธิทัศน์ต้องไปสังกัดค่ายอื่น ส่วนพรพิมลออกอัลบั้มเดี่ยวโดยใช้ชื่อเล่นและชื่อจริงของตนเองเป็นชื่ออัลบั้ม โดยในอัลบั้ม "ก้อย ซูเปอร์ฮิต" มีเพลงดังคือเพลง "เอาความรักฉันคืนกลับมา" ซึ่งเป็นเพลงแก้กับเพลง เอาความรักเธอนั้นคืนกลับไป ของดอน สอนระเบียบ หลังจากนั้นได้ออกอีกหลายอัลบั้มและลาออกไปแต่งงาน ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูกสอง พรพิมลลงเล่นการเมืองตามสามี เริ่มที่ตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดปทุมธานี ส่วนสามีเป็นนายกเทศมนตรีเมืองสนั่นรักษ์ และหลังจากเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พรพิมลได้รับเลือกให้เป็นส.ส.ปทุมธานี เขต 2 พรรคพลังประชาชน แต่เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ จึงย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งปี 2554 พรพิมลได้ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ในจังหวัดปทุมธานี เขตเลือกตั้งที่ 4 พรรคเดิม และได้รับการเลือกตั้งอีกสมัยผลงานผลงาน. - โอเวชั่น # 6 เริ่มวัยรัก (นิธิทัศน์) - โอเวชั่น # 7 ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว (นิธิทัศน์) - ตลับทองจากก้อย (นิธิทัศน์) - เพลงคู่ซูเปอร์ฮิต คู่ ดอน สอนระเบียบ [เพลงคู่ซูเปอร์คลาสสิค พ่อแง่แม่งอน] (นิธิทัศน์) - ก้อย ซูเปอร์ฮิต 1-2-3 (นิธิทัศน์) - ก้อย ซูเปอร์บูม - เพลงหวานซูเปอร์คลาสสิค (นิธิทัศน์) - โกหกไม่ลง (นิธิทัศน์) - อมตะซูเปอร์คลาสสิค 1-2 (นิธิทัศน์) - เมดเล่ย์ซูเปอร์ฮิต มันส์ไม่หยุด 1-2 (นิธิทัศน์) - ที่สุดความทรงจำ 1-2 (นิธิทัศน์) - ที่สุดนิรันดร์กาล 1-2 (นิธิทัศน์) - เมดเล่ย์เพชร (นิธิทัศน์) - ฮิตเป็นตัน (นิธิทัศน์) - เมกาแดนซ์ เกือบจะสาย (นิธิทัศน์) - เปาบุ้นจิ้น สุดจะรอไหว (นิธิทัศน์) - รักไม่แปรเปลี่ยน (นิธิทัศน์) - ก้อยเจอเท่ห์ โกหกหน้าตาย-โกหกไม่ลง 12 เพลงร้องโต้ตอบ (นิธิทัศน์) - คลาสสิตสเปเชียล 1 คนใจดำ (นิธิทัศน์) - คลาสสิคสเปเชียล 2 เชียงรายรำลึก (นิธิทัศน์) - คลาสสิคสเปเชียล 3 ความรักไม่รู้จบ (นิธิทัศน์) - ก้อย พรายแพรว 1-2-3 (นิธิทัศน์) - ก้อย 3 ช่า ซูเปอร์บูม [ซูเปอร์สามช่า ขอให้รวย] (นิธิทัศน์) - ก้อย ซูเปอร์สามช่า หนูไม่ยอม (นิธิทัศน์) - ก้อย ร้อยล้าน 1-2 (กรุงไทย)ภาพยนตร์โฆษณา โฆษณา. โซฟิเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.)
ลำปาง
249
254
203
1
พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 30 แห่งอาณาจักรอยุธยา มีพระนามว่าอะไร
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 หรือ สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ หรือ พระเจ้าท้ายสระ หรือ พระเจ้าภูมินทราชา หรือ พระเจ้าบรรยงก์รัตนาสน์ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 30 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่สามแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2251 - พ.ศ. 2275พระราชประวัติ พระราชประวัติ. สมเด็จพระสรรเพชญ์ มีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้าเพชร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 กับพระอัครมเหสีพระนามว่าสมเด็จพระพันวษา มีพระอนุชาและพระกนิษฐาร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าพรและเจ้าฟ้าหญิงไม่ทราบพระนาม เมื่อพระราชบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. 2252 จึงขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนามว่าพระเจ้าภูมินทราชา แต่จารึกชะลอพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์ออกพระนามว่า พระบาทพระศรีสรรเพชญสมเด็จเอกาทศรุทอิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว แต่ประชาชนมักออกพระนามว่าพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ต่อมาทรงสถาปนาพระบัณฑูรน้อย เจ้าฟ้าพร พระราชอนุชาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสวรรคต สวรรคต. สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2275 รวมระยะเวลาครองราชย์ 23 ปี ในขณะที่สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ทรงพระประชวรหนักนั้น พระองค์ตัดสินพระทัยทรงมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย แต่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลไม่ทรงยินยอม จึงเกิดเป็นสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์ ที่สุดกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นฝ่ายชนะ ทรงสำเร็จโทษเจ้าฟ้าอภัย แล้วจึงครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระนามพระนาม. - สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ มาจากนามพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ซึ่งพระองค์ใช้เป็นประทับอันอยู่ข้างสระน้ำท้ายพระราชวัง - สมเด็จพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ - สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 - สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ - สมเด็จพระภูมินทราธิราช - ขุนหลวงทรงปลาพระราชกรณียกิจ พระราชกรณียกิจ. ในรัชสมัยของพระองค์ มีการขุดคลองสำคัญอันเป็นเส้นทางคมนาคม คือ "คลองมหาไชย" และ "คลองเกร็ดน้อย" มีการแข่งกันสร้างวัด ระหว่างพระองค์กับพระอนุชา คือ วัดมเหยงค์และวัดกุฏีดาว มีการเคลื่อนย้ายพระนอนองค์ใหญ่ของวัดป่าโมกเพื่อให้พ้นจากการถูกน้ำเซาะตลิ่ง เป็นต้น ในด้านการต่างประเทศ มีการส่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศจีนถึงสี่ครั้ง ทำให้การค้าขายระหว่างสยามกับจีน ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2244 เกิดความวุ่นวายในประเทศกัมพูชา อันเนื่องจากการแย่งราชสมบัติกันระหว่างนักเสด็จกับนักแก้วฟ้าสะจอง นักเสด็จขอเข้ามาอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ส่วนพระแก้วฟ้านักสะจองผู้เป็นอนุชาฝักใฝ่อยู่กับฝ่ายญวน ซึ่งพยายามแผ่อำนาจเข้าไปในเขมร พระองค์ได้ส่งกองทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าไปถึงเมืองอุดงมีชัย ราชธานีของเขมร และได้เกลี้ยกล่อมให้นักแก้วฟ้าสะจองกลับมาอ่อนน้อมต่ออยุธยา เขมรจึงมีฐานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรเช่นแต่ก่อน ในช่วงรัชสมัยนี้ มิชชันนารีคาทอลิกคือมุขนายกหลุยส์ ลาโน ได้พิมพ์เผยแพร่หนังสือชื่อ “ปุจฉาวิสัชนา” มีเนื้อหาเปรียบเทียบศาสนาคริสต์ – ศาสนาพุทธ ชี้ให้เห็นความเหนือกว่าของศาสนาคริสต์ ดูหมิ่นพุทธศาสนา ทันทีหนังสือเล่มนี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกก็สร้างความไม่พอใจให้กับราชการไทย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงเรียกบาทหลวง 3 คนขึ้นศาลไต่สวน ที่สุดมีพระราชโองการห้ามไม่ให้ใช้ภาษาไทยในการเผยแพร่ศาสนา ห้ามคนไทย มอญ และลาวเข้ารีตศาสนาคริสต์ และห้ามมิให้มิชชันนารีติเตียนศาสนาของคนไทย มิชชันนารีที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกเฆี่ยนแล้วเนรเทศพระราชโอรส-ธิดา พระราชโอรส-ธิดา. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระมีพระราชโอรสธิดารวมกัน 9 พระองค์ เป็นพระราชโอรส 6 พระองค์ เป็นพระราชธิดา 3 พระองค์ ดังนี้- กรมหลวงราชานุรักษ์ มีพระโอรสธิดา 6 พระองค์ คือ- เจ้าฟ้าหญิงเทพ - เจ้าฟ้าหญิงประทุม - เจ้าฟ้านเรนทร กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ - เจ้าฟ้าอภัย - เจ้าฟ้าชายปรเมศร์ - เจ้าฟ้าชายทับ- พระสนม มีพระโอรสธิดา 3 พระองค์ คือ- พระองค์เจ้าชายเสฏฐา - พระองค์เจ้าชายปริก - พระองค์เจ้าหญิงสมบุญคงเกร็ดที่น่าสนใจเกร็ดที่น่าสนใจ. - พระองค์โปรดเสวยปลาตะเพียนมาก โดยออกพระราชกำหนดห้ามราษฎรจับหรือรับประทานปลาตะเพียน หากผู้ใดฝ่าฝืน มีบทลงโทษคือปรับเป็นเงิน 5 ตำลึง หรือ 20 บาท - พระราชทานท้องพระโรงแก่สมเด็จพระสังฆราชแตงโม (ทอง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระองค์โดยล่องเรือจากอยุธยาไปเพชรบุรีแล้วไปสร้างที่วัดใหญ่สุวรรณาราม (วัดสุวรรณาราม บ้างก็เรียกวัดใหญ่) จึงทำให้คงเหลือพระราชวัง ท้องพระโรงที่แสดงถึงศิลปกรรมของอยุธยาที่เหลือรอดจากการเผาของพม่าเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีพงศาวลี พงศาวลี. พระราชตระกูลในสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9
119
141
204
1
จำเริญสุข อ่าวอุดมผล เป็นนักกรีฑาของชาติอะไร
จำเริญสุข อ่าวอุดมผล จำเริญสุข อ่าวอุดมผล () เกิดวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1978 เป็นนักกรีฑาชาวลาวที่มีความถนัดในการแข่งวิ่ง 100 เมตร เขามีส่วนสูง 5 ฟุต 6 นิ้ว และมีน้ำหนักประมาณ 143 ปอนด์ และได้เข้าร่วมในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 เขาได้รับการจัดอันดับในลำดับที่เจ็ดของรายการ 100 เมตรด้วยเวลา 11.30 วินาที จึงทำให้พลาดการคัดเลือกเข้าสู่รอบสองต่อไป ซึ่งจำเริญสุขเป็นผู้ถือธงในวันเปิดพิธี ณ วันที่ 13 สิงหาคมของปีนั้น
ลาว
188
191
205
1
เจมส์ แอนโทนี่ ไซมอน เป็นโปรดิวเซอร์เพลงฮิบฮอบ ชาวอะไร
บล็อกเฮด บล็อกเฮด (Blockhead) ชื่อจริง เจมส์ "แอนโทนี่" ไซมอน เป็นโปรดิวเซอร์เพลง ฮิบฮอบชาวอเมริกัน มีฐานในย่านแมนฮัตตันในเมืองนิวยอร์ก แล้วก็เขาก็ได้ไปเซ็นสัญยากับค่ายเพลง นินจาจูน ต่อมาก็ได้จำหน่ายขายผลงานอัลบั้ม Music by Cavelightอัลบั้มอัลบั้ม. - Music by Cavelight (Ninja Tune, 2004) - Downtown Science (Ninja Tune, 2005) - Uncle Tony's Coloring Book (Ninja Tune, 2007) - The Music Scene (Ninja Tune, 2010)ซิงเกิลและอีพีซิงเกิลและอีพี. - Insomniac Olympics (Ninja Tune, 2003) - Sunday Seance/Jet Son (Ninja Tune, 2004) - Expiration Date (Ninja Tune, 2005) - Alright (Ninja Tune, 2006)
ชาวอเมริกัน
172
183
206
1
นายสาคร เกี่ยวข้อง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกระบี่ สังกัดพรรคการเมืองใด
สาคร เกี่ยวข้อง นายสาคร เกี่ยวข้อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกระบี่ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ประวัติ ประวัติ. นายสาคร เกี่ยวข้อง เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2505 (ชื่อเล่น: แดง, โกแดง) เป็นบุตรของนายกงซิ่น นางดลใจ เกี่ยวข้อง สมรสกับนางเพชรารัตน์ เกี่ยวข้อง (สกุลเดิม: จิวากานนท์) มีบุตร 1 คน สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล จังหวัดกระบี่ จากนั้นเข้าศึกษาชั้นเตรียมอุดมศึกษาที่โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย กรุงเทพฯ และศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำเร็จการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตการทำงาน การทำงาน. นายสาคร เกี่ยวข้อง ประกอบอาชีพด้านธุรกิจส่วนตัวในจังหวัดกระบี่ เคยดำรงตำแหน่งกรรมการหอการค้าจังหวัดกระบี่ และเป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ต่อมาได้เข้าสู่งานการเมืองระดับชาติ โดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกระบี่ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2556 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) - พ.ศ. 2551 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฏไทย (ป.ม.)
พรรคประชาธิปัตย์
166
182
207
1
นามสกุลเดิมของนางเพชรารัตน์ เกี่ยวข้อง คืออะไร
สาคร เกี่ยวข้อง นายสาคร เกี่ยวข้อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกระบี่ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ประวัติ ประวัติ. นายสาคร เกี่ยวข้อง เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2505 (ชื่อเล่น: แดง, โกแดง) เป็นบุตรของนายกงซิ่น นางดลใจ เกี่ยวข้อง สมรสกับนางเพชรารัตน์ เกี่ยวข้อง (สกุลเดิม: จิวากานนท์) มีบุตร 1 คน สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล จังหวัดกระบี่ จากนั้นเข้าศึกษาชั้นเตรียมอุดมศึกษาที่โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย กรุงเทพฯ และศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำเร็จการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตการทำงาน การทำงาน. นายสาคร เกี่ยวข้อง ประกอบอาชีพด้านธุรกิจส่วนตัวในจังหวัดกระบี่ เคยดำรงตำแหน่งกรรมการหอการค้าจังหวัดกระบี่ และเป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ต่อมาได้เข้าสู่งานการเมืองระดับชาติ โดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกระบี่ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2556 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) - พ.ศ. 2551 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฏไทย (ป.ม.)
จิวากานนท์
361
371
208
1
สกุลเดิมของหม่อมครูนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา คืออะไร
หม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา หม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา หรือ หม่อมครูนุ่ม (สกุลเดิม: อภัยกุล; ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2477) เป็นหม่อมในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรัตน์ กรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ์ เป็นนางละครในเจ้าคุณจอมมารดาเอม หม่อมครูนุ่มเป็นผู้วางรากฐาน และเป็นผู้ถ่ายทอดท่ารำละครตัวนาง ทั้งหมดของคณะละครวังสวนกุหลาบประวัติ ประวัติ. หม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา เป็นธิดาของหม่อมหลวงชื่น อภัยกุล กับหม่อมหลวงตาด (สกุลเดิม: เจษฎางกูร) ต่อมาได้เข้ามาเป็นตัวละครในเจ้าคุณจอมมารดาเอม ซึ่งคณะละครนั้นได้ตกทอดไปถึงกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญพระราชโอรสในเจ้าคุณจอมมารดาเอม ต่อมาได้เป็นหม่อมในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ พระอนุชาในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ต้นราชสกุลนวรัตน มีพระโอรสธิดาคือ1. หม่อมเจ้าชายธำรงวรวัฒน์ นวรัตน (พ.ศ. 2424 — พ.ศ. 2489) 2. หม่อมเจ้าหญิงกมลเปรมปรีดิ์ นวรัตน (พ.ศ. 2427 — ?) เสกสมรสกับพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ ภายหลังได้เข้ามาเป็นครูละครวังสวนกุหลาบ เป็นผู้วางรากฐาน และเป็นผู้ถ่ายทอดท่ารำละครตัวนาง ทั้งหมดของคณะละครวังสวนกุหลาบ ท่ารำเฉพาะบทบาท และท่ารำเพลงหน้าพาทย์ที่สำคัญของตัวละครนางเอก และนางรอง หม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา ได้ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2477 และได้ทำการฌาปนกิจศพเมื่อพฤษภาคม พ.ศ. 2477ผลงาน ผลงาน. วิชาความรู้จากหม่อมครูนุ่ม และใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนวิทยาลัยนาฏศิลป 12 แห่งทั่วประเทศ มีดังนี้1. รำเชิดฉิ่งของตัวนาง อาทิ นางเบญกาย นางเมขลา (เรื่อง รามเกียรติ์) นางศุภลักษณ์ (เรื่อง อุณรุฑ) 2. ท่ารำเพลงหน้าพาทย์สำคัญๆ ของตัวละครนาง เช่น เพลงโลม เพลงตระนอน เพลงตระนิมิต เพลงตะบองกันกัน 3. ท่ารำกริชดรสา (เรื่อง อิเหนา) 4. ท่ารำบุษบาชมศาล (เรื่อง อิเหนา) 5. ท่ารำชุดศุภลักาณ์วาดรูป (เรื่อง อุณรุฑ) 6. ท่ารำชุดศุภลักษณ์อุ้มสม (เรื่อง อุณรุฑ) 7. รำฝรั่งคู่ (ตัวละครนาง) 8. ท่ารำฉุยฉายชุดต่างๆ ที่เป็นบทบาทของตัวละครนาง เช่น ฉุยฉายเบญกาย ฉุยฉายยอพระกลิ่น ฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง ฉุยฉายวันทอง ฉุยฉายศูรปนขา วิยะดาทรงเครื่อง รจนาเลือกคู่ 9. บทบาทของตัวละครนางในเรื่องต่างๆ นางมะเดหวี นางดรสา (เรื่อง อิเหนา) นางศุภลักษณ์ (เรื่อง อุณรุฑ) นางมณฑา นางจันทร์ (เรื่อง สังข์ทอง) นางเกสรสุมณฑา (เรื่องสังข์ศิลป์ชัย) นางเฒ่าทัศประสาท นางคันธมาลี (เรื่อง คาวี) นางวารี นางสุวรรณมาลี (เรื่อง พระอภัยมณี) นางออยเงาะ (เรื่อง เงาะป่า) หม่อมนุ่ม มีลูกศิษย์คนสำคัญอาทิ ครูเฉลย ศุขะวณิช ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พ.ศ. 2530 และครูลมุล ยมะคุปต์
อภัยกุล
182
189
209
1
พระราชบิดาของหม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา มีพระนามว่าอะไร
หม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา หม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา หรือ หม่อมครูนุ่ม (สกุลเดิม: อภัยกุล; ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2477) เป็นหม่อมในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรัตน์ กรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ์ เป็นนางละครในเจ้าคุณจอมมารดาเอม หม่อมครูนุ่มเป็นผู้วางรากฐาน และเป็นผู้ถ่ายทอดท่ารำละครตัวนาง ทั้งหมดของคณะละครวังสวนกุหลาบประวัติ ประวัติ. หม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา เป็นธิดาของหม่อมหลวงชื่น อภัยกุล กับหม่อมหลวงตาด (สกุลเดิม: เจษฎางกูร) ต่อมาได้เข้ามาเป็นตัวละครในเจ้าคุณจอมมารดาเอม ซึ่งคณะละครนั้นได้ตกทอดไปถึงกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญพระราชโอรสในเจ้าคุณจอมมารดาเอม ต่อมาได้เป็นหม่อมในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ พระอนุชาในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ต้นราชสกุลนวรัตน มีพระโอรสธิดาคือ1. หม่อมเจ้าชายธำรงวรวัฒน์ นวรัตน (พ.ศ. 2424 — พ.ศ. 2489) 2. หม่อมเจ้าหญิงกมลเปรมปรีดิ์ นวรัตน (พ.ศ. 2427 — ?) เสกสมรสกับพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ ภายหลังได้เข้ามาเป็นครูละครวังสวนกุหลาบ เป็นผู้วางรากฐาน และเป็นผู้ถ่ายทอดท่ารำละครตัวนาง ทั้งหมดของคณะละครวังสวนกุหลาบ ท่ารำเฉพาะบทบาท และท่ารำเพลงหน้าพาทย์ที่สำคัญของตัวละครนางเอก และนางรอง หม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา ได้ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2477 และได้ทำการฌาปนกิจศพเมื่อพฤษภาคม พ.ศ. 2477ผลงาน ผลงาน. วิชาความรู้จากหม่อมครูนุ่ม และใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนวิทยาลัยนาฏศิลป 12 แห่งทั่วประเทศ มีดังนี้1. รำเชิดฉิ่งของตัวนาง อาทิ นางเบญกาย นางเมขลา (เรื่อง รามเกียรติ์) นางศุภลักษณ์ (เรื่อง อุณรุฑ) 2. ท่ารำเพลงหน้าพาทย์สำคัญๆ ของตัวละครนาง เช่น เพลงโลม เพลงตระนอน เพลงตระนิมิต เพลงตะบองกันกัน 3. ท่ารำกริชดรสา (เรื่อง อิเหนา) 4. ท่ารำบุษบาชมศาล (เรื่อง อิเหนา) 5. ท่ารำชุดศุภลักาณ์วาดรูป (เรื่อง อุณรุฑ) 6. ท่ารำชุดศุภลักษณ์อุ้มสม (เรื่อง อุณรุฑ) 7. รำฝรั่งคู่ (ตัวละครนาง) 8. ท่ารำฉุยฉายชุดต่างๆ ที่เป็นบทบาทของตัวละครนาง เช่น ฉุยฉายเบญกาย ฉุยฉายยอพระกลิ่น ฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง ฉุยฉายวันทอง ฉุยฉายศูรปนขา วิยะดาทรงเครื่อง รจนาเลือกคู่ 9. บทบาทของตัวละครนางในเรื่องต่างๆ นางมะเดหวี นางดรสา (เรื่อง อิเหนา) นางศุภลักษณ์ (เรื่อง อุณรุฑ) นางมณฑา นางจันทร์ (เรื่อง สังข์ทอง) นางเกสรสุมณฑา (เรื่องสังข์ศิลป์ชัย) นางเฒ่าทัศประสาท นางคันธมาลี (เรื่อง คาวี) นางวารี นางสุวรรณมาลี (เรื่อง พระอภัยมณี) นางออยเงาะ (เรื่อง เงาะป่า) หม่อมนุ่ม มีลูกศิษย์คนสำคัญอาทิ ครูเฉลย ศุขะวณิช ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พ.ศ. 2530 และครูลมุล ยมะคุปต์
หม่อมหลวงชื่น อภัยกุล
463
484
210
1
ประเทศเลโซโท เป็นประเทศขนาดเล็กอยู่ในทวีปอะไร
ประเทศเลโซโท เลโซโท (โซโทและ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรเลโซโท (โซโท: ; ) เป็นประเทศขนาดเล็กในทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ทั้งหมด 30,355 ตารางกิโลเมตร (11,720 ตารางไมล์) พรมแดนถูกล้อมรอบด้วยประเทศแอฟริกาใต้ทุกทิศทำให้ไม่มีทางออกสู่ทะเล ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบสูง มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดคือมาเซรู เลโซโทมีรูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเป็นหนึ่งในสามประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับประเทศโมร็อกโกและประเทศสวาซิแลนด์ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. เลโซโทเป็นหนึ่งในสามของประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (อีก 2 ประเทศ คือ ประเทศโมร็อกโก และประเทศสวาซิแลนด์) เดิมประเทศเลโซโทมีชื่อว่าบาซูโต ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2361 โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 1 เป็นผู้ปกครอง ต่อมา ชนเผ่าซูลู และคนผิวขาวเข้าไปตั้งหลักแหล่งในประเทศ และถูกแอฟริกาใต้รุกราน บาซูโตจึงต้องขอรับความคุ้มครองจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร และมีฐานะเป็นรัฐในปกครองของสหราชอาณาจักร (British protectorate of Basutoland) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้ประกาศเอกราชและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นเลโซโทการเมือง การเมือง. ระบอบการเมือง ระบอบประชาธิปไตยมีกษัตริย์เป็นประมุข โดยฝ่ายบริหาร มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา (National Assembly) แบบ 2 สภา (bicameral) ประกอบด้วยวุฒิสมาชิก 33 คน (ซึ่งในจำนวนนี้ 11 คน กษัตริย์เป็นผู้เสนอและพรรครัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้งอีก 22 คนมาจากหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 65 คน ซึ่งอยู่ในวาระคราวละ 5 ปี ฝ่ายตุลาการ ประกอบด้วย ศาลสูง ศาลอุทธรณ์ ศาลพิพากษา และศาลพื้นเมืองการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เลโซโทมี 10 เขต คือ:- เขตเบเรีย (Berea) - เขตบูทา-บูเท (Butha-Buthe) - เขตเลริเบ (Leribe) - เขตมาเฟเตง (Mafeteng) - เขตมาเซรู (Maseru) - เขตโมเฮลส์ฮุก (Mohale's Hoek) - เขตโมคอตลอง (Mokhotlong) - เขตคาชาส์เนก (Qacha's Nek) - เขตคูทิง (Quthing) - เขตทาบา-เซกา (Thaba-Tseka)ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ประเทศเลโซโท เป็นประเทศที่มีแอฟริกาใต้ล้อมรอบหมดทุกด้าน มีพื้นที่ประมาณ 30,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณสองเท่าของจังหวัดอุบลราชธานี ของประเทศไทย แต่เลโซโทมีพื้นที่ส่วนมากอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400-1,800 เมตร จึงทำให้มีหิมะปกคลุม เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีหิมะ แต่ใช้ประโยชน์จากหิมะที่ละลายเป็นน้ำอุปโภคบริโภคใช้ในประเทศนโยบายต่างประเทศความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยด้านการเมือง นโยบายต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. ด้านการเมือง. ไทยและเลโซโทได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2532 โดยไทยได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย แอฟริกาใต้ มีเขตอาณาครอบคลุมเลโซโท และเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรียดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำเลโซโทอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ส่วนเลโซโทได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตเลโซโท ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยและได้แต่งตั้ง อภิชาติ สุดแสวง เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำประเทศไทย- เลโซโทให้การสนับสนุนไทยมาตลอดในเรื่องปัญหากัมพูชา - รัฐบาลไทยได้ส่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรียเข้าร่วมในพระราชพิธีพระบรมศพกษัตริย์สมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 2 แห่งเลโซโท ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2536 - รัฐบาลไทยได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาวะขาดแคลนพืชพันธุ์ธัญญาหาร อันเนื่องมาจากความแห้งแล้งแก่นรัฐบาลเลโซโทในปี พ.ศ. 2538 เป็นมูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ และต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ไทยได้ให้ความช่วยเหลืออีก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเลโซโทประสบภัยจากหิมะด้านเศรษฐกิจ ด้านเศรษฐกิจ. มูลค่าการค้าระหว่างไทย – เลโซโทยังมีไม่มากนัก ในปี พ.ศ. 2543 การค้าระหว่างไทย – เลโซโทมีมูลค่ารวม 3.1 ล้านบาท โดยไทยเป็นฝ่ายส่งออก 3.1 ล้านบาท สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปเลโซโท ได้แก่ กระดาษ เยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารในครัวและบ้านเรือน น้ำมันสำเร็จรูป ปูนซีเมนต์ สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากเลโซโท ได้แก่ กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็ง ยากำจัดศัตรูพืช ไม้ซุง ไม้แปรรูปและไม้อื่น ๆ เคมีภัณฑ์ เมล็ดพืช น้ำมัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ประเทศเลโซโท มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศแอฟริกาใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 หลังจากที่เนลสัน แมนเดลา ประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ได้ไปเยือน ซึ่งก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไม่ค่อยดีนัก ต่อมาจึงมีการพัฒนาความสัมพันธ์ตามลำดับ บนพื้นฐานของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่สำคัญได้แก่ โครงการสร้างเขื่อนและอุโมงค์ส่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อส่งน้ำจากเลโซโทไปให้แอฟริกาใต้ อันทำรายได้ให้เลโซโทปีละประมาณ 70 ล้านดอลลาร์ และสร้างงานให้ชาวเลโซโทประมาณ 10,000 คน เศรษฐกิจของประเทศเลโซโท นอกเหนือจากการส่งน้ำให้แอฟริกาใต้แล้ว ก็มีการทำเหมืองเพชร และสินแร่อื่น ๆ การเกษตรกรรม เช่น การปลูกข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และการปศุสัตว์ แต่ปัญหาสำคัญของประเทศคือ ผลิตอาหารได้ไม่พอเพียง ต้องนำเข้าจากต่างประเทศถึงร้อยละ 70 ของการบริโภค ทำให้ขาดดุลการค้าปีละประมาณ 900 ล้านดอลลาร์ อย่างต่อเนื่องประชากร ประชากร. เลโซโทเป็นประเทศที่ไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อชาติเหมือนหลายประเทศในทวีปแอฟริกา เพราะประชากรที่มีประมาณ 2,000,000 คน ร้อยละ 99.7 เป็นชนเผ่าโซโทวัฒนธรรม
ทวีปแอฟริกา
190
201
211
1
เมืองหลวงของประเทศเลโซโทที่ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกามีชื่อว่าอะไร
ประเทศเลโซโท เลโซโท (โซโทและ) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรเลโซโท (โซโท: ; ) เป็นประเทศขนาดเล็กในทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ทั้งหมด 30,355 ตารางกิโลเมตร (11,720 ตารางไมล์) พรมแดนถูกล้อมรอบด้วยประเทศแอฟริกาใต้ทุกทิศทำให้ไม่มีทางออกสู่ทะเล ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบสูง มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดคือมาเซรู เลโซโทมีรูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเป็นหนึ่งในสามประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับประเทศโมร็อกโกและประเทศสวาซิแลนด์ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. เลโซโทเป็นหนึ่งในสามของประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (อีก 2 ประเทศ คือ ประเทศโมร็อกโก และประเทศสวาซิแลนด์) เดิมประเทศเลโซโทมีชื่อว่าบาซูโต ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2361 โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 1 เป็นผู้ปกครอง ต่อมา ชนเผ่าซูลู และคนผิวขาวเข้าไปตั้งหลักแหล่งในประเทศ และถูกแอฟริกาใต้รุกราน บาซูโตจึงต้องขอรับความคุ้มครองจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร และมีฐานะเป็นรัฐในปกครองของสหราชอาณาจักร (British protectorate of Basutoland) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้ประกาศเอกราชและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นเลโซโทการเมือง การเมือง. ระบอบการเมือง ระบอบประชาธิปไตยมีกษัตริย์เป็นประมุข โดยฝ่ายบริหาร มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา (National Assembly) แบบ 2 สภา (bicameral) ประกอบด้วยวุฒิสมาชิก 33 คน (ซึ่งในจำนวนนี้ 11 คน กษัตริย์เป็นผู้เสนอและพรรครัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้งอีก 22 คนมาจากหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 65 คน ซึ่งอยู่ในวาระคราวละ 5 ปี ฝ่ายตุลาการ ประกอบด้วย ศาลสูง ศาลอุทธรณ์ ศาลพิพากษา และศาลพื้นเมืองการแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. เลโซโทมี 10 เขต คือ:- เขตเบเรีย (Berea) - เขตบูทา-บูเท (Butha-Buthe) - เขตเลริเบ (Leribe) - เขตมาเฟเตง (Mafeteng) - เขตมาเซรู (Maseru) - เขตโมเฮลส์ฮุก (Mohale's Hoek) - เขตโมคอตลอง (Mokhotlong) - เขตคาชาส์เนก (Qacha's Nek) - เขตคูทิง (Quthing) - เขตทาบา-เซกา (Thaba-Tseka)ภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์. ประเทศเลโซโท เป็นประเทศที่มีแอฟริกาใต้ล้อมรอบหมดทุกด้าน มีพื้นที่ประมาณ 30,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณสองเท่าของจังหวัดอุบลราชธานี ของประเทศไทย แต่เลโซโทมีพื้นที่ส่วนมากอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400-1,800 เมตร จึงทำให้มีหิมะปกคลุม เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีหิมะ แต่ใช้ประโยชน์จากหิมะที่ละลายเป็นน้ำอุปโภคบริโภคใช้ในประเทศนโยบายต่างประเทศความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทยด้านการเมือง นโยบายต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. ด้านการเมือง. ไทยและเลโซโทได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2532 โดยไทยได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย แอฟริกาใต้ มีเขตอาณาครอบคลุมเลโซโท และเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรียดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำเลโซโทอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ส่วนเลโซโทได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตเลโซโท ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยและได้แต่งตั้ง อภิชาติ สุดแสวง เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำประเทศไทย- เลโซโทให้การสนับสนุนไทยมาตลอดในเรื่องปัญหากัมพูชา - รัฐบาลไทยได้ส่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรียเข้าร่วมในพระราชพิธีพระบรมศพกษัตริย์สมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 2 แห่งเลโซโท ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2536 - รัฐบาลไทยได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาวะขาดแคลนพืชพันธุ์ธัญญาหาร อันเนื่องมาจากความแห้งแล้งแก่นรัฐบาลเลโซโทในปี พ.ศ. 2538 เป็นมูลค่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ และต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ไทยได้ให้ความช่วยเหลืออีก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเลโซโทประสบภัยจากหิมะด้านเศรษฐกิจ ด้านเศรษฐกิจ. มูลค่าการค้าระหว่างไทย – เลโซโทยังมีไม่มากนัก ในปี พ.ศ. 2543 การค้าระหว่างไทย – เลโซโทมีมูลค่ารวม 3.1 ล้านบาท โดยไทยเป็นฝ่ายส่งออก 3.1 ล้านบาท สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปเลโซโท ได้แก่ กระดาษ เยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารในครัวและบ้านเรือน น้ำมันสำเร็จรูป ปูนซีเมนต์ สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากเลโซโท ได้แก่ กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็ง ยากำจัดศัตรูพืช ไม้ซุง ไม้แปรรูปและไม้อื่น ๆ เคมีภัณฑ์ เมล็ดพืช น้ำมัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. ประเทศเลโซโท มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศแอฟริกาใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 หลังจากที่เนลสัน แมนเดลา ประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ได้ไปเยือน ซึ่งก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไม่ค่อยดีนัก ต่อมาจึงมีการพัฒนาความสัมพันธ์ตามลำดับ บนพื้นฐานของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่สำคัญได้แก่ โครงการสร้างเขื่อนและอุโมงค์ส่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อส่งน้ำจากเลโซโทไปให้แอฟริกาใต้ อันทำรายได้ให้เลโซโทปีละประมาณ 70 ล้านดอลลาร์ และสร้างงานให้ชาวเลโซโทประมาณ 10,000 คน เศรษฐกิจของประเทศเลโซโท นอกเหนือจากการส่งน้ำให้แอฟริกาใต้แล้ว ก็มีการทำเหมืองเพชร และสินแร่อื่น ๆ การเกษตรกรรม เช่น การปลูกข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และการปศุสัตว์ แต่ปัญหาสำคัญของประเทศคือ ผลิตอาหารได้ไม่พอเพียง ต้องนำเข้าจากต่างประเทศถึงร้อยละ 70 ของการบริโภค ทำให้ขาดดุลการค้าปีละประมาณ 900 ล้านดอลลาร์ อย่างต่อเนื่องประชากร ประชากร. เลโซโทเป็นประเทศที่ไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อชาติเหมือนหลายประเทศในทวีปแอฟริกา เพราะประชากรที่มีประมาณ 2,000,000 คน ร้อยละ 99.7 เป็นชนเผ่าโซโทวัฒนธรรม
มาเซรู
403
409
212
1
วัดร่ำเปิง ตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ 5 ถนนคันคลองชลประทาน ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดอะไร
วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) วัดร่ำเปิง () ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 1 หมู่ 5 ถนนคันคลองชลประทาน ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นอกเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ อีกทั้งอยู่ใกล้บริเวณวัดอุโมงค์ วัดป่าแดง และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายในวัดมีพื้นที่ทั้งหมด 19 ไร่ 1 งาน 78 ตารางวา วัดร่ำเปิงยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติฯ ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2542 และสำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 2 ปี พ.ศ. 2547ประวัติ ประวัติ. เหตุการณ์ล่วงผ่านไปในอดีต ในสมัยพญามังรายองค์ที่ 12 ปกครองเมืองเชียงใหม่ ท่านมีพระราชโอรสนามว่า ท้าวศรีบุญเรือง ต่อมามีคนกล่าวหาว่าท้าวศรีบุญเรืองเตรียมการจะกบฏ พระเจ้าติโลกราชจึงแก้ไขสถานการณ์ด้วยการให้ไปปกครองเมืองเชียงแสนและเชียงรายแทน ต่อมา ท้าวศรีบุญเรือง มีพระราชโอรส ซึ่งประสูติบนยอเขาสูงในเชียงราย (ยอดดอกบัว) ท่านได้ประทานนามพระราชโอรสว่า “พระเจ้ายอดเชียงราย” จนกระทั่งวันหนึ่ง ติโลกราชถูกเพ็ดทูลจากนางหอมุข พระสนมเอกว่าท้าวศรีบุญเรืองเตรียมการก่อกบฏอีก จึงมีพระกระแสรับสั่งให้ปลงพระชนม์พระราชโอรสเสีย และหลังจากนั้นโปรดให้ราชนัดดา คือ พระเจ้ายอดเชียงราย ครองเมืองเชียงรายสืบต่อมา เหตุการณ์ต่อจากนั้น มีพระธุดงค์รูปหนึ่งปักกลดตรงบริเวณวัดร่ำเปิงในปัจจุบัน ท่านทูลพระเจ้ายอดเชียงรายว่าเมื่อตอนกลางคืน ท่านเห็นรัศมีสว่างบริเวณต้นมะเดื่อซึ่งไม่ห่างจากที่ท่านปักกลด จึงสงสัยว่าน่าจะมีพระธาตุประดิษฐานอยู่บริเวณดังกล่าว เมื่อพระเจ้ายอดเชียงรายทราบดังนี้ จึงอธิษฐานว่า ถ้าที่แห่งนั้นมีพระบรมธาตุฝังอยู่ ขอให้ช้างพระที่นั่งที่ท่านกำลังทรงไปหยุด ณ ที่แห่งนั้น จากนั้นช้างเดินไปหยุดที่ใต้ต้นมะเดื่อ พระองค์จึงขุดดินบริเวณนี้และพบพระเขี้ยวแก้วบรรจุอยู่ในผอบดินแบบเชียงแสน พระองค์จึงทรงทำพิธีสมโภช และอธิษฐานขอเห็นอภินิหารของพระบรมสารีริกธาตุนั้นจากนั้นจึงบรรจุลงในผอบทอง แล้วนำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ในบริเวณนั้น และจารึกประวัติหารสร้างวัดนี้ลงในศิลาจารึกเป็นตัวหนังสือฝักขาม แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “วันศุกร์ขึ้นสามค่ำเดือนเจ็ด ปีชวด พุทธศักราชสองพันสามสิบหาปี เวลา 08.20 น. ได้ฤกษ์ภรณี (ดาวงอนไถ) ได้โยคมหาอุจจ์” โดยมีพระนางอะตะปาเทวี ซึ่งเป็นพระมเหสี ดำเนินการสร้างแต่งตั้งคณะกรรมการทั้งที่เป็นพระมหาเถระและผู้สร้างฝ่ายอาณาจักร นอกจากนี้ยังมีการสร้างพระพุทธรูปเป็นประธาน และพระพุทธรูปตามซุ้มที่พระธาตุเจดีย์กับได้สร้างพระไตรปิฏกและพระราชทานทรัพย์ (นา) เงิน (เบี้ย) เป็นจำนวนมหาศาล จากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาพื้นที่วัดและลักลอบขุดพระธาตุเจดีย์ได้นำวัตถุโบราณและพระพุทธรูปไป ส่วนอุโบสถ และวิหาร ชำรุดทรุดโทรมลง วัดนี้จึงร้างมาหลายยุคสมัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 ได้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่ จากนั้นอาราธนาพระภิกษุชาวบ้านร่ำเปิงรูปหนึ่งชื่อ หลวงปู่จันทร์สม หรือ ครูบาสม มาปกครองดูแลวัดจนวิหารสร้างเสร็จเสร็จในปี พ.ศ. 2516 ในปีเดียวกัน ท่านถึงแก่มรณภาพ วัดจึงขาดพระจำพรรษาจนถึงปลายปี 2517 ส่วนวิหารซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธานนั้นมีต้นไม้ขึ้นรกปกคลุมมาก แผ่นศิลาจารึกได้จมดินอยู่ในวิหาร ปี พ.ศ. 2484 คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ประชุมตกลงกันให้อัญเชิญพระประธานไปประดิษฐานไว้ ณ ด้านหลังพระวิหารวัดพระสิงห์วรมหาวิหารในจังหวัดเชียงใหม่ และได้ร่วมกับกรรมการวัดทั้งผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ทำการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2515 เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีการสร้างอุโบสถที่มีอยู่ในเลา มีผู้มีจิตศรัทธาช่วยซ่อมให้ได้ใช้ในการปฏิบัติสังฆกรรมมาจนถึงปัจจุบัน พระพุทธรูปพระประธานนั้นมีอายุประมาณ 700-800 ปี และมีชื่อว่า หลวงพ่อศรีอโยธยา พระครูพิพัฒน์คณาภิบาล (ทอง สิริมงคโล) เป็นเจ้าอาวาสวัดเมืองมางและเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระประจำสำนักวัดเมืองมาง ได้ธุดงค์วัตรมาปักกลดอยู่บริเวณวัดร่ำเปิงนี้ ได้เล็งเห็นว่าสถานที่เหมาะแก่การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงมีโครงการที่จะขยายงานวิปัสสนากรรมฐานขึ้นอีกแห่งหนึ่งจึงได้มาจำพรรษาอยู่ทีวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) แห่งนี้ และชักชวนชาวบ้าน ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ฟื้นฟูขึ้นจนสำเร็จ ในปี พ.ศ. 2533 ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์จากพระครูชั้นพิเศษเป็นพระราชคณะที่ราชทินนาม “พระสุพรหมยานเถร” และในปี พ.ศ. 2534 พระครูภาวนวิรัชได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์ใหม่ โดยท่านเจ้าอาวาสรูปใหม่ ท่านสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านเจ้าคุณฯพระอาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส อีกทั้งได้ก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม 3 ชั้น เพื่อส่งเสริมในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม โดยเฉพาะในด้านพระอภิธรรม นอกจากนี้ได้สร้าง อาคาร “80 ปี พระราชพรหมาจารย์” ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพุทธศาสนิกชน วัดนี้เป็นแหล่งวิปัสสนากรรมฐานทางภาคเหนือที่ทำการอบรมพระกรรมฐานในแนวสติปัฎฐาน 4 ปัจจุบันมีชาวไทยและชาวต่างประเทศ สนใจมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกันอย่างมากมาย นอกจากนี้วัดนี้เป็นแห่งแรกที่มีพระไตรปิฏกฉบับล้านนา อีกทั้งเป็นแหล่งรวบรวมที่มีพระไตรปิฏกฉบับภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลกปูชนียวัตถุปูชนียวัตถุ. - พระบรมธาตุเจดีย์ ในพงศาวดารโยนก และชิกาลมาลีปกรณ์ - พระพุทธรูปหลวงพ่อตโป - พระพุทธรูปหลวงพ่อศรีอโยธยารูปภาพ
จังหวัดเชียงใหม่
201
217
213
1
จิตรกรชาวดัตช์ผู้เขียนภาพสีน้ำมันที่มีชื่อภาพว่า ไอริส ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เจ. พอล เกตตี มีนามว่าอะไร
ไอริส (ฟัน โคค) ไอริส (; ; ) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยฟินเซนต์ ฟัน โคค จิตรกรชาวดัตช์คนสำคัญของลัทธิประทับใจยุคหลัง ปัจจุบันภาพนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เจ. พอล เกตตี ที่เมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ภาพ "ไอริส" ที่เขียนในปี ค.ศ. 1889 เป็นภาพที่ฟัน โคคเขียนขณะที่อยู่ในสถานบำบัดที่แซ็ง-ปอล-เดอ-โมซอล เมืองแซ็งต์-เรมี-เดอ-พรอว็องส์ ในปีสุดท้ายของชีวิตก่อนที่จะเสียชึวิตในปี ค.ศ. 1890 ฟัน โคคเริ่มเขียนก่อนที่จะล้มป่วยก่อนเข้าสถานบำบัด งานชิ้นนี้เป็นงานที่ขาดความตึงเครียดอย่างงานชิ้นอื่นที่เขียนในบั้นปลายของชีวิต ฟัน โคคเรียกงานชิ้นนี้ว่าเป็น "สายล่อฟ้าของความเจ็บป่วย" (the lightning conductor for my illness) เพราะเชื่อว่าการเขียนงานไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็นวิธีป้องกันความบ้าคลั่งได้ "ไอริส" เป็นภาพที่มีอิทธิพลมาจากภาพพิมพ์แกะไม้อุกิโยะของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับงานอื่น ๆ และงานของศิลปินอื่น ๆ ในช่วงนั้น ความคล้ายคลึงจะเห็นได้จากการตัดเส้นด้วยสีเข้ม มุมที่แปลกออกไป และภาพที่แสดงมุมมองที่ใกล้ชิด และการใช้โทนสีที่ราบ แทนที่จะปรับระดับตามแสงที่ส่องลงมาบนกอไอริส ฟัน โคคถือว่าภาพนี้เป็นภาพศึกษา ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ภาพนี้ไม่มีภาพวาดลายเส้นเหมือนภาพอื่น เตโอน้องชายเห็นว่าเป็นภาพที่ดี และยื่นเรื่องเพื่อนำเข้าแสดงในนิทรรศการของสมาคมศิลปินอิสระในเดือนกันยายน ค.ศ. 1889 พร้อมกับภาพราตรีประดับดาวเหนือแม่น้ำโรน เตโอเขียนถึงฟัน โคคเกี่ยวกับนิทรรศการว่าเป็น "ภาพที่สะดุดตามาแต่ไกล ภาพไอริสเป็นภาพศึกษาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศและชีวิต"ประวัติการเป็นเจ้าของ ประวัติการเป็นเจ้าของ. เจ้าของภาพคนแรกคืออ็อกตาฟว์ มีร์โบ (Octave Mirbeau) นักวิพากษ์ศิลป์และนักอนาธิปไตย หนึ่งในบรรดาผู้ชื่นชมผลงานของฟัน โคคคนแรก มีร์โบซึ้อภาพในราคา 300 ฟรังก์ เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1987 "ไอริส" ก็กลายเป็นงานจิตรกรรมที่มีราคาสูงสุดเท่าที่เคยขายกันมา และดำรงตำแหน่งนั้นอยู่สองปีครึ่ง ราคาที่ขายเป็นจำนวน 53.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายให้แก่แอลัน บอนด์ แต่บอนด์ไม่มีเงินพอ ต่อมาภาพนี้จึงขายอีกครั้งให้แก่พิพิธภัณฑ์เจ. พอล เกตตีในปี ค.ศ. 1990 ในปี ค.ศ. 2008 "ไอริส" เป็นภาพเขียนที่มีมูลค่าเป็นลำดับเจ็ดเท่าที่ขายกันมาเมื่อปรับตามค่าเงินเฟ้อแล้ว และถ้าไม่ปรับก็จะเป็นลำดับที่ 18
ฟินเซนต์ ฟัน โคค
151
167
214
1
ภาพเขียนสีน้ำมัน ไอริส ของจิตรกรชาวดัตซ์ที่ชื่อฟินเซนต์ ฟัน โคค จัดแสดงอยู่ที่ใด
ไอริส (ฟัน โคค) ไอริส (; ; ) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยฟินเซนต์ ฟัน โคค จิตรกรชาวดัตช์คนสำคัญของลัทธิประทับใจยุคหลัง ปัจจุบันภาพนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เจ. พอล เกตตี ที่เมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ภาพ "ไอริส" ที่เขียนในปี ค.ศ. 1889 เป็นภาพที่ฟัน โคคเขียนขณะที่อยู่ในสถานบำบัดที่แซ็ง-ปอล-เดอ-โมซอล เมืองแซ็งต์-เรมี-เดอ-พรอว็องส์ ในปีสุดท้ายของชีวิตก่อนที่จะเสียชึวิตในปี ค.ศ. 1890 ฟัน โคคเริ่มเขียนก่อนที่จะล้มป่วยก่อนเข้าสถานบำบัด งานชิ้นนี้เป็นงานที่ขาดความตึงเครียดอย่างงานชิ้นอื่นที่เขียนในบั้นปลายของชีวิต ฟัน โคคเรียกงานชิ้นนี้ว่าเป็น "สายล่อฟ้าของความเจ็บป่วย" (the lightning conductor for my illness) เพราะเชื่อว่าการเขียนงานไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็นวิธีป้องกันความบ้าคลั่งได้ "ไอริส" เป็นภาพที่มีอิทธิพลมาจากภาพพิมพ์แกะไม้อุกิโยะของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับงานอื่น ๆ และงานของศิลปินอื่น ๆ ในช่วงนั้น ความคล้ายคลึงจะเห็นได้จากการตัดเส้นด้วยสีเข้ม มุมที่แปลกออกไป และภาพที่แสดงมุมมองที่ใกล้ชิด และการใช้โทนสีที่ราบ แทนที่จะปรับระดับตามแสงที่ส่องลงมาบนกอไอริส ฟัน โคคถือว่าภาพนี้เป็นภาพศึกษา ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ภาพนี้ไม่มีภาพวาดลายเส้นเหมือนภาพอื่น เตโอน้องชายเห็นว่าเป็นภาพที่ดี และยื่นเรื่องเพื่อนำเข้าแสดงในนิทรรศการของสมาคมศิลปินอิสระในเดือนกันยายน ค.ศ. 1889 พร้อมกับภาพราตรีประดับดาวเหนือแม่น้ำโรน เตโอเขียนถึงฟัน โคคเกี่ยวกับนิทรรศการว่าเป็น "ภาพที่สะดุดตามาแต่ไกล ภาพไอริสเป็นภาพศึกษาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศและชีวิต"ประวัติการเป็นเจ้าของ ประวัติการเป็นเจ้าของ. เจ้าของภาพคนแรกคืออ็อกตาฟว์ มีร์โบ (Octave Mirbeau) นักวิพากษ์ศิลป์และนักอนาธิปไตย หนึ่งในบรรดาผู้ชื่นชมผลงานของฟัน โคคคนแรก มีร์โบซึ้อภาพในราคา 300 ฟรังก์ เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1987 "ไอริส" ก็กลายเป็นงานจิตรกรรมที่มีราคาสูงสุดเท่าที่เคยขายกันมา และดำรงตำแหน่งนั้นอยู่สองปีครึ่ง ราคาที่ขายเป็นจำนวน 53.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายให้แก่แอลัน บอนด์ แต่บอนด์ไม่มีเงินพอ ต่อมาภาพนี้จึงขายอีกครั้งให้แก่พิพิธภัณฑ์เจ. พอล เกตตีในปี ค.ศ. 1990 ในปี ค.ศ. 2008 "ไอริส" เป็นภาพเขียนที่มีมูลค่าเป็นลำดับเจ็ดเท่าที่ขายกันมาเมื่อปรับตามค่าเงินเฟ้อแล้ว และถ้าไม่ปรับก็จะเป็นลำดับที่ 18
พิพิธภัณฑ์เจ. พอล เกตตี
242
265
215
1
เขาเอ๋อเหมย์ หรือ ภูเขาง้อไบ๊ ในประเทศจีนมีความสูงเท่าไร
ภูเขาเอ๋อเหมย์ ภูเขาเอ๋อเหมย์ หรือ ภูเขาง้อไบ๊ ตามสำเนียงอื่น () เป็นภูเขาห่างจากเฉินตูราว 160 กิโลเมตร ชื่อของภูเขาแห่งนี้ได้มาจากรูปทรงของภูเขาที่มีลักษณะคล้ายคิ้ว ภูเขาแห่งนี้เป็นหนึ่งในสี่ภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาของจีน เนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระสมันตภัทรโพธิสัตว์เคยสถิตอยู่ (ประกอบด้วยเขาอู่ไถ เขาจิ่วหัว เขาเอ๋อเหมย์ และเขาผู่ถัว) และลัทธิเต๋าโดยมีอารามต่าง ๆ 151 แห่ง แต่ส่วนใหญ่ทรุดโทรม ยังคงเหลือที่เที่ยวชมได้ 20 แห่ง เขาเอ๋อเหมย์มียอดสูงถึง 3,099 เมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดหัวจ้วง และช่วงฤดูหนาวมีหิมะปกคลุม และยังเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพรรณพืชและสัตว์ป่า ในนิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยก เขาเอ๋อเหมย์ที่เป็นที่ตั้งของสำนักชีง้อไบ๊ และปรากฏอยู่ในนิยายกำลังภายในหลายเรื่อง
3,099 เมตร
550
560
216
1
วัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเอ๋อเหมย์ หรือ ภูเขาง้อไบ๊ ประเทศจีนมีชื่อว่าอะไร
ภูเขาเอ๋อเหมย์ ภูเขาเอ๋อเหมย์ หรือ ภูเขาง้อไบ๊ ตามสำเนียงอื่น () เป็นภูเขาห่างจากเฉินตูราว 160 กิโลเมตร ชื่อของภูเขาแห่งนี้ได้มาจากรูปทรงของภูเขาที่มีลักษณะคล้ายคิ้ว ภูเขาแห่งนี้เป็นหนึ่งในสี่ภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาของจีน เนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระสมันตภัทรโพธิสัตว์เคยสถิตอยู่ (ประกอบด้วยเขาอู่ไถ เขาจิ่วหัว เขาเอ๋อเหมย์ และเขาผู่ถัว) และลัทธิเต๋าโดยมีอารามต่าง ๆ 151 แห่ง แต่ส่วนใหญ่ทรุดโทรม ยังคงเหลือที่เที่ยวชมได้ 20 แห่ง เขาเอ๋อเหมย์มียอดสูงถึง 3,099 เมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดหัวจ้วง และช่วงฤดูหนาวมีหิมะปกคลุม และยังเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพรรณพืชและสัตว์ป่า ในนิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยก เขาเอ๋อเหมย์ที่เป็นที่ตั้งของสำนักชีง้อไบ๊ และปรากฏอยู่ในนิยายกำลังภายในหลายเรื่อง
วัดหัวจ้วง
579
589
217
1
โซชีเอตาสปอร์ตีวาลัตซีโย หรือ สโมสรลัตซีโย ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1900 เป็นสโมสรของประเทศอะไร
โซชีเอตาสปอร์ตีวาลาซีโอ โซชีเอตาสปอร์ตีวาลัตซีโย () สโมสรลัตซีโยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1900 ตามชื่อแคว้นลัตซีโยที่ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองหลวงคือกรุงโรมในประเทศอิตาลี สีของทีมลัตซีโยใช้สีฟ้าขาวซึ่งได้แรงบรรดาลใจมาจากธงประเทศกรีซ ทีมฟุตบอลลัตซีโยเป็นทีมขนาดใหญ่ทีมหนึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีผลงานอยู่ในอันดับบนของตารางมาโดยตลอด สามารถคว้าแชมป์สคูเดตโต้ได้ 2 สมัย คือในฤดูกาลปี 1973-1974 และ ฤดูกาล 1999-2000 สโมสรกีฬาลัตซีโย (Società Sportiva Lazio, S.S. Lazio) เป็นสโมสรกีฬาที่มีทั้งหมด 37 ชนิด โดยกีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่โดดเด่นที่สุดของสโมสร โดยสัญลักษณ์ที่ใช้คือ นกอินทรีฟ้าขาว ทีมฟุตบอลลัตซีโยเป็นทีมเก่าแก่ทีมแรกของกรุงโรม โดยก่อตั้งก่อนทีมสโมสรฟุตบอลโรมา 27 ปีประวัติของสโมสร ประวัติของสโมสร. โซชีเอตาสปอร์ตีวาลัตซีโย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1900 ในเขตการปกครองของ ปราติ โรม. ลัตซีโยเล่นเกมส์ฟุตบอลอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1910 เข้าร่วมการแข่งขันในลีกเมือ่ปี ค.ศ. 1912 เป็นสโมสรที่ทำการเข้าแข่งขันที่เร็วที่สุดหรือเป็นสโมสรแรกที่สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีเริ่มให้มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลในเมืองทางใต้ของอิตาลีและได้รางวัลรองชนะเลิศถึงสามครั้งในปี ค.ศ. 1913 ไปให้กับ โปร เวอเซลลิ, ในปี ค.ศ. 1914 ไปให้กับ สโมสรฟุตบอลคาสาเล และในปี ค.ศ. 1923 เสียให้กับ เจนัว 1893 ในปี ค.ศ. 1927 มาริโอ อัซซิ เป็นเพียงคนเดียวในสโมสรฟุตบอลโรมาที่ให้ความสำคัญในการต่อต้านความพยายามของระบอบฟาสซิสต์ที่จะผสานในการสร้างทีมของเมืองทั้งหมดให้กับ สโมสรฟุตบอลโรมา ในปีเดียวกัน สโมสรเล่นในเซเรียอาเป็นครั้งแรกที่จัดในปี ค.ศ. 1929 และนำโดยตำนานกองหน้าอิตาลี ซิลวีโอ ปิโอลา, ประสบความสำเร็จที่สองเสร็จในปี 1937 - ด้วยชนะสูงสุดของลีก 1ในปี ค.ศ. 1950 ทีมได้ผลิตเด็กจากสโมสรเยาวชนและได้ผลบนผลตารางด้วยการชนะถ้วยอิตาลีในปี ค.ศ. 1958 ลัตซีโยถูกลงไปเล่นใน เซเรียเบในปี ค.ศ. 1961 แต่ก็กลับมาอยู่ในลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากสองปี หลังจากที่กองกลาง โต๊ะผลักไสอีกตามมาใน 1970-71. [9] กลับไปยังเซเรียอา 1972-73 ใน, ลาซิโอทันทีกลายเป็นความท้าทายแปลกใจสำหรับ สคูเดตตโต ไปมิลานและยูเวนตุสใน ฤดูกาล1972-1973 เพียงการสูญเสียออก ในวันสุดท้ายของฤดูกาลกับทีมที่ประกอบไปด้วยกัปตันจูเซปเป้วิลสันเช่นเดียวกับลูเซียโนและมาริโอ Frustalupi ตี Giorgio Chinaglia และหัวหน้าโค้ชทอม Maestrelli. [10] ลาซิโอขึ้นประสบความสำเร็จดังกล่าวในฤดูกาลถัดไปเพื่อให้มั่นใจได้ ชื่อแรกใน 1973-74. [11] [12] อย่างไรก็ตามตายอนาถของ Luciano Re Cecconi [13] และ Scudetto ฝึก Tommaso Maestrelli เช่นเดียวกับการจากไปของ Chinaglia จะระเบิดสามสำหรับลาซิโอ วิวัฒนาการของบรูโน่ Giordano ในช่วงเวลานี้ให้บรรเทาบางในขณะที่เขาเสร็จสิ้นการทำประตูสูงสุดลีกในปี 1979 เมื่อลาซิโอเสร็จ 8. [14] ลาซิโอถูกผลักไสบังคับให้เซเรียบีในปี 1980 เนื่องจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการที่โดดเด่นเดิมพันที่ผิดกฎหมายในการแข่งขันของตัวเองพร้อมกับเอซีมิลาน พวกเขายังคงอยู่ในส่วนที่สองของอิตาลีฤดูกาลที่สามในสิ่งที่จะทำเครื่องหมายระยะเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของลาซิโอ พวกเขาจะกลับมาในปี 1983 และจัดการหลบหนีวันสุดท้ายจากการเนรเทศในฤดูกาลถัดไป 1984-1985 จะพิสูจน์ได้ว่าบาดใจด้วยน่าสงสาร 15 คะแนนและจบด้านล่างผู้เล่นชุดปัจจุบันผู้เล่นทีมีชื่อเสียงเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - แชมป์กัลโช่ เซเรียอา: 2 1973-1974 , 1999-2000- โคปปาอิตาเลีย: 6 1958, 1997-98, 1999-00, 2003-04, 2008-09, 2012-13- อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ: 3 1998, 2000, 2009- คัพวินเนอร์สคัพ: 1 1998-99- ยูโรเปียนสซูเปอร์คัพ: 1 1999- โคปปา เดลเล่ อัลปิ: 1 1971
ประเทศอิตาลี
245
257
218
1
เจมส์ ไมเคิล เบย์ นักร้องชาวอังกฤษปล่อยอัลบั้ม EP ทั้งหมดกี่อัลบั้ม
เจมส์ เบย์ เจมส์ ไมเคิล เบย์ (เกิด 4 กันยายน 1990) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง มือกีตาร์ชาวอังกฤษ . เจมส์ได้ปล่อยอัลบั้ม EP ทั้งหมด 4 อัลบั้ม "The Dark of the Morning" , "Let It Go" , "Hold Back the River" , "Other Sides" และปล่อยอัลบั้มเดี่ยว , "Chaos and the Calm" (2015) อัลบั้มดังกล่าวติดอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักรและติดลำดับที่ 15 ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิ้ลของเบย์ "Hold Back The River" ติดอันดับที่ 2 ในชาร์จซิงเกิ้ลของ สหราชอาณาจักร เบย์เติบโตในเมือง ฮิทเซิล ฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ เจมส์เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ Hitchin Boys' School ก่อนที่จะเรียนโรงเรียนเกี่ยวกับดนตรี British and Irish Modern Music Institute. ปี 2015 เบย์ได้รับรางวัล Critics' Choice" award จาก บริตอะวอดส์วัยเด็ก วัยเด็ก. เจมส์ เบย์ เกิดในเมืองฮิทเซิล ฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ ที่ประเทศอังกฤษ เมื่ออายุได้ 11 เบย์ได้แรงบันดาลใจอยากที่จะเล่นกีตาร์คลาสสิคหลังได้ฟังเพลง "Layla" ของ อีริค แคลปตัน หลังจากนั้นเจมส์ได้ไปเรียนต่อที่เมือง ไบรตัน เป็นเวลา 7 ปีโดยเขามีการเรียนที่ดีจากการเล่นเปิดหมวก และตามพับต่างๆ เขากล่าวว่า มันสอนอะไรให้แก่ผมมากผมสามารถเอามันไปแต่งเพลงและทำมันให้ดีได้และใช้มันปรับปรุงตัวผมให้ดีขึ้น.เบย์ได้เป็นศิลปินกับสังกัด Republic Records หลังจากที่แฟนเพลงอัปโหลดวิดิโอลงบนยูทูบจากการแสดงเปิดหมวกในกรุงลอนดอน , สัปดาห์ถัดมาเขาได้เซ็นสัญญากับทาง Republic Records อัลบั้ม EP แรกของเขา The Dark of the Morning ถูกปล่อยในปี 2013
4 อัลบั้ม
214
223
219
1
ผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจในการเล่นกีตาร์คลาสสิคของเจมส์ เบย์ หลังจากได้ฟังเพลง layla คือใคร
เจมส์ เบย์ เจมส์ ไมเคิล เบย์ (เกิด 4 กันยายน 1990) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง มือกีตาร์ชาวอังกฤษ . เจมส์ได้ปล่อยอัลบั้ม EP ทั้งหมด 4 อัลบั้ม "The Dark of the Morning" , "Let It Go" , "Hold Back the River" , "Other Sides" และปล่อยอัลบั้มเดี่ยว , "Chaos and the Calm" (2015) อัลบั้มดังกล่าวติดอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักรและติดลำดับที่ 15 ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิ้ลของเบย์ "Hold Back The River" ติดอันดับที่ 2 ในชาร์จซิงเกิ้ลของ สหราชอาณาจักร เบย์เติบโตในเมือง ฮิทเซิล ฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ เจมส์เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ Hitchin Boys' School ก่อนที่จะเรียนโรงเรียนเกี่ยวกับดนตรี British and Irish Modern Music Institute. ปี 2015 เบย์ได้รับรางวัล Critics' Choice" award จาก บริตอะวอดส์วัยเด็ก วัยเด็ก. เจมส์ เบย์ เกิดในเมืองฮิทเซิล ฮาร์ตฟอร์ดเชอร์ ที่ประเทศอังกฤษ เมื่ออายุได้ 11 เบย์ได้แรงบันดาลใจอยากที่จะเล่นกีตาร์คลาสสิคหลังได้ฟังเพลง "Layla" ของ อีริค แคลปตัน หลังจากนั้นเจมส์ได้ไปเรียนต่อที่เมือง ไบรตัน เป็นเวลา 7 ปีโดยเขามีการเรียนที่ดีจากการเล่นเปิดหมวก และตามพับต่างๆ เขากล่าวว่า มันสอนอะไรให้แก่ผมมากผมสามารถเอามันไปแต่งเพลงและทำมันให้ดีได้และใช้มันปรับปรุงตัวผมให้ดีขึ้น.เบย์ได้เป็นศิลปินกับสังกัด Republic Records หลังจากที่แฟนเพลงอัปโหลดวิดิโอลงบนยูทูบจากการแสดงเปิดหมวกในกรุงลอนดอน , สัปดาห์ถัดมาเขาได้เซ็นสัญญากับทาง Republic Records อัลบั้ม EP แรกของเขา The Dark of the Morning ถูกปล่อยในปี 2013
อีริค แคลปตัน
926
939
220
1
พ่อของ เฮเลน โกลก ทำอาชีพอะไร
เฮเลน โกลก เฮเลน โกลก (; 29 มกราคม ค.ศ. 1750– ค.ศ. 1790) เป็นหญิงสามัญชาวเพิร์ธเชอร์ในสกอตแลนด์ ที่ต่อมาได้เป็นจักรพรรดินีแห่งโมร็อกโกพระประวัติ พระประวัติ. เฮเลน โกลก เกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1750 ณ หมู่บ้านเวสเตอร์เพตต์ (Wester Pett) ทางใต้ของหมู่บ้านมูธิล (Muthill) ในเพิร์ธเชอร์ เป็นธิดาของแอนดรูว์ โกลก (Andrew Gloag) ช่างตีเหล็ก กับแอน เคย์ (Ann Kay) ภริยา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาสี่คน แต่หลังจากที่มารดาเสียชีวิตบิดาก็สมรสใหม่ ซึ่งเฮเลนที่ไม่ถูกกับแม่เลี้ยงจึงตัดสินใจออกจากบ้านขณะอายุเพียง 19 ปี เธอเดินทางจากกรีเน็ก (Greenock) ไปเซาท์แคโรไลนาหวังตั้งต้นชีวิต แต่หลังจากที่เรือออกจากฝั่งเพียงสองสัปดาห์ก็ถูกโจรสลัดบาร์บารีปล้น หลังจากนั้นกลุ่มโจรสลัดได้สังหารลูกเรือที่เป็นชายทั้งหมด ส่วนลูกเรือหญิงถูกส่งไปขายเป็นทาสที่เมืองแอลเจียร์ เฮเลน โกลกถูกขายให้กับมหาเศรษฐีชาวโมร็อกโก ก่อนที่เศรษฐีดังกล่าวจะน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเฮเลนแก่สุลต่านมุฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์แห่งโมร็อกโก แม้จะเป็นเพียงนางทาสีแต่ด้วยพระสิริโฉมสวยงาม พระเกศาสีแดง และดวงเนตรสีเขียวเป็นที่ต้องพระทัย จึงทรงเก็บไว้สนองพระเดชพระคุณถวายงานในฮาเร็ม แต่ต่อมาองค์สุลต่านได้มีจิตปฏิพัทธ์สนิทสิเน่หา ทรงแต่งตั้งให้เฮเลนเป็นหนึ่งในจตุรชายา และสถาปนาขึ้นเป็นพระชายาเอก มีตำแหน่งเป็นจักรพรรดินีในกาลต่อมา เฮเลนมีโอกาสติดต่อกับเครือญาติในมาตุภูมิโดยพระราชหัตถเลขาติดต่อกับพี่น้องคนหนึ่งที่ชื่อโรเบิร์ต ซึ่งเขาผู้นี้เคยมาโมร็อกโก และนำเรื่องราวของเฮเลนกลับไปเปิดเผยแพร่ที่สกอตแลนด์ กล่าวกันว่าเรื่องราวของพระองค์อาจมีส่วนในการที่ทำให้โจรสลัดโมร็อกโกลดจำนวนลง แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการเพิ่มจำนวนเรือรบในน่านน้ำทั้งของอังกฤษและฝรั่งเศสที่มีสถานการณ์ตรึงเครียดตั้งแต่ก่อนสงครามนโปเลียน หลังการเสด็จสวรรคตของสุลต่านมุฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์ในปี ค.ศ. 1970 สุลต่านยาซีด พระราชโอรสที่ประสูติแต่ภริยาท่านอื่นในฮาเร็มได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ สุลต่านพระองค์ใหม่นี้ทรงมีส่วนร่วมในการลอบปลงพระชนม์พระราชโอรสสองพระองค์ของสุลต่านองค์ก่อนที่ประสูติแต่เฮเลน และสันนิษฐานว่าเฮเลนอาจถูกลอบปลงพระชนม์ในช่วงสองปีต่อมาอันเป็นห้วงเวลาแห่งความระส่ำระสายอ่านเพิ่มเติมอ่านเพิ่มเติม. - The Fourth Queen By Debbie Taylor ISBN 1-4000-5376-5 - Perthshire in history and legend By Archie McKerracher ISBN 0-85976-223-8 - The biographical dictionary of Scottish women By Elizabeth Ewan, Sue Innes, Siân Reynolds, Rose Pipes - The Thistle and the Crescent By Bashir Maan ISBN 1-906134-14-6 - A Gift for the Sultan by Olga Stringfellow
ช่างตีเหล็ก
415
426
221
1
ดรูว์ แบร์รีมอร์เป็นนักแสดงหญิงชาวอเมริกัน มีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 1980 ชื่อว่าอะไร
ดรูว์ แบร์รีมอร์ ดรูว์ ไบรธ์ แบร์รีมอร์ () เกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1975 เป็นนักแสดงหญิงชาวอเมริกัน และยังเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ เธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในตระกูลแบร์รีมอร์ ครอบครัวนักแสดง เริ่มการแสดงตั้งแต่อายุได้ 11 เดือน แบร์รีมอร์มีผลงานภาพยนตร์บนจอใหญ่ครั้งแรกในเรื่อง Altered States ในปี 1980 หลังจากนั้นแสดงในบทแจ้งเกิดใน E.T. the Extra-Terrestrial ทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงเด็กที่เป็นที่รู้จักมาที่สุดคนหนึ่ง หลังจากประสบความอลหม่านในชีวิตวัยเด็กที่ทั้งติดยาและแอลกอฮอล์ และผ่านการบำบัด ซึ่งเธอนำมาเขียนในอัตชีวประวัติตัวเองในปี 1990 เรื่อง Little Girl Lost แบร์รีมอร์ก้าวสู่ความสำเร็จจากนักแสดงเด็กสู่นักแสดงสาวกบผลงานภาพยนตร์ รวมทั้งเรื่องที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่อย่างเช่น Poison Ivy, Bad Girls, Boys on the Side, และ Everyone Says I Love You ต่อจากนั้นก็มีภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ เช่นเรื่อง The Wedding Singer และแสดงในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Lucky You ร่วมกับอีริก บานา ในปี 1995 เธอกับเพื่อนที่ชื่อ แนนซี จูโวเนน ก่อตั้งบริษัทโปรดักชันที่ชื่อ ฟลาวเวอร์ฟิล์มส ที่มีผลงานสร้างเรื่องแรกคือ Never Been Kissed ที่เธอร่วมแสดงด้วยในปี 1999 และมีผลงานการสร้างภายใต้ชื่อเธออย่างเรื่อง Charlie's Angels, 50 First Dates, และ Music and Lyrics เช่นเดียวกับหนังคัลต์ที่ชื่อ Donnie Darko โครงการล่าสุดของเธอเช่น He's Just Not That into You, Beverly Hills Chihuahua, และ Everybody's Fine เธอยังมีชื่ออยู่บนฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม และยังได้ขึ้นปากนิตยสารพีเพิลปี 2007 ฉบับ 100 สิ่งสวยงามที่สุด แบร์รีมอร์ เป็นทูตต่อต้านความหิวโหยให้กับ United Nations World Food Programme (WFP) เธอยังได้บริจาคเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับโครงการ ในปี 2007 เธอเป็นนางแบบให้กับ CoverGirl และเป็นโฆษกให้กับเครื่องสำอางให้กับไลน์ใหม่ล่าสุดของอัญมณีกุชชี
Altered States
379
393
222
1
ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอะไร
วัลลภ ปิยะมโนธรรม วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มักได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ของความไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดและวิธีการบำบัดปัญหาทางจิตกรณีต่าง ๆ โดยเฉพาะ กลุ่มคนรักร่วมเพศ ที่ ดร.วัลลภ มีความเห็นว่า พฤติกรรมรักร่วมเพศนั้นมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดู ไม่ใช่พันธุกรรม และสามารถรักษาให้หายขาดได้ประวัติ ประวัติ. วัลลภ ปิยะมโนธรรม หรือ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาระดับปริญญาโทจิตวิทยาการศึกษา จาก มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา และจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจิตวิทยาคลินิก จาก มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกาและปริญญาเอกจิตวิทยาการให้คำปรึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม เป็นที่รู้จักกันดีจากบทบาทที่เป็นนักจิตวิทยา ที่ให้ความเห็นต่อสังคมในประเด็นต่าง ๆ ในแง่ของจิตวิทยา เป็นวิทยากรให้ความรู้และที่ปรึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาในสื่อและในโอกาสต่าง ๆ อดีตอาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และหัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จนเกษียณอายุราชการผลงานที่สำคัญ ผลงานที่สำคัญ. เคยจัดรายการพลังจิตที่ 5 สยามหัวเราะ ปัจจุบัน (2552) ทำรายการคุยกับนักจิตวิทยา,ครองรักครองเพศ ทางทีวีดาวเทียม mvtv5, 2554 คุยกับดร.วัลลภ ทุกวันอังคาร,พุธ mvtv inews:ยังไม่มี รอเพิ่มเติมข้อมูล ริเริ่มจัดโปรแกรม "หัวเราะบำบัด"
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
195
221
223
1
ในสมัยมัธยมศึกษา ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ศึกษาที่โรงเรียนอะไร
วัลลภ ปิยะมโนธรรม วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มักได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ของความไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดและวิธีการบำบัดปัญหาทางจิตกรณีต่าง ๆ โดยเฉพาะ กลุ่มคนรักร่วมเพศ ที่ ดร.วัลลภ มีความเห็นว่า พฤติกรรมรักร่วมเพศนั้นมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดู ไม่ใช่พันธุกรรม และสามารถรักษาให้หายขาดได้ประวัติ ประวัติ. วัลลภ ปิยะมโนธรรม หรือ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาระดับปริญญาโทจิตวิทยาการศึกษา จาก มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา และจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจิตวิทยาคลินิก จาก มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกาและปริญญาเอกจิตวิทยาการให้คำปรึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม เป็นที่รู้จักกันดีจากบทบาทที่เป็นนักจิตวิทยา ที่ให้ความเห็นต่อสังคมในประเด็นต่าง ๆ ในแง่ของจิตวิทยา เป็นวิทยากรให้ความรู้และที่ปรึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาในสื่อและในโอกาสต่าง ๆ อดีตอาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และหัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จนเกษียณอายุราชการผลงานที่สำคัญ ผลงานที่สำคัญ. เคยจัดรายการพลังจิตที่ 5 สยามหัวเราะ ปัจจุบัน (2552) ทำรายการคุยกับนักจิตวิทยา,ครองรักครองเพศ ทางทีวีดาวเทียม mvtv5, 2554 คุยกับดร.วัลลภ ทุกวันอังคาร,พุธ mvtv inews:ยังไม่มี รอเพิ่มเติมข้อมูล ริเริ่มจัดโปรแกรม "หัวเราะบำบัด"
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
538
563
224
1
อี อารึม เป็นนักร้อง นักแร็ป นักแสดงชาวเกาหลีใต้ เกิดที่เมืองใดของประเทศเกาหลีใต้
อี อารึม อี อา-รึม (; เกิด 19 เมษายน 2537) หรือชื่อที่ในการแสดงว่า อารึม เป็น นักร้อง นักแร็ป นักแสดงชาวเกาหลีใต้ รู้จักในสถาะ อดีตสมาชิก วงที-อาราประวัติ1994-2012 ประวัติ. 1994-2012. อารึม เกิดในกรุง โซล วันที่ 19 เมษายน 1994 เธอเรียนอยู่ใน Hanlim School of Arts ในโซล ซึ่งเป็นโรงเรียนเกี่ยวศิลปะ.2012–2013: T-ara 2012–2013: T-ara. อารึม ถูกเพิ่มเข้าไปใน ที-อารา ในสถานะสมาชิก ที-อารา ในเดือนกรกฎาคม อารึมถูกในสถานะ สมาชิกคนที่แปดของของวง เธอได้รับการยืนยันในฐานะสมาชิกคนที่แปดเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 และทาง ต้นสังกัดปล่อยภาพทีเซอร์ของเธอ ณ วันที่ 10 กรกฎาคม 2013 เธอออกจาก T-ara ในการดำเนินงานเดี่ยวของฮิปฮอป2014 การเป็นศิลปินเดี่ยวผลงานเพลงวงที-อาราเพลงร่วมกับศิลปิน และร้องเดี่ยว
กรุง โซล
280
288
225
1
นักร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ไทยเรื่องกอดที่ฉายในปี พ.ศ. 2551 คือใคร
กอด (ภาพยนตร์) กอด () เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2551 แนวความรัก-การเดินทาง ผลงานกำกับเรื่องที่สามของคงเดช จาตุรันต์รัศมี นำแสดงโดย เกียรติกมล ล่าทา (ตุ้ย AF3) และศุภักษร ไชยมงคล (กระแต) จากพลอตเรื่องและบทภาพยนตร์ที่เขียนโดย คงเดช ทำรายได้รวมที่ 10 ล้านบาทเรื่องย่อ เรื่องย่อ. ขวาน (ตุ้ย) อาศัยอยู่สองคนกับแม่ที่อำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง เขามีแขนข้างซ้ายสองข้าง ที่ใช้งานได้ปกติ ตั้งแต่เด็กมา แม่พร่ำสอนว่าเขาเป็นคนพิเศษกว่าใคร เขาจึงเติบโตมาโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยผิดมนุษย์มนา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว แม่ก็พยายามจะให้หมอผ่าแขนข้างที่เกินออกไป แต่ทำไม่ได้ เพราะเส้นเลือดใหญ่ที่แขนต่อตรงกับหัวใจ จะเป็นอันตรายมากเมื่อทำการผ่าตัด เมื่อแม่ตาย ขวานก็รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นคนประหลาดของหมู่บ้าน ใครๆ ก็เรียกว่า ไอ้สามแขน ถูกแฟนที่คบกันมานานบอกเลิก ขวานตัดสินใจเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อผ่าตัดความ “พิเศษ” ออก ระหว่างทาง ขวานได้ช่วยเหลือ นา (กระแต) จากการถูกลวนลาม นาเป็นสาวชาวบ้านที่กำลังเดินทางไปตามหาสามีที่กรุงเทพ ทั้งสองจึงร่วมเดินทางไปด้วยกัน ด้วยความสนิทสนมที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางร่วมกันของคนทั้งสอง ขวานรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจเพลงประกอบภาพยนตร์เพลงประกอบภาพยนตร์. - กอด ขับร้องโดย อัญชลี จงคดีกิจ, คำร้อง/ทำนอง : กมลศักดิ์ สุนทานนท์ / ปิติ ลิ้มเจริญ - ฟังเพลง กอด
อัญชลี จงคดีกิจ
1,262
1,277
226
1
บุตรชายของสู่ขวัญ บูลกุล มีชื่อว่าอะไร
สู่ขวัญ บูลกุล สู่ขวัญ บูลกุล (ชื่อเล่น ขวัญ) เป็นอดีตพิธีกรรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ คู่กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา นักธุรกิจ และนักแสดงชาวไทยประวัติ ประวัติ. สู่ขวัญ บูลกุล มีชื่อและนามสกุลเดิมว่า สู่ขวัญ วิวรกิจ ได้สมรสกับ นายโชค บูลกุล ทายาทของนายโชคชัย บูลกุล เจ้าของฟาร์มโชคชัย มีบุตรชาย 1 คน ชื่อ ด.ช. ปราบ บูลกุลการศึกษาการศึกษา. - ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ - ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ปริญญาโท Emerson College Bostonธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจส่วนตัว. สู่ขวัญ มีธุรกิจส่วนตัว คือ ฟาร์มโชคชัย ร่วมกับ สามี ทายาทของนายโชคชัย บูลกุลผลงานซีรีส์ผลงาน. ซีรีส์. - โปรเจกต์ เอส เดอะซีรีส์ ตอน Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ รับบทเป็น แตง (2560)ภาพยนตร์ภาพยนตร์. - รัก 7 ปี ดี 7 หน รับบทเป็น หล่อน (ตอน 42.195) (จีทีเอช) คู่กับ นิชคุณ หรเวชกุล - ฉลาดเกมส์โกง ให้เสียง ผู้ประกาศข่าวหญิงพิธีกรพิธีกร. - เรื่องเล่าเช้านี้ (2546/2550-2555) คู่กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา, เอกราช เก่งทุกทาง, พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ, โก๊ะตี๋ อารามบอย,รินลณี ศรีเพ็ญ , พรชิตา ณ สงขลา , ภัคจีรา วรรณสุทธิ์ - เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ (2550-2552) ย้ายไปรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ช่วง ข่าวต่างประเทศ - รายการรูปล้านเรื่อง (8 มกราคม - 2 เมษายน พ.ศ. 2560 ) คู่กับ บรมวุฒิ หิรัญยัษฐิติ ทุกวันอาทิตย์เวลา 10.00 - 11.00 น. ทางช่องวัน 31 - รายการ Celeb Blog ทาง Praew Magazine บน Youtube Channel โดยนิตยสารแพรว โดยมีประโยคยอดฮิต เช่น #อันนี้ก็น่ารัก #น่ารัก #ของมันต้องมีรางวัลรางวัล. - First Women Awards 2008 - จากนิตยสาร First Magazine - OK! Awards 2008 - รางวัล Best Dressed (นักแสดง นักร้อง หรือเซเลบริตี้ที่แต่งตัวดีที่สุด) - Seventeen Awards 2012 - รางวัล Star Icon - OK! Awards 2012 - รางวัล OK! Spotlight (บุคคลโดดเด่นแห่งปี) - Women’s Health Awards 2012 - รางวัล Show Stopper : ผู้หญิงสวยสะดุดตา - OK! Beauty Choice 2017 - รางวัล Glamour & Glow (ผู้หญิงที่สวย สง่า สมบูรณ์แบบ จากภายในสู่ภายนอก) - เข้าชิงรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 32 สาขานักแสดงสมทบหญิงดีเด่น จาก Side by Side พี่น้องลูกขนไก่
ด.ช. ปราบ บูลกุล
389
405
227
1
นายโชค บูลกุล คู่สมรสของสู่ขวัญ บูลกุล เป็นบุตรของใคร
สู่ขวัญ บูลกุล สู่ขวัญ บูลกุล (ชื่อเล่น ขวัญ) เป็นอดีตพิธีกรรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ คู่กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา นักธุรกิจ และนักแสดงชาวไทยประวัติ ประวัติ. สู่ขวัญ บูลกุล มีชื่อและนามสกุลเดิมว่า สู่ขวัญ วิวรกิจ ได้สมรสกับ นายโชค บูลกุล ทายาทของนายโชคชัย บูลกุล เจ้าของฟาร์มโชคชัย มีบุตรชาย 1 คน ชื่อ ด.ช. ปราบ บูลกุลการศึกษาการศึกษา. - ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ - ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ปริญญาโท Emerson College Bostonธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจส่วนตัว. สู่ขวัญ มีธุรกิจส่วนตัว คือ ฟาร์มโชคชัย ร่วมกับ สามี ทายาทของนายโชคชัย บูลกุลผลงานซีรีส์ผลงาน. ซีรีส์. - โปรเจกต์ เอส เดอะซีรีส์ ตอน Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ รับบทเป็น แตง (2560)ภาพยนตร์ภาพยนตร์. - รัก 7 ปี ดี 7 หน รับบทเป็น หล่อน (ตอน 42.195) (จีทีเอช) คู่กับ นิชคุณ หรเวชกุล - ฉลาดเกมส์โกง ให้เสียง ผู้ประกาศข่าวหญิงพิธีกรพิธีกร. - เรื่องเล่าเช้านี้ (2546/2550-2555) คู่กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา, เอกราช เก่งทุกทาง, พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ, โก๊ะตี๋ อารามบอย,รินลณี ศรีเพ็ญ , พรชิตา ณ สงขลา , ภัคจีรา วรรณสุทธิ์ - เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ (2550-2552) ย้ายไปรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ช่วง ข่าวต่างประเทศ - รายการรูปล้านเรื่อง (8 มกราคม - 2 เมษายน พ.ศ. 2560 ) คู่กับ บรมวุฒิ หิรัญยัษฐิติ ทุกวันอาทิตย์เวลา 10.00 - 11.00 น. ทางช่องวัน 31 - รายการ Celeb Blog ทาง Praew Magazine บน Youtube Channel โดยนิตยสารแพรว โดยมีประโยคยอดฮิต เช่น #อันนี้ก็น่ารัก #น่ารัก #ของมันต้องมีรางวัลรางวัล. - First Women Awards 2008 - จากนิตยสาร First Magazine - OK! Awards 2008 - รางวัล Best Dressed (นักแสดง นักร้อง หรือเซเลบริตี้ที่แต่งตัวดีที่สุด) - Seventeen Awards 2012 - รางวัล Star Icon - OK! Awards 2012 - รางวัล OK! Spotlight (บุคคลโดดเด่นแห่งปี) - Women’s Health Awards 2012 - รางวัล Show Stopper : ผู้หญิงสวยสะดุดตา - OK! Beauty Choice 2017 - รางวัล Glamour & Glow (ผู้หญิงที่สวย สง่า สมบูรณ์แบบ จากภายในสู่ภายนอก) - เข้าชิงรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 32 สาขานักแสดงสมทบหญิงดีเด่น จาก Side by Side พี่น้องลูกขนไก่
นายโชคชัย บูลกุล
333
349
228
1
จังหวัดแรกในประเทศไทยที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้หญิงคือจังหวัดอะไร
จรัสศรี ทีปิรัช คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช (3 มีนาคม พ.ศ. 2482 -) สตรีคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดของประเทศไทย โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เป็นผู้ริเริ่มโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อการพัฒนาเมืองในประเทศไทยประวัติ ประวัติ. ดร.คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช (สกุลเดิม อัตถากร) เกิดเมื่อวันที่ ที่อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นบุตรของนายบุญช่วย อัตถากร กับนางอารีรัตน์ อัตถากร สมรสกับสากล ทีปิรัช (เสียชีวิต) จรัสศรี เข้ารับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย จากนั้นจึงได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2506 ต่อจากนั้นในปี พ.ศ. 2511 ได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางด้านการปกครอง จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ พ.ศ. 2552 ได้รับปริญญาการผังเมืองดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์การทำงาน การทำงาน. ดร.คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช รับราชการในสังกัดกรมการผังเมือง จนได้รับตำแหน่งสูงสุดในกรมการผังเมือง คือ ตำแหน่งอธิบดีกรมการผังเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2536 จึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นับว่าเป็นสตรีคนแรกที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดของประเทศไทย จากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และได้รับรางวัลครุฑทองคำ ในปี พ.ศ. 2540 ด้วย หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว จรัสศรี ทีปิรัช ได้สมัครเข้ารับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2544 ผลปรากฏว่าไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ได้รับการเลื่อนขึ้นมาแทนนายพรเสก กาญจนจารี ปัจจุบัน จรัสศรี ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยองค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการสำนักองค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์
จังหวัดนครนายก
254
268
229
1
สตรีคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการของประเทศไทยคือใคร
จรัสศรี ทีปิรัช คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช (3 มีนาคม พ.ศ. 2482 -) สตรีคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดของประเทศไทย โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เป็นผู้ริเริ่มโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อการพัฒนาเมืองในประเทศไทยประวัติ ประวัติ. ดร.คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช (สกุลเดิม อัตถากร) เกิดเมื่อวันที่ ที่อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นบุตรของนายบุญช่วย อัตถากร กับนางอารีรัตน์ อัตถากร สมรสกับสากล ทีปิรัช (เสียชีวิต) จรัสศรี เข้ารับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย จากนั้นจึงได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2506 ต่อจากนั้นในปี พ.ศ. 2511 ได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางด้านการปกครอง จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ พ.ศ. 2552 ได้รับปริญญาการผังเมืองดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์การทำงาน การทำงาน. ดร.คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช รับราชการในสังกัดกรมการผังเมือง จนได้รับตำแหน่งสูงสุดในกรมการผังเมือง คือ ตำแหน่งอธิบดีกรมการผังเมือง ต่อมาในปี พ.ศ. 2536 จึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นับว่าเป็นสตรีคนแรกที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดของประเทศไทย จากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และได้รับรางวัลครุฑทองคำ ในปี พ.ศ. 2540 ด้วย หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว จรัสศรี ทีปิรัช ได้สมัครเข้ารับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ. 2544 ผลปรากฏว่าไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ได้รับการเลื่อนขึ้นมาแทนนายพรเสก กาญจนจารี ปัจจุบัน จรัสศรี ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยองค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการสำนักองค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์
คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัช
107
129
230
1
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ อัศวิน รัตนประชา เล่นมีชื่อเรื่องว่าอะไร
อัศวิน รัตนประชา อัศวิน รัตนประชา มีชื่อจริงว่า "สายัณห์ บำรุงกิจ" ชื่อเล่น "ตึ๋ง" เกิดเมื่อ ปี พ.ศ. 2489 ที่จังหวัดจันทบุรี เป็นพี่ชายแท้ๆ ของ "ธนาวุฒิ บำรุงกิจ" หรือ พล พลาพร อดีตพระเอกละครช่อง 7 จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากจันทบุรี แล้วมาเป็นทหารเรือที่อู่ตะเภา จังหวัดระยองอยู่ 2 ปี เมื่อปลดประจำการได้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการบริษัทรถแท็กซี่นำเที่ยวที่เดิม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2514 ได้มาสมัครเป็นนักแสดงละครช่อง 4 บางขุนพรหมเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ซึ่งสร้างโดยบุญถึง ฤทธิ์เกิด โดยรับบทเป็น "จะเด็ด" คู่กับ ศศิมา สิงห์ศิริ ต่อมาคุณสนั่น นาคสู่สุข หรือ เซียนเป๋ ได้ชักนำเข้าสู่วงการภาพยนตร์โดยให้ใช้ชื่อในวงการบันเทิงว่า อัศวิน รัตนประชา เริ่มแรกได้เล่นภาพยนตร์เรื่อง 7 ดอกจิก โดยเป็น 1 ใน 7 พระเอก แต่เนื่องจากใช้เวลาหานักแสดงให้ครบ 7 คนนานเกินไปจึงออกฉายช้าไปเป็น พ.ศ. 2518 หลังภาพยนตร์เรื่อง พิษพยาบาท ของเสถียร ธรรมเจริญ ที่สร้างทีหลังแต่ออกฉายก่อนในปี พ.ศ. 2516 อัศวินจึงได้เริ่มเป็นที่รู้จักเล็กน้อยในฐานะพระเอกใหม่ที่แสดงร่วมกับ สมบัติ เมทะนี และ นัยนา ชีวานันท์ และเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นจากภาพยนตร์เรื่อง สตรีที่โลกลืม (2518) ของ ชุติมา สุวรรณรัตน์ ในบทน้องชายของพระเอกซึ่งแสดงโดย สมบัติ เมทะนี จากนั้นจึงมีผลงานทางภาพยนตร์ต่อมาอีกหลายเรื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นพระเอกร่วม, พระรอง และบทสมทบ บทพระเอกที่มีชื่อเสียงในภาพยนตร์ที่เขาแสดงคือเรื่อง ชีวิตเลือกไม่ได้ (2524) ซึ่งแสดงร่วมกับ เปียทิพย์ คุ้มวงศ์, นิภาพร นงนุช และ อนุสรณ์ เตชะปัญญา อีกเรื่องหนึ่งคือ วีระบุรุษกองขยะ อัศวิน รัตนประชา ได้มีผลงานทางละครหลายเรื่อง โดยมักรับบทเป็นพระเอกส่วนใหญ่ เนื่องจากหน้าตาที่หล่อเหลาคมเข้มและรูปร่างดี ละครที่สร้างชื่อเสียงนอกจากเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ยังมีเรื่อง สวรรค์เบี่ยง ในปี พ.ศ. 2521 ทางช่อง 9 โดยรับบทเป็น "คาวี" คู่กับ เดือนเต็ม สาลิตุล และมีผลงานทางละครตามมาอีกหลายเรื่องทางช่อง 3, ช่อง 5, ช่อง 7 และ ช่อง 9 อาทิ เช่น นางสาวทองสร้อย, แม่ม่าย, มายา, กุหลาบไร้หนาม, อีสา ฯลฯ ทางช่อง 9; โรงแรมวิปริต, เงา, ลับแลใจ, นางแมวป่า, พระอภัยมณี ทางช่อง 7 ส่วนเรื่องสุดท้ายที่แสดงเต็มตัวในบท "อุทัย" เมื่อปี พ.ศ. 2544 คือ คมพยาบาท ทางช่อง 7 และได้รับเชิญให้แสดงละครของเอ็กแซ็กซ์เรื่อง ละอองดาว ในปี พ.ศ. 2550 ปัจจุบันได้ผันตัวไปทำธุรกิจขายรถมือสอง เป็นดีเจวิทยุและเป็นตัวแทนผลิตภัณท์อาหารเสริม และสนใจชมมวยไทยเป็นงานอดิเรกผลงานภาพยนตร์ผลงาน. ภาพยนตร์. - พิษพยาบาท (2516) - 7 ดอกจิก (2518) - สตรีที่โลกลืม (2518) - แค้น (2518) - นายอำเภอใจเพชร (2518) - ถนนนี้ชั่ว (2518) - แม่ม่ายใจถึง (2519) - วีระบุรุษกองขยะ (2519) - ไอ้ปืนแฝด (2519) - เพลิงทะเล (2520) - เมียรายเดือน (2520) - 1 ต่อ 7 (2520) - ผู้ยิ่งใหญ่ชายแดน (2520) - ทางชีวิต (2520) - ไอ้ขลุ่ย (2520) - รักเลือกไม่ได้ (2520) - เหยียบหัวสิงห์ (2520) - หัวใจที่ไม่อยากเต้น (2520) - 12 สิงห์สยาม (2520) - หล่อนชื่อมาลี สูงเนิน (2521) - แรกรัก (2521) - เพลงรักเพื่อเธอ (2521) - 35 กะรัต (2522) - ชาติหินดินระเบิด (2522) - ตามล่า (2523) - ชีวิตเลือกไม่ได้ (2524) - ใครกำหนด (2524) - เสือมังกร (2524) - แค้นต้องฆ่า (2525) - ลูกสาวกำนัน ภาค 2 (2526) - สิงห์เดนตาย (2526) - พลิกแผ่นดินล่า (2527) - เปรียว (2527) - รักของปรัศนีย์ (2527)ละครละคร. - ช่อง 4 บางขุนพรหม - ผู้ชนะสิบทิศ (2514)- ช่อง 3 - อำนาจลึกลับ (2520) - ความรัก ตอน ปัญหาของแม่ (2521) - จิตไม่ว่าง (2523) - ศิขริน-เทวินตา (2524) - สาปอสูร (2527)- ช่อง 5 - ลูกกรอก (2519) - ชั่วฟ้าดินดับ (2529) - ละอองดาว (2550) (รับเชิญ)- ช่อง 7 - เงา (ละครโทรทัศน์) (2525) - โรงแรมวิปริต (2526) - ลับแลใจ (2526) - นางแมวป่า (2527) - ความลับของดาวมรกต (2527) - มัสยา (2528) - พระอภัยมณี (2529) รับบท ท้าวอุศเรน - แหวนทองเหลือง (2529) - ดุจฟ้าไร้ดาว (2543) (รับเชิญ) - คมพยาบาท (2544)- ช่อง 9 - สวรรค์เบี่ยง (2521) - แม่ม่าย (2521) - นางสาวทองสร้อย (2522) - ใครกำหนด (2522) - สามอนงค์ (2523) - ภูตพิศวาส (2523) - กุหลาบไร้หนาม (2523) - มายา (2524) - ลางรัก (2524) - หลานสาวคุณหญิง (2524) - อีสา (2525)
เรื่อง 7 ดอกจิก
746
761
231
1
บ้านพิษณุโลก เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย เดิมมีชื่อว่าอะไร
บ้านพิษณุโลก บ้านพิษณุโลก เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยและเคยใช้เป็นที่ทำการของคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นบ้านแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ออกแบบและสร้างโดย มาริโอ ตามานโญ สถาปนิกประจำราชสำนักสยามชาวอิตาลี (พ.ศ. 2443-2468) มีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน เดิมชื่อ “บ้านบรรทมสินธุ์”ประวัติ ประวัติ. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสร้างบ้านบรรทมสินธุ์ และพระราชทานให้กับมหาดเล็กส่วนพระองค์ คือ พลตรี พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ) พร้อมกับการพระราชทานบ้านนรสิงห์ แก่ พลเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้พี่ และพระราชทานบ้านมนังคศิลา แก่ มหาเสวกเอก พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) รวมถึงพระราชทานบ้านพิบูลธรรม แก่ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ซื้อบ้านหลังนี้จากเจ้าของเดิม เพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นซื้อไปเป็นสถานทูต เนื่องจากบ้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับกองพันทหารราบที่ 3 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ รัฐบาลสมัยนั้นได้ใช้บ้านนรสิงห์ เป็นทำเนียบรัฐบาล (ภายใต้ชื่อ "ทำเนียบสามัคคีชัย") สำหรับบ้านบรรทมสินธุ์นั้น ในช่วงแรก ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "บ้านไทยพันธมิตร" ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น "บ้านพิษณุโลก" เนื่องจากบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนถนนพิษณุโลก ข้างโรงพยาบาลมิชชั่น ได้ใช้เป็นที่ต้อนรับแขกเมืองสำคัญของรัฐบาลมาจนปัจจุบัน รัฐบาลยุคต่อมาได้ปรับปรุงบ้านพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่สมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในปี พ.ศ. 2522 และมาแล้วเสร็จในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในปี พ.ศ. 2524 พลเอกเปรม ได้ย้ายเข้าไปพัก แต่ก็อยู่เพียง 2 วัน จึงย้ายออกไปพักที่บ้านพักเดิมคือ บ้านสี่เสาเทเวศร์ ในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการใช้บ้านหลังนี้เป็นที่ทำงานของคณะที่ปรึกษาจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เรียกกันติดปากสื่อมวลชนว่า "ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก"แต่ไม่ได้มีการใช้เป็นที่พัก โดยนายกรัฐมนตรียุคต่อมามีเพียง นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายที่เข้าพักบ้านพิษณุโลกหลังนี้และอยู่ได้นานทั้งสองสมัยการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สื่อร่วมสมัย สื่อร่วมสมัย. บ้านพิษณุโลกใช้เป็นฉากของ "บ้านทรายทอง" ในภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน กำกับการแสดงโดย รุจน์ รณภพ ดาราแสดงนำคือ พอเจตน์ แก่นเพชร เป็น ชายกลาง และ จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็น พจมาน สว่างวงศ์ ถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในยุคสมัยนั้น ทำให้บ้านพิษณุโลกเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะมากกว่าเดิม แม้ในปัจจุบันภาพลักษณ์ความเป็น "บ้านทรายทอง" ก็ยังคงอยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพล้อหรือการ์ตูนการเมืองตามหนังสือพิมพ์ มักเปรียบเปรยว่าบ้านพิษณุโลกเป็นประหนึ่งบ้านทรายทองในนวนิยาย ภาพล้อที่มีชื่อเสียงที่สุดน่าจะเป็นเมื่อครั้งที่นายชวน หลีกภัย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2535 ได้มีการเขียนภาพล้อให้นายชวนเป็นพจมาน ไว้ผมเปียคู่ และสองมือถือชะลอม เดินเข้าบ้านพิษณุโลกหรือบ้านทรายทอง เลียนแบบฉากเปิดตัวพจมานในภาพยนตร์บ้านทรายทอง เนื่องจากเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่พำนักในบ้านพิษณุโลกนานที่สุดเรื่องร่ำลือ เรื่องร่ำลือ. บ้านพิษณุโลกมีกิตติศัพท์ร่ำลือกันว่าผีดุจนเป็นเหตุให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พักได้เพียง 2 วันเท่านั้น ก็ย้ายออกไปแต่เมื่อสื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ พล.อ.เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา ซึ่งเป็นทายาทของพระยาอนิรุทธเทวา ซึ่งเคยพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เมื่อสมัยเด็กก็ได้รับการยืนยันว่าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องผีดุแต่อย่างใดทั้ง ๆ ที่ตนอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนหนุ่ม จนกระทั่งรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซื้อบ้านหลังนี้ไป แต่กิตติศัพท์เรื่องผีดุนี้ก็ได้รับการตอกย้ำ จนไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดย้ายเข้าไปพักอย่างเป็นทางการ แม้แต่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ยังได้ใช้บ้านหลังนี้เป็นเพียงที่รับแขกเท่านั้น มีเพียงแต่นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายเพียงคนเดียวที่พำนักอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นานที่สุดคือ นายชวน หลีกภัย เนื่องจากบ้านพักในซอยหมอเหล็งของนายชวนนั้นค่อนข้างเล็กและคับแคบ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงได้ย้ายเข้ามาพำนักในบ้านพิษณุโลก อย่างเป็นทางการทั้งสองสมัย โดยได้ใช้โซฟาในห้องทำงานซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องนอนเป็นที่นอน และไม่ได้มีการใช้เตียงนอนภายในห้องนอนของบ้านแต่อย่างใดเนื่องจากเป็นให้เกียรติเจ้าของบ้าน จึงเป็นที่สงสัยกันว่าเหตุใด นายชวน หลีกภัย พำนักอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นานกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ และหลังจาก นายชวน หลีกภัย แล้วก็ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดใช้บ้านหลังนี้เป็นที่พำนักถึงปัจจุบัน มีเพียงแต่ใช้เป็นที่ประชุมและรับแขกเท่านั้น
บ้านบรรทมสินธุ์
374
389
232
1
บ้านบรรทมสินธุ์ หรือ บ้านพิษณุโลก ถูกออกแบบโดยสถาปนิกประจำราชสำนักสยามชาวอิตาลีมีชื่อว่าอะไร
บ้านพิษณุโลก บ้านพิษณุโลก เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยและเคยใช้เป็นที่ทำการของคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นบ้านแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ออกแบบและสร้างโดย มาริโอ ตามานโญ สถาปนิกประจำราชสำนักสยามชาวอิตาลี (พ.ศ. 2443-2468) มีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน เดิมชื่อ “บ้านบรรทมสินธุ์”ประวัติ ประวัติ. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสร้างบ้านบรรทมสินธุ์ และพระราชทานให้กับมหาดเล็กส่วนพระองค์ คือ พลตรี พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ) พร้อมกับการพระราชทานบ้านนรสิงห์ แก่ พลเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้พี่ และพระราชทานบ้านมนังคศิลา แก่ มหาเสวกเอก พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) รวมถึงพระราชทานบ้านพิบูลธรรม แก่ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ซื้อบ้านหลังนี้จากเจ้าของเดิม เพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นซื้อไปเป็นสถานทูต เนื่องจากบ้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับกองพันทหารราบที่ 3 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ รัฐบาลสมัยนั้นได้ใช้บ้านนรสิงห์ เป็นทำเนียบรัฐบาล (ภายใต้ชื่อ "ทำเนียบสามัคคีชัย") สำหรับบ้านบรรทมสินธุ์นั้น ในช่วงแรก ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "บ้านไทยพันธมิตร" ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น "บ้านพิษณุโลก" เนื่องจากบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนถนนพิษณุโลก ข้างโรงพยาบาลมิชชั่น ได้ใช้เป็นที่ต้อนรับแขกเมืองสำคัญของรัฐบาลมาจนปัจจุบัน รัฐบาลยุคต่อมาได้ปรับปรุงบ้านพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่สมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในปี พ.ศ. 2522 และมาแล้วเสร็จในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในปี พ.ศ. 2524 พลเอกเปรม ได้ย้ายเข้าไปพัก แต่ก็อยู่เพียง 2 วัน จึงย้ายออกไปพักที่บ้านพักเดิมคือ บ้านสี่เสาเทเวศร์ ในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการใช้บ้านหลังนี้เป็นที่ทำงานของคณะที่ปรึกษาจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เรียกกันติดปากสื่อมวลชนว่า "ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก"แต่ไม่ได้มีการใช้เป็นที่พัก โดยนายกรัฐมนตรียุคต่อมามีเพียง นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายที่เข้าพักบ้านพิษณุโลกหลังนี้และอยู่ได้นานทั้งสองสมัยการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สื่อร่วมสมัย สื่อร่วมสมัย. บ้านพิษณุโลกใช้เป็นฉากของ "บ้านทรายทอง" ในภาพยนตร์ชื่อเดียวกัน กำกับการแสดงโดย รุจน์ รณภพ ดาราแสดงนำคือ พอเจตน์ แก่นเพชร เป็น ชายกลาง และ จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็น พจมาน สว่างวงศ์ ถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในยุคสมัยนั้น ทำให้บ้านพิษณุโลกเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะมากกว่าเดิม แม้ในปัจจุบันภาพลักษณ์ความเป็น "บ้านทรายทอง" ก็ยังคงอยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพล้อหรือการ์ตูนการเมืองตามหนังสือพิมพ์ มักเปรียบเปรยว่าบ้านพิษณุโลกเป็นประหนึ่งบ้านทรายทองในนวนิยาย ภาพล้อที่มีชื่อเสียงที่สุดน่าจะเป็นเมื่อครั้งที่นายชวน หลีกภัย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2535 ได้มีการเขียนภาพล้อให้นายชวนเป็นพจมาน ไว้ผมเปียคู่ และสองมือถือชะลอม เดินเข้าบ้านพิษณุโลกหรือบ้านทรายทอง เลียนแบบฉากเปิดตัวพจมานในภาพยนตร์บ้านทรายทอง เนื่องจากเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่พำนักในบ้านพิษณุโลกนานที่สุดเรื่องร่ำลือ เรื่องร่ำลือ. บ้านพิษณุโลกมีกิตติศัพท์ร่ำลือกันว่าผีดุจนเป็นเหตุให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พักได้เพียง 2 วันเท่านั้น ก็ย้ายออกไปแต่เมื่อสื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ พล.อ.เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา ซึ่งเป็นทายาทของพระยาอนิรุทธเทวา ซึ่งเคยพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เมื่อสมัยเด็กก็ได้รับการยืนยันว่าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องผีดุแต่อย่างใดทั้ง ๆ ที่ตนอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนหนุ่ม จนกระทั่งรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซื้อบ้านหลังนี้ไป แต่กิตติศัพท์เรื่องผีดุนี้ก็ได้รับการตอกย้ำ จนไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดย้ายเข้าไปพักอย่างเป็นทางการ แม้แต่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ยังได้ใช้บ้านหลังนี้เป็นเพียงที่รับแขกเท่านั้น มีเพียงแต่นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายเพียงคนเดียวที่พำนักอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นานที่สุดคือ นายชวน หลีกภัย เนื่องจากบ้านพักในซอยหมอเหล็งของนายชวนนั้นค่อนข้างเล็กและคับแคบ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงได้ย้ายเข้ามาพำนักในบ้านพิษณุโลก อย่างเป็นทางการทั้งสองสมัย โดยได้ใช้โซฟาในห้องทำงานซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องนอนเป็นที่นอน และไม่ได้มีการใช้เตียงนอนภายในห้องนอนของบ้านแต่อย่างใดเนื่องจากเป็นให้เกียรติเจ้าของบ้าน จึงเป็นที่สงสัยกันว่าเหตุใด นายชวน หลีกภัย พำนักอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นานกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ และหลังจาก นายชวน หลีกภัย แล้วก็ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดใช้บ้านหลังนี้เป็นที่พำนักถึงปัจจุบัน มีเพียงแต่ใช้เป็นที่ประชุมและรับแขกเท่านั้น
มาริโอ ตามานโญ
274
288
233
1
ภรรยาของนายธนิตพล ไชยนันทน์ คือใคร
ธนิตพล ไชยนันทน์ นายธนิตพล ไชยนันทน์ (ชื่อเล่น : เดี๊ยบ) กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตาก เกิดวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2516 เป็นบุตรของ นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหลานของนายเทียม ไชยนันทน์ อดีต ส.ส.จังหวัดตาก หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ชีวิตครอบครัว คู่สมรส นาง วรกันยา ณ ระนอง ไชยนันทน์ประวัติการศึกษา ประวัติการศึกษา. นายธนิตพล ไชยนันทน์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ จากนั้นได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี École Supérieure d'Art de Nancy ประเทศฝรั่งเศส และปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงประวัติการทำงาน ประวัติการทำงาน. นายธนิตพล ไชยนันทน์ เริ่มเข้าสู่งานการเมืองโดยการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดตาก พรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 เป็นกรรมาธิการแรงงานสภาผู้แทนราษฎร และเป็นเลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ในปี พ.ศ. 2551 (รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ในปี พ.ศ. 2554 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เครื่องราชอิสริยาภรณ์
นาง วรกันยา ณ ระนอง ไชยนันทน์
462
491
234
1
นายธนิตพล ไชยนันทน์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยอะไร
ธนิตพล ไชยนันทน์ นายธนิตพล ไชยนันทน์ (ชื่อเล่น : เดี๊ยบ) กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตาก เกิดวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2516 เป็นบุตรของ นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหลานของนายเทียม ไชยนันทน์ อดีต ส.ส.จังหวัดตาก หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ชีวิตครอบครัว คู่สมรส นาง วรกันยา ณ ระนอง ไชยนันทน์ประวัติการศึกษา ประวัติการศึกษา. นายธนิตพล ไชยนันทน์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ จากนั้นได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี École Supérieure d'Art de Nancy ประเทศฝรั่งเศส และปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงประวัติการทำงาน ประวัติการทำงาน. นายธนิตพล ไชยนันทน์ เริ่มเข้าสู่งานการเมืองโดยการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดตาก พรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 เป็นกรรมาธิการแรงงานสภาผู้แทนราษฎร และเป็นเลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ในปี พ.ศ. 2551 (รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ในปี พ.ศ. 2554 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เครื่องราชอิสริยาภรณ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
692
711
235
1
พระโอรสพระองค์เดียวในเจ้าชายฟุมิฮิโตะ มีพระนามว่าอะไร
เจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะ เจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะ (, ประสูติ 6 กันยายน พ.ศ. 2549) พระบุตรองค์ที่สามและพระโอรสพระองค์แรกในเจ้าชายฟุมิฮิโตะ เจ้าชายอากิชิโนะ กับเจ้าหญิงคิโกะ พระชายาฯ ทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่สามในการสืบราชบัลลังก์ญี่ปุ่น โดยพระองค์ถือว่าเป็นพระราชนัดดาชายเพียงพระองค์เดียวใน สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะพระประวัติ พระประวัติ. เจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะ ประสูติเมื่อเวลา 8:27 นาฬิกา (เวลาสากลญี่ปุ่น) ของวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2549 เป็นพระโอรสพระองค์เดียวในเจ้าชายฟุมิฮิโตะ เจ้าชายอากิชิโนะ กับเจ้าหญิงคิโกะ พระชายาฯ โดยทรงคลอดก่อนกำหนดสองสัปดาห์ ทรงมีน้ำหนัก 2.556 กิโลกรัม (5 lb 10 oz) ขณะประสูติ เจ้าชายฮิซาฮิโตะเป็นทายาทในพระราชวงศ์ญี่ปุ่นเพียงพระองค์เดียวที่เป็นชาย นับตั้งแต่การประสูติของพระบิดาพระองค์เมื่อ 41 ปีก่อน พระองค์มีพระเชษฐภคินี 2พระองค์คือ เจ้าหญิงคาโกะ เจ้าหญิงมาโกะพระนาม พระนาม. โดยมีการตั้งพระนามเมื่อวันที่ 12 กันยายน โดยเจ้าชายอากิชิโนะ พระบิดา ได้พระราชทานพระนามว่า ฮิซาฮิโตะ มีความหมายคือ ผู้มีศีลธรรม จริยธรรม ความสงบเยือกเย็น และความเป็นนิรันดร์ เจ้าชายอากิชิโนะได้เสด็จมายังโรงพยาบาลไออิกุกลางกรุงโตเกียว ประกอบพิธีตั้งชื่อให้แก่พระโอรส โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที เริ่มจากทรงเขียนพระนามพระโอรส ซึ่งผ่านการไตร่ตรองเลือกมาตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมลงบนกระดาษทำมือ จากนั้นเจ้าหญิงคิโกะทรงเขียนสัญลักษณ์ประจำพระโอรส พร้อมกับประทานตราประจำพระองค์ต้นสนญี่ปุ่น (โคะยะมะกิ) แล้วจึงนำกระดาษนั้นใส่กล่องไม้และนำพระเขนยของพระโอรสวางทับกล่องไม้อีกทีเป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นสำนักพระราชวังจึงประกาศพระนามพระโอรส ซึ่งคำว่า ฮิซะ หมายถึง ความสงบเยือกเย็น ส่วนคำลงท้ายคือ ฮิโตะ อันหมายถึง ผู้มีคุณธรรม ตามธรรมเนียมปฏิบัติของเด็กผู้ชายที่กำเนิดในราชวงศ์นี้ ส่วนพระชนกและชนนี จะเรียกพระองค์เป็นการส่วนพระองค์ว่า ยูยู, ยูจัง หรือ ฮิซาฮิโตะคุงพระอิสริยยศ พระอิสริยยศ. เจ้าชายฮิซาฮิโตะดำรงพระอิสริยยศเป็น "เจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะ"เครื่องราชอิสริยาภรณ์พงศาวลี
เจ้าชายอากิชิโนะ
634
650
236
1
ขุนอำไพพาณิชย์เป็นคหบดีชาวศรีสะเกษ มีชื่อเดิมว่าอะไร
อาคารขุนอำไพพาณิชย์ อาคารขุนอำไพพาณิชย์ หรือที่ชาวเมืองศรีสะเกษเรียกกันทั่วไปว่า ตึกขุนอำไพ ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าเทศบาลเมืองศรีสะเกษ บนถนนอุบล (ฝั่งขาออกไปยังจังหวัดอุบลราชธานี) ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ ห่างจากศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษไปทางตะวันออกประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นบ้านที่พักอาศัยเก่าของขุนอำไพพาณิชย์ (ทองอินทร์ นาคสีหราช) คหบดีชาวศรีสะเกษ ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2468 ได้รับการบูรณะและอนุรักษ์ไว้โดยทายาทขุนอำไพพาณิชย์ร่วมกับกรมศิลปากร จึงได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น ด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมในเขตเมือง ที่มีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2530 เนื่องจากมีความโดดเด่นทางด้านศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ความเป็นมา ต่อมา ใน พ.ศ. 2538 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 65งประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. อาคารขุนอำไพพาณิชย์ เดิมเป็นบ้านเก่าของขุนอำไพพาณิชย์ กับนางอำไพพาณิชย์ ภริยา ซึ่งเป็นคหบดีรุ่นเก่าชาวศรีสะเกษ ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2468 โดยช่างชาวเวียดนาม (ญวน) และจีน อาคารได้รับอิทธิพลของศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบญวนผสมจีน ขุนอำไพพาณิชย์เป็นคหบดีในพื้นที่ ประกอบธุรกิจค้าขายมีความมั่งคั่ง และสร้างอาคารขุนอำไพพาณิชย์ขึ้นบริเวณย่านตลาดใน (ย่านตลาดเก่า) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้ายุคแรก ๆ ของเมืองศรีสะเกษ หลังการเสียชีวิตของขุนอำไพพาณิชย์และภริยา ผู้สืบทอดสกุลนาคสีหราชคือนายหงษ์ทอง นาคสีหราช อาคารหลังนี้ได้รับการตกทอดเป็นมรดกให้กับนางเฉลา ช.วรุณชัย บุตรบุญธรรม ซึ่งเดิมเป็นหลานแต่นำมาชุบเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเนื่องจากขุนอำไพพาณิชย์ไม่มีบุตร หลังจากนั้นอาคารขุนอำไพพาณิชย์ก็ได้ตกทอดมายังทายาทตระกูลนาคสีหราชอีกหลายรุ่น จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการอนุรักษ์อาคารมรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นและส่งมอบมาให้ไว้เป็นอย่างดี จนกระทั่งองค์กรต่าง ๆ และหน่วยงานราชการได้เข้ามาร่วมสนับสนุนการอนุรักษ์ตามลำดับ เนื่องจากเล็งเห็นคุณค่าและความสำคัญ ความโดดเด่นด้านศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของอาคารดังกล่าวลักษณะเด่นสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบ ลักษณะเด่น. สถาปัตยกรรมและองค์ประกอบ. อาคารขุนอำไพพาณิชย์ มีลักษณะเป็นอาคารแบบตึกแถว สร้างแบบปราศจากฐานรากด้วยการก่ออิฐ (แบบครึ่งแผ่น) ถือปูน 2 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็น 6 คูหา ชั้นล่างปูพื้นด้วยกระเบื้องอิฐแดง ทางเข้าทำเป็นประตูบานพับแบบประตูเฟี้ยม จำนวน 6 ช่อง โดยเปิดแยกข้างละ 3 บานสำหรับแต่ละช่องคูหา เหนือประตูเป็นกรอบวงโค้ง จากชั้นล่าง มีบันไดสำหรับการเดินขึ้น-ลง 2 ทาง ชั้นบนปูพื้นด้วยไม้เนื้อแข็ง บางคูหาก่อเป็นผนังทึบมีช่องหน้าต่าง บางคูหาเป็นผนังทึบที่มีช่องประตู เปิดรับออกสู่ระเบียงพื้นไม้ชั้นบน ซึ่งยื่นออกมาจากตัวอาคาร 1 เมตร เหนือหน้าต่างและประตูเป็นกรอบวงโค้ง โครงสร้างส่วนหลังคาด้านกว้างมีลักษณะเป็นหน้าจั๋วก่ออิฐฉาบปูนเรียบ มุงหลังคาด้วยสังกะสีศิลปะ ลวดลายการตกแต่งและองค์ประกอบ ศิลปะ ลวดลายการตกแต่งและองค์ประกอบ. ตัวอาคารโดยรวมของอาคารขุนอำไพพาณิชย์ตกแต่งด้วยการทาสีครีมหรือสีเหลืองอ่อน ลายปูนปั้นประดับส่วนต่าง ๆ ทาด้วยสีเหลืองเข้มและสีขาว ผนังเหนือกรอบวงโค้งของประตู หน้าต่างแต่ละชั้นในแต่ละคูหา ประดับตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นที่สวยงาม ที่ยอดปั้นลมและปลายทั้ง 2 ข้างของหน้าจั๋วแต่ละด้านตกแต่งด้วยลวดลายปูนบัวประดับยอดใน ส่วนที่อยู่ด้านบนสุดเป็นปูนปั้นลายพรรณพฤกษาและก้านขด ลวดลายปูนปั้นทั้งผนังอาคารด้านหน้าและด้านหลัง ถือเป็นลักษณะที่โดดเด่นของอาคารประวัติศาสตร์หลังนี้ ลวดลายส่วนมากได้รับอิทธิพลทางศิลปะและคติความเชื่อแบบจีนโบราณ คือ มักเป็นลวดลายที่มีความหมายสื่อถึงความเป็นมงคล ได้แก่- ฮก ลก ซิ่ว อันหมายถึง ชาติวาสนา ความมั่งคั่งหรือทรัพย์สมบัติ และความยั่งยืน ตามลำดับ- ฮก สื่อด้วยลายปูนปั้นภาพดวงอาทิตย์ฉายรัศมี เป็นประกายเจิดจรัส และดอกพุดตาน - ลก สื่อด้วยลายปูนปั้นภาพดอกเบญจมาศ - ซิ่ว สื่อด้วยลายปูนปั้นภาพนกกระเรียน- ลายภาพพรรณพฤกษา ประกอบด้วยลายดอกบ๊วย ร่วมกับลายก้วนขด - ลายภาพสรรพสัตว์ ประกอบด้วยค้างคาวคายเหรียญเงินโบราณจำนวน 2 เหรียญ ซึ่งหมายถึงความพรั่งพร้อมด้วยโชคลาภและโภคทรัพย์การใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน การใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน. หลังจากขุนอำไพพาณิชย์ถึงแก่กรรมแล้ว อาคารหลังนี้ได้เปิดให้เช่าเป็นที่พักอาศัยและประกอบการค้าเป็นเวลานานร่วม 40 ปี จนในปี 2523 อาคารมีสภาพชำรุดมาก อาจเป็นอันตรายต่อผู้พักอาศัยได้ เทศบาลเมืองศรีสะเกษจึงประกาศเป็นเขตหวงห้ามตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งกรมศิลปากร โดยสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา (ในขณะนั้น) ได้เข้ามาดำเนินการบูรณะ และขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ปัจจุบันบ้านหรืออาคารขุนอำไพพาณิชย์ เปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจเข้าชมได้ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ที่บอกเล่าถึงความเป็นอยู่ของคหบดีชาวศรีสะเกษเมื่อเกือบร้อยปีก่อนได้เป็นอย่างดีโดย ชั้นบนได้จัดแสดงข้าวของเก่าแก่บางส่วนของขุนอำไพพาณิชย์ รวมถึงรูปภาพและประวัติของท่านเจ้าของบ้านเป็นข้อมูลให้ผู้สนใจได้อ่าน ส่วนชั้นล่างเปิดเป็นร้านค้าจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียง
ทองอินทร์ นาคสีหราช
410
429
237
1
อาคารขุนอำไพพาณิชย์ ตั้งอยู่ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษในจังหวัดอะไร
อาคารขุนอำไพพาณิชย์ อาคารขุนอำไพพาณิชย์ หรือที่ชาวเมืองศรีสะเกษเรียกกันทั่วไปว่า ตึกขุนอำไพ ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าเทศบาลเมืองศรีสะเกษ บนถนนอุบล (ฝั่งขาออกไปยังจังหวัดอุบลราชธานี) ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ ห่างจากศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษไปทางตะวันออกประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นบ้านที่พักอาศัยเก่าของขุนอำไพพาณิชย์ (ทองอินทร์ นาคสีหราช) คหบดีชาวศรีสะเกษ ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2468 ได้รับการบูรณะและอนุรักษ์ไว้โดยทายาทขุนอำไพพาณิชย์ร่วมกับกรมศิลปากร จึงได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น ด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมในเขตเมือง ที่มีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2530 เนื่องจากมีความโดดเด่นทางด้านศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ความเป็นมา ต่อมา ใน พ.ศ. 2538 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 65งประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. อาคารขุนอำไพพาณิชย์ เดิมเป็นบ้านเก่าของขุนอำไพพาณิชย์ กับนางอำไพพาณิชย์ ภริยา ซึ่งเป็นคหบดีรุ่นเก่าชาวศรีสะเกษ ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2468 โดยช่างชาวเวียดนาม (ญวน) และจีน อาคารได้รับอิทธิพลของศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบญวนผสมจีน ขุนอำไพพาณิชย์เป็นคหบดีในพื้นที่ ประกอบธุรกิจค้าขายมีความมั่งคั่ง และสร้างอาคารขุนอำไพพาณิชย์ขึ้นบริเวณย่านตลาดใน (ย่านตลาดเก่า) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้ายุคแรก ๆ ของเมืองศรีสะเกษ หลังการเสียชีวิตของขุนอำไพพาณิชย์และภริยา ผู้สืบทอดสกุลนาคสีหราชคือนายหงษ์ทอง นาคสีหราช อาคารหลังนี้ได้รับการตกทอดเป็นมรดกให้กับนางเฉลา ช.วรุณชัย บุตรบุญธรรม ซึ่งเดิมเป็นหลานแต่นำมาชุบเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเนื่องจากขุนอำไพพาณิชย์ไม่มีบุตร หลังจากนั้นอาคารขุนอำไพพาณิชย์ก็ได้ตกทอดมายังทายาทตระกูลนาคสีหราชอีกหลายรุ่น จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการอนุรักษ์อาคารมรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นและส่งมอบมาให้ไว้เป็นอย่างดี จนกระทั่งองค์กรต่าง ๆ และหน่วยงานราชการได้เข้ามาร่วมสนับสนุนการอนุรักษ์ตามลำดับ เนื่องจากเล็งเห็นคุณค่าและความสำคัญ ความโดดเด่นด้านศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของอาคารดังกล่าวลักษณะเด่นสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบ ลักษณะเด่น. สถาปัตยกรรมและองค์ประกอบ. อาคารขุนอำไพพาณิชย์ มีลักษณะเป็นอาคารแบบตึกแถว สร้างแบบปราศจากฐานรากด้วยการก่ออิฐ (แบบครึ่งแผ่น) ถือปูน 2 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็น 6 คูหา ชั้นล่างปูพื้นด้วยกระเบื้องอิฐแดง ทางเข้าทำเป็นประตูบานพับแบบประตูเฟี้ยม จำนวน 6 ช่อง โดยเปิดแยกข้างละ 3 บานสำหรับแต่ละช่องคูหา เหนือประตูเป็นกรอบวงโค้ง จากชั้นล่าง มีบันไดสำหรับการเดินขึ้น-ลง 2 ทาง ชั้นบนปูพื้นด้วยไม้เนื้อแข็ง บางคูหาก่อเป็นผนังทึบมีช่องหน้าต่าง บางคูหาเป็นผนังทึบที่มีช่องประตู เปิดรับออกสู่ระเบียงพื้นไม้ชั้นบน ซึ่งยื่นออกมาจากตัวอาคาร 1 เมตร เหนือหน้าต่างและประตูเป็นกรอบวงโค้ง โครงสร้างส่วนหลังคาด้านกว้างมีลักษณะเป็นหน้าจั๋วก่ออิฐฉาบปูนเรียบ มุงหลังคาด้วยสังกะสีศิลปะ ลวดลายการตกแต่งและองค์ประกอบ ศิลปะ ลวดลายการตกแต่งและองค์ประกอบ. ตัวอาคารโดยรวมของอาคารขุนอำไพพาณิชย์ตกแต่งด้วยการทาสีครีมหรือสีเหลืองอ่อน ลายปูนปั้นประดับส่วนต่าง ๆ ทาด้วยสีเหลืองเข้มและสีขาว ผนังเหนือกรอบวงโค้งของประตู หน้าต่างแต่ละชั้นในแต่ละคูหา ประดับตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นที่สวยงาม ที่ยอดปั้นลมและปลายทั้ง 2 ข้างของหน้าจั๋วแต่ละด้านตกแต่งด้วยลวดลายปูนบัวประดับยอดใน ส่วนที่อยู่ด้านบนสุดเป็นปูนปั้นลายพรรณพฤกษาและก้านขด ลวดลายปูนปั้นทั้งผนังอาคารด้านหน้าและด้านหลัง ถือเป็นลักษณะที่โดดเด่นของอาคารประวัติศาสตร์หลังนี้ ลวดลายส่วนมากได้รับอิทธิพลทางศิลปะและคติความเชื่อแบบจีนโบราณ คือ มักเป็นลวดลายที่มีความหมายสื่อถึงความเป็นมงคล ได้แก่- ฮก ลก ซิ่ว อันหมายถึง ชาติวาสนา ความมั่งคั่งหรือทรัพย์สมบัติ และความยั่งยืน ตามลำดับ- ฮก สื่อด้วยลายปูนปั้นภาพดวงอาทิตย์ฉายรัศมี เป็นประกายเจิดจรัส และดอกพุดตาน - ลก สื่อด้วยลายปูนปั้นภาพดอกเบญจมาศ - ซิ่ว สื่อด้วยลายปูนปั้นภาพนกกระเรียน- ลายภาพพรรณพฤกษา ประกอบด้วยลายดอกบ๊วย ร่วมกับลายก้วนขด - ลายภาพสรรพสัตว์ ประกอบด้วยค้างคาวคายเหรียญเงินโบราณจำนวน 2 เหรียญ ซึ่งหมายถึงความพรั่งพร้อมด้วยโชคลาภและโภคทรัพย์การใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน การใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน. หลังจากขุนอำไพพาณิชย์ถึงแก่กรรมแล้ว อาคารหลังนี้ได้เปิดให้เช่าเป็นที่พักอาศัยและประกอบการค้าเป็นเวลานานร่วม 40 ปี จนในปี 2523 อาคารมีสภาพชำรุดมาก อาจเป็นอันตรายต่อผู้พักอาศัยได้ เทศบาลเมืองศรีสะเกษจึงประกาศเป็นเขตหวงห้ามตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งกรมศิลปากร โดยสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา (ในขณะนั้น) ได้เข้ามาดำเนินการบูรณะ และขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ปัจจุบันบ้านหรืออาคารขุนอำไพพาณิชย์ เปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจเข้าชมได้ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ที่บอกเล่าถึงความเป็นอยู่ของคหบดีชาวศรีสะเกษเมื่อเกือบร้อยปีก่อนได้เป็นอย่างดีโดย ชั้นบนได้จัดแสดงข้าวของเก่าแก่บางส่วนของขุนอำไพพาณิชย์ รวมถึงรูปภาพและประวัติของท่านเจ้าของบ้านเป็นข้อมูลให้ผู้สนใจได้อ่าน ส่วนชั้นล่างเปิดเป็นร้านค้าจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียง
จังหวัดศรีสะเกษ
322
337
238
1
คู่สมรสของนิพัทธ์ ทองเล็ก คือใคร
นิพัทธ์ ทองเล็ก พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม อดีตเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ตุลาการศาลทหารสูงสุดเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 ถึง วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557 ในเหตุการณ์วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557ประวัติ ประวัติ. พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก เป็นบุตรของพันเอก สนอง และนางไพเราะ ทองเล็ก สมรสกับทันตแพทย์หญิง รัตนาวดี ทองเล็ก มีบุตรชาย 2 คน คือ พ.ต.นิติพัทธ์ ทองเล็ก เจ้าพนักงานในพระองค์ ตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน งานมหาดเล็ก ฝ่ายพระราชวัง กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร สำนักพระราชวัง และ ร.ท.นพ.กิตติพัฒน์ ทองเล็กการศึกษาการศึกษา. - ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนในจังหวัดฉะเชิงเทรา - พ.ศ. 2514 มัธยมศึกษา โรงเรียนเทพศิรินทร์ รุ่น 88 - พ.ศ. 2514 โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 14 - พ.ศ. 2521 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เหล่าทหารราบ (รุ่นที่ 25) - พ.ศ. 2530 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ 65 - พ.ศ. 2523 หลักสูตรชั้นนายร้อย (Regimental Officer Basic Course)ประเทศออสเตรเลีย - พ.ศ. 2526 หลักสูตรชั้นนายพัน (Grade II Staff and Tactics Course)ประเทศนิวซีแลนด์ - พ.ศ. 2531 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก (The Command and General Staff College, Fort Leavenworth) ประเทศสหรัฐอเมริกา - พ.ศ. 2532 ปริญญาโท ด้านการบริหาร Master of Art (Management) Missouri มหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์การทำงานการทำงาน. - พ.ศ. 2521ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ - ผู้บังคับกองร้อยฝึก ร.๒๑ พัน.๓ รอ. - อาจารย์สอนวิชาข่าวกรองในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกที่ 65 - รับราชการ ยศพันเอก ที่เสนาธิการกรมทหารราบที่ 161 กองพลทหารราบที่ 16 - พ.ศ. 2541 ผู้ชำนาญการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม - พ.ศ. 2542 ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม - พ.ศ. 2544 ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก - เสนาธิการหน่วยข่าวกรองทางทหาร - พ.ศ. 2545 ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหาร - พ.ศ. 2545 ผู้อำนวยการสำนักวางแผนการฝึกร่วมและผสม กรมยุทธการทหาร - พ.ศ. 2547 ผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม - พ.ศ. 2547 รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม - พ.ศ. 2548 ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองบัญชาการทหารสูงสุด - พ.ศ. 2549 เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร - ที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ - พ.ศ. 2554 ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม - พ.ศ. 2555 รองปลัดกระทรวงกลาโหม - พ.ศ. 2556 ปลัดกระทรวงกลาโหม - พ.ศ. 2557 รองผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ - พ.ศ. 2557 ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม - พ.ศ. 2557 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติการปฏิบัติราชการชายแดนการปฏิบัติราชการชายแดน. - พ.ศ. 2522 - พ.ศ. 2523 ปฏิบัติหน้าที่ ผู้หมวดปืนเล็ก ปฏิบัติการตามแผนป้องกันประเทศ อำเภอวัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรี - พ.ศ. 2526 - พ.ศ. 2528 ปฏิบัติหน้าที่ รองผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบา ปฏิบัติการตามแผนป้องกันประเทศ บ้านแซร์ออ อำเภอวัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรีราชการและหน้าที่พิเศษราชการและหน้าที่พิเศษ. - ผู้ประสานภารกิจพิเศษ กองทัพบกไทย-ผู้นำรัฐบาลพม่า - รองหัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษชายแดนไทย – พม่า - ผู้บรรยายพิเศษหลักสูตรรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยบูรพา - ผู้บรรยายพิเศษหลักสูตรศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (ภาษาอังกฤษ) จุฬาลงกรณ์ ฯ - ผู้บรรยายพิเศษหลักสูตรบริหารรัฐกิจมหาบัณฑิต (ภาษาอังกฤษ) ธรรมศาสตร์ - ผู้แทนกองทัพไทยไปปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถาน - ผู้อำนวยการฝึกร่วมกองทัพไทย ๒๕๔๖ - ผู้อำนวยการฝึกคอบร้าโกลด์ ๒๐๐๓ - ผู้บรรยายพิเศษ วปอ. สหรัฐอเมริกา - รองอาวุโสหัวหน้าภารกิจควบคุมการหยุดยิงในอาเจห์ อินโดนีเซีย (Principal Deputy Head of Mission of the Aceh Monitoring Mission) - ทูตพิเศษ ผู้แทนนายสมัคร สุนทรเวช เจรจาให้ สหรัฐเข้าไปช่วยเหลือรัฐบาลพม่ากรณีพายุไซโคลนนาร์กิส - นายกสมาคมผู้ปกครองและอาจารย์ วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้าตำแหน่งในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจตำแหน่งในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ. - พ.ศ. 2556 กรรมการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย - พ.ศ. 2554 กรรมการอิสระ โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลังเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 - เหรียญราชการชายแดนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ. - Legion of Merit Officer Degree - Bintang Jasa Utama จาก ปธน. อินโดนีเซีย - เหรียญเชิดชูเกียรติจาก ประธาน EU ( สหภาพยุโรป ) - อิสริยาภรณ์ Panglima Setia Angkatan Tentara จากพระราชาธิบดีมาเลเซีย - เหรียญชัยมิตรภาพจาก สปป.ลาว
ทันตแพทย์หญิง รัตนาวดี ทองเล็ก
540
570
239
1
ในปี 2008 แอนนา เคย์ ฟาริสได้แสดงภาพยนตร์เรื่องอะไร
แอนนา ฟาริส แอนนา เคย์ ฟาริส (; เกิด 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1976) เป็นนักแสดงแะนักร้องชาวอเมริกัน ฟาริสปรากฏในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง Scary Movie ในภาพยนตร์เรื่อง The Hot Chick (2002), Lost in Translation (2003), และ My Super Ex-Girlfriend (2006) ในปี 2008 เธอแสดงในเรื่อง The House Bunny ที่เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวีมูวี่อวอร์ดส ผลงานภาพยนตร์หลัง ๆ ของเธออย่างเช่น Young Americans, Frequently Asked Questions About Time Travel, Yogi Bear, และ Observe and Report เธอยังพากย์เสียงให้กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Cloudy with a Chance of Meatballs และ
เรื่อง The House Bunny
345
367
240
1
ซีเคร็ตออฟมายฮาร์ต เป็นซิงเกิลลำดับที่ 3 ของใคร
ซีเคร็ตออฟมายฮาร์ต ซีเคร็ตออฟมายฮาร์ต () เป็นซิงเกิลลำดับที่ 3 ของไม คุรากิ มีรหัสซีดี GZCA-1030 ออกจำหน่ายวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2543 ใช้เป็นเพลงประกอบอะนิเมะ เรื่องยอดนักสืบจิ๋วโคนันข้อมูลเพลง ข้อมูลเพลง. ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลลำดับที่ 3 ของไม คุรากิ ออกจำหน่ายวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2543 เช่นเดียวกับสองซิงเกิลแรกของเธอท เลิฟ เดย์อาฟเตอร์ทูมอโรว์ (Love, Day After Tomorrow) และ สเตย์บายมายไซต์ (Stay by my side) ที่ได้รับการรับรอง Million จากสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงในญี่ปุ่น (RIAJ) จากยอดขาย 1 ล้านแผ่น ซิงเกิลนี้ก็ได้รับการรับรองเช่นเดียวกัน จากสถิติดังกล่าวคุรากิจึงเป็นนักร้องคนเดียวที่มีสามซิงเกิลแรกได้รับการรับรอง Million นอกจากการรับรองแล้ว เพลงนี้ยังได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำครั้งที่ 16 ประจำปี 2544 สาขาเพลงแห่งปีจาก RIAJ ด้วย ในส่วนยอดขายซิงเกิลนี้เปิดตัวประจำสัปดาห์ที่อันดับที่ 2 ยอดขายเปิดตัวอยู่ที่ 410,550 ชุด (จากการตรวจสอบชาร์ต ณ วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 พบว่าทั้งซิงเกิลอยู่บน 30 อันดับแรกของชาร์ตเรียงตามลำดับดังนี้:#2 ซีเคร็ตออฟมายฮาร์ท,#8 สเตย์บายมายไซต์,#21 เลิฟ เดย์อาฟเตอร์ทูมอร์โรว์ ส่วนวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 พบว่าซิงเกิล 3 ซิงเกิลของไม คุรากิยังคงอยู่บน 20 อันดับแรกของชาร์ตเรียงตามลำดับดังนี้:#3 ซีเคร็ตออฟมายฮาร์ท,#8 สเตย์บายมายไซต์,#14 เลิฟ เดย์อาฟเตอร์ทูมอร์โรว์) เป็นซิงเกิลเดียวของไม ที่สัปดาห์เปิดตัวในสัปดาห์แรกสูงกว่าซิงเกิลของอายูมิ ฮามาซากิ (ซึ่งซิงเกิลโว้กของอายูมิ ที่จำหน่ายในวันเดียวกัน เปิดตัวที่อันดับ 3) อยู่ในโอริคอนซาร์ด 16 สัปดาห์ ทำยอดขายรวมทั้งสิ้น 968,980 ชุด นับเป็นซิงเกิลลำดับที่ 16 ของปี 2543 ซิงเกิลนี้ถูกนำไปใช้ในการออกอากาศอะนิเมะยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ตอนที่ 180-204 เป็นเพลงปิด โดยเพลงนี้นับได้ว่าถือเป็นเพลงจากยอดนักสืบจิ๋วโคนันที่มียอดขายสูงสุดจนถึงปัจจุบันรายชื่อเพลง รายชื่อเพลง. เนื้อเพลงทั้งหมดแต่งโดยไม คุรากิ ทำนองทั้งหมดแต่งโดยไอกะ โอโนะและเรียบเรียงโดยไซเบอร์ซาวด์1. ซีเคร็ตออฟมายฮาร์ท (Secret of my heart) (4:24)- เพลงนี้ทีมงานจากไซเบอร์ซาว์ด สตูดิโอ (เพอร์รี กีเยอร์, Miguel Sá Pessoa) และไมเคิล อะฟริก ร่วมผลิต โดยเพอร์รีรับหน้าที่โปรแกรมมิง Miguel เล่นคีย์บอร์ดและไมเคิลเป็นคอรัสคู่กับคุรากิเอง ภายหลังไอกะ โอโนะ ผู้แต่งเพลงนี้ได้นำเพลงนี้ไปร้องในฉบับภาษาอังกฤษของตนเองในสตูดิโออัลบั้ม "แชโดวส์ออฟดรีมส์" (Shadow of Dreams) ซึ่งต่อมาได้รับเลือกไปลงในอัลบั้มรวมเพลงรักฉลอง 10 ปีที่ก่อตั้งกิซะ สตูดิโอ รวมถึงคุรากิเองก็ได้ร้องเพลงนี้เป็นฉบับภาษาอังกฤษในอัลบั้มซีเคร็ตออฟมายฮาร์ท เป็นอัลบั้มภาษาอังกฤษที่มุ่งทำตลาดในสหรัฐอเมริกา 2. ดิสอิสยัวร์ไลฟ์ (This is your life) (4:08)- เพลงนี้เคยเป็นตัวเลือกที่จะนำมาทำเป็นซิงเกิลลำดับที่ 2 แต่ไม่ได้รับเลือก เนื้อเพลงของเพลงนี้ไม่ได้บรรจุในหีบห่อแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีไอกะ โอโนะ ผู้แต่งเพลงและร้องคอรัสคู่กับคุรากิในเพลงนี้ได้นำเพลงนี้ไปร้องในฉบับภาษาอังกฤษของตนเองในสตูดิโออัลบั้ม "แชโดวส์ออฟดรีมส์" ของตนเองเช่นเดียวกับเพลงซีเคร็ตออฟมายฮาร์ท โดยเพลงฉบับที่ไอกะนำไปร้องนั้นได้นำไปประกอบอะนิเมะเรื่อง พาตะพาตะ ฮิโคเซ็นโนะโบเค็น () ในตอนที่ 14 ถึง 26 3. ซีเคร็ตออฟมายฮาร์ท -รันนิ่ง'อะราว แอท เดอะ "วิลเลจ" มิกซ์- (Secret of my heart ~runnin'around at the "village" Mix~) (6:44)- รีมิกซ์โดยดิวิชันออฟมาร์ก (Division of Mark) 4. ซีเคร็ตออฟมายฮาร์ท -Instrumental; ฉบับดนตรี-การนำไปใช้การนำไปใช้. - ใช้ในการออกอากาศอะนิเมะยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ทางนิปปอนเทเลวิชัน (#1) - อัลบั้ม ดิลิเชียสเวย์ (delicious way), วิชยูเดอะเบสต์ (Wish You The Best), ออลมายเบสต์ (ALL MY BEST) และ เดอะเบสต์ออฟดีเทคทีฟโคนัน ~เมตันเตะโคนันธีมเคียวคุชู~ (#1)
ไม คุรากิ
335
344
241
1
ผลงานชิ้นแรก ในปี ค.ศ. 1480 ของโดเมนีโก กีร์ลันดาโย เป็นภาพอะไร
โดเมนีโก กีร์ลันดาโย โดเมนีโก กีร์ลันดาโย () หรือ โดเมนีโก ดี ตอมมาโซ กูร์ราดี ดี ดอฟโฟ บีกอร์ดี (; ค.ศ. 1449 - 11 มกราคม ค.ศ. 1494) เป็นจิตรกรสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาคนสำคัญของประเทศอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง และการเขียนด้วยสึฝุ่นบนไม้ โดเมนีโกเป็นจิตรกรร่วมสมัยกับซันโดร บอตตีเชลลี และฟิลิปปินโน ลิบปี และมีลูกศิษย์หลายคนรวมทั้งมีเกลันเจโลชีวิตเบื้องต้น ชีวิตเบื้องต้น. จากชื่อเต็ม "โดเมนีโก ดี ตอมมาโซ กูร์ราดี ดี ดอฟโฟ บีกอร์ดี" ทำให้สันนิษฐานได้ว่าพ่อของโดเมนีโกชื่อ กูร์ราดี และปู่ชื่อ บีกอร์ดี โดเมนีโกเป็นลูกคนโตที่สุดในบรรดาพี่น้องแปดคน เมี่อเริ่มแรกโดเมนีโกฝึกงานกับช่างอัญมณี หรือช่างทองซึ่งอาจจะเป็นพ่อของโดเมนีโกเอง ชื่อสร้อย "อิลกีร์ลันดาโย" หมายความว่าผู้ทำสร้อยประดับคอและไหล่ มาจากพ่อเป็นผู้ตั้งให้เอง ซึ่งคงเป็นเพราะโดเมนีโกมีฝีมือดีในการทำสร้อยประดับจากโลหะที่ผู้หญิงชาวฟลอเรนซ์สวม เมื่อโดเมนีโกยังทำงานอยู่ในร้านของพ่อก็ได้วาดภาพเหมือนของผู้เดินผ่านหน้าร้าน ต่อมาโดเมนีโกก็ได้ไปฝึกงานการเขียนภาพและงานโมเสกกับอาเลสซีโอ บัลโดวีเนตตี (Alessio Baldovinetti)งานชิ้นแรกที่ฟลอเรนซ์ โรม และซานจีมิญญาโน งานชิ้นแรกที่ฟลอเรนซ์ โรม และซานจีมิญญาโน. ในปี ค.ศ. 1480 โดเมนีโก กีร์ลันดาโยเขียนภาพ "นักบุญเจอโรมในห้องทำงาน" และจิตรกรรมฝาผนังที่วัดออญญิสซันตีที่ฟลอเรนซ์ และภาพเขียน "พระกระยาหารมื้อสุดท้าย" ขนาดเท่าคนจริงในโรงฉัน ระหว่างปี ค.ศ. 1481 ถึงปี ค.ศ. 1485 ก็ได้รับงานเขียนจิตรกรรมฝาผนังในห้อง "Sala dell Orologio" ที่ วังเวคคิโอ นอกจากนั้นก็ยังเขียนภาพ "ความประเสริฐของนักบุญเซโนเบียส" (Apotheosis of St. Zenobius) ซึ่งเป็นภาพขนาดใหญ่กว่คนจริงที่ตกแต่งล้อมรอบด้วยสถาปัตยกรรม, รูปปั้นวีรบุรุษโรมัน และรายละเอียดอื่นๆ งานชิ้นนี้เป็นงานที่ทำให้เห็นฝีมืองานของกีร์ลันดาโยทั้งในด้านโครงสร้างและองค์ประกอบ ในปี ค.ศ. 1483 กีร์ลันดาโยก็ถูกเรียกตัวไปโรมโดยพระสันตะปาปาซิกส์ตัสที่ 4เพื่อให้ไปเขียนภาพ "พระเยซูเรียกตัวปีเตอร์และแอนดรูว์มาให้เป็นสาวก" บนผนังของชาเปลซิสติน แม้ว่าจะทราบกันว่ากีร์ลันดาโยมีงานเขียนที่อื่นในโรมแต่ก็หายสาบสูญไป นอกจากนั้นกีร์ลันดาโยก็ยังเขียนภาพบนผนังภายในชาเปลเซนต์ฟินาที่วัดแห่งซานจีมิญญาโนเมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1350 เซบาสเตียโน มาอินาร์ดิช่วยเขียนทั้งที่โรมและซานจีมิญญาโนงานต่อมาในทัสกานี งานต่อมาในทัสกานี. เมื่อกลับมาฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 85 กีร์ลันดาโยก็เขียนภาพชุด จิตรกรรมฝาผนังที่ชาเปลซาสเซ็ตติ (Sassetti Chapel) ในวัดซานตาทรินิตา สำหรับนายธนาคารและผู้อุทิศ ฟรานเชสโก ซาสเซ็ตติ (Francesco Sassetti) ผู้เป็นผู้จัดการผู้มีอำนาจของธนาคารเมดิชิที่เจนัว ตำแหน่งที่ จิโอวานนิ ทอร์นาบุโอนิ (Giovanni Tornabuoni) ผู้อุปถัมภ์คนต่อมาของกีร์ลันดาโยรับหน้าที่แทน กีร์ลันดาโยเขียนภาพหกฉากจากชีวประวัติของนักบุญฟรานซิสแห่งอาซิซิรวมทั้งฉาก "นักบุญฟรานซิสได้รับการอนุมัติ "กฎของนักบุญฟรานซิส" จากพระสันตะปาปาโฮโนริอุสที่ 3"; "ความตายและงานศพของนักบุญฟรานซิส" และ "นักบุญฟรานซิสชุบชีวิต" ซึ่งเป็นภาพนักบุญฟรานซิสชุบชีวิตลูกของตระกูลสปินิที่ตกหน้าต่างตาย ฉากแรกมีภาพเหมือนของลอเรนโซ เดอ เมดิชิในภาพและฉากที่สามมีภาพเหมือนของตัวกีร์ลันดาโยเองในภาพ ภาพเหมือนตนเองอื่นๆ ก็มีที่วัดซานตามาเรียโนเวลลา และในภาพ "การชื่นชมของแมไจ" ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ออสปิดาเล เดกลิ อินโนเซนติ (Ospedale degli Innocenti) ฉากแท่นบูชา "การชื่นชมของเด็กเลี้ยงแกะ" จากชาเปลซาสเซ็ตติปัจจุบันตั้งอยู่ที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฟลอเรนซ์ ทันทีที่ได้รับงานกีร์ลันดาโยก็ได้รับคำสั่งให้บูรณะจิตรกรรมฝาผนังภายในบริเวณร้องเพลงสวดในวัดซานตามาเรียโนเวลลาซึ่งเป็นชาเปลของตระกูลริชชิแต่ทอร์นาบุโอนิและพี่น้องในตระกูลเป็นผู้ที่มีอำนาจมากกว่าจึงได้เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการบูรณะทั้งหมดแต่มีข้อแม้—ปัญหาการรักษาตราประจำตระกูลของตระกูลริชชิซึ่งกลายมาเป็นเรื่องฟ้องร้องที่ออกจะชวนหัว จิตรกรรมฝาผนังภายในชาเปลทอร์นาบุโอนิเขียนโดยกีร์ลันดาโยกับผู้ช่วยอีกหลายคน เขียนเป็นสี่ตอนบนผนังสามด้าน หัวเรื่องหลักที่เขียนก็เป็นประวัติของพระแม่มารีและนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ ซึ่งเป็นภาพเขียนที่มีความสำคัญไม่แต่ทางศิลปะแต่เป็นภาพเขียนที่มีภาพเหมือนของบุคคลสำคัญๆ ในสมัยนั้นหลายคน ซึ่งเป็นลักษณะการเขียนที่กีร์ลันดาโยมีความเชี่ยวชาญ ภาพเขียนชุดนี้มีภาพเหมือนของสมาชิกจากตระกูลทอร์นาบุโอนิไม่ต่ำกว่า 21 ภาพ ในภาพ "เทวดาปรากฏตัวต่อแซ็คคาไรส์" มีภาพเหมือนของ มาร์ซิลิโอ ฟิชิโน (Marsilio Ficino) นักการเมือง; ภาพ "นักบุญแอนน์และนักบุญเอลิซาเบธ" (Salutation of Anna and Elizabeth) มีภาพเหมือนของจิโอวานนา ทอร์นาบุโอนิซึ่งเดิมจอร์โจ วาซารีเชื่อว่าเป็นภาพจิเนฟรา เด เบนชิ (Ginevra de' Benci); ในภาพ "ขับนักบุญโยฮาคิมจากวัด" มีภาพเหมือนของเซบาสเตียโน มาอินาร์ดิและอเลสซิโอ บาลโดวิเน็ตติ (Alessio Baldovinetti) ภาพหลังนี้อาจจะเป็นภาพเหมือนของพ่อของกีร์ลันดาโย ชาเปลทอร์นาบุโอนิบูรณะเสร็จในปี ค.ศ. 1490 ฉากแท่นบูชาอาจจะทำโดยผู้ช่วยของน้องชายสองคนของกีร์ลันดาโยดาวิเด และ เบเนเด็ตโต ส่วนหน้าต่างทำตามแบบที่ออกโดยกีร์ลันดาโยเอง วานชิ้นเด่นๆ ของกีร์ลันดาโยก็ได้แก่ฉากแท่นบูขา "นักบุญเซโนเบียส นักบุญจัสตัส และนักบุญอื่นๆ ชื่นชมพระแม่มารี" (Virgin Adored by Saints Zenobius, Justus and Others) ที่เขียนให้วัดเซนต์จัสตัสที่ในปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ยูฟิซิที่ฟลอเรนซ์; ภาพ "พระเยซูผู้ทรงเดชานุภาพกับโรมอลด์และนักบุญอื่นๆ" (Christ in Glory with Romuald and Other Saints) ที่โวลเทอรา; "การชื่นชมของแมไจ" (ค.ศ. 488) ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ออสปิดาเล เดกลิ อินโนเซนติซึ่งอาจจะถือว่าเป็นงานจิตรกรรมแผงชิ้นที่ดีที่สุดของกีร์ลันดาโย; และ "พระแม่มารีเยี่ยมเอลิซาเบธ" (Visitation) ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ซึ่งเป็นงานลงวันที่สุดท้ายที่สุดของงานของกีร์ลันดาโย ในปีค.ศ. 1491 กีร์ลันดาโยไม่ค่อยเขียนภาพเปลือย แต่ภาพที่เขียนก็ได้แก่ "วัลคันและผู้ช่วยโยนสายฟ้า" (Vulcan and His Assistants Forging Thunderbolts) ที่เขียนให้ลอเรนโซที่ 2 ดยุคแห่งเออร์บิโน (Lorenzo II de' Medici, Duke of Urbino) แต่ภาพนี้สูญหายไป นอกจากงานเขียนแล้วก็ยังมีงานโมเสกที่ทำก่อน ค.ศ. 1491—โดยเฉพาะชิ้นที่ชื่อว่า "การประกาศของเทพ" ที่อยู่หน้าประตูมหาวิหารฟลอเรนซ์ลักษณะงาน ลักษณะงาน. องค์ประกอบของงานของกีร์ลันดาโยจะทั้งใหญ่โตแต่ก็ไม่ขาดความงดงามซึ่งเป็นแบบงานเขียนของคริสต์ศตวรรษที่ 15 ที่ค่อนข้างรัดตัว กีร์ลันดาโยออกจะมีความก้าวหน้าใช้การเล่นแสงเงา (chiaroscuro) ที่เหมือนแสงเงาจริงที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าภาพเป็นสามมิติและการเขียนแบบทัศนียภาพ ซึ่งทำจากสายตาเท่านั้นโดยไม่ได้ใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์เข้าช่วยแต่อย่างใด แต่กีร์ลันดาโยมักจะถูกวิจารณ์เรื่องการใช้สีแต่ข้อวิจารณ์ไม่รวมไปถึงงานจิตรกรรมฝาผนังเท่าใดนักว่าเป็นสีที่แรงและสว่างอย่างหยาบงานจิตรกรรมฝาผนังเป็นงานที่เขียนแบบที่ชาวอิตาลีเรียกว่า "buon fresco" หรือ "จิตรกรรมฝาผนังแท้" โดยไม่ได้เพิ่มเติมด้วยสีฝุ่น ความแข็งของเส้นตัดขอบอาจจะเป็นเพราะกีร์ลันดาโยได้รับการฝึกมาทางช่างโลหะ วาซารีกล่าวว่ากีร์ลันดาโยเป็นจิตรกรคนแรกที่เลิกใช้การปิดทองแต่ความคิดเห็นอันนี้ก็ไม่จริงเสมอไป เช่นงาน "การชื่นชมของเด็กเลี้ยงแกะ" ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฟลอเรนซ์ตกแต่งด้วยเปลวทอง ภาพวาดและภาพร่างหลายชิ้นของกีร์ลันดาโยมีเส้นสายที่ลักษณะเด่นตรงที่เป็นธรรมชาติ มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกีร์ลันดาโยก็คือได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้การศึกษาเบื้องต้นบางส่วนแก่มีเกลันเจโลแต่ก็เพียงไม่นาน ลูกศิษย์คนอื่นก็ได้แก่ ฟรานเชสโก กรานาคคิ (Francesco Granacci) กีร์ลันดาโยเสียชีวิตจากการเป็นไข้ ร่างฝังไว้ที่วัดซานตามาเรียโนเวลลา กีร์ลันดาโยแต่งงานสองครั้งและมีลูกชายสามคนลูกสาวสามคน คนหนึ่งเป็นจิตรกรเช่นเดียกัน--ริดอลโฟ กีร์ลันดาโยมีผู้สืบเชื้อสายต่อมาหลายคนแต่ตระกูลมาสิ้นสุดลงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อสมาชิกคนสุดท้ายบวชเป็นพระ
นักบุญเจอโรมในห้องทำงาน
1,236
1,259
242
1
ร่างของโดเมนีโก กีร์ลันดาโยเป็นจิตรกรสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาคนสำคัญของประเทศอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถูกฝังไว้ที่วัดใด
โดเมนีโก กีร์ลันดาโย โดเมนีโก กีร์ลันดาโย () หรือ โดเมนีโก ดี ตอมมาโซ กูร์ราดี ดี ดอฟโฟ บีกอร์ดี (; ค.ศ. 1449 - 11 มกราคม ค.ศ. 1494) เป็นจิตรกรสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาคนสำคัญของประเทศอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง และการเขียนด้วยสึฝุ่นบนไม้ โดเมนีโกเป็นจิตรกรร่วมสมัยกับซันโดร บอตตีเชลลี และฟิลิปปินโน ลิบปี และมีลูกศิษย์หลายคนรวมทั้งมีเกลันเจโลชีวิตเบื้องต้น ชีวิตเบื้องต้น. จากชื่อเต็ม "โดเมนีโก ดี ตอมมาโซ กูร์ราดี ดี ดอฟโฟ บีกอร์ดี" ทำให้สันนิษฐานได้ว่าพ่อของโดเมนีโกชื่อ กูร์ราดี และปู่ชื่อ บีกอร์ดี โดเมนีโกเป็นลูกคนโตที่สุดในบรรดาพี่น้องแปดคน เมี่อเริ่มแรกโดเมนีโกฝึกงานกับช่างอัญมณี หรือช่างทองซึ่งอาจจะเป็นพ่อของโดเมนีโกเอง ชื่อสร้อย "อิลกีร์ลันดาโย" หมายความว่าผู้ทำสร้อยประดับคอและไหล่ มาจากพ่อเป็นผู้ตั้งให้เอง ซึ่งคงเป็นเพราะโดเมนีโกมีฝีมือดีในการทำสร้อยประดับจากโลหะที่ผู้หญิงชาวฟลอเรนซ์สวม เมื่อโดเมนีโกยังทำงานอยู่ในร้านของพ่อก็ได้วาดภาพเหมือนของผู้เดินผ่านหน้าร้าน ต่อมาโดเมนีโกก็ได้ไปฝึกงานการเขียนภาพและงานโมเสกกับอาเลสซีโอ บัลโดวีเนตตี (Alessio Baldovinetti)งานชิ้นแรกที่ฟลอเรนซ์ โรม และซานจีมิญญาโน งานชิ้นแรกที่ฟลอเรนซ์ โรม และซานจีมิญญาโน. ในปี ค.ศ. 1480 โดเมนีโก กีร์ลันดาโยเขียนภาพ "นักบุญเจอโรมในห้องทำงาน" และจิตรกรรมฝาผนังที่วัดออญญิสซันตีที่ฟลอเรนซ์ และภาพเขียน "พระกระยาหารมื้อสุดท้าย" ขนาดเท่าคนจริงในโรงฉัน ระหว่างปี ค.ศ. 1481 ถึงปี ค.ศ. 1485 ก็ได้รับงานเขียนจิตรกรรมฝาผนังในห้อง "Sala dell Orologio" ที่ วังเวคคิโอ นอกจากนั้นก็ยังเขียนภาพ "ความประเสริฐของนักบุญเซโนเบียส" (Apotheosis of St. Zenobius) ซึ่งเป็นภาพขนาดใหญ่กว่คนจริงที่ตกแต่งล้อมรอบด้วยสถาปัตยกรรม, รูปปั้นวีรบุรุษโรมัน และรายละเอียดอื่นๆ งานชิ้นนี้เป็นงานที่ทำให้เห็นฝีมืองานของกีร์ลันดาโยทั้งในด้านโครงสร้างและองค์ประกอบ ในปี ค.ศ. 1483 กีร์ลันดาโยก็ถูกเรียกตัวไปโรมโดยพระสันตะปาปาซิกส์ตัสที่ 4เพื่อให้ไปเขียนภาพ "พระเยซูเรียกตัวปีเตอร์และแอนดรูว์มาให้เป็นสาวก" บนผนังของชาเปลซิสติน แม้ว่าจะทราบกันว่ากีร์ลันดาโยมีงานเขียนที่อื่นในโรมแต่ก็หายสาบสูญไป นอกจากนั้นกีร์ลันดาโยก็ยังเขียนภาพบนผนังภายในชาเปลเซนต์ฟินาที่วัดแห่งซานจีมิญญาโนเมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1350 เซบาสเตียโน มาอินาร์ดิช่วยเขียนทั้งที่โรมและซานจีมิญญาโนงานต่อมาในทัสกานี งานต่อมาในทัสกานี. เมื่อกลับมาฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 85 กีร์ลันดาโยก็เขียนภาพชุด จิตรกรรมฝาผนังที่ชาเปลซาสเซ็ตติ (Sassetti Chapel) ในวัดซานตาทรินิตา สำหรับนายธนาคารและผู้อุทิศ ฟรานเชสโก ซาสเซ็ตติ (Francesco Sassetti) ผู้เป็นผู้จัดการผู้มีอำนาจของธนาคารเมดิชิที่เจนัว ตำแหน่งที่ จิโอวานนิ ทอร์นาบุโอนิ (Giovanni Tornabuoni) ผู้อุปถัมภ์คนต่อมาของกีร์ลันดาโยรับหน้าที่แทน กีร์ลันดาโยเขียนภาพหกฉากจากชีวประวัติของนักบุญฟรานซิสแห่งอาซิซิรวมทั้งฉาก "นักบุญฟรานซิสได้รับการอนุมัติ "กฎของนักบุญฟรานซิส" จากพระสันตะปาปาโฮโนริอุสที่ 3"; "ความตายและงานศพของนักบุญฟรานซิส" และ "นักบุญฟรานซิสชุบชีวิต" ซึ่งเป็นภาพนักบุญฟรานซิสชุบชีวิตลูกของตระกูลสปินิที่ตกหน้าต่างตาย ฉากแรกมีภาพเหมือนของลอเรนโซ เดอ เมดิชิในภาพและฉากที่สามมีภาพเหมือนของตัวกีร์ลันดาโยเองในภาพ ภาพเหมือนตนเองอื่นๆ ก็มีที่วัดซานตามาเรียโนเวลลา และในภาพ "การชื่นชมของแมไจ" ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ออสปิดาเล เดกลิ อินโนเซนติ (Ospedale degli Innocenti) ฉากแท่นบูชา "การชื่นชมของเด็กเลี้ยงแกะ" จากชาเปลซาสเซ็ตติปัจจุบันตั้งอยู่ที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฟลอเรนซ์ ทันทีที่ได้รับงานกีร์ลันดาโยก็ได้รับคำสั่งให้บูรณะจิตรกรรมฝาผนังภายในบริเวณร้องเพลงสวดในวัดซานตามาเรียโนเวลลาซึ่งเป็นชาเปลของตระกูลริชชิแต่ทอร์นาบุโอนิและพี่น้องในตระกูลเป็นผู้ที่มีอำนาจมากกว่าจึงได้เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการบูรณะทั้งหมดแต่มีข้อแม้—ปัญหาการรักษาตราประจำตระกูลของตระกูลริชชิซึ่งกลายมาเป็นเรื่องฟ้องร้องที่ออกจะชวนหัว จิตรกรรมฝาผนังภายในชาเปลทอร์นาบุโอนิเขียนโดยกีร์ลันดาโยกับผู้ช่วยอีกหลายคน เขียนเป็นสี่ตอนบนผนังสามด้าน หัวเรื่องหลักที่เขียนก็เป็นประวัติของพระแม่มารีและนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ ซึ่งเป็นภาพเขียนที่มีความสำคัญไม่แต่ทางศิลปะแต่เป็นภาพเขียนที่มีภาพเหมือนของบุคคลสำคัญๆ ในสมัยนั้นหลายคน ซึ่งเป็นลักษณะการเขียนที่กีร์ลันดาโยมีความเชี่ยวชาญ ภาพเขียนชุดนี้มีภาพเหมือนของสมาชิกจากตระกูลทอร์นาบุโอนิไม่ต่ำกว่า 21 ภาพ ในภาพ "เทวดาปรากฏตัวต่อแซ็คคาไรส์" มีภาพเหมือนของ มาร์ซิลิโอ ฟิชิโน (Marsilio Ficino) นักการเมือง; ภาพ "นักบุญแอนน์และนักบุญเอลิซาเบธ" (Salutation of Anna and Elizabeth) มีภาพเหมือนของจิโอวานนา ทอร์นาบุโอนิซึ่งเดิมจอร์โจ วาซารีเชื่อว่าเป็นภาพจิเนฟรา เด เบนชิ (Ginevra de' Benci); ในภาพ "ขับนักบุญโยฮาคิมจากวัด" มีภาพเหมือนของเซบาสเตียโน มาอินาร์ดิและอเลสซิโอ บาลโดวิเน็ตติ (Alessio Baldovinetti) ภาพหลังนี้อาจจะเป็นภาพเหมือนของพ่อของกีร์ลันดาโย ชาเปลทอร์นาบุโอนิบูรณะเสร็จในปี ค.ศ. 1490 ฉากแท่นบูชาอาจจะทำโดยผู้ช่วยของน้องชายสองคนของกีร์ลันดาโยดาวิเด และ เบเนเด็ตโต ส่วนหน้าต่างทำตามแบบที่ออกโดยกีร์ลันดาโยเอง วานชิ้นเด่นๆ ของกีร์ลันดาโยก็ได้แก่ฉากแท่นบูขา "นักบุญเซโนเบียส นักบุญจัสตัส และนักบุญอื่นๆ ชื่นชมพระแม่มารี" (Virgin Adored by Saints Zenobius, Justus and Others) ที่เขียนให้วัดเซนต์จัสตัสที่ในปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ยูฟิซิที่ฟลอเรนซ์; ภาพ "พระเยซูผู้ทรงเดชานุภาพกับโรมอลด์และนักบุญอื่นๆ" (Christ in Glory with Romuald and Other Saints) ที่โวลเทอรา; "การชื่นชมของแมไจ" (ค.ศ. 488) ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ออสปิดาเล เดกลิ อินโนเซนติซึ่งอาจจะถือว่าเป็นงานจิตรกรรมแผงชิ้นที่ดีที่สุดของกีร์ลันดาโย; และ "พระแม่มารีเยี่ยมเอลิซาเบธ" (Visitation) ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ซึ่งเป็นงานลงวันที่สุดท้ายที่สุดของงานของกีร์ลันดาโย ในปีค.ศ. 1491 กีร์ลันดาโยไม่ค่อยเขียนภาพเปลือย แต่ภาพที่เขียนก็ได้แก่ "วัลคันและผู้ช่วยโยนสายฟ้า" (Vulcan and His Assistants Forging Thunderbolts) ที่เขียนให้ลอเรนโซที่ 2 ดยุคแห่งเออร์บิโน (Lorenzo II de' Medici, Duke of Urbino) แต่ภาพนี้สูญหายไป นอกจากงานเขียนแล้วก็ยังมีงานโมเสกที่ทำก่อน ค.ศ. 1491—โดยเฉพาะชิ้นที่ชื่อว่า "การประกาศของเทพ" ที่อยู่หน้าประตูมหาวิหารฟลอเรนซ์ลักษณะงาน ลักษณะงาน. องค์ประกอบของงานของกีร์ลันดาโยจะทั้งใหญ่โตแต่ก็ไม่ขาดความงดงามซึ่งเป็นแบบงานเขียนของคริสต์ศตวรรษที่ 15 ที่ค่อนข้างรัดตัว กีร์ลันดาโยออกจะมีความก้าวหน้าใช้การเล่นแสงเงา (chiaroscuro) ที่เหมือนแสงเงาจริงที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าภาพเป็นสามมิติและการเขียนแบบทัศนียภาพ ซึ่งทำจากสายตาเท่านั้นโดยไม่ได้ใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์เข้าช่วยแต่อย่างใด แต่กีร์ลันดาโยมักจะถูกวิจารณ์เรื่องการใช้สีแต่ข้อวิจารณ์ไม่รวมไปถึงงานจิตรกรรมฝาผนังเท่าใดนักว่าเป็นสีที่แรงและสว่างอย่างหยาบงานจิตรกรรมฝาผนังเป็นงานที่เขียนแบบที่ชาวอิตาลีเรียกว่า "buon fresco" หรือ "จิตรกรรมฝาผนังแท้" โดยไม่ได้เพิ่มเติมด้วยสีฝุ่น ความแข็งของเส้นตัดขอบอาจจะเป็นเพราะกีร์ลันดาโยได้รับการฝึกมาทางช่างโลหะ วาซารีกล่าวว่ากีร์ลันดาโยเป็นจิตรกรคนแรกที่เลิกใช้การปิดทองแต่ความคิดเห็นอันนี้ก็ไม่จริงเสมอไป เช่นงาน "การชื่นชมของเด็กเลี้ยงแกะ" ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฟลอเรนซ์ตกแต่งด้วยเปลวทอง ภาพวาดและภาพร่างหลายชิ้นของกีร์ลันดาโยมีเส้นสายที่ลักษณะเด่นตรงที่เป็นธรรมชาติ มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกีร์ลันดาโยก็คือได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้การศึกษาเบื้องต้นบางส่วนแก่มีเกลันเจโลแต่ก็เพียงไม่นาน ลูกศิษย์คนอื่นก็ได้แก่ ฟรานเชสโก กรานาคคิ (Francesco Granacci) กีร์ลันดาโยเสียชีวิตจากการเป็นไข้ ร่างฝังไว้ที่วัดซานตามาเรียโนเวลลา กีร์ลันดาโยแต่งงานสองครั้งและมีลูกชายสามคนลูกสาวสามคน คนหนึ่งเป็นจิตรกรเช่นเดียกัน--ริดอลโฟ กีร์ลันดาโยมีผู้สืบเชื้อสายต่อมาหลายคนแต่ตระกูลมาสิ้นสุดลงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อสมาชิกคนสุดท้ายบวชเป็นพระ
วัดซานตามาเรียโนเวลลา
6,705
6,726
243
1
ภรรยาของนายไชยา พรหมา คือใคร
ไชยา พรหมา นายไชยา พรหมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 24ประวัติ ประวัติ. นายไชยา พรหมา เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2503 ที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็นบุตรของนายพิจิตร กับนางบัวไหล พรหมา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโท สาขาพัฒนาสังคม จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ด้านครอบครัว สมรสกับนางอัญชลี พรหมา (สกุลเดิม เทือกต๊ะ) มีบุตรสาว 1 คนการทำงาน การทำงาน. นายไชยา พรหมา ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี ในการเลือกตั้ง มีนาคม พ.ศ. 2535 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และ การเลือกตั้ง กันยายน พ.ศ. 2535 สังกัด พรรคชาติพัฒนา ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2538 ได้เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองบัวลำภู สังกัดเดิม และได้รับเลือกตั้งอีกเป็นสมัยที่ 4 ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 สังกัดพรรคเสรีธรรม ซึ่งต่อมาได้ยุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย นายไชยา จึงย้ายมาร่วมงานกับพรรคไทยรักไทย และได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 การเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 (สังกัดพรรคพลังประชาชน) และการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ในสังกัดพรรคเพื่อไทย ในปี พ.ศ. 2554 นายไชยา ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎรเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - มหาวชิรมงกุฏ (ม.ว.ม.)
นางอัญชลี พรหมา
528
543
244
1
สุรพงษ์ บุนนาค นักเขียนนวนิยาย บทความ สารคดี เสียชีวิตด้วยโรคอะไร
สุรพงษ์ บุนนาค สุรพงษ์ บุนนาค นักเขียนนวนิยาย บทความ สารคดี เจ้าของรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2545 สุรพงษ์จบการศึกษาจากประเทศเยอรมนี เคยทำงานเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ให้กับสำนักข่าวสารอเมริกัน และสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 (ปัจจุบันคือ โมเดิร์นไนน์) ในช่วงก่อตั้งสถานี เมื่อ พ.ศ. 2498 จากนั้นได้ไปทำงานกับสถานีวิทยุเสียงอเมริกา ที่กรุงวอชิงตัน เป็นเวลาหลายปี สุรพงษ์มีผลงานเขียนในหลายรูปแบบ ทั้งสารคดีท่องเที่ยว เนื่องจากความชื่นชอบในการเดินทางท่องเที่ยว, สารคดีเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง, สารคดีเกี่ยวกับศิลปะตะวันตก ทั้งเกี่ยวกับประวัติคีตกวีดนตรีคลาสสิก และช่างวาดศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ สุรพงษ์ บุนนาคถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2545 อายุ 82 ปี
โรคมะเร็ง
698
707
245
1
สุรพงษ์ บุนนาค เจ้าของรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2545 จบการศึกษาจากประเทศอะไร
สุรพงษ์ บุนนาค สุรพงษ์ บุนนาค นักเขียนนวนิยาย บทความ สารคดี เจ้าของรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2545 สุรพงษ์จบการศึกษาจากประเทศเยอรมนี เคยทำงานเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ให้กับสำนักข่าวสารอเมริกัน และสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 (ปัจจุบันคือ โมเดิร์นไนน์) ในช่วงก่อตั้งสถานี เมื่อ พ.ศ. 2498 จากนั้นได้ไปทำงานกับสถานีวิทยุเสียงอเมริกา ที่กรุงวอชิงตัน เป็นเวลาหลายปี สุรพงษ์มีผลงานเขียนในหลายรูปแบบ ทั้งสารคดีท่องเที่ยว เนื่องจากความชื่นชอบในการเดินทางท่องเที่ยว, สารคดีเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง, สารคดีเกี่ยวกับศิลปะตะวันตก ทั้งเกี่ยวกับประวัติคีตกวีดนตรีคลาสสิก และช่างวาดศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ สุรพงษ์ บุนนาคถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2545 อายุ 82 ปี
ประเทศเยอรมนี
208
221
246
1
เมืองหลวงของประเทศฟีจี มีชื่อว่าอะไร
ซูวา ซูวา () เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศฟีจี ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะวีตีเลวูในเขตภาคกลาง จังหวัดเรวา ที่เป็นที่ตั้งศูนย์กลางการบริหาร ในปี ค.ศ. 1877 ได้ตั้งซูวาเป็นเมืองหลวงของฟีจี เมื่อสภาพภูมิศาสตร์ของอดีตที่ตั้งอดีตรกรากของชาวยุโรปที่เลวูกาบนเกาะ Ovalau ที่คับแคบเกินไป คณะบริหารของประเทศอาณานิคมได้ย้ายจากเลวูกามายังซูวาในปี ค.ศ. 1882 จากข้อมูลประชากรในปี 2007 เมืองซูวามีประชากร 85,691 คน
ซูวา
85
89
247
1
อรุโณทัย วรรณถาวร นักเขียนนวนิยายโรแมนติกเขย่าขวัญ ใช้นามปากกว่าอะไร
มายาโรส มายาโรส เป็นนามปากกาของ อรุโณทัย วรรณถาวร นักเขียนนวนิยายโรแมนติกเขย่าขวัญ นักเขียนรางวัลชนะเลิศโครงการประกวดนักเขียนน่ารัก season 2 ซึ่งเป็นโครงการค้นหานักเขียนนวนิยายไม่เป็นพิษต่อสังคมไทย โดยสำนักพิมพ์แน็ตตี้ ในเครือบรรลือสาสน์ประวัติ ประวัติ. เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ที่เชียงใหม่ จบการศึกษาจากคณะการสื่อสารมวลชน สาขาวิชาการสื่อสารมวลชน แขนงวิชาสื่อใหม่ และการสร้างภาพเคลื่อนไหว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันทำงานเป็นผู้ผลิตข่าวและสารคดี มีรายการสารคดีที่ออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส คือ รายการเด็กมีเรื่อง และ รายการสองกำลังสื่อการประพันธ์ การประพันธ์. เริ่มเขียนเรื่อง Passion สุสานรักกุหลาบดำ และไปโพสต์ลงในเว็บเด็กดี ในปี พ.ศ. 2552 ได้รับรางวัลชนะเลิศนวนิยายรักโรแมนติกใน โครงการประกวดนักเขียนน่ารัก season 2 ซึ่งเป็นโครงการค้นหานักเขียนนวนิยายไม่เป็นพิษต่อสังคมไทย โดยสำนักพิมพ์แน็ตตี้ ในเครือสำนักพิมพ์บรรลือสาสน์ และได้เป็นผลงานตีพิมพ์เรื่องแรก โดยในครั้งนั้นได้ใช้นามปากกาว่า กุหลาบน้ำเงิน หลังจากนั้นยังได้รับมอบโล่เกียรติยศในโครงการ “NEW STAR the Writer” โดย “พิมพ์คำสำนักพิมพ์” ซึ่งเป็นโครงการเฟ้นหานักเขียนดาวดวงใหม่ผู้มีผลงานโดดเด่นน่าจับตามอง มาพัฒนางานเขียนให้ก้าวสู้การเป็นนักเขียนมืออาชีพ โดยมีผู้ได้รับมอบโล่เกียรติยศทังหมด 22 คน ต่อมา ได้มีผลงานตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์โซฟา ในเครืออักขระบันเทิง โดยครั้งนี้ได้ใช้นามปากกาว่ามายาโรสเป็นครั้งแรก มีผลงานเล่มแรกที่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์นี้คือ รวมเรื่องสั้นชุด Calnival of love เกมรักราตรีเลือด เรื่อง ชิงช้าสวรรค์ ซึ่งเขียนร่วมกับ แรบบิสโรส, ปริชญา, และ เซวิลล์ โดยสำนักพิมพ์ได้นำไปทำเป็นหนังสือการ์ตูนช่องในเวลาต่อมาที่มาของนามปากกา ที่มาของนามปากกา. เดิมทีใช้นามปากกาว่ากุหลาบน้ำเงิน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นนามปากกามายาโรส ซึ่งมาจากดอกกุหลาบ หมายถึง ความสลับซับซ้อน และเร้นลับ ส่วนคำว่ามายาคือ ความฝันและภาพลวง เช่นเดียวกับลักษณะงานเขียนส่วนใหญ่ของมายาโรส ก็มักเขียนถึงความเพ้อฝันและความเร้นลับผลงานนวนิยายผลงานนวนิยาย. 1. Passion สุสานรักกุหลาบดำ 2. รวมเรื่องสั้นชุด Canival of love เกมรักราตรีเลือด เรื่อง ชิงช้าสวรรค์ เขียนร่วมกับ แรบบิสโรส, ปริชญา, และ เซวิลล์ 3. ซีรีส์ชุด Death Zodiac เรื่อง ตุ๊กตากล่อมวิญญาณ 4. ซีรีส์ชุด สิบศพ เรื่อง เคหาสน์เทวทูต 5. ลา ฟลอร่า โรงเรียนป่วนก๊วนเจ้าหญิง ฉบับ Novel ตอน มิตรภาพวุ่นๆ ชุนมุนวันเปิดเทอม 6. ซีรีส์ชุด Bloody Honeymoon เรื่อง Promise พรายนครา 7. ซีรีส์ชุด Bad Furtune เรื่อง Midnight Opera สุสานผีเสื้อ 8. ซีรีส์ชุด ปัญจอาถรรพ์ เรื่อง วังอสุรา 9. หุบผาเจ้านาง 10. Death for Rent รถเช่าเหมาวิญญาณ 11. ลิลิตเมืองมาร 12. Eternal นิรัตินิรันดร์กาล 13. รวมเรื่องสั้นชุด ทศฆาต เรื่อง ปราสาทสาง 14. รวมเรื่องสั้นชุด 13 หลอน ฆ่า อาฆาต เรื่อง ราตรีปิศาจ 15. ซีรีส์ชุด Forword Die เรื่อง Clown มายากลเลือด 16. Devil Tale นิทราอาฆาต
มายาโรส
91
98
248
1
บ้านเกิดของอรุโณทัย วรรณถาวร หรือใช้นามปากกาว่า มายาโรส อยู่ที่ไหน
มายาโรส มายาโรส เป็นนามปากกาของ อรุโณทัย วรรณถาวร นักเขียนนวนิยายโรแมนติกเขย่าขวัญ นักเขียนรางวัลชนะเลิศโครงการประกวดนักเขียนน่ารัก season 2 ซึ่งเป็นโครงการค้นหานักเขียนนวนิยายไม่เป็นพิษต่อสังคมไทย โดยสำนักพิมพ์แน็ตตี้ ในเครือบรรลือสาสน์ประวัติ ประวัติ. เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ที่เชียงใหม่ จบการศึกษาจากคณะการสื่อสารมวลชน สาขาวิชาการสื่อสารมวลชน แขนงวิชาสื่อใหม่ และการสร้างภาพเคลื่อนไหว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันทำงานเป็นผู้ผลิตข่าวและสารคดี มีรายการสารคดีที่ออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส คือ รายการเด็กมีเรื่อง และ รายการสองกำลังสื่อการประพันธ์ การประพันธ์. เริ่มเขียนเรื่อง Passion สุสานรักกุหลาบดำ และไปโพสต์ลงในเว็บเด็กดี ในปี พ.ศ. 2552 ได้รับรางวัลชนะเลิศนวนิยายรักโรแมนติกใน โครงการประกวดนักเขียนน่ารัก season 2 ซึ่งเป็นโครงการค้นหานักเขียนนวนิยายไม่เป็นพิษต่อสังคมไทย โดยสำนักพิมพ์แน็ตตี้ ในเครือสำนักพิมพ์บรรลือสาสน์ และได้เป็นผลงานตีพิมพ์เรื่องแรก โดยในครั้งนั้นได้ใช้นามปากกาว่า กุหลาบน้ำเงิน หลังจากนั้นยังได้รับมอบโล่เกียรติยศในโครงการ “NEW STAR the Writer” โดย “พิมพ์คำสำนักพิมพ์” ซึ่งเป็นโครงการเฟ้นหานักเขียนดาวดวงใหม่ผู้มีผลงานโดดเด่นน่าจับตามอง มาพัฒนางานเขียนให้ก้าวสู้การเป็นนักเขียนมืออาชีพ โดยมีผู้ได้รับมอบโล่เกียรติยศทังหมด 22 คน ต่อมา ได้มีผลงานตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์โซฟา ในเครืออักขระบันเทิง โดยครั้งนี้ได้ใช้นามปากกาว่ามายาโรสเป็นครั้งแรก มีผลงานเล่มแรกที่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์นี้คือ รวมเรื่องสั้นชุด Calnival of love เกมรักราตรีเลือด เรื่อง ชิงช้าสวรรค์ ซึ่งเขียนร่วมกับ แรบบิสโรส, ปริชญา, และ เซวิลล์ โดยสำนักพิมพ์ได้นำไปทำเป็นหนังสือการ์ตูนช่องในเวลาต่อมาที่มาของนามปากกา ที่มาของนามปากกา. เดิมทีใช้นามปากกาว่ากุหลาบน้ำเงิน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นนามปากกามายาโรส ซึ่งมาจากดอกกุหลาบ หมายถึง ความสลับซับซ้อน และเร้นลับ ส่วนคำว่ามายาคือ ความฝันและภาพลวง เช่นเดียวกับลักษณะงานเขียนส่วนใหญ่ของมายาโรส ก็มักเขียนถึงความเพ้อฝันและความเร้นลับผลงานนวนิยายผลงานนวนิยาย. 1. Passion สุสานรักกุหลาบดำ 2. รวมเรื่องสั้นชุด Canival of love เกมรักราตรีเลือด เรื่อง ชิงช้าสวรรค์ เขียนร่วมกับ แรบบิสโรส, ปริชญา, และ เซวิลล์ 3. ซีรีส์ชุด Death Zodiac เรื่อง ตุ๊กตากล่อมวิญญาณ 4. ซีรีส์ชุด สิบศพ เรื่อง เคหาสน์เทวทูต 5. ลา ฟลอร่า โรงเรียนป่วนก๊วนเจ้าหญิง ฉบับ Novel ตอน มิตรภาพวุ่นๆ ชุนมุนวันเปิดเทอม 6. ซีรีส์ชุด Bloody Honeymoon เรื่อง Promise พรายนครา 7. ซีรีส์ชุด Bad Furtune เรื่อง Midnight Opera สุสานผีเสื้อ 8. ซีรีส์ชุด ปัญจอาถรรพ์ เรื่อง วังอสุรา 9. หุบผาเจ้านาง 10. Death for Rent รถเช่าเหมาวิญญาณ 11. ลิลิตเมืองมาร 12. Eternal นิรัตินิรันดร์กาล 13. รวมเรื่องสั้นชุด ทศฆาต เรื่อง ปราสาทสาง 14. รวมเรื่องสั้นชุด 13 หลอน ฆ่า อาฆาต เรื่อง ราตรีปิศาจ 15. ซีรีส์ชุด Forword Die เรื่อง Clown มายากลเลือด 16. Devil Tale นิทราอาฆาต
เชียงใหม่
377
386
249
1
โซฟี มังก์ นักร้องชาวออสเตรเลีย เกิดที่ประเทศอะไร
โซฟี มังก์ โซฟี มังก์ () เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1979 เป็น นักร้องออสเตรเลียประวัติ ประวัติ. โซฟี มังก์ เกิดใน อังกฤษ แต่พ่อแม่ก็ย้ายไป รัฐควีนส์แลนด์ ใน ออสเตรเลีย เธอเคยเป็นสมาชิกของวง ป็อป ออสเตรเลีย Bardot และได้ก่อตั้งมาตั้งแต่งานเดี่ยว เมื่อเร็ว ๆ นี้เธอกลายเป็นหน้าที่ที่ปรากฏในภาพยนตร์เช่น Date Movie, Click และ Sex and Death 101 งานเพลงของเธอเริ่มอาชีพในปี ค.ศ. 1999 เมื่อเธอตอบสนองต่อโฆษณาที่ขอหญิงด้วยเสียงและการเต้นรำโฆษณาได้สำหรับชุดโทรทัศน์ออสเตรเลีย Popstars แสดงโทรทัศน์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกลุ่มผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จใหม่ หลังจากหลายรอบของการร้องเพลงและเต้นเธอได้รับเลือกเป็นสมาชิกของกลุ่มซึ่งเป็นชื่อ Bardot หลังจากแยก Bardot, โซฟี มังก์ เริ่มทำงานในงานเดี่ยวของเธอและนี่ผลออกก่อนเดียวเธอ Inside Outside ในเดือนตุลาคม 2002 และอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกของเธอ Calendar Girl พฤษภาคม 2003 ซึ่งประหลาดใจมากโดยผสม ป็อป ร่วมสมัยและเต้นรำกับ อุปรากร คลาสสิกพระได้รับการฝึกอบรมในคลาสสิกเติบโต โซฟี มังก์ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อตัวเองใน ฮอลลีวูด ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ของบทบาทของเธอมีขนาดเล็กพอสมควร ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2006 เธอติดดาวในบทบาทคุณลักษณะของเธอเปิดตัวเป็นสาวเจ้าชู้และเสน่ห์ในตลกหลอกว่า Date Movie ในเดือนมิถุนายน 2006 เห็นการออกฟิล์ม Click เรื่องราวเกี่ยวกับการควบคุมระยะไกลทั่วไป โซฟี มังก์ มีบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์เป็นเลขานุการเจ้าชู้นี้
อังกฤษ
205
211
250
1
อัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกของโซฟี มังก์ ในเดือน พฤษภาคม 2003 มีชื่อว่าอะไร
โซฟี มังก์ โซฟี มังก์ () เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1979 เป็น นักร้องออสเตรเลียประวัติ ประวัติ. โซฟี มังก์ เกิดใน อังกฤษ แต่พ่อแม่ก็ย้ายไป รัฐควีนส์แลนด์ ใน ออสเตรเลีย เธอเคยเป็นสมาชิกของวง ป็อป ออสเตรเลีย Bardot และได้ก่อตั้งมาตั้งแต่งานเดี่ยว เมื่อเร็ว ๆ นี้เธอกลายเป็นหน้าที่ที่ปรากฏในภาพยนตร์เช่น Date Movie, Click และ Sex and Death 101 งานเพลงของเธอเริ่มอาชีพในปี ค.ศ. 1999 เมื่อเธอตอบสนองต่อโฆษณาที่ขอหญิงด้วยเสียงและการเต้นรำโฆษณาได้สำหรับชุดโทรทัศน์ออสเตรเลีย Popstars แสดงโทรทัศน์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกลุ่มผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จใหม่ หลังจากหลายรอบของการร้องเพลงและเต้นเธอได้รับเลือกเป็นสมาชิกของกลุ่มซึ่งเป็นชื่อ Bardot หลังจากแยก Bardot, โซฟี มังก์ เริ่มทำงานในงานเดี่ยวของเธอและนี่ผลออกก่อนเดียวเธอ Inside Outside ในเดือนตุลาคม 2002 และอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกของเธอ Calendar Girl พฤษภาคม 2003 ซึ่งประหลาดใจมากโดยผสม ป็อป ร่วมสมัยและเต้นรำกับ อุปรากร คลาสสิกพระได้รับการฝึกอบรมในคลาสสิกเติบโต โซฟี มังก์ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อตัวเองใน ฮอลลีวูด ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ของบทบาทของเธอมีขนาดเล็กพอสมควร ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2006 เธอติดดาวในบทบาทคุณลักษณะของเธอเปิดตัวเป็นสาวเจ้าชู้และเสน่ห์ในตลกหลอกว่า Date Movie ในเดือนมิถุนายน 2006 เห็นการออกฟิล์ม Click เรื่องราวเกี่ยวกับการควบคุมระยะไกลทั่วไป โซฟี มังก์ มีบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์เป็นเลขานุการเจ้าชู้นี้
Calendar Girl
875
888
251
1
ชินโนะซุเกะ ฮนดะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น เกิดที่เมืองอะไร
ชินโนะซุเกะ ฮนดะ ชินโนะซุเกะ ฮนดะ เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2533 เป็นนักฟุตบอลชาวญี่ปุ่นเกิดในเมืองฟุกุชิมะ ปัจจุบันเล่นให้แก่สโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าส โดยยืมตัวมาจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ใน ไทยพรีเมียร์ลีก เล่นในตำแหน่ง กองหลัง แต่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556 สโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าสได้ยกเลิกสัญญายืมตัว
เมืองฟุกุชิมะ
193
206
252
1
หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร สิริอายุกี่ปี
หลวงปู่เงิน พุทธโชติ หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ เกิดวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2353 ตรงกับรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรประวัติ ประวัติ. นามเดิมแรกเกิดของท่านคือ เงิน เมื่อท่านอายุได้ 3 ขวบ ผู้เป็นลุงได้พามาอยู่ที่กรุงเทพฯศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดชนะสงคราม ต่อมา เมื่อท่านอายุ 12 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดชนะสงครามศึกษาพระธรรมวินัย คำภีร์มูลกัจจายน์ เวทมนตร์คาถาและวิทยาการต่างๆ จนแตกฉาน จากนั้น ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปี ณ วัดชนะสงคราม มีฉายาว่า "พุทธโชติ" บวชได้ 3 พรรษา ก็ย้ายมาจำพรรษาที่วัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) ต่อมาย้ายเข้าไปอยู่ที่ในหมู่บ้านวังตะโก อยู่ห่างจากวัดคงคารามคนละฝั่งเท่านั้น ตอนที่ย้ายจากวัดคงคาราม หลวงพ่อได้นำกิ่งโพธิ์ติดต้วมาด้วย 1 กิ่งแล้วนำกิ่งโพธิ์นั้นมาปลูกเสี่ยงทาย ถ้าหากต้นโพธิ์ตายก็คงจะอยู่ไม่ได้ ถ้าหากที่นี่จะเป็นวัดได้ขอให้ต้นโพธิ์เจริญงอกงาม ปรากฏว่า ต้นโพธิ์เจริญงอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โต หลวงพ่อเงินก็ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ที่นี่ด้วย และท่านเป็นเพื่อนกับหลวงปู่ศุข ซึ่งหลวงปู่ศุขก็ได้ฝากกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์มาเป็นลูกศิษย์ด้วย หลวงพ่อเงินถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2464 สิริอายุได้ 111 ปี
111 ปี
1,185
1,191
253
1
บุคคลแรกที่ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและแม่เหล็ก คือใคร
ฮันส์ คริสเทียน เออร์สเตด ฮันส์ คริสเทียน เออร์สเตด (Hans Christian Ørsted, 14 สิงหาคม พ.ศ. 2320 - 9 มีนาคม พ.ศ. 2394) เป็นนักฟิสิกส์และนักเคมีชาวเดสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้าและความเป็นแม่เหล็ก หรือที่เรียกว่า ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า ฮานส์ คริสเตียน เออร์สเตด ) เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2320 เขาเป็นศาสตราจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ ประจำมหาวิทยาโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เออร์สเตดค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กด้วยความบังเอิญ ในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2363 ขณะบรรยายวิชาฟิสิกส์ในหัวข้อ คุณสมบัติของกระแสไฟฟ้า (Electricity, Galvanism and Magnetism) โดยมีอุปกรณ์ในการทำการทดลองประกอบการบรรยาย คือ แบตเตอรี่ สายไฟ และเข็มทิศ เออร์สเตดได้ทำการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เข็มทิศจะเบนเมื่อมีฝนตกหนัก และฟ้าแลบ เพื่อลองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเข็มทิศ ถ้าผ่านกระแสไฟเข้าไปในลวดตัวนำ เขานำลวดตัวนำตั้งฉากกับเข็มทิศและพบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากการบรรยายสิ้นสุด เออร์สเตดลองวางลวดตัวนำขนานกับเข็มทิศ และผ่านกระแสไฟฟ้าไปในลวดตัวนำ กลับพบว่าเข็มทิศกระดิก และเริ่มเบน การ ค้นพบนี้ทำให้เออร์สเตดเป็นบุคคลแรกที่ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า และแม่เหล็ก หรือนำไปสู่ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างแม่เหล็กกับไฟฟ้า (Electro Magnetism Theory) ต่อมาในวันที่ 11 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง การค้นพบของเออร์สเตดได้ถูกไปนำเสนอที่ราชสมาคมฝรั่งเศส โดย โดมินิก ฟร็องซัวส์ ฌอง อราโก (Dominiqiue Francois Jean Arago) เขาระบุว่าการค้นพบนี้สำคัญไม่น้อยไปกว่าการค้นพบไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและชาวอังกฤษอีกหลายคนที่พยายาม แข่งขันเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เออร์สเตดค้นพบ โดยเฉพาะนักทดลองชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ ฌอง แบพติสท์ บิโอต์ (Jean Baptiste Biot) และ เฟลิกซ์ ซาวาร์ (Felix Savart) เป็นนักฟิสิกส์คนแรกๆ ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างละเอียดได้ นับได้ว่าการค้นพบของ ฮานส์ คริสเตียน เออร์สเตด ได้จุดประกายที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามค้นพบเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า รวมถึง อังเดร มารี แอมแป (Andre Marie Ampere) ผู้ค้นพบทฤษฎีแม
เออร์สเตด
1,076
1,085
254
1
พระนามเดิมของเจ้าหลวงเหมพินธุไพจิตร มีพระนามว่าอะไร
เจ้าเหมพินธุไพจิตร เจ้าหลวงเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็น เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่ง "ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน)"พระประวัติ พระประวัติ. เจ้าหลวงเหมพินธุไพจิตร มีพระนามเดิมว่า เจ้าคำหยาด ไม่ทราบปีที่ประสูต ทรงเป็นราชโอรสใน เจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6 กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และทรงเป็นราชนัดดา (หลานปู่) ใน เจ้าหลวงเศรษฐีคำฝั้น เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3 กับ แม่เจ้าคำแปงราชเทวี เจ้าหลวงเหมพินธุไพจิตร ทรงมีราชอนุชา และราชขนิษฐา ร่วมราชมารดา 3 พระองค์ มีนามตามลำดับ ดังนี้- เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน - ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน" - เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน - เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน - พิราลัยแต่เยาว์ เจ้าหลวงเหมพินธุไพจิตร ได้เสด็จขึ้นครองนครลำพูน ใน พ.ศ. 2431 ต่อจาก เจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ ราชเชษฐาต่างราชมารดา และถึงแก่พิราลัยในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 (นับเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่) ภายหลังจากป่วยด้วยอาการอุจาระ ธาตุพิการ รวมระยะเวลาที่ทรงครองนคร 5 ปี ในขณะที่ท่านได้เป็นเจ้าครองนครลำพูนนั้น ท่านได้เป็นผู้นำราษฎรลำพูนให้เอาใจใส่ในการเกษตรกรรมทุกๆสาขา มีการปลูกข้าวและทดน้ำเข้านาสร้างเหมืองฝายมากมาย ปรับปรุงที่ดอนให้เป็นพื้นที่ราบ และ ขุดลอกเหมืองเก่าให้น้ำเข้านาได้สะดวก ที่ใดไม่มีเหมืองฝายก็สร้างเหมืองฝายใหม่เพื่อทดน้ำเข้านา พอข้าวเสร็จก็ปลูกหอมกระเทียมและใบยากันต่อไป นอกจากนั้นท่านได้เป็นผู้นำในการบำรุงพระพุทธศาสนา ปรับปรุงวัดที่เก่าแก่ให้เจริญก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพง สร้างวิหาร กุฏิ โบสถ์ วัดวาอาราม บริเวณนอกเมืองและในเมืองลำพูน ชักชวนราษฎรสร้างสะพาน ยกร่องถนนในหมู่บ้านให้ล้อเกวียนเข้าได้ ขุดร่องระบายน้ำเวลาฝนตกราชโอรส ราชธิดา ราชโอรส ราชธิดา. เจ้าหลวงเหมพินธุไพจิตร ทรงมีราชโอรสและราชธิดา รวม 19 พระองค์ อยู่ในราชตระกูล ณ ลำพูน และ ลังการ์พินธุ์ มีพระนามตามลำดับ ดังนี้แม่เจ้าเปาคำเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าเปาคำเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าเปาคำเหมพินธุไพจิตร (มีราชโอรส 1 ราชธิดา 2)- เจ้าหญิงรสคำ (ณ ลำพูน) ณ เชียงใหม่ - ชายา เจ้าน้อยแก้วมรกต ณ เชียงใหม่ - เจ้าน้อยสองเมือง ณ ลำพูน - เจ้าหญิงลัมนุช ณ ลำพูนแม่เจ้าอุษาเหมพินธุไพจิตรราชเทวี แม่เจ้าอุษาเหมพินธุไพจิตรราชเทวี. ใน แม่เจ้าอุษาเหมพินธุไพจิตรเทวี (มีราชโอรส 1)- เจ้าบุรีรัตน์ สุริยะ ณ ลำพูน, เจ้าบุรีรัตน์นครลำพูนแม่เจ้าบัวทิพย์เหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าบัวทิพย์เหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าบัวทิพย์เหมพินธุไพจิตรเทวี (มีราชโอรส 1)- เจ้าไชยสงคราม โอรส ณ ลำพูน, เจ้าไชยสงครามนครลำพูนแม่เจ้าบัวเขียวใหญ่เหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าบัวเขียวใหญ่เหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าบัวเขียวใหญ่เหมพินธุไพจิตรเทวี (มีราชโอรส 1)- เจ้าอุตรการโกศล เมืองคำ ณ ลำพูน, เจ้าอุตรการโกศลนครลำพูนแม่เจ้าบัวเขียวน้อยเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าบัวเขียวน้อยเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าบัวเขียวน้อยเหมพินธุไพจิตร (มีราชโอรส 2)- เจ้าน้อยอินเหลา ณ ลำพูน - เจ้าน้อยคำมุง ณ ลำพูนแม่เจ้าฝางเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าฝางเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าฝางเหมพินธุไพจิตร (มีราชโอรส 1 ราชธิดา 1)- เจ้าหญิงลังกา ณ ลำพูน - เจ้าน้อยอินทยศ ณ ลำพูนแม่เจ้าคำปาเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าคำปาเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าคำปาเหมพินธุไพจิตร (มีราชโอรส 1)- เจ้าน้อยแจ่ม ณ ลำพูนแม่เจ้าบัวล้อมเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าบัวล้อมเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าบัวล้อมเหมพินธุ์ไพจิตร (มีราชโอรส 1)- เจ้าน้อยรามจักร ลังการ์พินธุ์ - เจ้าน้อยรามจักรฯ ได้รับพระราชทานใช้นามราชตระกูลสาขา "ลังการ์พินธุ์"แม่เจ้าบุญเป็งเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าบุญเป็งเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าบุญเป็งเหมพินธุไพจิตร (มีราชโอรส 1)- เจ้าน้อยคำหมื่น ณ ลำพูนแม่เจ้าคำแปงเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าคำแปงเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าคำแปงเหมพินธุไพจิตร (มีราชธิดา 1)- เจ้าหญิงคำแตน ณ ลำพูนแม่เจ้าคำปันเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าคำปันเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าคำปันเหมพินธุไพจิตร (มีราชธิดา 2)- เจ้าหญิงจันทร์ฟอง ณ ลำพูน - เจ้าหญิงจันทร์เที่ยง ณ ลำพูนแม่เจ้าปันเหมพินธุไพจิตร แม่เจ้าปันเหมพินธุไพจิตร. ใน แม่เจ้าปันเหมพินธุไพจิตร (มีราชธิดา 2)- เจ้าหญิงมุกดิ์ ณ ลำพูน - เจ้าหญิงพิมพา ณ ลำพูนหม่อม - หม่อม -. ใน หม่อม - (มีราชธิดา 1)- เจ้าหญิงแว่นคำ (ณ ลำพูน) ธนัญชยานนท์ - ชายา เจ้าราชบุตร มหาวัน ธนัญชยานนท์, เจ้าราชบุตรนครลำพูนลำดับสาแหรก
เจ้าคำหยาด
279
289
255
1
เทือกเขาที่ยาวที่สุดในทวีปยุโรป คือเทือกเขาอะไร
เทือกเขาคาร์เพเทียน เทือกเขาคาร์เพเทียน () เป็นเทือกเขาที่มีความยาวราว 1,500 กม. (932 ไมล์) ในทวีปยุโรปตอนกลางและตะวันออก เป็นเทือกเขาที่มีความยาวเป็นอันดับ 2 ในยุโรป (รองจากเทือกเขาสแกนดิเนเวีย ที่มีความยาว 1,700 กม. (1,056 ไมล์) เทือกเขาคาร์เพเทียนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ทิวเขาเวสเทิร์นคาร์เพเทียน (เช็กเกีย โปแลนด์ สโลวาเกีย), ทิวเขาเซนทรัลคาร์เพเทียน (โปแลนด์ตะวันออกเฉียงใต้ สโลวาเกียตะวันออก ยูเครน โรมาเนีย) และอีสเทิร์นคาร์เพเทียน (โรมาเนีย เซอร์เบีย) เทือกเขาสูงสุดของคาร์เพเทียนคือทาทรัส เป็นชายแดนระหว่างโปแลนด์กับสโลวาเกีย มีจุดสูงสุดมากกว่า 2,600 ม. (8,530 ฟุต) ยอดสูงสุดชื่อ เกร์ลาคอฟกา
เทือกเขาสแกนดิเนเวีย
269
289
256
1
เทือกเขาที่มีความยาวเป็นอันดับ 2 ในยุโรป คือเทือกเขาอะไร
เทือกเขาคาร์เพเทียน เทือกเขาคาร์เพเทียน () เป็นเทือกเขาที่มีความยาวราว 1,500 กม. (932 ไมล์) ในทวีปยุโรปตอนกลางและตะวันออก เป็นเทือกเขาที่มีความยาวเป็นอันดับ 2 ในยุโรป (รองจากเทือกเขาสแกนดิเนเวีย ที่มีความยาว 1,700 กม. (1,056 ไมล์) เทือกเขาคาร์เพเทียนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ทิวเขาเวสเทิร์นคาร์เพเทียน (เช็กเกีย โปแลนด์ สโลวาเกีย), ทิวเขาเซนทรัลคาร์เพเทียน (โปแลนด์ตะวันออกเฉียงใต้ สโลวาเกียตะวันออก ยูเครน โรมาเนีย) และอีสเทิร์นคาร์เพเทียน (โรมาเนีย เซอร์เบีย) เทือกเขาสูงสุดของคาร์เพเทียนคือทาทรัส เป็นชายแดนระหว่างโปแลนด์กับสโลวาเกีย มีจุดสูงสุดมากกว่า 2,600 ม. (8,530 ฟุต) ยอดสูงสุดชื่อ เกร์ลาคอฟกา
เทือกเขาคาร์เพเทียน
115
134
257
1
ผู้สร้างวัดน้อย จังหวัดน่าน คือใคร
วัดน้อย (จังหวัดน่าน) โบราณสถานวัดน้อย หรือเรียกโดยย่อว่า วัดน้อย เป็นวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ตั้งอยู่ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านใกล้วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร สร้างตามพระประสงค์ในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช และมีชื่อเสียงจากการเป็นวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทยประวัติ ประวัติ. พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้าผู้ครองนครน่าน ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้ากรุงสยามในปี พ.ศ. 2416 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระดำรัสตรัสถามถึงจำนวนวัดภายในน่าน พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชได้กราบทูลว่าในน่านมีวัดทั้งหมด 500 วัด เมื่อพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชกลับน่านจึงสำรวจจำนวนวัดใหม่อีกครั้ง ก็พบว่ามีวัดทั้งหมด 499 วัด คลาดไปหนึ่งวัด ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างพื้นเมืองน่านก่อสร้างวัดตรงโคนต้นโพหน้าหอคำหรือวังที่พระองค์ประทับ เพื่อให้วัดครบจำนวนตามที่กราบทูลพระเจ้ากรุงสยามเป็นสัจจวาจา และตั้งชื่อว่า "วัดน้อย" ต่อมาหอคำได้กลายสภาพเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านในปัจจุบัน บางแห่งก็ว่าวัดน้อยคือหอเสื้อเมืองมากกว่าที่จะเป็นวัดในพุทธศาสนาโครงสร้าง โครงสร้าง. โครงสร้างของวัดน้อยมีลักษณะเป็นวิหารก่ออิฐถือปูนศิลปะล้านนาสกุลช่างเมืองน่านผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันไปทางทิศตะวันออก หลังคาก่ออิฐถือปูนเป็นทรงจั่วซ้อนกันสองชั้น แต่มีขนาดน้อยคล้ายศาลพระภูมิ เพราะมีขนาดกว้าง 1.98 เมตร ยาว 2.34 เมตร และสูง 3.35 เมตร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป และแผงพระพิมพ์ไม้ จากลักษณะที่โดดเด่นของวัดน้อยที่เป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงยกให้วัดน้อยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันซีนอินไทยแลนด์ด้วย
พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช
379
402
258
1
บ้านเกิดของพระเทพโมลี หรือ สำรอง คุณวุฑฺโฒ อยู่ที่จังหวัดใด
พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) อดีตเจ้าอาวาสวัดอโศการาม หมู่ 2 ซ.สุขาภิบาล 58 ถ.สุขุมวิท (กม.31) ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการประวัติชาติกำเนิด ประวัติ. ชาติกำเนิด. พระเทพโมลี มีชาติกำเนิดในสกุล “อุตตรนคร” มีนามเดิมว่า “สำรอง” เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีกุน ณ ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โยมมารดาชื่อ “นิ่ม” มีบ้านเดิม อยู่ที่อำเภอหนองสองห้อง และเป็นญาติกับพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมทาจารย์(พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) โยมบิดาชื่อ “สี” ท่านเป็นบุตรคนที่ 4 ในพี่น้อง 10 คนอุปสมบท อุปสมบท. พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) ได้อุปสมบทที่วัดพุทธวิสัยยาราม (วัดท่าน้ำพอง) ปี พ.ศ. 2474 โดยมีพระครูแก้ว วัดพิชัยพัฒนา เป็นอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์ค้ำ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูบุญตา เป็นพระอนุสาวานาจารย์ สังกัดมหานิกาย ในปี พ.ศ. 2476 ท่านได้รับการญัตติใหม่เป็นธรรมยุติ โดยมี พระพรหมมุนี(ติสฺโส อ้วน) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส เป็นพระอุปฌาย์ พระคุณธรรมฐิติญาณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระญาณดิลก(พิมพ์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า คุณวุฑฺโฒ และในปีนั้นเองท่านได้ตั้งใจศึกษาธรรมจนสอบได้ นักธรรมชั้นโท ในปีต่อมาท่าน สอบได้เปรียญธรรมประโยค 3 และได้ย้ายมาพำนักอยู่ที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และตั้งใจศึกษาธรรมจนในปี 2480 ท่านสอบได้เปรียญธรรม 5 เมื่อท่านสอบได้เปรียญธรรม 5 แล้ว จึงหันมาตั้งใจในแนวทางของการปฏิบัติ ท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปกับหมู่สหธรรมิกเพื่อหาประสบการณ์ ในปี พ.ศ. 2482 ได้ไปจำวัดอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ทำหน้าที่เป็นครูสอนบาลีไวยากรณ์ ช่วยสนองงานท่านเจ้าคุณญาณดิลก ซึ่งในขณะนั้นท่านเจ้าคุณ ได้รับหน้าที่ดูแลคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตที่จังหวัด เชียงใหม่ และได้เป็นจังหวะดียิ่งที่ในช่วงเวลานั้น ท่านพระอาจารย์ มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินทางผ่านมาพักที่วัดเจดีย์หลวง จึงได้มีโอกาส กราบนมัสการฟังธรรมและอบรมสมาธิกับพระอาจารย์มั่นบ้าง และเมื่อมีเวลาท่านก็จะท่องเที่ยวจาริกหาที่วิเวกปฏิบัติธรรม ตามป่าเขาทางภาคเหนือ เคยได้ไปพักอยู่กับ พระอาจารย์หนูและหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณวัดอโศกราม วัดอโศกราม. ในปี พ.ศ. 2485 คณะรัฐบาลของจอมพล ป พิบูลสงคราม มีความประสงค์จะให้ พระทั้งมหานิกายและธรรมยุติอยู่รวมกันเป็นคณะเดียวจึงได้สร้างวัดศรีมหาธาตุขึ้น โดยอาราธนา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน ติสฺโส)ให้ไปเป็นเจ้าอาวาส ท่านจึงได้รับเลือกเป็นเลขานุการของสมเด็จรูปหนึ่ง และในปี 2505 ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดอโศการาม จวบจนปี พ.ศ 2509 ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดอโศการามมรณภาพ มรณภาพ. พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) ท่านได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ขณะอายุได้ 89 ปี พรรษาที่ 68สมณศักดิ์สมณศักดิ์. - พ.ศ 2494 ได้รับการแต่งตั้งเป็น "พระครูศรีมหาเจติยาภิมนต์" - พ.ศ 2497 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ “พระศรีวิศาลคุณ” - พ.ศ 2505 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ “พระราชวรคุณ” - พ.ศ 2528 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ “พระเทพโมลี”
จังหวัดขอนแก่น
464
478
259
1
พระอุปัชฌาย์ของพระเทพโมลี หรือ สำรอง คุณวุฑฺโฒ มีนามว่าอะไร
พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) อดีตเจ้าอาวาสวัดอโศการาม หมู่ 2 ซ.สุขาภิบาล 58 ถ.สุขุมวิท (กม.31) ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการประวัติชาติกำเนิด ประวัติ. ชาติกำเนิด. พระเทพโมลี มีชาติกำเนิดในสกุล “อุตตรนคร” มีนามเดิมว่า “สำรอง” เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีกุน ณ ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โยมมารดาชื่อ “นิ่ม” มีบ้านเดิม อยู่ที่อำเภอหนองสองห้อง และเป็นญาติกับพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมทาจารย์(พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) โยมบิดาชื่อ “สี” ท่านเป็นบุตรคนที่ 4 ในพี่น้อง 10 คนอุปสมบท อุปสมบท. พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) ได้อุปสมบทที่วัดพุทธวิสัยยาราม (วัดท่าน้ำพอง) ปี พ.ศ. 2474 โดยมีพระครูแก้ว วัดพิชัยพัฒนา เป็นอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์ค้ำ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูบุญตา เป็นพระอนุสาวานาจารย์ สังกัดมหานิกาย ในปี พ.ศ. 2476 ท่านได้รับการญัตติใหม่เป็นธรรมยุติ โดยมี พระพรหมมุนี(ติสฺโส อ้วน) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส เป็นพระอุปฌาย์ พระคุณธรรมฐิติญาณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระญาณดิลก(พิมพ์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า คุณวุฑฺโฒ และในปีนั้นเองท่านได้ตั้งใจศึกษาธรรมจนสอบได้ นักธรรมชั้นโท ในปีต่อมาท่าน สอบได้เปรียญธรรมประโยค 3 และได้ย้ายมาพำนักอยู่ที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และตั้งใจศึกษาธรรมจนในปี 2480 ท่านสอบได้เปรียญธรรม 5 เมื่อท่านสอบได้เปรียญธรรม 5 แล้ว จึงหันมาตั้งใจในแนวทางของการปฏิบัติ ท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปกับหมู่สหธรรมิกเพื่อหาประสบการณ์ ในปี พ.ศ. 2482 ได้ไปจำวัดอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ทำหน้าที่เป็นครูสอนบาลีไวยากรณ์ ช่วยสนองงานท่านเจ้าคุณญาณดิลก ซึ่งในขณะนั้นท่านเจ้าคุณ ได้รับหน้าที่ดูแลคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตที่จังหวัด เชียงใหม่ และได้เป็นจังหวะดียิ่งที่ในช่วงเวลานั้น ท่านพระอาจารย์ มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินทางผ่านมาพักที่วัดเจดีย์หลวง จึงได้มีโอกาส กราบนมัสการฟังธรรมและอบรมสมาธิกับพระอาจารย์มั่นบ้าง และเมื่อมีเวลาท่านก็จะท่องเที่ยวจาริกหาที่วิเวกปฏิบัติธรรม ตามป่าเขาทางภาคเหนือ เคยได้ไปพักอยู่กับ พระอาจารย์หนูและหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณวัดอโศกราม วัดอโศกราม. ในปี พ.ศ. 2485 คณะรัฐบาลของจอมพล ป พิบูลสงคราม มีความประสงค์จะให้ พระทั้งมหานิกายและธรรมยุติอยู่รวมกันเป็นคณะเดียวจึงได้สร้างวัดศรีมหาธาตุขึ้น โดยอาราธนา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน ติสฺโส)ให้ไปเป็นเจ้าอาวาส ท่านจึงได้รับเลือกเป็นเลขานุการของสมเด็จรูปหนึ่ง และในปี 2505 ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดอโศการาม จวบจนปี พ.ศ 2509 ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดอโศการามมรณภาพ มรณภาพ. พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) ท่านได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ขณะอายุได้ 89 ปี พรรษาที่ 68สมณศักดิ์สมณศักดิ์. - พ.ศ 2494 ได้รับการแต่งตั้งเป็น "พระครูศรีมหาเจติยาภิมนต์" - พ.ศ 2497 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ “พระศรีวิศาลคุณ” - พ.ศ 2505 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ “พระราชวรคุณ” - พ.ศ 2528 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ “พระเทพโมลี”
พระครูแก้ว
765
775
260
1
ทาทา มอเตอร์ส เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของประเทศอะไร
ทาทา มอเตอร์ส ทาทา มอเตอร์ส () บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอินเดีย เป็นบริษัทย่อยของทาทา กรุ๊ป มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย เดิมมีชื่อว่า TELCO (TATA Engineering and Locomotive Company) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1945 เป็นผู้ผลิตหัวรถจักร และเริ่มผลิตรถยนต์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 โดยเป็นผลงานร่วมทุนกับเดมเลอร์-เบนซ์ ในปี ค.ศ. 2008 ทาทา มอเตอร์ส ได้ซื้อกิจการรถยนต์จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ จากฟอร์ดมอเตอร์ส ทำให้บริษัทมียอดขายรวม 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และติดอันดับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับที่ 19 ของโลก ก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 2004 ทาทา มอเตอร์ส ได้ซื้อกิจการผลิตรถบรรทุกมาจากแดวู และดำเนินกิจการในชื่อ ทาทา แดวู ทาทา มอเตอร์ส มีโรงงานอยู่ที่เมือง Jamshedpur รัฐฌาร์ขัณฑ์, Pantnagar รัฐอุตตราขัณฑ์, Lucknow รัฐอุตตรประเทศ, Ahmedabad รัฐคุชราต และเมือง Pune รัฐมหาราษฏระ ในต่างประเทศมีโรงงานอยู่ที่อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ และโรงงานในประเทศไทยที่จังหวัดสมุทรปราการ ทาทา มอเตอร์ส เป็นผู้ออกแบบและผลิตรถรุ่น ทาทา นาโน เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ตั้งเป้าหมายว่า จะให้เป็นรถยนต์ที่มีราคาจำหน่ายถูกที่สุดในโลก
อินเดีย
146
153
261
1
โรงงานทาทา มอเตอร์สในประเทศไทยอยู่ที่จังหวัดอะไร
ทาทา มอเตอร์ส ทาทา มอเตอร์ส () บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอินเดีย เป็นบริษัทย่อยของทาทา กรุ๊ป มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย เดิมมีชื่อว่า TELCO (TATA Engineering and Locomotive Company) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1945 เป็นผู้ผลิตหัวรถจักร และเริ่มผลิตรถยนต์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 โดยเป็นผลงานร่วมทุนกับเดมเลอร์-เบนซ์ ในปี ค.ศ. 2008 ทาทา มอเตอร์ส ได้ซื้อกิจการรถยนต์จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ จากฟอร์ดมอเตอร์ส ทำให้บริษัทมียอดขายรวม 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และติดอันดับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับที่ 19 ของโลก ก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 2004 ทาทา มอเตอร์ส ได้ซื้อกิจการผลิตรถบรรทุกมาจากแดวู และดำเนินกิจการในชื่อ ทาทา แดวู ทาทา มอเตอร์ส มีโรงงานอยู่ที่เมือง Jamshedpur รัฐฌาร์ขัณฑ์, Pantnagar รัฐอุตตราขัณฑ์, Lucknow รัฐอุตตรประเทศ, Ahmedabad รัฐคุชราต และเมือง Pune รัฐมหาราษฏระ ในต่างประเทศมีโรงงานอยู่ที่อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ และโรงงานในประเทศไทยที่จังหวัดสมุทรปราการ ทาทา มอเตอร์ส เป็นผู้ออกแบบและผลิตรถรุ่น ทาทา นาโน เป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ตั้งเป้าหมายว่า จะให้เป็นรถยนต์ที่มีราคาจำหน่ายถูกที่สุดในโลก
จังหวัดสมุทรปราการ
937
955
262
1
บอลทิมอร์ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐแมริแลนด์ประเทศอะไร
บอลทิมอร์ บอลทิมอร์ () เป็นเมืองอิสระ และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา โดยอยู่ห่างจากวอชิงตัน ดี.ซี. ประมาณ 64 กิโลเมตร ในตัวเมืองบอลทิมอร์มีประชากรประมาณ 630,000 คน บอลทิมอร์ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1729 โดยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันออกแห่งหนึ่ง ในปัจจุบันสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงในบอลทิมอร์คือ มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ โดยภายนอกเมืองมีสนามบินนานาชาติ สนามบินบอลทิมอร์-วอชิงตัน เป็นสนามบินหลักในบริเวณ ในปี 2561 บอลทิมอร์ ติดใน 50 อันดับเมืองที่อันตรายที่สุดในโลก
สหรัฐอเมริกา
163
175
263
1
มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของเมืองบอลทิมอร์ รัฐแมริแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่อว่าอะไร
บอลทิมอร์ บอลทิมอร์ () เป็นเมืองอิสระ และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา โดยอยู่ห่างจากวอชิงตัน ดี.ซี. ประมาณ 64 กิโลเมตร ในตัวเมืองบอลทิมอร์มีประชากรประมาณ 630,000 คน บอลทิมอร์ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1729 โดยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันออกแห่งหนึ่ง ในปัจจุบันสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงในบอลทิมอร์คือ มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ โดยภายนอกเมืองมีสนามบินนานาชาติ สนามบินบอลทิมอร์-วอชิงตัน เป็นสนามบินหลักในบริเวณ ในปี 2561 บอลทิมอร์ ติดใน 50 อันดับเมืองที่อันตรายที่สุดในโลก
มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์
410
434
264
1
ผู้กำกับการแสดงละครเรื่อง นาคี ละครโทรทัศน์ไทยฉายในปี พ.ศ. 2559 คือใคร
นาคี นาคี เป็นละครโทรทัศน์ไทยในปี พ.ศ. 2559 จากบทประพันธ์ เรื่อง นาคี ของ ตรี อภิรุม สร้างโดย บริษัท ดู เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ควบคุมการผลิตโดย ธัญญา วชิรบรรจง กำกับการแสดงโดย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง และนำแสดงโดย ณฐพร เตมีรักษ์, ภูภูมิ พงศ์ภาณุ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทุกวันจันทร์-อังคาร เริ่มตอนแรกเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559นักแสดงงานสร้าง งานสร้าง. นาคี ได้มีการถ่ายทำผ่านฉากบลูสกรีนโดยผ่านการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ กราฟิก (Computer Graphic) จากทีม Fatcat ที่สร้างผลงานด้านกราฟิกมาแล้วเรื่อง รากบุญ, มณีสวาท, บุรำปรัมปรา เข้ามาช่วยเสริมสร้างตัวงู, ตัวพญานาคหรือตัวงูเจ้าแม่นาคีรวมไปถึงสัตว์ประหลาดตัวอื่น ๆ ขึ้นมาให้เนียนและมีความสมจริงมากที่สุด รวมไปถึงละครเรื่องนี้ ได้ใช้สถานที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมจากแต่ละภาคในประเทศไทยในการถ่ายทำละครอีกด้วย ซึ่งมีจังหวัดที่อยู่นอกเหนือจากกรุงเทพมหานครแล้วนั้นยังมีจังหวัดอื่น ๆ อีก จากภาคเหนือ, ภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ จังหวัดนครราชสีมา, จังหวัดบุรัรัมย์, จังหวัดกาญจนบุรี, จังหวัดชัยภูมิ, จังหวัดราชบุรี, จังหวัดอุทัยธานี, จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, จังหวัดนครนายก, จังหวัดสระบุรี, จังหวัดปทุมธานี เป็นต้น ด้านการแสดง ที่มีการเลือกใช้ภาษาอีสานทั้งเรื่องนั้น สรรัตน์ ผู้เขียนบท บอกถึงวัตถุประสงค์ว่า หวังจะให้คนดูกลับมาชื่นชมกับภูมิปัญญา และมองภาษาอีสานเป็นเรื่องทันสมัย ลบล้างทัศนคติเดิม ๆ ที่มองว่า พูดอีสานแล้วเป็นคนต่างจังหวัด ทำให้ใครก็ตามที่พูดอีสานแล้วไม่ฟังดูเชย ส่วนที่เลือกใช้ภาษาอีสานสำเนียงอุบล เนื่องจากมีคำกล่าวว่า สำเนียงนี้มีความอ่อนช้อย ไพเราะ ในกองถ่ายจะมีครูแปลภาษาอีสานโดยเฉพาะ เพื่อแปลบทที่เป็นภาษากลาง ให้เป็นภาษาอีสาน พูดออกเสียงแล้วอัดใส่ที่อัดเสียง ส่งให้นักแสดงแต่ละคนฟัง แล้วท่องจำสำเนียงจนคุ้นหูก่อนจะเอามาพูดในฉากที่ต้องแสดงการตอบรับคำวิจารณ์ การตอบรับ. คำวิจารณ์. ด้านคำวิจารณ์ มติชนชื่นชมในเรื่อง "การฝึกตัวละครให้ใช้ภาษาอีสานเดินเรื่อง ตามภูมิหลังของสถานที่ ตามมาด้วยการชมความงามของตัวละครนำ ณฐพร เตมีรักษ์ ทั้งในชุดโบราณ และการไม่แต่งหน้ามาก ซึ่งประการหลังดูจะควบคุมให้พอดีไปถึงตัวละครอื่น ๆ ด้วย จากนั้นจึงพูดกันถึงการใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพ ก็ได้เสียงชมที่สามารถทำให้กลมกลืนไปกับการแสดงของตัวละครได้ ไม่โดดเป็นการ์ตูนผสมหนังออกมา แล้วจึงเป็นการชมกระบวนงานสร้าง ซึ่งที่เด่นจนเห็นได้คือการพยายามใช้แสงจริงตามกาลเทศะ เช่นแสงตะเกียงตอนกลางคืนเป็นต้น นอกเหนือความตั้งใจให้สมจริงของสภาพแวดล้อมหมู่บ้านในเรื่อง" เรื่องบทบาทตัวละคร ได้รับคำวิจารณ์ว่า "ตัวละครที่สวมบทสาขาอาชีพใดอาชีพหนึ่งเหล่านั้น มักมีพฤติกรรมแบบละครไทยหนังไทยผิดมนุษย์มนาจริง ๆ ไปมาก"เรตติ้ง เรตติ้ง. การตอบรับของละครเรื่องนี้ทั้งหมดสิบเอ็ดตอนที่ได้ออกอากาศไป เมื่อวันที่ 26 กันยายน – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559 นาคี ทำเรตติ้งต่อตอนสูงสุดและเรตติ้งเฉลี่ยสูงสุดของปี 2559ผลการสำรวจความนิยม ผลการสำรวจความนิยม. นาคี ถูกยกให้เป็นละครแห่งปีจากสื่อบันเทิง และโพลมหาชนสำนักต่าง ๆ ติดเทรนด์อันดับหนึ่งกระแสโซเชียลยอดนิยมของโลก คนในวงการบันเทิงยกย่องให้เป็นละครแห่งปี 2559 ณฐพร เตมีรักษ์ นักแสดงนำของละครเรื่องได้รับฉายาว่า "คำแก้ว ให้แต้วเกิด" จากสมาคมนักข่าวบันเทิง และถูกยกให้เป็น "นางเอกในดวงใจ" อันดับหนึ่ง ด้วยคะแนนร้อยละ 25.1% นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล APOP ขวัญใจประชาชนจากอมรินทร์ทีวี สำนักงานวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่องที่สุดแห่งความบันเทิงปี 2559 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพจำนวน 1,241 คน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 12-17 ธันวาคม 2559 นาคี ถูกจัดให้อยู่อันดับหนึ่งละครที่ประชาชนชอบมากที่สุดแห่งปี ซึ่งได้คะแนนร้อยละ 75.6 ในขณะที่ ณฐพรถูกจัดให้อยู่อันดับหนึ่งดาราหญิงที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุดแห่งปี ได้คะแนนร้อยละ 54.5% และ ภูภูมิ พงศ์ภาณุ ก็ถูกจัดอันดับหนึ่งดาราชายที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุดแห่งปีเช่นเดียวกัน ได้คะแนนร้อยละ 33.33% กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “ที่สุดแห่งปี 2559” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,160 คน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ระหว่างวันที่ 16-20 ธันวาคม 2559 อันดับหนึ่งที่สุดของละครไทยที่ชื่นชอบ ได้แก่ นาคี ซึ่งได้คะแนนไป 71.6% อันดับหนึ่งดาราหญิงที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบได้แก่ ณฐพร ร้อยละ 27.6% และอันดับสามดาราชายที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบได้แก่ ภูภูมิ ร้อยละ 12.8% สวนดุสิตโพล โดยมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน กรณี “ที่สุดแห่งปี” ได้สำรวจความคิดเห็นจากประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 5,694 คน ระหว่างวันที่ 10-29 ธันวาคม 2559 ณฐพรถูกจัดอันดับสองดาราหญิงที่ชื่นชอบมากที่สุด ร้อยละ 26.10% อีสานโพล โดยศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยผลสำรวจเรื่อง "รางวัลแห่งปีของคนอีสาน ปี 2559" จากกลุ่มตัวอย่าง 2,530 คน นาคี ถูกจัดอันดับหนึ่งละครจอแก้วแห่งปี ได้คะแนนร้อยละ 23.7% ณฐพรถูกจัดอันดับหนึ่งนางเอกแห่งปี ร้อยละ 15.1% ภูภูมิอันดับสองพระเอกแห่งปี ร้อยละ 9.7% "คู่คอง" อันดับหนึ่งเพลงดังแห่งปี ร้อยละ 14.6% ก้อง ห้วยไร่ อันดับหนึ่งนักร้องชายแห่งปี ร้อยละ 12.7% ส่วนอีกเพลงที่ใช้ประกอบคือ เพลง "ขาดเธอขาดใจ" (เพลงปิดเรื่องตอนที่ 1-10) ขับร้องโดย นัท ชาติชายรางวัลและการเสนอชื่อ
พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
258
277
265
1
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 พระราชวังสำคัญที่ตั้งอยู่ในกรีนิชคือพระราชวังอะไร
กรีนิช กรีนิช () เป็นเขตการปกครองของลอนดอน สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ เป็นที่ตั้งของหอดูดาวหลวงกรีนิชระหว่างปี ค.ศ. 1675-1950 เส้นเมริเดียนทีผ่านกรีนิชถือเป็นฐานของเวลามาตรฐานตลอดทั่วทั้งโลกและใช้ในการคำนวณลองจิจูดของสถานที่ต่าง ๆ กรีนิชเป็นที่ตั้งของพระราชวังพลาเซ็นเทียตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นสถานที่พระราชสมภพของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ทิวดอร์ หลายพระองค์เช่น พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นต้น
พระราชวังพลาเซ็นเทีย
357
377
266
1
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ทรงประสูติที่เมืองอะไร
กรีนิช กรีนิช () เป็นเขตการปกครองของลอนดอน สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ เป็นที่ตั้งของหอดูดาวหลวงกรีนิชระหว่างปี ค.ศ. 1675-1950 เส้นเมริเดียนทีผ่านกรีนิชถือเป็นฐานของเวลามาตรฐานตลอดทั่วทั้งโลกและใช้ในการคำนวณลองจิจูดของสถานที่ต่าง ๆ กรีนิชเป็นที่ตั้งของพระราชวังพลาเซ็นเทียตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นสถานที่พระราชสมภพของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ทิวดอร์ หลายพระองค์เช่น พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นต้น
กรีนิช
89
95
267
1
บริษัทออราเคิลคอร์ปอเรชันก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ใด
ออราเคิลคอร์ปอเรชัน ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น () เป็น บริษัทคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาโปรแกรมฐานข้อมูล, เครื่องมือสำหรับพัฒนาฐานข้อมูล, ระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร, ระบบลูกค้าสัมพันธ์, ระบบบริหารห่วงโซ่อุปทาน ออราเคิลก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2520 และมีสำนักงานอยู่ในมากกว่า 145 ประเทศ ในปี พ.ศ. 2548 บริษัทมีพนักงานมากกว่า 50,000 คนทั่วโลกคู่แข่ง คู่แข่ง. ในตลาดฐานข้อมูลออราเคิลมีคู่แข่งหลักคือ IBM DB2 และ Microsoft SQL Server คู่แข่งที่รองลงมาเช่น Sybase, Teradata, Informix และ MySQL ภายในตลาดโปรแกรมระบบมีคู่แข่งที่สำคัญคือ SAP
ปี พ.ศ. 2520
309
321
268
1
มหาวิทยาลัยศิลปะเบรเมิน อยู่ในประเทศอะไร
มหาวิทยาลัยศิลปะเบรเมิน มหาวิทยาลัยศิลปะเบรเมิน (, ) เป็นมหาวิทยาลัยในเบรเมิน ประเทศเยอรมนี มีประวัติย้อนไปถึง ค.ศ. 1873 ประกอบด้วยคณะวิจิตรศิลป์และการออกแบบ และคณะดนตรี มีนักศึกษาประมาณ 900 คน ศาสตราจารย์ 65 คน และผู้ช่วยศาสตราจารย์ 180 คน
ประเทศเยอรมนี
177
190
269
1
พรรคทาโย เป็นพรรคการเมืองในประเทศอะไร
พรรคทาโย พรรคทาโย () เป็นพรรคการเมืองในประเทศโซมาเลีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อตั้นปีพ.ศ. 2555 โดยโมฮัมเหม็ด อับดุลลาฮี โมฮัมเหม็ด อดีตนายกรัฐมนตรีโซมาเลีย ปัจจุบันพรรคทาโยมี มัรยัม กาซิมอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสตรีในรัฐบาลของโมฮัมเหม็ด เป็นประธานพรรค โดยมีโมฮัมเหม็ด อับดุลลาฮี โมฮัมเหม็ด เป็นเลขาธิการพรรค
ประเทศโซมาเลีย
123
137
270
1
ประธานพรรคการเมืองทาโยของโซมาเลีย มีชื่อว่าอะไร
พรรคทาโย พรรคทาโย () เป็นพรรคการเมืองในประเทศโซมาเลีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อตั้นปีพ.ศ. 2555 โดยโมฮัมเหม็ด อับดุลลาฮี โมฮัมเหม็ด อดีตนายกรัฐมนตรีโซมาเลีย ปัจจุบันพรรคทาโยมี มัรยัม กาซิมอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสตรีในรัฐบาลของโมฮัมเหม็ด เป็นประธานพรรค โดยมีโมฮัมเหม็ด อับดุลลาฮี โมฮัมเหม็ด เป็นเลขาธิการพรรค
มัรยัม กาซิม
250
262
271
1
พระราชบิดาของหม่อมเจ้ายี่เข่ง มีพระนามว่าอะไร
พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง มีพระนามแต่แรกประสูติว่า หม่อมเจ้ายี่เข่ง เป็นพระธิดาในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพชรหึง พระโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กับจอมมารดาชู พระองค์ทรงรับราชการฝ่ายในภายในพระบรมมหาราชวัง เริ่มแต่เป็นพนักงานนมัสการมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทั้งพนักงานนมัสการ และโปรดฯ ให้รับราชการเป็นผู้ถือรับสั่งเข้านอกออกใน ต่อมาโปรดฯ ให้เป็นพนักงานในการพระโอสถ และการอื่น ๆ อันเป็นการที่จะรักษาพยาบาลให้ทรงสบาย ต่อมาเมื่อพระชนมายุสูง ทรงทำหน้าที่คล้าย ๆ แม่บ้าน ตลอดจนเป็นผู้รับพระบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกไปแจ้งยังเจ้านายหรือข้าราชการฝ่ายหน้า ว่ากันว่าพระองค์เป็นคนที่ดุและเข้มงวด แต่เมื่อทรงพระชราแล้ว มักจะทรงเป็นที่แอบขบขัน แอบล้อกันในหมู่เจ้านายแม้แต่พระองค์พระเจ้าแผ่นดินเอง ดังเรื่องเมื่อทรงเป็นพนักงานพระโอสถทรงมีหน้าที่ถวายยาแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ด้วยท่านเสวยพระโอสถยากก็ทรงรีรออยู่ พระองค์เจ้ายี่เข่งก็ทรงคว้าไม้บรรทัดบนโต๊ะทรงพระอักษร ขู่ว่าจะลงพระอาญาหากไม่รีบเสวยพระโอสถเสียโดยเร็ว เรื่องนี้ได้กลายเป็นที่ทรงขบขันพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมาก ทรงเล่าพระราชทานข้างในว่า "ฉันไม่กินยา เจ้าเข่งแกจะตีฉัน" พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง ทรงมีพระสวามีคือ หม่อมเจ้าชายจักรจั่น ปาลกะวงศ์ พระโอรสในกรมหมื่นนราเทเวศร์ ทรงมีพระธิดาคือ หม่อมราชวงศ์หญิงปลีก ปาลกะวงศ์ ซึ่งทำราชการในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้ง หม่อมเจ้ายี่เข่ง เป็น พระวงษ์เธอ พระองคเจ้ายี่เข่ง ทรงศักดินา 2,000 ในวันศุกร์ เดือน 12 แรม 4 ค่ำ ปีกุน นพศก จ.ศ. 1249 ตรงกับวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2430 พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง สิ้นพระชนม์เมื่อวันจันทร์ เดือน 3 ขึ้น 14 ค่ำ ปีวอก อัฐศก จ.ศ. 1258 ตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดสระเกศ วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2441
พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพชรหึง
220
258
272
1
พระสวามีของพระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง มีพระนามว่าอะไร
พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง มีพระนามแต่แรกประสูติว่า หม่อมเจ้ายี่เข่ง เป็นพระธิดาในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพชรหึง พระโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กับจอมมารดาชู พระองค์ทรงรับราชการฝ่ายในภายในพระบรมมหาราชวัง เริ่มแต่เป็นพนักงานนมัสการมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทั้งพนักงานนมัสการ และโปรดฯ ให้รับราชการเป็นผู้ถือรับสั่งเข้านอกออกใน ต่อมาโปรดฯ ให้เป็นพนักงานในการพระโอสถ และการอื่น ๆ อันเป็นการที่จะรักษาพยาบาลให้ทรงสบาย ต่อมาเมื่อพระชนมายุสูง ทรงทำหน้าที่คล้าย ๆ แม่บ้าน ตลอดจนเป็นผู้รับพระบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกไปแจ้งยังเจ้านายหรือข้าราชการฝ่ายหน้า ว่ากันว่าพระองค์เป็นคนที่ดุและเข้มงวด แต่เมื่อทรงพระชราแล้ว มักจะทรงเป็นที่แอบขบขัน แอบล้อกันในหมู่เจ้านายแม้แต่พระองค์พระเจ้าแผ่นดินเอง ดังเรื่องเมื่อทรงเป็นพนักงานพระโอสถทรงมีหน้าที่ถวายยาแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ด้วยท่านเสวยพระโอสถยากก็ทรงรีรออยู่ พระองค์เจ้ายี่เข่งก็ทรงคว้าไม้บรรทัดบนโต๊ะทรงพระอักษร ขู่ว่าจะลงพระอาญาหากไม่รีบเสวยพระโอสถเสียโดยเร็ว เรื่องนี้ได้กลายเป็นที่ทรงขบขันพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมาก ทรงเล่าพระราชทานข้างในว่า "ฉันไม่กินยา เจ้าเข่งแกจะตีฉัน" พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง ทรงมีพระสวามีคือ หม่อมเจ้าชายจักรจั่น ปาลกะวงศ์ พระโอรสในกรมหมื่นนราเทเวศร์ ทรงมีพระธิดาคือ หม่อมราชวงศ์หญิงปลีก ปาลกะวงศ์ ซึ่งทำราชการในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้ง หม่อมเจ้ายี่เข่ง เป็น พระวงษ์เธอ พระองคเจ้ายี่เข่ง ทรงศักดินา 2,000 ในวันศุกร์ เดือน 12 แรม 4 ค่ำ ปีกุน นพศก จ.ศ. 1249 ตรงกับวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2430 พระวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายี่เข่ง สิ้นพระชนม์เมื่อวันจันทร์ เดือน 3 ขึ้น 14 ค่ำ ปีวอก อัฐศก จ.ศ. 1258 ตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดสระเกศ วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2441
หม่อมเจ้าชายจักรจั่น ปาลกะวงศ์
1,352
1,382
273
1
พระครูพิศาลธรรมโกศลหรือสุพจน์ กญจนิโก พระวัดประยุรวงศาวาส มีนามปากกาว่าอะไร
พระครูพิศาลธรรมโกศล (สุพจน์ กญฺจนิโก) พระครูพิศาลธรรมโกศล (สุพจน์ กญจนิโก) (3 สิงหาคม พ.ศ. 2468 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาส นักเขียนเรื่องสั้นชุด "หลวงตา" เจ้าของนามปากกา แพรเยื่อไม้ พระครูพิศาลธรรมโกศล เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเป็นฆราวาสใช้ชื่อว่า พจน์ คงเพียรธรรม เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายลำใย-นางสำริด คงเพียรธรรม บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ พ.ศ. 2485 อายุ 17 ปี และ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ. 2488 อายุ 20 ปี ณ วัดบ้านช้าง อำเภอวังน้อย พระนครศรีอยุธยา และย้ายมาจำพรรษาอยู่วัดประยุรวงศาวาส เมื่อ พ.ศ. 2489 พระครูพิศาลธรรมโกศล เริ่มงานเขียนหนังสือเมื่อประมาณ พ.ศ. 2500 เรื่องกงกรรมกงเกวียน และเรื่องบุษรา นำออกพิมพ์จำหน่ายเผยแพร่ ตามด้วยเรื่องอุเทนราช เขียนเป็นตอนๆ ลงในวารสารพุทธจักร ประมาณ พ.ศ. 2510 พระครูพิศาลธรรมโกศลเริ่มเขียน เรื่องสั้นชุดหลวงตา โดยเริ่มจากเรื่องสั้นเรื่องแรก ชื่อ บุญหลง เมื่อนำมารวมเล่มจำหน่ายครั้งแรก จึงใช้ชื่อหนังสือว่า หลวงตา ตามชื่อตัวเอก ต่อมาได้รับการติดต่อไปพิมพ์เผยแพร่ในนามของ ศูนย์การเผยแพร่พระพุทธศาสนา มูลนิธิอภิธรรม วัดมหาธาตุ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พิมพ์ซ้ำหลายครั้ง และนามปากกา แพรเยื่อไม้ ก็เป็นที่รู้จักแพร่หลาย พระครูพิศาลธรรมโกศล มรณภาพเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ด้วยโรคมะเร็งในหลอดอาหาร ที่โรงพยาบาลเปาโลผลงานเขียนผลงานเขียน. - กงกรรมกงเกวียน - บุษรา - อุเทนราช - เรื่องสั้นชุดหลวงตาเล่ม 1 - เรื่องสั้นชุดหลวงตาเล่ม 2 - เรื่องสั้นชุดหลวงตาเล่ม 3 - เรื่องสั้นชุดหลวงตาเล่ม 4 - กะโหลกหัวเราะ - ของฝากจากหลวงตา - เอียงตามโลก - เสียงปลุก
แพรเยื่อไม้
319
330
274
1
พระครูพิศาลธรรมโกศลหรือสุพจน์ กญจนิโก พระวัดประยุรวงศาวาสมรณภาพด้วยโรคอะไร
พระครูพิศาลธรรมโกศล (สุพจน์ กญฺจนิโก) พระครูพิศาลธรรมโกศล (สุพจน์ กญจนิโก) (3 สิงหาคม พ.ศ. 2468 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาส นักเขียนเรื่องสั้นชุด "หลวงตา" เจ้าของนามปากกา แพรเยื่อไม้ พระครูพิศาลธรรมโกศล เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเป็นฆราวาสใช้ชื่อว่า พจน์ คงเพียรธรรม เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายลำใย-นางสำริด คงเพียรธรรม บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ พ.ศ. 2485 อายุ 17 ปี และ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ. 2488 อายุ 20 ปี ณ วัดบ้านช้าง อำเภอวังน้อย พระนครศรีอยุธยา และย้ายมาจำพรรษาอยู่วัดประยุรวงศาวาส เมื่อ พ.ศ. 2489 พระครูพิศาลธรรมโกศล เริ่มงานเขียนหนังสือเมื่อประมาณ พ.ศ. 2500 เรื่องกงกรรมกงเกวียน และเรื่องบุษรา นำออกพิมพ์จำหน่ายเผยแพร่ ตามด้วยเรื่องอุเทนราช เขียนเป็นตอนๆ ลงในวารสารพุทธจักร ประมาณ พ.ศ. 2510 พระครูพิศาลธรรมโกศลเริ่มเขียน เรื่องสั้นชุดหลวงตา โดยเริ่มจากเรื่องสั้นเรื่องแรก ชื่อ บุญหลง เมื่อนำมารวมเล่มจำหน่ายครั้งแรก จึงใช้ชื่อหนังสือว่า หลวงตา ตามชื่อตัวเอก ต่อมาได้รับการติดต่อไปพิมพ์เผยแพร่ในนามของ ศูนย์การเผยแพร่พระพุทธศาสนา มูลนิธิอภิธรรม วัดมหาธาตุ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พิมพ์ซ้ำหลายครั้ง และนามปากกา แพรเยื่อไม้ ก็เป็นที่รู้จักแพร่หลาย พระครูพิศาลธรรมโกศล มรณภาพเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ด้วยโรคมะเร็งในหลอดอาหาร ที่โรงพยาบาลเปาโลผลงานเขียนผลงานเขียน. - กงกรรมกงเกวียน - บุษรา - อุเทนราช - เรื่องสั้นชุดหลวงตาเล่ม 1 - เรื่องสั้นชุดหลวงตาเล่ม 2 - เรื่องสั้นชุดหลวงตาเล่ม 3 - เรื่องสั้นชุดหลวงตาเล่ม 4 - กะโหลกหัวเราะ - ของฝากจากหลวงตา - เอียงตามโลก - เสียงปลุก
โรคมะเร็งในหลอดอาหาร
1,284
1,304
275
1
พระมารดาของสมเด็จพระจักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ มีพระนามว่าอะไร
จักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ สมเด็จพระจักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ () (18 กรกฎาคม ค.ศ. 1552 - 20 มกราคม ค.ศ. 1612) ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ผู้ทรงครอจักรวรรดิระหว่างปี ค.ศ. 1576 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1612 พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และ มาเรียแห่งสเปน รัชสมัยของพระองค์สรุปได้เป็นสามประการ ประการแรกทรงเป็นผู้นำผู้ไม่มีประสิทธิภาพที่ความพลาดพลั้งนำไปสู่สงครามสามสิบปี ประการที่สองทรงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในอุปถัมภ์ลัทธิแมนเนอริสม์เหนือ (Northern Mannerism) และประการสุดท้ายทรงเป็นผู้นิยมศิลปะการเล่นแร่แปรธาตุและการศึกษาที่ช่วยปูทางไปสู่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ต่อมาพระอิสริยยศพระอิสริยยศ. - สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 1576 - ค.ศ. 1612) - พระมหากษัตริย์แห่งเยอรมนี (ค.ศ. 1575 - ค.ศ. 1612) - (ค.ศ. 1576 - ค.ศ. 1611) - พระมหากษัตริย์แห่งฮังการี (ค.ศ. 1576 - ค.ศ. 1608) - พระมหากษัตริย์แห่งออสเตรีย (ค.ศ. 1576 - ค.ศ. 1612) - เจ้าชายแห่งพิออมโบ (ค.ศ. 1603 - ค.ศ. 1611) - เจ้าชายทรานซิลเวเนีย (ค.ศ. 1598, ค.ศ. 1600 - ค.ศ. 1601 และ ค.ศ. 1601 - ค.ศ. 1605)
มาเรียแห่งสเปน
543
557
276
1
ราชอาณาจักรทอเลมี ตั้งอยู่ในประเทศอะไรในปัจจุบัน
ราชอาณาจักรทอเลมี ราชอาณาจักรทอเลมี (, ) ตั้งอยู่ในอียิปต์ปัจจุบัน เป็นอาณาจักรที่ก่อตั้งขึ้นหลังจากที่อเล็กซานเดอร์มหาราชได้รับชัยชนะต่ออียิปต์ในปี 332 ก่อนคริสต์ศักราช และสิ้นสุดลงเมื่อคลีโอพัตราสิ้นพระชนม์ เมื่อโรมันได้รับชัยชนะต่ออียิปต์ในปี 30 ก่อนคริสต์ศักราช ราชอาณาจักรทอเลมีก่อตั้งขึ้นโดยทอเลมีที่ 1 โซเตอร์ผู้ประกาศตนเป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์ ทอเลมีสร้างอียิปต์เป็นรัฐกรีกที่มีอาณาบริเวณตั้งแต่ทางใต้ของซีเรียซีเรียไปจนถึงไซรีนในลิเบีย และทางใต้ไปถึงนิวเบีย โดยมีอเล็กซานเดรียเป็นเมืองหลวงและเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมกรีกและการค้า เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนในอียิปต์ทอเลมีก็ประกาศตนว่าเป็นผู้ครองต่อจากฟาโรห์ ผู้ครองราชย์ต่อมารับธรรมเนียมของอียิปต์โบราณในการเสกสมรสกับพี่น้องกันเอง ปฏิบัติตัวและแต่งตัวอย่าอียิปต์ วัฒนธรรมกรีกรุ่งเรืองในอียิปต์จนกระทั่งเมื่อถูกพิชิตโดยมุสลิม ราชวงศ์ทอเลมีต้องต่อสู้กับการปฏิวัติภายในประเทศและการสงครามกับภายนอกซึ่งนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของอำนาจจนกระทั่งมาถูกผนวกโดยราชอาณาจักรโรมันอเล็กซานเดอร์มหาราช อเล็กซานเดอร์มหาราช. ในปี 332 ก่อนคริสต์ศักราชอเล็กซานเดอร์มหาราชกษัตริย์ราชอาณาจักรมาซิโดเนียทรงพิชิตอียิปต์ได้โดยมิได้รับการต่อต้านเท่าใดนักจากฝ่ายเปอร์เชีย อเล็กซานเดอร์ทรงได้รับการต้อนรับโดยชาวอียิปต์ในฐานะผู้ปลดปล่อย พระองค์ทรงแสดงความนับถือวัฒนธรรมของอียิปต์แต่ทรงแต่งตั้งชาวกรีกเป็นผู้บริหารทั้งหมด และทรงก่อตั้งเมืองใหม่อเล็กซานเดรียให้เป็นเมืองหลวง เมื่ออเล็กซานเดอร์ออกจากอียิปต์อีกปีหนึ่งต่อมาพระองค์ก็ทรงทิ้งอียิปต์ให้อยู่ภายใต้การปกครองของข้าหลวงคลีโอเมนีสแห่งนอเครติส (Cleomenes of Naucratis)
อียิปต์
144
151
277
1
เมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชได้รับชัยชนะต่ออียิปต์ เมือปี 332 ก่อนคริสต์ศักราช ได้ก่อตั้งอาณาจักรอะไร
ราชอาณาจักรทอเลมี ราชอาณาจักรทอเลมี (, ) ตั้งอยู่ในอียิปต์ปัจจุบัน เป็นอาณาจักรที่ก่อตั้งขึ้นหลังจากที่อเล็กซานเดอร์มหาราชได้รับชัยชนะต่ออียิปต์ในปี 332 ก่อนคริสต์ศักราช และสิ้นสุดลงเมื่อคลีโอพัตราสิ้นพระชนม์ เมื่อโรมันได้รับชัยชนะต่ออียิปต์ในปี 30 ก่อนคริสต์ศักราช ราชอาณาจักรทอเลมีก่อตั้งขึ้นโดยทอเลมีที่ 1 โซเตอร์ผู้ประกาศตนเป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์ ทอเลมีสร้างอียิปต์เป็นรัฐกรีกที่มีอาณาบริเวณตั้งแต่ทางใต้ของซีเรียซีเรียไปจนถึงไซรีนในลิเบีย และทางใต้ไปถึงนิวเบีย โดยมีอเล็กซานเดรียเป็นเมืองหลวงและเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมกรีกและการค้า เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนในอียิปต์ทอเลมีก็ประกาศตนว่าเป็นผู้ครองต่อจากฟาโรห์ ผู้ครองราชย์ต่อมารับธรรมเนียมของอียิปต์โบราณในการเสกสมรสกับพี่น้องกันเอง ปฏิบัติตัวและแต่งตัวอย่าอียิปต์ วัฒนธรรมกรีกรุ่งเรืองในอียิปต์จนกระทั่งเมื่อถูกพิชิตโดยมุสลิม ราชวงศ์ทอเลมีต้องต่อสู้กับการปฏิวัติภายในประเทศและการสงครามกับภายนอกซึ่งนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของอำนาจจนกระทั่งมาถูกผนวกโดยราชอาณาจักรโรมันอเล็กซานเดอร์มหาราช อเล็กซานเดอร์มหาราช. ในปี 332 ก่อนคริสต์ศักราชอเล็กซานเดอร์มหาราชกษัตริย์ราชอาณาจักรมาซิโดเนียทรงพิชิตอียิปต์ได้โดยมิได้รับการต่อต้านเท่าใดนักจากฝ่ายเปอร์เชีย อเล็กซานเดอร์ทรงได้รับการต้อนรับโดยชาวอียิปต์ในฐานะผู้ปลดปล่อย พระองค์ทรงแสดงความนับถือวัฒนธรรมของอียิปต์แต่ทรงแต่งตั้งชาวกรีกเป็นผู้บริหารทั้งหมด และทรงก่อตั้งเมืองใหม่อเล็กซานเดรียให้เป็นเมืองหลวง เมื่ออเล็กซานเดอร์ออกจากอียิปต์อีกปีหนึ่งต่อมาพระองค์ก็ทรงทิ้งอียิปต์ให้อยู่ภายใต้การปกครองของข้าหลวงคลีโอเมนีสแห่งนอเครติส (Cleomenes of Naucratis)
ราชอาณาจักรทอเลมี
111
128
278
1
พระราชบิดาของท้าวคำถี่ มีพระนามว่าอะไร
ท้าวคำถี่ ท้าวคำถี่ เป็นโอรสองค์ที่สามของสุขางฟ้า ได้รับการสถาปนาจากขุนนางให้เป็นกษัตริย์เมื่อปี พ.ศ. 1923 เพราะไม่สามารถหาบุคคลที่สมควรที่จะเป็นกษัตริย์ได้ประวัติการครองราชย์ประวัติการครองราชย์. - การแก้แค้นชุติยะ- ลอยแพพระมเหสีรอง- การสอบสวนใหม่- สิ้นพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์พระบรมวงศานุวงศ์. - พระราชบิดา : สุขางฟ้า - พระเชษฐา :- สุกรังฟ้า - สุทุฟ้า - พระอนุชา : เจ้าพูลาย(ต่างชนนี) - พระราชโอรส : สุดางฟ้า(เกิดจากพระมเหสีรองที่ถูกลอยแพ)
สุขางฟ้า
124
132
279
1
ท้าวคำถี่ขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่อปี พ.ศ. 1923 มีพระโอรสพระนามว่าอะไร
ท้าวคำถี่ ท้าวคำถี่ เป็นโอรสองค์ที่สามของสุขางฟ้า ได้รับการสถาปนาจากขุนนางให้เป็นกษัตริย์เมื่อปี พ.ศ. 1923 เพราะไม่สามารถหาบุคคลที่สมควรที่จะเป็นกษัตริย์ได้ประวัติการครองราชย์ประวัติการครองราชย์. - การแก้แค้นชุติยะ- ลอยแพพระมเหสีรอง- การสอบสวนใหม่- สิ้นพระชนม์พระบรมวงศานุวงศ์พระบรมวงศานุวงศ์. - พระราชบิดา : สุขางฟ้า - พระเชษฐา :- สุกรังฟ้า - สุทุฟ้า - พระอนุชา : เจ้าพูลาย(ต่างชนนี) - พระราชโอรส : สุดางฟ้า(เกิดจากพระมเหสีรองที่ถูกลอยแพ)
สุดางฟ้า
483
491
280
1
พระปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีพระนามว่าอะไร
สมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระมหาบุรุษ หรือ สมเด็จพระเพทราชา เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 28 ของอาณาจักรอยุธยา และเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2231-2246พระราชประวัติ พระราชประวัติ. สมเด็จพระเพทราชา เป็นชาวบ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี (ปัจจุบันคือบ้านพลูหลวง ตั้งอยู่ใน ต.สนามชัย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี) เป็นบุตรของพระนมเปรม และมีพระขนิษฐาคือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาได้รับราชการจนมีบรรดาศักดิ์เป็นพระเพทราชา ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพระคชบาล มีกำลังพลในสังกัดหลายพัน ในปี พ.ศ. 2231 เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชประทับ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ทรงพระประชวรใกล้สวรรคต ทรงเห็นว่าพระเพทราชาเป็นผู้ใหญ่ จึงมอบหมายให้ว่าราชการแทน ระหว่างนั้นพระเพทราชาลวงพระอนุชาทั้งสองพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ คือเจ้าฟ้าน้อยและเจ้าฟ้าอภัยทศว่ามีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จถึงเมืองลพบุรีก็ถูกหลวงสรศักดิ์จับไปสำเร็จโทษที่วัดทราก ส่วนพระปีย์พระราชโอรสบุญธรรมถูกผลักตกจากชาลาพระที่นั่งสุทธาสวรรค์แล้วกุมตัวไปสำเร็จโทษ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคตแล้ว ได้สั่งให้เจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) เข้ามาพบ เมื่อเจ้าพระยาวิชเยนทร์มาถึงศาลาลูกขุนก็ถูกกุมตัวไปประหารชีวิต เมื่อจัดการบ้านเมืองสงบแล้วจึงเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์มาประดิษฐานที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ แล้วรับราชาภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท เมื่อปราบดาภิเษกนั้นสมเด็จพระเพทราชามีพระชนมายุได้ 51 พรรษา ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระมหาบุรุษ วิสุทธิเดชอุดม บรมจักรพรรดิศร บรมนาถบพิตร สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว" แล้วทรงตั้งคุณหญิงกันเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา (พระมเหสีเดิมในพระเพทราชา เป็นผู้อภิบาลพระเจ้าเสือตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ภายหลังได้ขึ้นเป็นที่ กรมพระเทพามาตย์ ในสมัยของพระเจ้าเสือ) ตั้งกรมหลวงโยธาเทพ (เจ้าฟ้าทอง) พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย ตั้งนางนิ่มเป็นพระสนมเอก ตั้งหลวงสรศักดิ์เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตั้งหม่อมแก้วบุตรท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระขนิษฐาของพระองค์เป็นกรมขุนเสนาบริรักษ์ เป็นต้น เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้ขับไล่กำลังทหารฝรั่งเศสออกไปจากกรุงศรีอยุธยา แต่ยังทรงอนุญาตให้บาทหลวง และพ่อค้าชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาต่อไปได้ ได้มีการทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส เรื่องการขนย้ายทหาร และทรัพย์สินของฝรั่งเศสออกจากป้อมที่บางกอก โดยฝ่ายอาณาจักรอยุธยาเป็นผู้จัดเรือ กับต้องส่งคืนทรัพย์สิน ที่เป็นของกรุงศรีอยุธยาคืนทั้งหมด สำหรับข้าราชการและราษฎรไทย ที่ยังอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ทางฝรั่งเศสจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา ผลการปฏิบัติดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฝรั่งเศส สิ้นสุดลงตั้งแต่นั้นมา สมเด็จพระเพทราชาเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2246 พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าสวรรคต ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ขณะครองราชย์ได้ 15 ปี สิริพระชนมายุได้ 71 พรรษาพระราชกรณียกิจการปฏิรูปการปกครอง พระราชกรณียกิจ. การปฏิรูปการปกครอง. ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองใหม่ โดยกำหนดให้หัวเมืองฝ่ายเหนืออยู่ในความดูแลของสมุหนายก และหัวเมืองฝ่ายใต้อยู่ในความดูแลของสมุหพระกลาโหม โดยแบ่งให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบดูแลกิจการทั้งด้านทหารและพลเรือนในภูมิภาคนั้น ๆ นอกจากนี้พระองค์ยังได้เพิ่มจำนวนกำลังทหารให้แก่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า เพื่อเป็นกำลังป้องกันวังหลวงอีกทางหนึ่งด้วยงานต่างประเทศ งานต่างประเทศ. พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าในรัชกาลนี้ประเทศใกล้เคียงเข้ามาอ่อนน้อมเจริญสัมพันธไมตรี กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2234 นักเสด็จเถ้าพระเจ้ากรุงกัมพูชาโปรดให้พระยาเขมร 3 คนนำช้างเผือกพังช้างหนึ่งมาถวาย สมเด็จพระเพทราชาพระราชทานชื่อว่าพระบรมรัตนากาศ ชาติคเชนทร์ วเรนทรมหันต์ อนันตคุณ วิบุลธรเลิดฟ้า และพระราชทานผ้าแพรจำนวนมากให้พระยาเขมรนำไปพระราชทานนักเสด็จเถ้า ต่อมาในปี พ.ศ. 2238 พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ได้ส่งราชทูตนำพระราชสาส์นมาทูลว่าจะถวายพระราชธิดา และขอกรุงศรีอยุธยาส่งกองทัพไปช่วยป้องกันกรุงศรีสัตนาคนหุตจากกองทัพหลวงพระบาง จึงโปรดให้พระยานครราชสีมานำพล 10,000 ไปกรุงเวียงจันทน์ หลวงพระบางทราบข่าวจึงยอมประนีประนอมกับเวียงจันทน์ เมื่อเรือพระที่นั่งของพระราชธิดาพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตมาถึงหน้าวัดกระโจม กรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็มีพระบัณฑูรให้รับพระราชธิดานั้นไว้ที่วังหน้า แล้วเสด็จไปกราบทูลสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเพทราชาก็พระราชทานตามที่ขอพระมเหสี พระมเหสี. พระเพทราชาทรงมีมเหสีสำคัญๆอยู่ 4 พระองค์ ได้แก่1. กรมพระเทพามาตย์ (กัน) พระมเหสีเดิมในพระเพทราชาเป็นผู้อภิบาลพระเจ้าเสือตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ภายหลังได้ขึ้นเป็นที่กรมพระเทพามาตย์ 2. กรมหลวงโยธาเทพ หรือ มเหสีฝ่ายซ้าย - พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระราชโอรสคือ เจ้าฟ้าตรัสน้อย ทรงสนใจทางด้านการศึกษาในหลายๆแขนงวิชา ช่วงหลังย้ายตามพระราชมารดาไปอยู่ ณ พระตำหนักใกล้วัดพุทไธศวรรย์ 3. กรมหลวงโยธาทิพ หรือ มเหสีฝ่ายขวา - พระขนิษฐาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระราชโอรสคือ เจ้าพระขวัญ (กรมพระราชวังบวรสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์) 4. นางกุสาวดี มเหสีพระราชทานจากพระนารายณ์มหาราช พระธิดาพญาแสนหลวง เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
สมเด็จพระเพทราชา
130
146
281
1
ศิริชัย โพธิ์สุวรรณ เป็นนักมวยสากลจากจังหวัดอะไร
ประมวนศักดิ์ โพธิ์สุวรรณ ประมวลศักดิ์ โพธิ์สุวรรณ หรือปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ศิริชัย โพธิ์สุวรรณ เป็นนักมวยสากลชาวจังหวัดมหาสารคาม เคยเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทยมาก่อน ก่อนที่จะหันมาชกมวยสากลอาชีพ ได้เป็นแชมป์ WBO เอเชีย 2 สมัย และได้ขึ้นชิงแชมป์โลก 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จประวัติ ประวัติ. ประมวลศักดิ์เป็นบุตรของนายบุญเหลือ นางทองอินทร์ โพธิ์สุวรรณ มารดาเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 6 ปี เรียนจบชั้น ม.6 จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ขึ้นชกมวยครั้งแรกโดยเริ่มจากมวยไทย เมื่ออายุ 10 ปี ได้เข้าไปอยู่ในสังกัดของคณะ ส.ขอนแก่นอยู่ราว 7-8 ปี จึงเข้ากรุงเทพฯไปอยู่ค่ายห้าพลัง แต่การชกมวยไทยในกรุงเทพฯไม่ประสบความสำเร็จ ประมวลศักดิ์จึงกลับไปขอนแก่น ต่อมาประมวลศักดิ์เข้ามากรุงเทพฯอีกครั้งโดยเป็นเทรนเนอร์ให้กับพี่ชายคือ ปีใหม่ อ.ยุทธนากร จากนั้น ประมวนศักดิ์จึงไปสมัครชกมวยสากลสมัครเล่นจนได้ติดทีมชาติเข้าแข่งขันในกีฬาสำคัญ ๆ ทั้งซีเกมส์ เอเชียนเกมส์และโอลิมปิกเกมส์ โดยได้เหรียญทองทั้งซีเกมส์และเอเชียนเกมส์ ส่วนกีฬาโอลิมปิกนั้น ประมวนศักดิ์ติดทีมชาติไปแข่งกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้ง คือ พ.ศ. 2535 ที่ บาร์เซโลนาร์ ในรุ่นไลท์ฟลายเวท รอบแรก ชนะอาร์เอสซี เซนต์ อาเบียน ไฮน์ จากจาเมกา ยก 2 เมื่อ 26 กรกฎาคม รอบสอง แพ้ ยาน ควาสต์ จากเยอรมัน ตกรอบ เมื่อ 1 สิงหาคม จากนั้น ติดทีมชาติไทยเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2539 ที่ แอตแลนตา สหรัฐ ในรุ่นฟลายเวท รอบแรก แพ้ คาเลด ฟาลาห์ จากซีเรีย เมื่อ 23 กรกฎาคม ตกรอบ จากนั้น ประมวนศักดิ์จึงหันมาชกมวยสากลอาชีพ โดยขึ้นชกครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2544 ที่โรงเรียนบ้านไร่(ทองคูณคุรุราษฎร์สามัคคี) ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ในรายการเดียวกับสด ปูนอินทรียิม ชิงแชมป์ องค์กรมวยโลก เอเชียแปซิฟิก โดยชนะ มานาฮัน พันซาริบู นักมวยชาวอินโดนิเซียไปแค่ยกแรกเท่านั้น ประมวลศักดิ์ในวัยถึง 40 ปี ได้ชิงแชมป์โลก 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท WBO กับ โฮเซ่ โลเปซ นักมวยชาวเปอร์โตริโก ประมวนศักดิ์ชกได้ดีที่สุดแล้วแต่ก็เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างเอกฉันท์ ปัจจุบัน ประมวนศักดิ์ทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬามวยที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดอ่างทองเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - เหรียญเงินกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 12 พ.ศ. 2537 ที่ ฮิโรชิมา รุ่นไลท์ฟลายเวท - เหรียญทองกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2538 ที่ เชียงใหม่ รุ่นฟลายเวท - เหรียญทองกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2541 ที่ กรุงเทพฯ รุ่นฟลายเวท - แชมป์ WBO Asia Pacific รุ่นซูเปอร์ฟลายเวท (2545 - 2551)- ชิงแชมป์ 17 มกราคม 2545 ชนะน็อคยก 8 จูเลียส ออคโคปรา (ฟิลิปปินส์) ที่เดอะมอลล์ ท่าพระ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 1, 10 พฤษภาคม 2545 ชนะคะแนน จูน แมกซีปอก (ฟิลิปปินส์) ที่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 2, 7 สิงหาคม 2545 ชนะน็อคยกที่ 1 อันท็อค โกเรส (อินโดนีเซีย) ที่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 3, 20 สิงหาคม 2545 ชนะน็อคยก 8 ฟาราโซนา ฟิเดล (อินโดนีเซีย) ที่ วิทยาลัยทองสุข - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 4, 3 ตุลาคม 2545 ชนะคะแนน ฮูลิโอ ดีลาบาเซส (อินโดนีเซีย) ที่ จ.นครราชสีมา - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 5, 25 ธันวาคม 2545 ชนะคะแนน เพียต เอนคาเต้ (แอฟริกาใต้) ที่ จ.นนทบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 6, 21 กุมภาพันธ์ 2546 ชนะน็อคยก 2 เอ็มลินดี้ เอ็มคาลินปี (แอฟริกาใต้) ที่ จ.นนทบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 7, 28 มีนาคม 2546 ชนะน็อคยก 6 อัลเบิร์ต ซีซา (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.นครสวรรค์ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 8, 3 ตุลาคม 2546 ชนะน็อคยก 8 รอสซาลิโต คัมปาน่า (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.นครราชสีมา - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 9, 14 มกราคม 2547 ชนะน็อคยก 1 บัคฮิตย์ ซูลพุกฮารอฟ (คาซัคสถาน) ที่ เดอะมอลล์ ท่าพระ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 10, 23 กรกฎาคม 2547 ชนะน็อคยก 1 ซูกุระ จามาซูดี้ (อินโดนีเซีย) ที่ จ.ระยอง - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 11, 26 สิงหาคม 2547 ชนะน็อคยก 4 จาเมส วาเนเน่ (เคนยา) ที่ จ.บุรีรัมย์ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 12, 20 กันยายน 2547 ชนะคะแนน อลัน รานาด้า (ฟิลิปปินส์) ที่ จ. สกลนคร - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 13, 28 ตุลาคม 2547 ชนะคะแนน เชอร์วิน ปาโร (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.อุตรดิตถ์ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 14, 27 ธันวาคม 2547 ชนะคะแนน อิซิโต โลโรน่า(ฟิลิปปินส์) ที่ วงเวียนใหญ่, กทม. - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 15, 28 กุมภาพันธ์ 2548 ชนะน็อคยก 12 รอลลี่ แมนด้าฮิน็อค (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.อุดรธานี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 16, 3 มิถุนายน 2548 ชนะคะแนน มาร์ก ซาเลส (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.มหาสารคาม - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 17, 9 กรกฎาคม 2548 ชนะน็อคยก 7 เฟอเตอริโก คาตูเปย์ (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.อุตรดิตถ์ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 18, 2 กันยายน 2548 ชนะน็อคยก 2 จูน พาเดอร์ (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.นนทบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 19. 27 ธันวาคม 2548 ชนะคะแนน แอนโทนี่ มาร์เทียส (แทนซาเนีย) ที่ จ.ชุมพร - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 20, 28 กุมภาพันธ์ 2549 ชนะน็อคยก 3 ลูไอ แบนติเกอร์ (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.เชียงใหม่ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 21, 25 เมษายน 2549 ชนะคะแนน เอ็มบราน่า มาทุมล่าห์ (แทนซาเนีย) ที่ จ.ลำพูน - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 22, 31 มกราคม 2550 ชนะคะแนน ไรอัน มาลิเตง (ฟิลิปปินส์) ที่ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 23, 11 พฤษภาคม 2550 ชนะน็อคยก 7 เจมมี่ โกเบล (อินโดนีเซีย) ที่ จ.ยโสธร - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 24, 3 กันยายน 2550 ชนะคะแนน โนอุลดี้ มานาคาเน่ (อินโดนีเซีย) ที่ จ.อุทัยธานี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 25, 25 ธันวาคม 2550 ชนะคะแนน อีริค บาร์เซโลนา (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.พังงา - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 26, 27 มิถุนายน 2551 ชนะน็อคยก 8 ฮาเวียร์ มาลูลัน (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.ราชบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 27, 26 พฤศจิกายน 2551 ชนะคะแนน รอย โรดริเกวซ (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.มุกดาหาร - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท WBO เมื่อ 31 ตุลาคม 2548 แพ้คะแนน เฟอร์นันโด มอนเทียล (เม็กซิโก) ที่สหรัฐ - ชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท WBO เมื่อ 29 มีนาคม 2552 แพ้คะแนน โฮเซ่ โลเปซ (เปอร์โตริโก) ที่บายามอน เปอร์โตริโกชื่อในการชกมวยสากลอาชีพชื่อในการชกมวยสากลอาชีพ. - ประมวลศักดิ์ ก่อเกียรติยิม - ประมวลศักดิ์ แรงเยอร์ยิม
จังหวัดมหาสารคาม
213
229
282
1
มาดารของศิริชัย โพธิ์สุวรรณ เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุกี่ปี
ประมวนศักดิ์ โพธิ์สุวรรณ ประมวลศักดิ์ โพธิ์สุวรรณ หรือปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ศิริชัย โพธิ์สุวรรณ เป็นนักมวยสากลชาวจังหวัดมหาสารคาม เคยเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทยมาก่อน ก่อนที่จะหันมาชกมวยสากลอาชีพ ได้เป็นแชมป์ WBO เอเชีย 2 สมัย และได้ขึ้นชิงแชมป์โลก 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จประวัติ ประวัติ. ประมวลศักดิ์เป็นบุตรของนายบุญเหลือ นางทองอินทร์ โพธิ์สุวรรณ มารดาเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 6 ปี เรียนจบชั้น ม.6 จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ขึ้นชกมวยครั้งแรกโดยเริ่มจากมวยไทย เมื่ออายุ 10 ปี ได้เข้าไปอยู่ในสังกัดของคณะ ส.ขอนแก่นอยู่ราว 7-8 ปี จึงเข้ากรุงเทพฯไปอยู่ค่ายห้าพลัง แต่การชกมวยไทยในกรุงเทพฯไม่ประสบความสำเร็จ ประมวลศักดิ์จึงกลับไปขอนแก่น ต่อมาประมวลศักดิ์เข้ามากรุงเทพฯอีกครั้งโดยเป็นเทรนเนอร์ให้กับพี่ชายคือ ปีใหม่ อ.ยุทธนากร จากนั้น ประมวนศักดิ์จึงไปสมัครชกมวยสากลสมัครเล่นจนได้ติดทีมชาติเข้าแข่งขันในกีฬาสำคัญ ๆ ทั้งซีเกมส์ เอเชียนเกมส์และโอลิมปิกเกมส์ โดยได้เหรียญทองทั้งซีเกมส์และเอเชียนเกมส์ ส่วนกีฬาโอลิมปิกนั้น ประมวนศักดิ์ติดทีมชาติไปแข่งกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้ง คือ พ.ศ. 2535 ที่ บาร์เซโลนาร์ ในรุ่นไลท์ฟลายเวท รอบแรก ชนะอาร์เอสซี เซนต์ อาเบียน ไฮน์ จากจาเมกา ยก 2 เมื่อ 26 กรกฎาคม รอบสอง แพ้ ยาน ควาสต์ จากเยอรมัน ตกรอบ เมื่อ 1 สิงหาคม จากนั้น ติดทีมชาติไทยเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2539 ที่ แอตแลนตา สหรัฐ ในรุ่นฟลายเวท รอบแรก แพ้ คาเลด ฟาลาห์ จากซีเรีย เมื่อ 23 กรกฎาคม ตกรอบ จากนั้น ประมวนศักดิ์จึงหันมาชกมวยสากลอาชีพ โดยขึ้นชกครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2544 ที่โรงเรียนบ้านไร่(ทองคูณคุรุราษฎร์สามัคคี) ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ในรายการเดียวกับสด ปูนอินทรียิม ชิงแชมป์ องค์กรมวยโลก เอเชียแปซิฟิก โดยชนะ มานาฮัน พันซาริบู นักมวยชาวอินโดนิเซียไปแค่ยกแรกเท่านั้น ประมวลศักดิ์ในวัยถึง 40 ปี ได้ชิงแชมป์โลก 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท WBO กับ โฮเซ่ โลเปซ นักมวยชาวเปอร์โตริโก ประมวนศักดิ์ชกได้ดีที่สุดแล้วแต่ก็เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปอย่างเอกฉันท์ ปัจจุบัน ประมวนศักดิ์ทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬามวยที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดอ่างทองเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - เหรียญเงินกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 12 พ.ศ. 2537 ที่ ฮิโรชิมา รุ่นไลท์ฟลายเวท - เหรียญทองกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2538 ที่ เชียงใหม่ รุ่นฟลายเวท - เหรียญทองกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2541 ที่ กรุงเทพฯ รุ่นฟลายเวท - แชมป์ WBO Asia Pacific รุ่นซูเปอร์ฟลายเวท (2545 - 2551)- ชิงแชมป์ 17 มกราคม 2545 ชนะน็อคยก 8 จูเลียส ออคโคปรา (ฟิลิปปินส์) ที่เดอะมอลล์ ท่าพระ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 1, 10 พฤษภาคม 2545 ชนะคะแนน จูน แมกซีปอก (ฟิลิปปินส์) ที่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 2, 7 สิงหาคม 2545 ชนะน็อคยกที่ 1 อันท็อค โกเรส (อินโดนีเซีย) ที่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 3, 20 สิงหาคม 2545 ชนะน็อคยก 8 ฟาราโซนา ฟิเดล (อินโดนีเซีย) ที่ วิทยาลัยทองสุข - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 4, 3 ตุลาคม 2545 ชนะคะแนน ฮูลิโอ ดีลาบาเซส (อินโดนีเซีย) ที่ จ.นครราชสีมา - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 5, 25 ธันวาคม 2545 ชนะคะแนน เพียต เอนคาเต้ (แอฟริกาใต้) ที่ จ.นนทบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 6, 21 กุมภาพันธ์ 2546 ชนะน็อคยก 2 เอ็มลินดี้ เอ็มคาลินปี (แอฟริกาใต้) ที่ จ.นนทบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 7, 28 มีนาคม 2546 ชนะน็อคยก 6 อัลเบิร์ต ซีซา (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.นครสวรรค์ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 8, 3 ตุลาคม 2546 ชนะน็อคยก 8 รอสซาลิโต คัมปาน่า (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.นครราชสีมา - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 9, 14 มกราคม 2547 ชนะน็อคยก 1 บัคฮิตย์ ซูลพุกฮารอฟ (คาซัคสถาน) ที่ เดอะมอลล์ ท่าพระ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 10, 23 กรกฎาคม 2547 ชนะน็อคยก 1 ซูกุระ จามาซูดี้ (อินโดนีเซีย) ที่ จ.ระยอง - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 11, 26 สิงหาคม 2547 ชนะน็อคยก 4 จาเมส วาเนเน่ (เคนยา) ที่ จ.บุรีรัมย์ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 12, 20 กันยายน 2547 ชนะคะแนน อลัน รานาด้า (ฟิลิปปินส์) ที่ จ. สกลนคร - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 13, 28 ตุลาคม 2547 ชนะคะแนน เชอร์วิน ปาโร (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.อุตรดิตถ์ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 14, 27 ธันวาคม 2547 ชนะคะแนน อิซิโต โลโรน่า(ฟิลิปปินส์) ที่ วงเวียนใหญ่, กทม. - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 15, 28 กุมภาพันธ์ 2548 ชนะน็อคยก 12 รอลลี่ แมนด้าฮิน็อค (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.อุดรธานี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 16, 3 มิถุนายน 2548 ชนะคะแนน มาร์ก ซาเลส (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.มหาสารคาม - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 17, 9 กรกฎาคม 2548 ชนะน็อคยก 7 เฟอเตอริโก คาตูเปย์ (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.อุตรดิตถ์ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 18, 2 กันยายน 2548 ชนะน็อคยก 2 จูน พาเดอร์ (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.นนทบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 19. 27 ธันวาคม 2548 ชนะคะแนน แอนโทนี่ มาร์เทียส (แทนซาเนีย) ที่ จ.ชุมพร - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 20, 28 กุมภาพันธ์ 2549 ชนะน็อคยก 3 ลูไอ แบนติเกอร์ (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.เชียงใหม่ - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 21, 25 เมษายน 2549 ชนะคะแนน เอ็มบราน่า มาทุมล่าห์ (แทนซาเนีย) ที่ จ.ลำพูน - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 22, 31 มกราคม 2550 ชนะคะแนน ไรอัน มาลิเตง (ฟิลิปปินส์) ที่ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 23, 11 พฤษภาคม 2550 ชนะน็อคยก 7 เจมมี่ โกเบล (อินโดนีเซีย) ที่ จ.ยโสธร - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 24, 3 กันยายน 2550 ชนะคะแนน โนอุลดี้ มานาคาเน่ (อินโดนีเซีย) ที่ จ.อุทัยธานี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 25, 25 ธันวาคม 2550 ชนะคะแนน อีริค บาร์เซโลนา (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.พังงา - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 26, 27 มิถุนายน 2551 ชนะน็อคยก 8 ฮาเวียร์ มาลูลัน (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.ราชบุรี - ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 27, 26 พฤศจิกายน 2551 ชนะคะแนน รอย โรดริเกวซ (ฟิลิปปินส์) ที่ จ.มุกดาหาร - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท WBO เมื่อ 31 ตุลาคม 2548 แพ้คะแนน เฟอร์นันโด มอนเทียล (เม็กซิโก) ที่สหรัฐ - ชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท WBO เมื่อ 29 มีนาคม 2552 แพ้คะแนน โฮเซ่ โลเปซ (เปอร์โตริโก) ที่บายามอน เปอร์โตริโกชื่อในการชกมวยสากลอาชีพชื่อในการชกมวยสากลอาชีพ. - ประมวลศักดิ์ ก่อเกียรติยิม - ประมวลศักดิ์ แรงเยอร์ยิม
อายุ 6 ปี
473
482
283
1
ภาพเขียน การแต่งงานของเวอร์จินแมรี จิตกรชาวอิตาลีที่เขียนมีชื่อว่าอะไร
การสมรสของพระนางพรหมจารี (ราฟาเอล) การแต่งงานของเวอร์จินแมรี () เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยราฟาเอล จิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลีที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เบรราในเมืองมิลานในประเทศอิตาลี ราฟาเอลลงชื่อและวันที่บนภาพเขียน “การแต่งงานของเวอร์จินแมรี” (ค.ศ. 1504) เป็นภาพที่ได้รับจ้างจากตระกูลอัลบิซซินีสำหรับชาเปลเซนต์โจเซฟภายในวัดซานฟรานเชสโคที่เมืองชิตตาดิคาลเตลโลในอุมเบรีย ในปี ค.ศ. 1798 ถูกบังคับให้อุทิศภาพเขียนให้แก่จุยเซ็ปปี เลคิ (Giuseppe Lechi) นายพลของกองทัพนโปเลียนผู้ขายต่อให้นักค้าขายศิลปะชาวมิลานซานนาซซาริๆ ยกภาพให้กับโรงพยาบาลในมิลานในปี ค.ศ. 1804 สองปีต่อมาสถาบันวิจิตรศิลป์ก็ซื้อต่อ นักวิพากษ์ศิลปะเชื่อกันว่าเป็นภาพที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการวางองค์ประกอบของภาพสองภาพของเปียโตร เปรูจิโน: “พระเยซูมอบกุญแจให้นักบุญปีเตอร์” () ที่เขียนภายในชาเปลซิสติน และจิตรกรรมแผงชื่อเดียวกัน “การแต่งงานของเวอร์จินแมรี” () ที่ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่เมืองแคนในประเทศฝรั่งเศส การลงชื่อและวันที่บนบัวเหนือซุ้มโค้งที่ตกแต่งด้านหน้าของวัดที่ไกลออกไปก็เท่ากับว่าได้ทิ้งความเป็นจิตรกรนิรนามและมีความเชื่อมั่นในตนเองพอที่จะลงชื่อว่าเป็นผู้สร้างภาพเขียน ตัวบุคคลหลักในภาพยืนอยู่ด้านหน้าของภาพก็มีโจเซฟผู้กำลังสวมแหวนให้กับเวอร์จินแมรี โจเซฟถือคทาในมือซ้ายที่เป็นไม้ที่มีใบงอกออกมาที่แสดงว่าเป็นผู้ที่ได้รับเลือก คทาของชายอีกสองคนที่ไม่ได้รับเลือกยังคงเป็นคทาไม้ที่แห้งอยู่ จนคนหนึ่งต้องหักคทาด้วยความผิดหวัง วัดหลายเหลี่ยมลักษณะของบรามันเตเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของภาพที่เด่นและเป็นส่วนที่มีอิทธิพลต่อการวางภาพของกลุ่มคนที่ด้านหน้าของภาพ ลายพื้นที่ดึงเข้าไปยังตัวสิ่งก่อสร้างเป็นการเน้นให้เห็นถึงการใช้การเขียนแบบทัศนมิติที่แสดงความลึกของภาพ ตัวแบบต่างที่ไกลออกไปก็ค่อยเล็กลงตามลำดับ ตัววัดเป็นศูนย์กลางของเส้นรัศมีที่กระจายออกมาจากซุ้มระเบียง เสา และบันได ไปจนถึงพื้น จากประตูวัดที่สามารถมางทะลุได้เป็นนัยยะว่าเส้นรัศมีจากวัดยังคงยืดต่อออกไปจากผู้ดูยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่ในภาพกลุ่มคนด้านหน้าก็เป็นภาพที่แสดงทัศนมิติ ตัวแบบสามตัวหลักอยู่หน้าภาพ ล้อมรอบไปด้วยผู้เข้าร่วมพิธีที่ค่อยไกลออกไปจากศูนย์กลางจากแหวนที่โจเซฟกำลังจะสวมให้แมรี ที่แบ่งภาพออกเป็นสองข้างเท่ากัน โทนสีของภาพเป็นสีทองโดยมีสีอื่นประกอบที่รวมทั้งสีงาช้าง เหลือง เขียวน้ำเงิน น้ำตาลไหม้ และแดงจัด ภาพเขียนนี้เปรียบได้กับภาพเขียนของเปรูจิโนแต่เป็นภาพที่วิวัฒนาการเพิ่มขึ้นโดยใช้องค์ประกอบที่กลมเมื่อเทียบกับองค์ประกอบแนวนอนของเปรูจิโนซึ่งยังคงเป็นลักษณะของการเขียนแบบควัตโตรเชนโต การวางภาพกลุ่มคนและการเขียนสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ในฉากหลังเป็นสิ่งที่ทำให้งานของราฟาเอลแตกต่างจากงานของเปรูจิโน ช่องภายในภาพดูโปร่งกว่าของเปรูจิโนที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเขียนทัศนมิติที่เหนือกว่าเปรูจิโน
ราฟาเอล
317
324
284
1
ราฟาเอลผู้เขียนภาพ การแต่งงานของเวอร์จินแมรี เป็นจิตรกรในสมัยใด
การสมรสของพระนางพรหมจารี (ราฟาเอล) การแต่งงานของเวอร์จินแมรี () เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยราฟาเอล จิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลีที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เบรราในเมืองมิลานในประเทศอิตาลี ราฟาเอลลงชื่อและวันที่บนภาพเขียน “การแต่งงานของเวอร์จินแมรี” (ค.ศ. 1504) เป็นภาพที่ได้รับจ้างจากตระกูลอัลบิซซินีสำหรับชาเปลเซนต์โจเซฟภายในวัดซานฟรานเชสโคที่เมืองชิตตาดิคาลเตลโลในอุมเบรีย ในปี ค.ศ. 1798 ถูกบังคับให้อุทิศภาพเขียนให้แก่จุยเซ็ปปี เลคิ (Giuseppe Lechi) นายพลของกองทัพนโปเลียนผู้ขายต่อให้นักค้าขายศิลปะชาวมิลานซานนาซซาริๆ ยกภาพให้กับโรงพยาบาลในมิลานในปี ค.ศ. 1804 สองปีต่อมาสถาบันวิจิตรศิลป์ก็ซื้อต่อ นักวิพากษ์ศิลปะเชื่อกันว่าเป็นภาพที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการวางองค์ประกอบของภาพสองภาพของเปียโตร เปรูจิโน: “พระเยซูมอบกุญแจให้นักบุญปีเตอร์” () ที่เขียนภายในชาเปลซิสติน และจิตรกรรมแผงชื่อเดียวกัน “การแต่งงานของเวอร์จินแมรี” () ที่ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่เมืองแคนในประเทศฝรั่งเศส การลงชื่อและวันที่บนบัวเหนือซุ้มโค้งที่ตกแต่งด้านหน้าของวัดที่ไกลออกไปก็เท่ากับว่าได้ทิ้งความเป็นจิตรกรนิรนามและมีความเชื่อมั่นในตนเองพอที่จะลงชื่อว่าเป็นผู้สร้างภาพเขียน ตัวบุคคลหลักในภาพยืนอยู่ด้านหน้าของภาพก็มีโจเซฟผู้กำลังสวมแหวนให้กับเวอร์จินแมรี โจเซฟถือคทาในมือซ้ายที่เป็นไม้ที่มีใบงอกออกมาที่แสดงว่าเป็นผู้ที่ได้รับเลือก คทาของชายอีกสองคนที่ไม่ได้รับเลือกยังคงเป็นคทาไม้ที่แห้งอยู่ จนคนหนึ่งต้องหักคทาด้วยความผิดหวัง วัดหลายเหลี่ยมลักษณะของบรามันเตเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของภาพที่เด่นและเป็นส่วนที่มีอิทธิพลต่อการวางภาพของกลุ่มคนที่ด้านหน้าของภาพ ลายพื้นที่ดึงเข้าไปยังตัวสิ่งก่อสร้างเป็นการเน้นให้เห็นถึงการใช้การเขียนแบบทัศนมิติที่แสดงความลึกของภาพ ตัวแบบต่างที่ไกลออกไปก็ค่อยเล็กลงตามลำดับ ตัววัดเป็นศูนย์กลางของเส้นรัศมีที่กระจายออกมาจากซุ้มระเบียง เสา และบันได ไปจนถึงพื้น จากประตูวัดที่สามารถมางทะลุได้เป็นนัยยะว่าเส้นรัศมีจากวัดยังคงยืดต่อออกไปจากผู้ดูยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่ในภาพกลุ่มคนด้านหน้าก็เป็นภาพที่แสดงทัศนมิติ ตัวแบบสามตัวหลักอยู่หน้าภาพ ล้อมรอบไปด้วยผู้เข้าร่วมพิธีที่ค่อยไกลออกไปจากศูนย์กลางจากแหวนที่โจเซฟกำลังจะสวมให้แมรี ที่แบ่งภาพออกเป็นสองข้างเท่ากัน โทนสีของภาพเป็นสีทองโดยมีสีอื่นประกอบที่รวมทั้งสีงาช้าง เหลือง เขียวน้ำเงิน น้ำตาลไหม้ และแดงจัด ภาพเขียนนี้เปรียบได้กับภาพเขียนของเปรูจิโนแต่เป็นภาพที่วิวัฒนาการเพิ่มขึ้นโดยใช้องค์ประกอบที่กลมเมื่อเทียบกับองค์ประกอบแนวนอนของเปรูจิโนซึ่งยังคงเป็นลักษณะของการเขียนแบบควัตโตรเชนโต การวางภาพกลุ่มคนและการเขียนสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ในฉากหลังเป็นสิ่งที่ทำให้งานของราฟาเอลแตกต่างจากงานของเปรูจิโน ช่องภายในภาพดูโปร่งกว่าของเปรูจิโนที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเขียนทัศนมิติที่เหนือกว่าเปรูจิโน
สมัยเรอเนซองส์
219
233
285
1
ชื่อเดิมของนาธาน โอร์มาน มีชื่อว่าอะไร
นาธาน โอร์มาน นาธาน โอร์มาน หรือในบางครั้งอาจเขียนว่า นาธาน โอมาน (อักษรโรมัน: Nathan Oman) มีชื่อจริงว่า สุธัญ โอมานันท์ เคยใช้ชื่อจริงว่า นธัญ โอมานันท์ (ชื่อเกิด: ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล; เกิด: 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2518) เป็นนักร้อง นักแสดงชาวไทย มีผลงานอัลบั้มเพลงกับค่ายอาร์เอส 2 ชุดคือ Nathan และ สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2554 ศาลจังหวัดเลยได้ตัดสินให้นาธาน จำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่เจ้าตัวรับสารภาพ จึงลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 1 ปี พร้อมทั้งให้ชดใช้เงินน้ามดทั้งหมด ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2553ประวัติ ประวัติ. นาธาน โอร์มาน เป็นบุตรของนายธัญญา และนางอุทัยวรรณ นาธานมีน้องสาวร่วมบิดามารดา 1 คน ชื่อเล่น น็อต นาธานมีชื่อโดยกำเนิดว่า ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล สำเร็จชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนดรุณศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช และเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนทุ่งสง ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นาธานก็ได้หนีไปใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาที่วิทยาลัยเพาะช่าง 2 ปี แล้วต่อปริญญาตรีศิลปศาสตร์ คณะครุศาสตร์ (เอกศิลปะ) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา บิดาและมารดาของนาธานเป็นคนเชื้อชาติไทย บิดาเกิดที่อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนมารดาเกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี บิดาและมารดาของนาธานไม่ได้แต่งงานกัน แต่อยู่กินด้วยกันสมัยเรียน และกลับมาตั้งหลักปักฐานที่บ้านเกิดของฝ่ายชาย ทั้งสองได้แยกทางกันตั้งแต่นาธานและน้องสาวยังเล็กๆ ทำให้นาธานต้องไปอาศัยอยู่กับป้าและย่า โดยมีบิดาเป็นผู้ส่งเสียเลี้ยงดู หลังจากนั้นบิดาของนาธานได้แต่งงานกับหญิงสาวที่จังหวัดเชียงใหม่ และทำงานเป็นช่างไฟฟ้า ส่วนมารดาของนาธานแต่งงานใหม่กับตำรวจ มีบุตรด้วยกัน 3 คน (ผู้หญิง 2 คน ผู้ชาย 1 คน) นาธานเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการถ่ายแฟชั่นนิตยสารอย่างอิมเมจ ลิปส์ ป๊อบทีน จากนั้นก้าวมาเป็นศิลปินนักร้องค่ายอาร์เอส มีอัลบั้มแรกในสไตล์ป็อปร็อกที่ชื่อ Nathan ต่อมาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งจากหนังสือพิมพ์และทางโทรทัศน์ที่เชิญไปสัมภาษณ์เหตุการณ์รอดชีวิตจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ หลังจากนั้น 2 ปีออกผลงานอัลบั้มชุดที่ 2 คือ สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ ที่มีแนวดนตรีได้กลิ่นอายของเนปาล รวมถึงในมิวสิกวิดีโอด้วยเช่นกัน จากนั้นได้เปิดบริษัททำทัวร์ไปเที่ยวประเทศเนปาล และออกผลงานเขียนหนังสือเรื่อง ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) นาธาน โอร์มาน เริ่มสนใจด้านการเมือง โดยสมัครเข้าสังกัดพรรคพลังเครือข่ายประชาชนกรณีพิพาทการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด กรณีพิพาท. การแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด. ในกลางปี พ.ศ. 2551 นาธานเริ่มให้สัมภาษณ์ว่า ได้แสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Prince Of Red Shoe ของบริษัทบิกบลู ในเครือค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟอกซ์ ซึ่งมี วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซน และ มูฮำหมัดซูอัต เป็นผู้กำกับ โดยแสดงร่วมกับดาราดังอย่าง บรูซ วิลลิส และ คริสติน่า ริชชี่ ถ่ายทำในหลายที่ เช่น ประเทศจอร์แดน, อิหร่าน, โอมาน และหลาย ๆ เมืองในแถบตะวันออกกลาง ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกครั้งในอีกราวหนึ่งปีต่อมาจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง แต่เมื่อมีการสืบค้นข้อมูล ทั้งจากเว็บไซต์ IMDb ทวิตเตอร์ของนักแสดงที่นาธานอ้างถึง ตลอดจนหลักฐานอื่น ๆ กลับไม่มีสิ่งยืนยันว่านาธานแสดงภาพยนตร์ตามที่กล่าวอ้าง จึงได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงในอินเทอร์เน็ตว่านาธานพูดโกหกหรือไม่ และยังรวมถึงประวัติของนาธานที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ด้วย หลังจากนั้นนาธานกับผู้จัดการส่วนตัวได้ออกมายืนยันว่าไปถ่ายหนังของฮอลลีวูดในหลายประเทศแถบตะวันออกกลางจริง แต่เมื่อนักข่าวขอดูพาสปอร์ตกลับบ่ายเบี่ยงอ้างว่าไม่ได้เป็นนักโทษทำไมต้องให้ดู อีกทั้งยังไม่ตอบคำถามเรื่องโกงอายุและเรื่องหลอกนักข่าวปลอมตัวเป็นอรัญ น้องชายของตัวเอง วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เปี๊ยก โมเดลลิ่ง ผู้ที่ถ่ายภาพของนาธาน โอร์มานที่ถูกนำมาเสนอว่าเป็นภาพถ่ายจากภาพยนตร์ The Prince Of Red Shoe ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะข่าวเด่น ว่าภาพเหล่านั้นไม่ใช่ภาพจากกองถ่ายที่โอมาน แต่เป็นภาพที่เจ้าตัวเป็นผู้ถ่ายเองและกล่าวว่าถูกหลอกให้แต่งหน้าและถ่ายรูปที่ออกแบบโดยนาธาน จึงออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ต่อมา 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ในการบันทึกเทปสัมภาษณ์กับรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย เขายอมรับว่าเขากุเรื่องในการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดรวมถึงเรื่องราวทั้งหมดของตน โดยอ้างว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้น ก็เพราะผู้สนับสนุนตนในวงการบันเทิง ต้องการสร้างตัวตนของตนให้เป็นแบบนั้น ให้มีชีวิตที่น่าทึ่ง เป็นเด็กอัจฉริยะสามารถพูดได้หลายภาษา เป็นต้นกรณีฉ้อโกงเงิน กรณีฉ้อโกงเงิน. ปลายเดือนกรกฎาคม 2552 จามจุรี จูลี่ แคสเชอร์ (เจเจ) ดีเจคลื่นอีซี เวอร์จิ้นเรดิโอ หุ้นส่วนร้าน Jamaree Yak Cafe Gallery เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนาธานในข้อหาฉ้อโกงเงินหุ้นส่วนร้านอาหาร และยังออกพูดถึงพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล หลังถูกข้อกล่าวหาทั้ง 2 กรณีจึงออกมาแถลงข่าวว่า ได้จ่ายเงินไปแล้วพร้อมนำสลิปบัตรเครดิตมาโชว์เป็นหลักฐาน และกล่าวว่าจะฟ้องกลับ เดือนพฤศจิกายน 2552 อดีตแม่บ้านของนาธาน พร้อมด้วยอาทิตย์ กุลฝ้าย ลูกชาย ได้เข้าแจ้งความอดีตนักร้องหนุ่มในข้อหาฉ้อโกงเงินกว่า 3 แสนบาท ทั้งยังนำตรายาง ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การท่องเที่ยวเนปาล โรงแรมชื่อดัง รวมถึงบริษัท ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ที่เป็นของนาธานเพื่อตรวจสอบและใช้เป็นหลักฐาน ต่อมา "แหม่ม พิศมัย” แม่บุญธรรม ออกมาปฏิเสธถึงข้อกล่าวหาดังกล่าวผ่านทางรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทั้งนี้ทางรายการยังได้ต่อสายโทรศัพท์ถึงนาธานเพื่อชี้แจงเรื่องต่าง ๆ นาธานปฏิเสธในทุกเรื่อง โดยระบุว่า รู้จักพี่เลี้ยงคนดังกล่าวเพียง 2 ปี ไม่ใช่ 10 ปี ส่วนเรื่องตรายางไม่ใช่ของตน มีเพียงบริษัททัวร์ของนาธานอันเดียว หลังจากนั้นทางฝ่ายอดีตแม่บ้านนาธานเข้าแจ้งความ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ออกหมายเรียกนายนาธานแต่ไม่สามารถติดต่อได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบว่านาธานหลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย จึงเข้าจับกุมนายนาธาน แต่นาธานได้รับประกันตัวออกไปในวันรุ่งขึ้น นางฉลอง จันทร์นาค ยายของ น.ส. เสาวนีย์ ฤทธิโชติ อายุ 27 ปี หรือน้องอ้อม ผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนังแห้งตกสะเก็ด หรือ “เด็กดักแด้” ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนมีนาคม 2552 ออกมาเปิดเผยว่านาธาน โอร์มานยืมเงินไปรวมกว่าแสนบาททั้งจากยายและน้องอ้อม พร้อมกล่าวสาเหตุการขอยืมเงินว่า "ถูกเพื่อนที่ร่วมทำกิจกรรมบริจาคช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยสึนามิโกงเงิน" และยังต่อว่าเรื่องที่นาธานไม่ยอมมาร่วมงานศพน้องอ้อมโดยอ้างว่าร่วมงานไม่ได้เพราะอยู่ต่างประเทศ ต่อมาสราวุธ มาตรทองออกมาชี้แจงหลังจากถูกพาดพิงว่า เงินทุกบาทที่รับบริจาคช่วยเหลือชาวมอแกนจากเหตุการณ์สึนามินั้นได้นำไปให้ชาวมอแกนหมดแล้ว ทั้งเงิน และเรือ กลางเดือนพฤศจิกายน ปุ๊กกี้ ปริศนา พรายแสง อดีตนักร้องสังกัดอาร์เอส ออกมาเปิดโปงว่านาธานหลอกลวงเงินนางนันทพร พรายแสง น้าแท้ ๆ ของตนไปร่วมสามแสนบาท ซึ่งนาธานก็บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ซึ่งไม่นานนางดำ จารุวรรณ พรายแสง แม่ของปุ๊กกี้ก็ออกมาเปิดเผยหลายเรื่องที่นาธานโกหก และสาเหตุที่น้องสาวแท้ ๆ เชื่อ เพราะนาธานอ้างว่าถ้าได้เงินจากการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดจะซื้อบ้านราคา 10 ล้าน และรถเบนซ์ให้ วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553 ที่ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ นางสมาน สุขเสริม อดีตแม่บ้านนาธาน โอมาน กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยคดีฉ้อโกงที่นาธานได้นำโฉนดที่ดินของตนไปจำนองได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยนาธานได้ชำระหนี้ก้อนแรกเป็นเช็คจำนวน 3.4 แสนบาท ส่วนที่เหลือนาธานได้เจรจาขอลดหย่อน ซึ่งนางสมานยอมลดหนี้จาก 7.4 แสนเหลือแค่ 5.4 แสนบาท แต่นาธานขอต่อรองลดหย่อนอีก จนนางสมานยอมลดให้เหลือ 4.4 แสนบาท โดยที่เหลืออีก 1 แสนยินดีให้เวลานาธาน 1 ปีหามาชดใช้ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 รายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ได้นำเสนอกรณีนายนาธาน โอร์มาน ในขณะที่ พิศมัย ศรีกระบุตร หรือ ครูแหม่ม ทำการช่วยเหลือรับอุปการะนาธาน โอร์มาน ว่า นายนาธาน ได้ใช้ความสนิทสนมกับ นางสิทธิพร โคตรอุดมพร หรือ น้ามด ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าสะใภ้ของครูแหม่ม ให้นำที่ดินของน้ามด ไปจำนอง เพื่อให้ได้เงินมาใช้ในการซื้อรถ "เชฟโรเลต แคปติวา" โดยที่นาธานได้อ้างว่าเพื่อซื้อมาขับให้ชินมือ เพราะตนได้รับการคัดเลือกให้เป็นพรีเซนเตอร์ของรถยี่ห้อดังกล่าวด้วยค่าตัวจำนวน 9 แสนบาท และเมื่อได้เงินค่าตัวแล้วจะนำเงินมาใช้คืนให้ นอกจากนี้ นาธาน ยังได้เอาเงินจำนวน 3 หมื่นบาท จากแม่ของครูแหม่ม ด้วยคำอ้างที่ว่าจะใช้เป็นค่าเสื้อผ้าในการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับงานหนึ่ง โดยให้แม่ของครูแหม่ม นำวัวที่มีทั้งหมดไปขาย แต่ภายหลังทางผู้จัดได้โทรมายกเลิก เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ศาลจังหวัดเลยได้พิจารณาคดีที่นางสิทธิพร โคตรอุดมพร หรือ น้ามด แจ้งความดำเนินคดีกับนาธาน โดยพนักงานอัยการเป็นโจทย์บรรยายคำฟ้องสรุปว่า จำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหาย แต่จำเลยได้ปฏิเสธและจะหาทนายเอง ซึ่งศาลได้กำหนดนัดพร้อม ในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 08.00 นาฬิกา ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน ศาลจังหวัดเลยยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่ามูลค่าความเสียหายที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายไป ป็นเงินจำนวนกว่า 7 แสนบาท หากจำเลยประสงค์จะยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ให้หาหลักประกันมายื่นต่อศาลต่อไป จากนั้นศาลได้นำตัวนาธานจำเลยกับนางสิทธิพรผู้เสียหาย เข้าห้องไกล่เกลี่ยคดี โดยมีผู้พิพากษาศาลหัวหน้าศาลจังหวัดเลยทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ย เบื้องต้นจำเลยประสงค์จะต่อสู้คดี ไม่ประสงค์จะไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย ศาลเลยนำตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อรอการยื่นขอประกันตัว หลังจากนาธานไม่ยอมไกล่เกลี่ยกับน้ามด และพยายามติดต่อกับคนรู้จัก เพื่อให้มาประกันตัว แต่ไม่สามารถติดต่อหรือหาใครมาประกันตัวได้ จนหมดเวลาทำการของศาล เจ้าหน้าที่เลยคุมตัวนาธานขึ้นรถ ไปควบคุมที่เรือนจำจังหวัดเลยต่อไป ศาลจังหวัดเลยได้ตัดสินให้นาธาน จำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่เจ้าตัวรับสารภาพ จึงลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 1 ปี พร้อมทั้งให้ชดใช้เงินน้ามดทั้งหมด ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ จึงพ้นโทษเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554ข้อสงสัยเรื่องชาติกำเนิด ข้อสงสัยเรื่องชาติกำเนิด. นาธานอ้างว่าตัวเองเป็นลูกครึ่งเนปาลกับไทย โดยมีพ่อเป็นนักธุรกิจค้าขายอัญมณีจำพวกหินสีชาวเนปาล แม่เป็นคนไทยเชื้อสายโอมาน เกิดที่เมืองปาฏัน มีฐานะทางครอบครัวในระดับที่มั่นคง โดยออกจากเนปาลมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 15 ปี และมีความสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา คือ ภาษาไทย, เนปาล, อาหรับ, ฝรั่งเศส และรัสเซีย อีกทั้งยังเคยใช้ชีวิตมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งเคยเป็นลูกเรือประมงที่จังหวัดภูเก็ต หรือเคยเผชิญหน้ากับขบวนการค้ามนุษย์ที่ชายแดนกัมพูชามาแล้ว ซึ่งรายการโต๊ะข่าวบันเทิง ของช่อง 3 รายงานว่า "นาธานมีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่อิสลามอย่างที่เคยกล่าว มีชื่อเดิมว่า ธัญวัฒน์ หยุ่นตระกูล เป็นบุตรชายของนายธัญญา หยุ่นตระกูล มีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ไม่ได้เป็นคนเนปาล อาศัยอยู่ในจังหวัดพิษณุโลก" โดยทางทีมนักข่าวสอบถามกับนายธัญญา ที่เชื่อว่าเป็นบิดา แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ บอกแต่เพียงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาธาน แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามกับเพื่อนบ้าน ทุกคนในหมู่บ้านรู้ดีว่านายธัญญาเป็นพ่อของนาธาน ซึ่งนาธานเคยมาหาพ่อบ้างแต่ไม่บ่อย และต่อมาอดีตแม่บ้านของนาธานนำสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของนาธานมาแสดงให้เห็นว่าเขามีสัญชาติไทยแท้ ไม่ใช่ลูกครึ่งเนปาลตามที่กล่าวอ้าง แต่เมื่อพิธีกรพยายามจี้ถามถึงเรื่องของสัญชาติ นาธานก็ได้ตัดสายโทรศัพท์ไปทันที ในการบันทึกเทปสัมภาษณ์รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 นาธานเปิดเผยว่า พูด 5 ภาษาตามที่เคยกล่าวอ้างไม่ได้ และกล่าวว่า ตนเป็นคนโกหกลวงโลกตั้งแต่เข้าวงการมา โดยมีผู้มีพระคุณ 5-6 คน คอยบอกให้เป็นแบบนั้น จัดวางว่าจะต้องเป็นลูกครึ่งที่พูดได้ 5 ภาษา และวิเคราะห์ตนเองว่า ตัวเองเป็น คนที่ต้องการความรัก ต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางหมากเอาไว้ และเข้าใจว่า คนทั่วไปชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงจะไม่เคยเชื่อ แต่พอโกหกทุกคนเชื่อกัน จึงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเรื่อยมาผลงานอัลบั้มเพลงผลงาน. อัลบั้มเพลง. - Nathan (2546) - สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ - MV ถอนตัว Byrd&Heartหนังสือผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย)โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) หนังสือ. โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet). โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) เป็นพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มที่ 2 ของนาธาน โอร์มาน ซึ่งต่อจาก "ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) " พ็อกเก็ตบุ๊คเล่มนี้เป็นผู้เขียนอ้างว่าเป็นบันทึกเดินทางในประเทศเนปาลของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น หมู่บ้านเก่าในนาคากต ร้านขนมในปาตัน และยังมีประสบการณ์เฉียดตายจากการเดินทางไปผจญภัยในดินแดนแคชเมียร์ อียิปต์ ตุรกี เหตุการณ์คลื่นสึนามิพัดถล่มในหมู่เกาะสุรินทร์ นอกจากนี้ยังกล่าวถึง การตกแต่งบ้านสไตล์เนปาล และพลังลึกลับของหิน นาธานกล่าวอ้างว่า แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะต้องการบอกให้ทุกคนรู้ว่า ตอนนี้เขาไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว เพราะการเดินทางทำให้ได้เจอเพื่อนๆมากมายจากทั่วทุกมุมโลก และที่สำคัญนาธานอยากให้แฟนเพลงทุกคนได้รู้จักประเทศเนปาลมากขึ้น อยากให้หลายๆ คนได้รับรู้ทุกซอกทุกมุมของเนปาล ซึ่งถือเป็นดินแดนแห่งอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลก จากข้อกรณีพิพาทที่นาธานได้มีดังนั้นจึงสรุปได้ว่าหนังสือ ทั้ง 2 เล่ม คือ ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) นั่นเป็นเรื่องแต่งมาทั้งสิ้น โดยได้แรงบันดาลใจจากผู้ใหญ่ที่รู้จักกันและเคยเล่าประสบการณ์ใช้ชีวิตที่เนปาลให้นาธานฟังนาธานจึงใช้ประสบการณ์ของคนอื่นมาปรุงแต่งเขียนใหม่เป็นหนังสือของตนเอง
ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล
255
276
286
1
ในสมัยประถมนาธาน โอร์มาน เรียนอยู่ที่ไหน
นาธาน โอร์มาน นาธาน โอร์มาน หรือในบางครั้งอาจเขียนว่า นาธาน โอมาน (อักษรโรมัน: Nathan Oman) มีชื่อจริงว่า สุธัญ โอมานันท์ เคยใช้ชื่อจริงว่า นธัญ โอมานันท์ (ชื่อเกิด: ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล; เกิด: 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2518) เป็นนักร้อง นักแสดงชาวไทย มีผลงานอัลบั้มเพลงกับค่ายอาร์เอส 2 ชุดคือ Nathan และ สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2554 ศาลจังหวัดเลยได้ตัดสินให้นาธาน จำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่เจ้าตัวรับสารภาพ จึงลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 1 ปี พร้อมทั้งให้ชดใช้เงินน้ามดทั้งหมด ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2553ประวัติ ประวัติ. นาธาน โอร์มาน เป็นบุตรของนายธัญญา และนางอุทัยวรรณ นาธานมีน้องสาวร่วมบิดามารดา 1 คน ชื่อเล่น น็อต นาธานมีชื่อโดยกำเนิดว่า ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล สำเร็จชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนดรุณศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช และเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนทุ่งสง ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นาธานก็ได้หนีไปใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาที่วิทยาลัยเพาะช่าง 2 ปี แล้วต่อปริญญาตรีศิลปศาสตร์ คณะครุศาสตร์ (เอกศิลปะ) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา บิดาและมารดาของนาธานเป็นคนเชื้อชาติไทย บิดาเกิดที่อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนมารดาเกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี บิดาและมารดาของนาธานไม่ได้แต่งงานกัน แต่อยู่กินด้วยกันสมัยเรียน และกลับมาตั้งหลักปักฐานที่บ้านเกิดของฝ่ายชาย ทั้งสองได้แยกทางกันตั้งแต่นาธานและน้องสาวยังเล็กๆ ทำให้นาธานต้องไปอาศัยอยู่กับป้าและย่า โดยมีบิดาเป็นผู้ส่งเสียเลี้ยงดู หลังจากนั้นบิดาของนาธานได้แต่งงานกับหญิงสาวที่จังหวัดเชียงใหม่ และทำงานเป็นช่างไฟฟ้า ส่วนมารดาของนาธานแต่งงานใหม่กับตำรวจ มีบุตรด้วยกัน 3 คน (ผู้หญิง 2 คน ผู้ชาย 1 คน) นาธานเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการถ่ายแฟชั่นนิตยสารอย่างอิมเมจ ลิปส์ ป๊อบทีน จากนั้นก้าวมาเป็นศิลปินนักร้องค่ายอาร์เอส มีอัลบั้มแรกในสไตล์ป็อปร็อกที่ชื่อ Nathan ต่อมาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งจากหนังสือพิมพ์และทางโทรทัศน์ที่เชิญไปสัมภาษณ์เหตุการณ์รอดชีวิตจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ หลังจากนั้น 2 ปีออกผลงานอัลบั้มชุดที่ 2 คือ สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ ที่มีแนวดนตรีได้กลิ่นอายของเนปาล รวมถึงในมิวสิกวิดีโอด้วยเช่นกัน จากนั้นได้เปิดบริษัททำทัวร์ไปเที่ยวประเทศเนปาล และออกผลงานเขียนหนังสือเรื่อง ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) นาธาน โอร์มาน เริ่มสนใจด้านการเมือง โดยสมัครเข้าสังกัดพรรคพลังเครือข่ายประชาชนกรณีพิพาทการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด กรณีพิพาท. การแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด. ในกลางปี พ.ศ. 2551 นาธานเริ่มให้สัมภาษณ์ว่า ได้แสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Prince Of Red Shoe ของบริษัทบิกบลู ในเครือค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟอกซ์ ซึ่งมี วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซน และ มูฮำหมัดซูอัต เป็นผู้กำกับ โดยแสดงร่วมกับดาราดังอย่าง บรูซ วิลลิส และ คริสติน่า ริชชี่ ถ่ายทำในหลายที่ เช่น ประเทศจอร์แดน, อิหร่าน, โอมาน และหลาย ๆ เมืองในแถบตะวันออกกลาง ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกครั้งในอีกราวหนึ่งปีต่อมาจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง แต่เมื่อมีการสืบค้นข้อมูล ทั้งจากเว็บไซต์ IMDb ทวิตเตอร์ของนักแสดงที่นาธานอ้างถึง ตลอดจนหลักฐานอื่น ๆ กลับไม่มีสิ่งยืนยันว่านาธานแสดงภาพยนตร์ตามที่กล่าวอ้าง จึงได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงในอินเทอร์เน็ตว่านาธานพูดโกหกหรือไม่ และยังรวมถึงประวัติของนาธานที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ด้วย หลังจากนั้นนาธานกับผู้จัดการส่วนตัวได้ออกมายืนยันว่าไปถ่ายหนังของฮอลลีวูดในหลายประเทศแถบตะวันออกกลางจริง แต่เมื่อนักข่าวขอดูพาสปอร์ตกลับบ่ายเบี่ยงอ้างว่าไม่ได้เป็นนักโทษทำไมต้องให้ดู อีกทั้งยังไม่ตอบคำถามเรื่องโกงอายุและเรื่องหลอกนักข่าวปลอมตัวเป็นอรัญ น้องชายของตัวเอง วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เปี๊ยก โมเดลลิ่ง ผู้ที่ถ่ายภาพของนาธาน โอร์มานที่ถูกนำมาเสนอว่าเป็นภาพถ่ายจากภาพยนตร์ The Prince Of Red Shoe ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะข่าวเด่น ว่าภาพเหล่านั้นไม่ใช่ภาพจากกองถ่ายที่โอมาน แต่เป็นภาพที่เจ้าตัวเป็นผู้ถ่ายเองและกล่าวว่าถูกหลอกให้แต่งหน้าและถ่ายรูปที่ออกแบบโดยนาธาน จึงออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ต่อมา 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ในการบันทึกเทปสัมภาษณ์กับรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย เขายอมรับว่าเขากุเรื่องในการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดรวมถึงเรื่องราวทั้งหมดของตน โดยอ้างว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้น ก็เพราะผู้สนับสนุนตนในวงการบันเทิง ต้องการสร้างตัวตนของตนให้เป็นแบบนั้น ให้มีชีวิตที่น่าทึ่ง เป็นเด็กอัจฉริยะสามารถพูดได้หลายภาษา เป็นต้นกรณีฉ้อโกงเงิน กรณีฉ้อโกงเงิน. ปลายเดือนกรกฎาคม 2552 จามจุรี จูลี่ แคสเชอร์ (เจเจ) ดีเจคลื่นอีซี เวอร์จิ้นเรดิโอ หุ้นส่วนร้าน Jamaree Yak Cafe Gallery เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนาธานในข้อหาฉ้อโกงเงินหุ้นส่วนร้านอาหาร และยังออกพูดถึงพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล หลังถูกข้อกล่าวหาทั้ง 2 กรณีจึงออกมาแถลงข่าวว่า ได้จ่ายเงินไปแล้วพร้อมนำสลิปบัตรเครดิตมาโชว์เป็นหลักฐาน และกล่าวว่าจะฟ้องกลับ เดือนพฤศจิกายน 2552 อดีตแม่บ้านของนาธาน พร้อมด้วยอาทิตย์ กุลฝ้าย ลูกชาย ได้เข้าแจ้งความอดีตนักร้องหนุ่มในข้อหาฉ้อโกงเงินกว่า 3 แสนบาท ทั้งยังนำตรายาง ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การท่องเที่ยวเนปาล โรงแรมชื่อดัง รวมถึงบริษัท ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ที่เป็นของนาธานเพื่อตรวจสอบและใช้เป็นหลักฐาน ต่อมา "แหม่ม พิศมัย” แม่บุญธรรม ออกมาปฏิเสธถึงข้อกล่าวหาดังกล่าวผ่านทางรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทั้งนี้ทางรายการยังได้ต่อสายโทรศัพท์ถึงนาธานเพื่อชี้แจงเรื่องต่าง ๆ นาธานปฏิเสธในทุกเรื่อง โดยระบุว่า รู้จักพี่เลี้ยงคนดังกล่าวเพียง 2 ปี ไม่ใช่ 10 ปี ส่วนเรื่องตรายางไม่ใช่ของตน มีเพียงบริษัททัวร์ของนาธานอันเดียว หลังจากนั้นทางฝ่ายอดีตแม่บ้านนาธานเข้าแจ้งความ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ออกหมายเรียกนายนาธานแต่ไม่สามารถติดต่อได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบว่านาธานหลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย จึงเข้าจับกุมนายนาธาน แต่นาธานได้รับประกันตัวออกไปในวันรุ่งขึ้น นางฉลอง จันทร์นาค ยายของ น.ส. เสาวนีย์ ฤทธิโชติ อายุ 27 ปี หรือน้องอ้อม ผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนังแห้งตกสะเก็ด หรือ “เด็กดักแด้” ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนมีนาคม 2552 ออกมาเปิดเผยว่านาธาน โอร์มานยืมเงินไปรวมกว่าแสนบาททั้งจากยายและน้องอ้อม พร้อมกล่าวสาเหตุการขอยืมเงินว่า "ถูกเพื่อนที่ร่วมทำกิจกรรมบริจาคช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยสึนามิโกงเงิน" และยังต่อว่าเรื่องที่นาธานไม่ยอมมาร่วมงานศพน้องอ้อมโดยอ้างว่าร่วมงานไม่ได้เพราะอยู่ต่างประเทศ ต่อมาสราวุธ มาตรทองออกมาชี้แจงหลังจากถูกพาดพิงว่า เงินทุกบาทที่รับบริจาคช่วยเหลือชาวมอแกนจากเหตุการณ์สึนามินั้นได้นำไปให้ชาวมอแกนหมดแล้ว ทั้งเงิน และเรือ กลางเดือนพฤศจิกายน ปุ๊กกี้ ปริศนา พรายแสง อดีตนักร้องสังกัดอาร์เอส ออกมาเปิดโปงว่านาธานหลอกลวงเงินนางนันทพร พรายแสง น้าแท้ ๆ ของตนไปร่วมสามแสนบาท ซึ่งนาธานก็บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ซึ่งไม่นานนางดำ จารุวรรณ พรายแสง แม่ของปุ๊กกี้ก็ออกมาเปิดเผยหลายเรื่องที่นาธานโกหก และสาเหตุที่น้องสาวแท้ ๆ เชื่อ เพราะนาธานอ้างว่าถ้าได้เงินจากการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดจะซื้อบ้านราคา 10 ล้าน และรถเบนซ์ให้ วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553 ที่ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ นางสมาน สุขเสริม อดีตแม่บ้านนาธาน โอมาน กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยคดีฉ้อโกงที่นาธานได้นำโฉนดที่ดินของตนไปจำนองได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยนาธานได้ชำระหนี้ก้อนแรกเป็นเช็คจำนวน 3.4 แสนบาท ส่วนที่เหลือนาธานได้เจรจาขอลดหย่อน ซึ่งนางสมานยอมลดหนี้จาก 7.4 แสนเหลือแค่ 5.4 แสนบาท แต่นาธานขอต่อรองลดหย่อนอีก จนนางสมานยอมลดให้เหลือ 4.4 แสนบาท โดยที่เหลืออีก 1 แสนยินดีให้เวลานาธาน 1 ปีหามาชดใช้ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 รายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ได้นำเสนอกรณีนายนาธาน โอร์มาน ในขณะที่ พิศมัย ศรีกระบุตร หรือ ครูแหม่ม ทำการช่วยเหลือรับอุปการะนาธาน โอร์มาน ว่า นายนาธาน ได้ใช้ความสนิทสนมกับ นางสิทธิพร โคตรอุดมพร หรือ น้ามด ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าสะใภ้ของครูแหม่ม ให้นำที่ดินของน้ามด ไปจำนอง เพื่อให้ได้เงินมาใช้ในการซื้อรถ "เชฟโรเลต แคปติวา" โดยที่นาธานได้อ้างว่าเพื่อซื้อมาขับให้ชินมือ เพราะตนได้รับการคัดเลือกให้เป็นพรีเซนเตอร์ของรถยี่ห้อดังกล่าวด้วยค่าตัวจำนวน 9 แสนบาท และเมื่อได้เงินค่าตัวแล้วจะนำเงินมาใช้คืนให้ นอกจากนี้ นาธาน ยังได้เอาเงินจำนวน 3 หมื่นบาท จากแม่ของครูแหม่ม ด้วยคำอ้างที่ว่าจะใช้เป็นค่าเสื้อผ้าในการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับงานหนึ่ง โดยให้แม่ของครูแหม่ม นำวัวที่มีทั้งหมดไปขาย แต่ภายหลังทางผู้จัดได้โทรมายกเลิก เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ศาลจังหวัดเลยได้พิจารณาคดีที่นางสิทธิพร โคตรอุดมพร หรือ น้ามด แจ้งความดำเนินคดีกับนาธาน โดยพนักงานอัยการเป็นโจทย์บรรยายคำฟ้องสรุปว่า จำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหาย แต่จำเลยได้ปฏิเสธและจะหาทนายเอง ซึ่งศาลได้กำหนดนัดพร้อม ในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 08.00 นาฬิกา ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน ศาลจังหวัดเลยยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่ามูลค่าความเสียหายที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายไป ป็นเงินจำนวนกว่า 7 แสนบาท หากจำเลยประสงค์จะยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ให้หาหลักประกันมายื่นต่อศาลต่อไป จากนั้นศาลได้นำตัวนาธานจำเลยกับนางสิทธิพรผู้เสียหาย เข้าห้องไกล่เกลี่ยคดี โดยมีผู้พิพากษาศาลหัวหน้าศาลจังหวัดเลยทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ย เบื้องต้นจำเลยประสงค์จะต่อสู้คดี ไม่ประสงค์จะไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย ศาลเลยนำตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อรอการยื่นขอประกันตัว หลังจากนาธานไม่ยอมไกล่เกลี่ยกับน้ามด และพยายามติดต่อกับคนรู้จัก เพื่อให้มาประกันตัว แต่ไม่สามารถติดต่อหรือหาใครมาประกันตัวได้ จนหมดเวลาทำการของศาล เจ้าหน้าที่เลยคุมตัวนาธานขึ้นรถ ไปควบคุมที่เรือนจำจังหวัดเลยต่อไป ศาลจังหวัดเลยได้ตัดสินให้นาธาน จำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่เจ้าตัวรับสารภาพ จึงลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 1 ปี พร้อมทั้งให้ชดใช้เงินน้ามดทั้งหมด ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ จึงพ้นโทษเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554ข้อสงสัยเรื่องชาติกำเนิด ข้อสงสัยเรื่องชาติกำเนิด. นาธานอ้างว่าตัวเองเป็นลูกครึ่งเนปาลกับไทย โดยมีพ่อเป็นนักธุรกิจค้าขายอัญมณีจำพวกหินสีชาวเนปาล แม่เป็นคนไทยเชื้อสายโอมาน เกิดที่เมืองปาฏัน มีฐานะทางครอบครัวในระดับที่มั่นคง โดยออกจากเนปาลมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 15 ปี และมีความสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา คือ ภาษาไทย, เนปาล, อาหรับ, ฝรั่งเศส และรัสเซีย อีกทั้งยังเคยใช้ชีวิตมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งเคยเป็นลูกเรือประมงที่จังหวัดภูเก็ต หรือเคยเผชิญหน้ากับขบวนการค้ามนุษย์ที่ชายแดนกัมพูชามาแล้ว ซึ่งรายการโต๊ะข่าวบันเทิง ของช่อง 3 รายงานว่า "นาธานมีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่อิสลามอย่างที่เคยกล่าว มีชื่อเดิมว่า ธัญวัฒน์ หยุ่นตระกูล เป็นบุตรชายของนายธัญญา หยุ่นตระกูล มีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ไม่ได้เป็นคนเนปาล อาศัยอยู่ในจังหวัดพิษณุโลก" โดยทางทีมนักข่าวสอบถามกับนายธัญญา ที่เชื่อว่าเป็นบิดา แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ บอกแต่เพียงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาธาน แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามกับเพื่อนบ้าน ทุกคนในหมู่บ้านรู้ดีว่านายธัญญาเป็นพ่อของนาธาน ซึ่งนาธานเคยมาหาพ่อบ้างแต่ไม่บ่อย และต่อมาอดีตแม่บ้านของนาธานนำสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของนาธานมาแสดงให้เห็นว่าเขามีสัญชาติไทยแท้ ไม่ใช่ลูกครึ่งเนปาลตามที่กล่าวอ้าง แต่เมื่อพิธีกรพยายามจี้ถามถึงเรื่องของสัญชาติ นาธานก็ได้ตัดสายโทรศัพท์ไปทันที ในการบันทึกเทปสัมภาษณ์รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 นาธานเปิดเผยว่า พูด 5 ภาษาตามที่เคยกล่าวอ้างไม่ได้ และกล่าวว่า ตนเป็นคนโกหกลวงโลกตั้งแต่เข้าวงการมา โดยมีผู้มีพระคุณ 5-6 คน คอยบอกให้เป็นแบบนั้น จัดวางว่าจะต้องเป็นลูกครึ่งที่พูดได้ 5 ภาษา และวิเคราะห์ตนเองว่า ตัวเองเป็น คนที่ต้องการความรัก ต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางหมากเอาไว้ และเข้าใจว่า คนทั่วไปชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงจะไม่เคยเชื่อ แต่พอโกหกทุกคนเชื่อกัน จึงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเรื่อยมาผลงานอัลบั้มเพลงผลงาน. อัลบั้มเพลง. - Nathan (2546) - สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ - MV ถอนตัว Byrd&Heartหนังสือผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย)โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) หนังสือ. โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet). โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) เป็นพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มที่ 2 ของนาธาน โอร์มาน ซึ่งต่อจาก "ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) " พ็อกเก็ตบุ๊คเล่มนี้เป็นผู้เขียนอ้างว่าเป็นบันทึกเดินทางในประเทศเนปาลของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น หมู่บ้านเก่าในนาคากต ร้านขนมในปาตัน และยังมีประสบการณ์เฉียดตายจากการเดินทางไปผจญภัยในดินแดนแคชเมียร์ อียิปต์ ตุรกี เหตุการณ์คลื่นสึนามิพัดถล่มในหมู่เกาะสุรินทร์ นอกจากนี้ยังกล่าวถึง การตกแต่งบ้านสไตล์เนปาล และพลังลึกลับของหิน นาธานกล่าวอ้างว่า แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะต้องการบอกให้ทุกคนรู้ว่า ตอนนี้เขาไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว เพราะการเดินทางทำให้ได้เจอเพื่อนๆมากมายจากทั่วทุกมุมโลก และที่สำคัญนาธานอยากให้แฟนเพลงทุกคนได้รู้จักประเทศเนปาลมากขึ้น อยากให้หลายๆ คนได้รับรู้ทุกซอกทุกมุมของเนปาล ซึ่งถือเป็นดินแดนแห่งอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลก จากข้อกรณีพิพาทที่นาธานได้มีดังนั้นจึงสรุปได้ว่าหนังสือ ทั้ง 2 เล่ม คือ ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) นั่นเป็นเรื่องแต่งมาทั้งสิ้น โดยได้แรงบันดาลใจจากผู้ใหญ่ที่รู้จักกันและเคยเล่าประสบการณ์ใช้ชีวิตที่เนปาลให้นาธานฟังนาธานจึงใช้ประสบการณ์ของคนอื่นมาปรุงแต่งเขียนใหม่เป็นหนังสือของตนเอง
โรงเรียนดรุณศึกษา
879
896
287
1
ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ หรือ The Times คือใคร
เดอะไทมส์ เดอะไทมส์ () เป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษ ที่ตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ ค.ศ. 1785 เดิมใช้ชื่อว่า The Daily Universal Register ก่อตั้งโดยจอห์น วอลเทอร์ ตีพิมพ์ฉบับแรกวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1785 และเปลี่ยนชื่อเป็น The Times ตั้งแต่ฉบับที่ 941 วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1788 ในปี ค.ศ. 1931 เดอะไทมส์ได้มอบหมายให้สแตนลีย์ มอร์ริสัน นักออกแบบตัวอักษรชาวอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบไทป์เฟซชื่อ ไทมส์นิวโรมัน (Times New Roman) ร่วมกับบริษัทโมโนไทพ์ เพื่อใช้กับหนังสือพิมพ์มาจนถึงปัจจุบัน เดอะไทมส์ตีพิมพ์ด้วยกระดาษขนาดบรอดชีต เป็นเวลา 219 ปี และเปลี่ยนเป็นขนาดคอมแพค ตั้งแต่ ค.ศ. 2004 เพื่อดึงดูดผู้อ่านที่มีอายุน้อย และผู้โดยสารระบบขนส่งสาธารณะ ปัจจุบันตีพิมพ์ขนาดคอมแพคเฉพาะฉบับวันจันทร์-เสาร์ และขนาดบรอดชีตเฉพาะฉบับวันอาทิตย์ เดอะไทมส์เป็นหนังสือพิมพ์ในเครือเดียวกับ เดอะซันเดย์ไทมส์ จัดพิมพ์โดย Times Newspapers Limited บริษัทลูกของบริษัทนิวส์คอร์ปอเรชัน ของรูเพิร์ต เมอร์ด็อก ที่ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับมาจากรอย ทอมสัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1981 มียอดตีพิมพ์ฉบับละประมาณ 600,000 - 700,000 ฉบับ เป็นหนังสือพิมพ์แนวเป็นกลาง และอนุรักษนิยม เว็บไซต์ออนไลน์ของเดอะไทมส์ ใช้ชื่อว่า ไทมส์ออนไลน์
จอห์น วอลเทอร์
238
252
288
1
หนังสือพิมพ์ The Daily Universal Register ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น The Times ในฉบับตีพิมพ์ที่เท่าไร
เดอะไทมส์ เดอะไทมส์ () เป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษ ที่ตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ ค.ศ. 1785 เดิมใช้ชื่อว่า The Daily Universal Register ก่อตั้งโดยจอห์น วอลเทอร์ ตีพิมพ์ฉบับแรกวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1785 และเปลี่ยนชื่อเป็น The Times ตั้งแต่ฉบับที่ 941 วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1788 ในปี ค.ศ. 1931 เดอะไทมส์ได้มอบหมายให้สแตนลีย์ มอร์ริสัน นักออกแบบตัวอักษรชาวอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบไทป์เฟซชื่อ ไทมส์นิวโรมัน (Times New Roman) ร่วมกับบริษัทโมโนไทพ์ เพื่อใช้กับหนังสือพิมพ์มาจนถึงปัจจุบัน เดอะไทมส์ตีพิมพ์ด้วยกระดาษขนาดบรอดชีต เป็นเวลา 219 ปี และเปลี่ยนเป็นขนาดคอมแพค ตั้งแต่ ค.ศ. 2004 เพื่อดึงดูดผู้อ่านที่มีอายุน้อย และผู้โดยสารระบบขนส่งสาธารณะ ปัจจุบันตีพิมพ์ขนาดคอมแพคเฉพาะฉบับวันจันทร์-เสาร์ และขนาดบรอดชีตเฉพาะฉบับวันอาทิตย์ เดอะไทมส์เป็นหนังสือพิมพ์ในเครือเดียวกับ เดอะซันเดย์ไทมส์ จัดพิมพ์โดย Times Newspapers Limited บริษัทลูกของบริษัทนิวส์คอร์ปอเรชัน ของรูเพิร์ต เมอร์ด็อก ที่ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับมาจากรอย ทอมสัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1981 มียอดตีพิมพ์ฉบับละประมาณ 600,000 - 700,000 ฉบับ เป็นหนังสือพิมพ์แนวเป็นกลาง และอนุรักษนิยม เว็บไซต์ออนไลน์ของเดอะไทมส์ ใช้ชื่อว่า ไทมส์ออนไลน์
ฉบับที่ 941
329
340
289
1
สีประจำโรงเรียนตะโหมด จังหวัดพัทลุง คือสีอะไร
โรงเรียนตะโหมด โรงเรียนตะโหมด (อังกฤษ: Tamode School) (อักษรย่อ: ต.ม. TM) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ในจังหวัดพัทลุง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 (นครศรีธรรมราช-พัทลุง) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 578 หมู่ 1 ถนนสมพรอุทิศ ตำบลแม่ขรี อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง 93160 ขนาดเนื้อที่ 44 ไร่ ประกอบด้วยตึกขนาดใหญ่ 4 หลัง และอาคารเรียนชั้นเดียว 5 หลัง มีห้องเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 27 ห้องเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 18 ห้องเรียน รวมทั้งหมด 45 ห้องเรียน อาคารเรียน -อาคารเรียน 1 ราษฎร์รักสามัคคี ( 3 ชั้น ) ชั้น 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้น 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้น 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ -อาคารเรียน 2 ทวีปัญญา ( 3 ชั้น ) ชั้น 1 ห้องกิจการ , ห้องคณะกรรมการนักเรียน , กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาฯ , ห้องแนะแนว ชั้น 2 ห้องสมุด , ห้องศาสนาอิสลาม , ห้องคอมพิวเตอร์ 1-2 ชั้น 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย , ห้องคอมพิวเตอร์ 3 -อาคารเรียน 3 แสงเทียน ( 4 ชั้น ) ชั้น 1 ใต้ถุนอาคาร ชั้น 2 ห้องวิชาการ , ห้องประชุมลานขรี , ห้องศูนย์สื่อศรีตะโหมด ชั้น 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้น 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา -อาคารเรียน 4 ( เปิดทำการเรียนการสอน ปี 2561 ) -หอประชุมโรงเรียนตะโหมด -ศูนย์อาหาร โครงการในอนาคต *หอประชุม 2 ชั้น *ศูนย์อาหารแห่งใหม่ประวัติ ประวัติ. โรงเรียนตะโหมด เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งขึ้นมาตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2519 โดยคณะกรรมการผู้ริเริ่มจัดตั้งคณะหนึ่งเป็นคณะกรรมการจัดหาเงินทุนเพื่อซื้อที่ดินและวัสดุก่อสร้างดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราว 1 หลัง และที่ดินจำนวนเนื้อที่ 44 ไร่ เปิดทำการสอนวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2519 เปิดรับสมัครนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้องเรียน มีนักเรียน จำนวน 105 คน โดยมีนายสวัสดิ์ วัตรุจีกฤต รักษาการในตำแหน่งครูใหญ่ ปัจจุบันเปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (่ช่วงชั้นที่ 3) ชั้นละ 9 ห้องเรียน ประกอบด้วย แผนการเรียนคณิต-วิทย์-อังกฤษ แผนการเรียนคอมฯ-คณิต-อังกฤษ แผนการเรียนอังกฤษ-ไทย-สังคม และแผนการเรียนทั่วไป (เลือกรายวิชาเพิ่มเติม) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (่ช่วงชั้นที่ 4) ชั้นละ 6 ห้องเรียน ประกอบด้วย แผนการเรียนวิทย์คณิต แผนการเรียนศิลป์-คณิต และแผนการเรียนศิลป์-ทั่วไปสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนสัญลักษณ์ประจำโรงเรียน. - คติพจน์ ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต (ปัญญา เป็นแสงสว่างในโลก)- คำขวัญ ความรู้ดี ทักษะเด่น เน้นคุณธรรม นำชุมชน- สีประจำโรงเรียน คือ สีเทา - เหลือง - สีเทา หมายถึง ความเข้มแข็ง , มันสมอง- ปรัชญา การศึกษาแก้ปัญหาสังคม- อัตลักษณ์ แต่งกายดี มีวินัย ร่าเริงแจ่มใส น้ำใจงาม- ตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนตะโหมด อักษรย่อ ต.ม. ล้อมด้วยก้านขรี 2 ข้าง อยู่บนหนังสือ ความหมาย โรงเรียนตะโหมด (ต.ม.) ภายใต้แสงสว่าง (รัศมี) บ่งบอกถึงความสว่างไสว เจริญรุ่งเรือง ซึ่งล้อมด้วยความฉลาดและหลักแหลม โดยมีปัญญา (หนังสือ) เป็นเครื่องชี้ทาง- พระพุทธรูปประจำโรงเรียน พระพุทธรุ่งโรจน์ผู้บริหารโรงเรียนตะโหมด ปัจจุบัน
สีเทา
2,416
2,421
290
1
ศิลป์ชนก คล้ายแต้ เป็นนักร้องสังกัดวงอะไร
ศิลป์ชนก คล้ายแต้ ศิลป์ชนก คล้ายแต้ เป็นนักร้องเชื้อชาติลาว สัญชาติไทย ในสังกัดกามิกาเซ่ ในเครืออาร์เอส คนมักรู้จักในชื่อ Thank you kamikaze เข้าสู่วงการบันเทิงจากการออดิชันเป็นศิลปินฝึกหัดที่อาร์เอสมาประมาณ 2 ปี จนได้เป็นนักร้องในภายหลัง ชีวิตส่วนตัว คบหาดูใจกับ แจ็ค จารุพงศ์ กล้วยไม้งาม หรือแบล็กแจ็คการศึกษาการศึกษา. - Niva International School - ปัจจุบันกำลังศึกษาที่ มหาวิทยาลัยนานาชาติสแตมฟอร์ด เนื่องจากเรียนไม่จบผลงานโฆษณา ผลงานโฆษณา. *โฆษณา นมตรามะลิ ลูกอมคูก้า กระเบื้องโอฬารผลงานเพลงอัลบั้มปกติผลงานการแสดงละครโทรทัศน์มิวสิกวีดีโอพิธีกรคอนเสิร์ต
สังกัดกามิกาเซ่
166
181
291
1
เพลง มายบลัดดีวาเลนไทน์ ของทาทา ยัง เริ่มเผยแพร่ในปี 2552 อยู่ในอัลบั้มชื่อว่าอะไร
มายบลัดดีวาเลนไทน์ (เพลงทาทา ยัง) "มายบลัดดีวาเลนไทน์" () คือซิงเกิลที่ 2 ของทาทา ยัง จากอัลบั้ม เรดีฟอร์เลิฟ เริ่มเผยแพร่เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552 โดยออกจำหน่ายผ่านทางดิจิตอลดาวน์โหลดและเผยแพร่ทางวิทยุในประเทศไทย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ทาทา ยัง ได้ออกเผยแพร่เพลง "มายบลัดดีวาเลนไทน์" ในฉบับภาษาไทย ออกมาทุกคลื่นวิทยุ เนื่องในโอกาสเดือนแห่งความรักชาร์ต
เรดีฟอร์เลิฟ
206
218
292
1
จังหวัดใต้สุดของญี่ปุ่นคือจังหวัดอะไร
จังหวัดโอกินาวะ จังหวัดโอกินาวะ ( Okinawa-ken) เป็นจังหวัดใต้สุดของญี่ปุ่น พื้นที่ยาวกว่า 1,000 กิโลเมตร กินสองในสามของเกาะรีวกีวซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของคีวชูไปทางไต้หวัน เมืองเอกคือนาฮะซึ่งอยู่ภาคใต้ของเกาะโอกินาวะ แม้จังหวัดโอกินาวะจะเป็นพื้นที่เพียงร้อยละ 0.6 ของดินแดนญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ร้อยละ 75 ของทหารสหรัฐที่ประจำในญี่ปุ่นก็ตั้งอยู่ในจังหวัดนี้ ปัจจุบัน มีกองกำลังสหรัฐราว 26,000 กองตั้งอยู่ในจังหวัดโอกินาวะประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. หลักฐานที่เก่าที่สุดที่แสดงว่ามีมนุษย์บนหมู่เกาะรีวกีว ค้นพบที่เมืองนะฮะ (那覇市 Naha-shi) และเมืองยะเอะเสะ (八重瀬町 Yaese-chō) มีการค้นพบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์จากยุคหินเก่า แต่ก็ไม่เป็นหลักฐานที่แน่ชัด นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาอันเป็นร่องรอยอิทธิพลของญี่ปุ่นในยุคโจมง (縄文時代 Jōmon jidai) (14,000-400 ปีก่อนคริสต์ศักราช) บนหมู่เกาะซะกิชิมะ (先島諸島 Sakishima shotō") อันเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะรีวกีว อย่างไรก็ตาม เครื่องปั้นดินเผานี้ มีลักษณะคล้ายกับเครื่องปั้นดินเผาที่พบได้ทั่วไปบนเกาะไต้หวัน คำว่า รีวกีว กล่าวขึ้นครั้งแรกในพงศาวดารราชวงศ์สุย () ของจีน แต่คำว่า รีวกีว ในที่นี้อาจหมายถึงเกาะไต้หวัน ไม่ใช่หมู่เกาะรีวกีวในปัจจุบัน ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ คำว่า โอกินาวะ เป็นคำภาษาญี่ปุ่นใช้เรียกหมู่เกาะนี้ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในบันทึกของภิกษุเจียนเจียงหรือกันจิง (鑒真 หรือ 鑑真) ภิกษุชาวจีนผู้เดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนา และเขียนไว้ใน ค.ศ. 779 ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 เริ่มมีสังคมเกษตรกรรมและเติบโตอย่างช้า ๆ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 เนื่องจากหมู่เกาะตั้งอยู่ใจกลางทะเลจีนตะวันออก ใกล้กับญี่ปุ่น จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาณาจักรรีวกีวจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่งในภูมิภาค ในยุคนี้จะมีการสร้างกุสุคุ (御城 Gusuku) หรือปราสาทแบบโอกินาวะขึ้นมากมาย และในคริสต์ศตวรรษที่ 15 อาณาจักรรีวกีวได้กลายเป็นรัฐบรรณาการแห่งหนึ่งของจักรวรรดิจีน ใน ค.ศ. 1609 ไดเมียว (เจ้าเมือง) แคว้นซัตสึมะ (薩摩 Satsuma) ดินแดนซึ่งในปัจจุบันคือจังหวัดคะโงะชิมะ (鹿児島県 Kagoshima-ken) ได้เข้ารุกรานอาณาจักรรีวกีว ส่งผลให้อาณาจักรรีวกีวต้องยอมจำนนและเป็นรัฐบรรณาการของแคว้นซัตสึมะและรัฐบาลโชกุนโทะคุงะวะ (徳川幕府 Tokugawa bakufu) หรือรัฐบาลเอะโดะ (江戸幕府 Edo bakufu) อย่างไรก็ตาม การยึดอาณาจักรรีวกีวไว้อาจสร้างความบาดหมางกับจักรวรรดิจีนได้ ดังนั้น สิทธิเสรีภาพของชาวรีวกีวจึงยังคงไว้เหมือนเดิม แคว้นซัตสึมะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากการค้ากับจักรวรรดิจีนในยุคเอะโดะที่รัฐบาลโชกุนโทะคุงะวะสั่งให้ญี่ปุ่นปิดประเทศและห้ามการค้าใด ๆ กับชาวต่างชาติ แม้ว่าแคว้นซัตสึมะจะมีอิทธิพลเหนือหมู่เกาะรีวกีวอย่างมาก แต่อาณาจักรรีวกีวก็ยังมีเสรีภาพทางการเมืองภายในอย่างไม่น้อยมาตลอดสองร้อยปี สี่ปีหลังการปฏิรูปสมัยเมจิ (明治王政復辟 Meiji Ishin) ใน ค.ศ. 1868 รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยนั้นได้บุกยึกอาณาจักรรีวกีวอย่างถาวรโดยการหนุนหลังของกองทัพ และเปลี่ยนชื่อเป็นแคว้นรีวกีว หรือรีวกีวฮัน (琉球藩 Ryūkyū han) ซึ่งเป็นเขตปกครองโดยไดเมียวหรือเจ้าเมือง แต่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลราชวงศ์ชิงของจักรวรรดิจีนก็อ้างสิทธิบนหมู่เกาะของอาณาจักรรีวกีวเช่นเดียวกัน โดยอ้างว่าอาณาจักรรีวกีว เคยเป็นรัฐบรรณาการของจีนมาก่อน ใน ค.ค. 1879 แคว้นรีวกีวก็กลายเป็นจังหวัดโอกินาวะของญี่ปุ่น เป็นแคว้นสุดท้ายหลักจากกาแคว้นทั้งหมดถูกยกฐานะเป็นจังหวัดใน ค.ศ. 1872 หลักจากยุทธการโอกินาวะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โอกินาวะอยู่ภายใต้อารักขาของสหรัฐอเมริกาถึง 27 ปี ในระหว่างที่โอกินาวะอยู่ภายใต้ภาวะทรัสตีนั้น กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ตั้งฐานทัพทหารบนมากมายบนหลายเกาะของโอกินาวะ ใน ค.ศ. 1972 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้คืนโอกินาวะคืนให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้สนธิสัญญาความร่วมมือและความปลอดภัยระดับทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น (ภาษาอังกฤษ: Treaty of Mutual Cooperation and Security between the United States and Japan; ภาษาญี่ปุ่น: 日本国とアメリカ合衆国との間の相互協力及び安全保障条約 Nippon-koku to Amerika-gasshūkoku to no Aida no Sōgo Kyōryoku oyobi Anzen Hoshō Jōyaku) ในปัจจุบัน กองกำลังสหรัฐอเมริกาในญี่ปุ่น (ภาษาอังกฤษ: United States Forces in Japan (USFJ) ; ภาษาญี่ปุ่น: 在日米軍 Zainichi Beigun) มีขนาดใหญ่ถึง 27,000 นาย รวมถึงนาวิกโยธิน 15,000 นาย ซึ่งมีทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ นอกจากนี้ยังมีสมาชิกครอบครัวอีก 22,000 คนอาศัยอยู่ในโอกินาวะ เนื้อที่ 18% ของเกาะโอกินาวะอันเป็นเกาะหลักเป็นพื้นที่ของฐานทัพสหรัฐฯ และ 75% ของ USFJ ของในจังหวัดโอกินาวะ จำนวนอุบัติเหตุและอาชญากรรมที่คนของสหรัฐฯ เป็นผู้ก่อนั้น ได้ทำให้ชาวโอกินาวะสนับสนุนการตั้งฐานทัพน้อยลงทุกที ๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯและญี่ปุ่นต่างเห็นพ้องกันว่าการมีฐานทัพทหารบนเกาะโอกินาวะนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์คนของสหรัฐฯข่มขืนเด็กหญิงอายุ 12 ขวบบนเกาะโอกินาวะในค.ศ. 1995 ได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านฐานทัพสหรัฐฯเป็นอย่างมาก ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯและญี่ปุ่นต้องย้ายฐานทัพอากาศนาวิกโยธินฟุเตนมะ (Marine Corps Air Station Futenma หรือ MCAS Futenma) และฐานทัพเล็กอื่น ๆ ออกไปห่างไกลชุมชน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน การปิดฐานทัพถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ประเด็นนี้ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่นและกลุ่มเรียกร้องอิสรภาพรีวกีว (琉球独立運動 Ryūkyū Dokuritsu Undō) ขึ้นมาไม่นานมานี้เองภูมิศาสตร์เกาะหลัก ภูมิศาสตร์. เกาะหลัก. เกาะต่าง ๆ ซึ่งประกอบกันเป็นจังหวัดโอกินาวะนั้นเป็นสองในสามของเกาะรีวกีว เกาะที่มีอยู่คนของโอกินาวะนั้นปรกติแล้วแบ่งออกเป็นกลุ่มเกาะสามกลุ่ม เรียงจากตะวันออกเฉียงเหนือไปตะวันตกเฉียงใต้ได้ดังนี้- โอกินาวะ- อิเอจิมะ - คูเมจิมะ - โอกินาวะ - เครามะ - มิยาโกะ- มิยาโกะจิมะ - ยาเอยามะ- อิริโอโมเตจิมะ - อิชิงากิ - โยนางูนินคร นคร. จังหวัดโอกินาวะประกอบด้วยนคร 11 แห่งดังนี้- กิโนวัง - โทมิงูซูกุ - นันโจ - นาโงะ - นาฮะ (เมืองเอก) - มิยาโกจิมะ - อิชิงากิ - อิโตมัง - อูราโซเอะ - อูรูมะ - โอกินาวะภาษาและวัฒนธรรม ภาษาและวัฒนธรรม. เนื่องจากในอดีต โอกินาวะ เคยมีเอกราชของตัวเองมาก่อน ภาษาและวัฒนธรรมของโอกินาวะจึงค่อนข้างแตกต่างจากญี่ปุ่นภาษา ภาษา. ยังคงมีผู้พูดภาษารีวกีวอยู่บ้าง ซึ่งผู้พูดภาษาญี่ปุ่นจะเข้าใจได้ยาก ภาษารีวกีวอันนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ คนรุ่นใหม่ละเลยภาษาพื้นเมืองดั้งเดิมของตัวเองมากขึ้นทุกที ๆ นักภาษาศาสตร์ที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นส่วนมากจัดให้ภาษารีวกีวอันมีความแตกต่างจากภาษาญี่ปุ่น แต่ในชาวญี่ปุ่นและชาวท้องถิ่นจัดให้เป็นภาษาท้องถิ่นหนึ่งของญี่ปุ่น โดยปัจจุบัน ภาษาญี่ปุ่นมาตรฐานถูกใช้เป็นภาษาทางการ ในความเป็นจริงแล้ว ภาษาที่ชาวโอกินาวะอายุต่ำกว่า 60 ปีใช้กันทั่วไปเป็นภาษาญี่ปุ่นสำเนียงโอกินะวะที่เรียกว่า ภาษาปากโอะกินะวัน (ウチナーヤマトグチ, 沖縄大和口 Uchinā Yamatoguchi) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาษารีวกีวอัน และภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน และมักสับสนกับภาษาโอกินะวันดั้งเดิม (ウチナーグチ Uchinaaguchi) ที่มักใช้ในการการแสดงและการละเลนพื้นเมือง เช่น เพลงพื้นเมือง ระบำพื้นเมือง เป็นต้น นอกจากนี้ ข่าวท้องถิ่นยังใช้ภาษาโอกินะวันดั้งเดิมเช่นกันศาสนา ศาสนา. ชาวโอกินาวะ มีความเชื่อของตัวเอง โดยจะบูชาบรรพบุรุษ และเคารพความสัมพันธ์ระหว่างชีวิต ความตาย เทพเจ้า และวิญญาณต่าง ๆ ที่สถิตในธรรมชาติอิทธิพลทางวัฒนธรรม อิทธิพลทางวัฒนธรรม. วัฒนธรรมโอกินาวะได้รับอิทธิพลจากชาติต่าง ๆ ที่เคยทำการค้าด้วยกันมาแต่ในอดีต แม้ในปัจจุบัน เราอาจพบสินค้าและวัฒนธรรมจากประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ไทย และออสโตรเนเชียน (ชวา มลายู) ในย่านการค้าของโอกินาวะ เราอาจพูดได้ว่าวัฒนธรรมที่โอกินาวะส่งออกไปทั่วโลกคือ คาราเต้ (空手 Karate) ซึ่งเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของศิลปะการต่อสู้ของจีนนั่นคือ กังฟู (功夫, gōngfū) และศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมของโอกินาวะ ศิลปะการต่อสู้นี้พัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงสองสมัย คือในระหว่างการสั่งห้ามใช้อาวุธหลังการยึดครองของญี่ปุ่นจนถึงรัฐบาลเมจิ สินค้าท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงของโอกินาวะอีกอย่างคือ อะวะโมะริ (泡盛 Awamori) ซึ่งเป็นสุรากลั่น ทำจากข้าวเจ้านำเข้าจากประเทศไทยแผนที่อื่น
จังหวัดโอกินาวะ
105
120
293
1
นครนาฮะ เป็นเมืองเอกของจังหวัดอะไรในประเทศญี่ปุ่น
จังหวัดโอกินาวะ จังหวัดโอกินาวะ ( Okinawa-ken) เป็นจังหวัดใต้สุดของญี่ปุ่น พื้นที่ยาวกว่า 1,000 กิโลเมตร กินสองในสามของเกาะรีวกีวซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของคีวชูไปทางไต้หวัน เมืองเอกคือนาฮะซึ่งอยู่ภาคใต้ของเกาะโอกินาวะ แม้จังหวัดโอกินาวะจะเป็นพื้นที่เพียงร้อยละ 0.6 ของดินแดนญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ร้อยละ 75 ของทหารสหรัฐที่ประจำในญี่ปุ่นก็ตั้งอยู่ในจังหวัดนี้ ปัจจุบัน มีกองกำลังสหรัฐราว 26,000 กองตั้งอยู่ในจังหวัดโอกินาวะประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์. หลักฐานที่เก่าที่สุดที่แสดงว่ามีมนุษย์บนหมู่เกาะรีวกีว ค้นพบที่เมืองนะฮะ (那覇市 Naha-shi) และเมืองยะเอะเสะ (八重瀬町 Yaese-chō) มีการค้นพบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์จากยุคหินเก่า แต่ก็ไม่เป็นหลักฐานที่แน่ชัด นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาอันเป็นร่องรอยอิทธิพลของญี่ปุ่นในยุคโจมง (縄文時代 Jōmon jidai) (14,000-400 ปีก่อนคริสต์ศักราช) บนหมู่เกาะซะกิชิมะ (先島諸島 Sakishima shotō") อันเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะรีวกีว อย่างไรก็ตาม เครื่องปั้นดินเผานี้ มีลักษณะคล้ายกับเครื่องปั้นดินเผาที่พบได้ทั่วไปบนเกาะไต้หวัน คำว่า รีวกีว กล่าวขึ้นครั้งแรกในพงศาวดารราชวงศ์สุย () ของจีน แต่คำว่า รีวกีว ในที่นี้อาจหมายถึงเกาะไต้หวัน ไม่ใช่หมู่เกาะรีวกีวในปัจจุบัน ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ คำว่า โอกินาวะ เป็นคำภาษาญี่ปุ่นใช้เรียกหมู่เกาะนี้ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในบันทึกของภิกษุเจียนเจียงหรือกันจิง (鑒真 หรือ 鑑真) ภิกษุชาวจีนผู้เดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนา และเขียนไว้ใน ค.ศ. 779 ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 เริ่มมีสังคมเกษตรกรรมและเติบโตอย่างช้า ๆ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 เนื่องจากหมู่เกาะตั้งอยู่ใจกลางทะเลจีนตะวันออก ใกล้กับญี่ปุ่น จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาณาจักรรีวกีวจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่งในภูมิภาค ในยุคนี้จะมีการสร้างกุสุคุ (御城 Gusuku) หรือปราสาทแบบโอกินาวะขึ้นมากมาย และในคริสต์ศตวรรษที่ 15 อาณาจักรรีวกีวได้กลายเป็นรัฐบรรณาการแห่งหนึ่งของจักรวรรดิจีน ใน ค.ศ. 1609 ไดเมียว (เจ้าเมือง) แคว้นซัตสึมะ (薩摩 Satsuma) ดินแดนซึ่งในปัจจุบันคือจังหวัดคะโงะชิมะ (鹿児島県 Kagoshima-ken) ได้เข้ารุกรานอาณาจักรรีวกีว ส่งผลให้อาณาจักรรีวกีวต้องยอมจำนนและเป็นรัฐบรรณาการของแคว้นซัตสึมะและรัฐบาลโชกุนโทะคุงะวะ (徳川幕府 Tokugawa bakufu) หรือรัฐบาลเอะโดะ (江戸幕府 Edo bakufu) อย่างไรก็ตาม การยึดอาณาจักรรีวกีวไว้อาจสร้างความบาดหมางกับจักรวรรดิจีนได้ ดังนั้น สิทธิเสรีภาพของชาวรีวกีวจึงยังคงไว้เหมือนเดิม แคว้นซัตสึมะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากการค้ากับจักรวรรดิจีนในยุคเอะโดะที่รัฐบาลโชกุนโทะคุงะวะสั่งให้ญี่ปุ่นปิดประเทศและห้ามการค้าใด ๆ กับชาวต่างชาติ แม้ว่าแคว้นซัตสึมะจะมีอิทธิพลเหนือหมู่เกาะรีวกีวอย่างมาก แต่อาณาจักรรีวกีวก็ยังมีเสรีภาพทางการเมืองภายในอย่างไม่น้อยมาตลอดสองร้อยปี สี่ปีหลังการปฏิรูปสมัยเมจิ (明治王政復辟 Meiji Ishin) ใน ค.ศ. 1868 รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยนั้นได้บุกยึกอาณาจักรรีวกีวอย่างถาวรโดยการหนุนหลังของกองทัพ และเปลี่ยนชื่อเป็นแคว้นรีวกีว หรือรีวกีวฮัน (琉球藩 Ryūkyū han) ซึ่งเป็นเขตปกครองโดยไดเมียวหรือเจ้าเมือง แต่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลราชวงศ์ชิงของจักรวรรดิจีนก็อ้างสิทธิบนหมู่เกาะของอาณาจักรรีวกีวเช่นเดียวกัน โดยอ้างว่าอาณาจักรรีวกีว เคยเป็นรัฐบรรณาการของจีนมาก่อน ใน ค.ค. 1879 แคว้นรีวกีวก็กลายเป็นจังหวัดโอกินาวะของญี่ปุ่น เป็นแคว้นสุดท้ายหลักจากกาแคว้นทั้งหมดถูกยกฐานะเป็นจังหวัดใน ค.ศ. 1872 หลักจากยุทธการโอกินาวะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โอกินาวะอยู่ภายใต้อารักขาของสหรัฐอเมริกาถึง 27 ปี ในระหว่างที่โอกินาวะอยู่ภายใต้ภาวะทรัสตีนั้น กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ตั้งฐานทัพทหารบนมากมายบนหลายเกาะของโอกินาวะ ใน ค.ศ. 1972 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้คืนโอกินาวะคืนให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้สนธิสัญญาความร่วมมือและความปลอดภัยระดับทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น (ภาษาอังกฤษ: Treaty of Mutual Cooperation and Security between the United States and Japan; ภาษาญี่ปุ่น: 日本国とアメリカ合衆国との間の相互協力及び安全保障条約 Nippon-koku to Amerika-gasshūkoku to no Aida no Sōgo Kyōryoku oyobi Anzen Hoshō Jōyaku) ในปัจจุบัน กองกำลังสหรัฐอเมริกาในญี่ปุ่น (ภาษาอังกฤษ: United States Forces in Japan (USFJ) ; ภาษาญี่ปุ่น: 在日米軍 Zainichi Beigun) มีขนาดใหญ่ถึง 27,000 นาย รวมถึงนาวิกโยธิน 15,000 นาย ซึ่งมีทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ นอกจากนี้ยังมีสมาชิกครอบครัวอีก 22,000 คนอาศัยอยู่ในโอกินาวะ เนื้อที่ 18% ของเกาะโอกินาวะอันเป็นเกาะหลักเป็นพื้นที่ของฐานทัพสหรัฐฯ และ 75% ของ USFJ ของในจังหวัดโอกินาวะ จำนวนอุบัติเหตุและอาชญากรรมที่คนของสหรัฐฯ เป็นผู้ก่อนั้น ได้ทำให้ชาวโอกินาวะสนับสนุนการตั้งฐานทัพน้อยลงทุกที ๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯและญี่ปุ่นต่างเห็นพ้องกันว่าการมีฐานทัพทหารบนเกาะโอกินาวะนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์คนของสหรัฐฯข่มขืนเด็กหญิงอายุ 12 ขวบบนเกาะโอกินาวะในค.ศ. 1995 ได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านฐานทัพสหรัฐฯเป็นอย่างมาก ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯและญี่ปุ่นต้องย้ายฐานทัพอากาศนาวิกโยธินฟุเตนมะ (Marine Corps Air Station Futenma หรือ MCAS Futenma) และฐานทัพเล็กอื่น ๆ ออกไปห่างไกลชุมชน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน การปิดฐานทัพถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ประเด็นนี้ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่นและกลุ่มเรียกร้องอิสรภาพรีวกีว (琉球独立運動 Ryūkyū Dokuritsu Undō) ขึ้นมาไม่นานมานี้เองภูมิศาสตร์เกาะหลัก ภูมิศาสตร์. เกาะหลัก. เกาะต่าง ๆ ซึ่งประกอบกันเป็นจังหวัดโอกินาวะนั้นเป็นสองในสามของเกาะรีวกีว เกาะที่มีอยู่คนของโอกินาวะนั้นปรกติแล้วแบ่งออกเป็นกลุ่มเกาะสามกลุ่ม เรียงจากตะวันออกเฉียงเหนือไปตะวันตกเฉียงใต้ได้ดังนี้- โอกินาวะ- อิเอจิมะ - คูเมจิมะ - โอกินาวะ - เครามะ - มิยาโกะ- มิยาโกะจิมะ - ยาเอยามะ- อิริโอโมเตจิมะ - อิชิงากิ - โยนางูนินคร นคร. จังหวัดโอกินาวะประกอบด้วยนคร 11 แห่งดังนี้- กิโนวัง - โทมิงูซูกุ - นันโจ - นาโงะ - นาฮะ (เมืองเอก) - มิยาโกจิมะ - อิชิงากิ - อิโตมัง - อูราโซเอะ - อูรูมะ - โอกินาวะภาษาและวัฒนธรรม ภาษาและวัฒนธรรม. เนื่องจากในอดีต โอกินาวะ เคยมีเอกราชของตัวเองมาก่อน ภาษาและวัฒนธรรมของโอกินาวะจึงค่อนข้างแตกต่างจากญี่ปุ่นภาษา ภาษา. ยังคงมีผู้พูดภาษารีวกีวอยู่บ้าง ซึ่งผู้พูดภาษาญี่ปุ่นจะเข้าใจได้ยาก ภาษารีวกีวอันนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ คนรุ่นใหม่ละเลยภาษาพื้นเมืองดั้งเดิมของตัวเองมากขึ้นทุกที ๆ นักภาษาศาสตร์ที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นส่วนมากจัดให้ภาษารีวกีวอันมีความแตกต่างจากภาษาญี่ปุ่น แต่ในชาวญี่ปุ่นและชาวท้องถิ่นจัดให้เป็นภาษาท้องถิ่นหนึ่งของญี่ปุ่น โดยปัจจุบัน ภาษาญี่ปุ่นมาตรฐานถูกใช้เป็นภาษาทางการ ในความเป็นจริงแล้ว ภาษาที่ชาวโอกินาวะอายุต่ำกว่า 60 ปีใช้กันทั่วไปเป็นภาษาญี่ปุ่นสำเนียงโอกินะวะที่เรียกว่า ภาษาปากโอะกินะวัน (ウチナーヤマトグチ, 沖縄大和口 Uchinā Yamatoguchi) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาษารีวกีวอัน และภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน และมักสับสนกับภาษาโอกินะวันดั้งเดิม (ウチナーグチ Uchinaaguchi) ที่มักใช้ในการการแสดงและการละเลนพื้นเมือง เช่น เพลงพื้นเมือง ระบำพื้นเมือง เป็นต้น นอกจากนี้ ข่าวท้องถิ่นยังใช้ภาษาโอกินะวันดั้งเดิมเช่นกันศาสนา ศาสนา. ชาวโอกินาวะ มีความเชื่อของตัวเอง โดยจะบูชาบรรพบุรุษ และเคารพความสัมพันธ์ระหว่างชีวิต ความตาย เทพเจ้า และวิญญาณต่าง ๆ ที่สถิตในธรรมชาติอิทธิพลทางวัฒนธรรม อิทธิพลทางวัฒนธรรม. วัฒนธรรมโอกินาวะได้รับอิทธิพลจากชาติต่าง ๆ ที่เคยทำการค้าด้วยกันมาแต่ในอดีต แม้ในปัจจุบัน เราอาจพบสินค้าและวัฒนธรรมจากประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ไทย และออสโตรเนเชียน (ชวา มลายู) ในย่านการค้าของโอกินาวะ เราอาจพูดได้ว่าวัฒนธรรมที่โอกินาวะส่งออกไปทั่วโลกคือ คาราเต้ (空手 Karate) ซึ่งเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของศิลปะการต่อสู้ของจีนนั่นคือ กังฟู (功夫, gōngfū) และศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมของโอกินาวะ ศิลปะการต่อสู้นี้พัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงสองสมัย คือในระหว่างการสั่งห้ามใช้อาวุธหลังการยึดครองของญี่ปุ่นจนถึงรัฐบาลเมจิ สินค้าท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงของโอกินาวะอีกอย่างคือ อะวะโมะริ (泡盛 Awamori) ซึ่งเป็นสุรากลั่น ทำจากข้าวเจ้านำเข้าจากประเทศไทยแผนที่อื่น
จังหวัดโอกินาวะ
5,071
5,086
294
1
สกุลเดิมของหม่อมหลวงตาด วรวรรณ มีสกุลเรียกว่าอะไร
พระนางเธอลักษมีลาวัณ พระนางเธอลักษมีลาวัณ (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2442 – 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504) มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวรรณพิมล วรวรรณ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมหลวงตาด วรวรรณ (สกุลเดิม มนตรีกุล) ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะพระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระขนิษฐาต่างชนนีของอดีตพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พระองค์เป็นผู้ริเริ่มรื้อฟื้น คณะละครปรีดาลัย ของพระบิดาขึ้นมาอีกครั้ง ทรงปลีกพระองค์ประทับอยู่เพียงลำพัง ทรงใช้เวลาที่มีอยู่ในการประพันธ์นวนิยาย ร้อยกรอง และบทละครจำนวนมาก โดยใช้นามปากกาว่า ปัทมะ, วรรณพิมล และพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระนางเธอลักษมีลาวัณ ถูกลอบปลงพระชนม์เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 สิริพระชนมายุ 62 พรรษา ซึ่งผู้ก่อคดีฆาตกรรมคืออดีตคนสวนที่พระองค์ไล่ออก และก่อคดีดังกล่าวด้วยประสงค์ในทรัพย์สินส่วนพระองค์พระประวัติพระประวัติตอนต้น พระประวัติ. พระประวัติตอนต้น. พระนางเธอลักษมีลาวัณประสูติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2442 ณ วังวรวรรณ ตำบลแพร่งนรา จังหวัดพระนคร พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวรรณพิมล วรวรรณ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมหลวงตาด มนตรีกุล มีพระนามเรียกกันในหมู่พระญาติว่า ท่านหญิงติ๋ว ทั้งนี้พระองค์ได้รับการเลี้ยงดูและอบรมจากเจ้าจอมมารดาเขียน ผู้เป็นย่ามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ต่อมาได้เสด็จไปประทับอยู่กับสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี พระองค์ได้รับการศึกษาและมีวิถีชีวิตเยี่ยงสตรีสมัยใหม่ ทรงมีความคิดอ่านอิสระเสรี ซึ่งพระบิดา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นผู้ที่มีความสามารถ มีความรู้และความคิดที่กว้างไกลทันสมัย แม้กระทั่งการอบรมเลี้ยงดูพระโอรส-ธิดา ก็ทรงให้ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ไม่เข้มงวดดังการประพฤติปฏิบัติอย่างกุลสตรีโบราณ ทำให้เหล่าพระธิดาในกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์มีความคิดเห็นกว้างขวาง และกล้าที่จะแสดงออกในวัตรปฏิบัติผิดแผกแตกต่างไปสตรีส่วนใหญ่ในสมัยนั้นที่อยู่ในกรอบของม่านประเพณีโบราณ หม่อมเจ้าวรรณพิมลทรงเปิดพระองค์อยู่ในสังคมชั้นสูงที่มีกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสังคมและความบันเทิง ทำให้หลายคนต่างมองเห็นภาพความสนุกสดใสของบรรดาพระธิดาในกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ได้ไม่ยากนัก ซึ่งในเรื่องนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ทรงเล่าไว้ใน เกิดวังปารุสก์ ตอนหนึ่งว่า "... ไม่มีผู้หญิงคนไทยครอบครัวใดที่จะช่างคุยสนุกสนานเท่าองค์หญิงตระกูลวรวรรณ เท่าที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักพบมา..."การหมั้นหมาย การหมั้นหมาย. หม่อมเจ้าหญิงวรรณพิมล ทรงเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรกที่ห้องทรงไพ่บริดจ์ในงานประกวดภาพเขียน ณ โรงละครวังพญาไท ซึ่งนับเป็นงานชุมนุมของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งผู้ใหญ่และหนุ่มสาว ในงานนี้บรรดาท่านหญิงทั้งหลายของราชสกุลวรวรรณจึงเสด็จมาในงานนี้ด้วยหลายองค์ซึ่งรวมไปถึงพระภคินีคือ หม่อมเจ้าวรรณวิมล ซึ่งต่อมาได้ต้องพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก ในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2463 หลังจากที่ทรงพบปะกับเหล่าท่านหญิงจากตระกูลวรวรรณไม่กี่วัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ให้พระธิดาทั้งหลายของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ดังนี้- หม่อมเจ้าวรรณวิมล เป็น หม่อมเจ้าวัลลภาเทวี - หม่อมเจ้าวิมลวรรณ เป็น หม่อมเจ้าวรรณีศรีสมร - หม่อมเจ้าพิมลวรรณ เป็น หม่อมเจ้านันทนามารศรี - หม่อมเจ้าวรรณพิมล เป็น หม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ - หม่อมเจ้าวัลลีวรินทร์ เป็น หม่อมเจ้าศรีสอางค์นฤมล ในกาลต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนา หม่อมเจ้าวัลลภาเทวี ขึ้นเป็น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ในฐานะพระคู่หมั้นในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน แต่กระนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าก็ทรงคบหากับหม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ พระขนิษฐาของพระวรกัญญาปทานอย่างเปิดเผย ทั้ง ๆ ที่อยู่ระหว่างที่ทรงหมั้นอยู่ และพบว่าทรงติดต่อกันทางจดหมายเพื่อระบายความทุกข์ส่วนพระองค์ และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถอนหมั้นกับพระวรกัญญาปทาน ได้ทรงมีพระราชนิพนธ์ถึงหม่อมเจ้าลักษมีลาวัณอยู่เสมอ เช่น และ และหลังจากการถอดถอนหมั้นเพียงไม่กี่เดือน ก็ทรงสถาปนาหม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ ขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2464 ขณะพระชันษาได้ 22 ปี และในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2464 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ พร้อมกับทรงหมั้น และมีพระราชวินิจฉัยว่า จะได้ทรงทำการราชาภิเษกสมรส กระนั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้ประทานกลอนเตือนพระสติ ความว่าทรงแยกกันอยู่ ทรงแยกกันอยู่. หลังจากการเฉลิมพระยศได้เพียงหนึ่งเดือนสิบเก้าวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงอภิเษกสมรสกับ พระสุจริตสุดา ธิดาของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2464 และทรงตัดสินพระราชหฤทัย "แยกกันอยู่" กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณซึ่งยังมิได้อภิเษกสมรสกัน ต่อมาพระองค์เจ้าลักษมีลาวัณก็ได้รับโปรดเกล้าสถาปนาขึ้นเป็น พระนางเธอลักษมีลาวัณ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2465 เสมือนรางวัลปลอบพระทัย การนี้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระบิดา ได้ประทานบทกลอนปลอบพระทัยพระนางเธอลักษมีลาวัณ ความว่า หลังจากนั้นพระนางเธอลักษมีลาวัณก็ทรงพอพระทัยที่จะแยกพระตำหนักไปประทับอยู่ห่างจากเจ้าพี่เจ้าน้อง ทรงประทับอยู่อย่างสันโดษ และเพื่อเลี่ยงความเงียบเหงาพระนางจึงทุ่มเทไปกับงานพระนิพนธ์ และการเขียนบทละครร้องและการรื้อฟื้นคณะละครปรีดาลัยของพระบิดา ทั้งนี้หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้รับส่วนแบ่งจากพระราชมรดก อาทิ เพชร, ทอง, สังวาล, กระโถนทอง และพานทองสิ้นพระชนม์ สิ้นพระชนม์. วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 นายแสง หรือ เสงี่ยม หอมจันทร์ กับนายวิรัช หรือเจริญ กาญจนาภัย อดีตคนสวนที่ถูกพระนางเธอลักษมีลาวัณไล่ออกไปเห็นว่าพระนางเธอทรงเป็นเพียงเจ้านายสตรีทั้งยังชรา และอาศัยเพียงลำพัง กับทั้งเคยสังเกตว่าในตู้ชั้นล่างพระตำหนักลักษมีวิลาศมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เข้าใจว่าเป็นของมีราคาทั้งสองจึงกลับเข้ามายังพระตำหนักลักษมีวิลาศ ซึ่งคนร้ายได้ลอบทำร้ายพระนางเธอด้วยย่องเข้ามาทางข้างหลังขณะทรงปลูกต้นมะละกอเล็กๆ ที่ข้างพระตำหนัก แล้วใช้ชะแลงทำร้ายพระเศียร 3 ครั้ง จากนั้นใช้สันขวานทุบพระศออีก 1 ครั้งจนสิ้นพระชนม์ทันที โดยเมื่อตรวจสอบพระวรกายบริเวณพระอุระ (หน้าอก) พบบาดแผลฉกรรจ์คล้ายถูกแทงอย่างโหดเหี้ยม 4 แผล ที่พระศอ (คอ) อีกแผลหนึ่ง ที่พระเศียร (ศีรษะ) ด้านหลังนั้นถูกตีจนน่วมมีพระโลหิตไหล ทั้งสองได้ลากพระศพไปไว้ในโรงจอดรถหลังพระตำหนัก ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 800 เมตร เพื่ออำพราง แล้วค้นทรัพย์สินเท่าที่หาได้หนีไป ได้ไปแต่เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระราชทรัพย์ส่วนหนึ่ง และเงินพระราชสมบัติทั้งหมดไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว ขณะที่ตู้เซฟที่เก็บฉลองพระองค์และเครื่องประดับของราชวงศ์จักรีมูลค่านับล้านบาทยังอยู่ในสภาพปกติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ พระเชษฐาต่างพระมารดา ได้รับโทรศัพท์จาก นางสาวแน่งน้อย แย้มศิริ นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เวลา 15.30 น. ของวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2504 ว่าเธอไปกดออดและโทรศัพท์เข้าไปยังวังลักษมีวิลาศ แต่ไม่มีใครตอบหรือรับสาย อาจจะมีเหตุร้าย พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เสด็จไปยังวังลักษมีวิลาศ พบว่าเครื่องฉลองพระองค์และพระราชทรัพย์ในห้องพระบรรทมถูกรื้อกระจาย และทรงพบพระศพอยู่บริเวณข้างโรงรถสิ้นพระชนม์มาไม่ต่ำกว่าสามวัน ภายหลังผู้ต้องหาทั้งสองถูกจับได้ และถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต แต่ทั้งสองได้รับสารภาพ จึงได้รับการหย่อนโทษหนึ่งในสามคือให้จำคุกตลอดชีวิต เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไปด้วยพระนางเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าพระจริยวัตร พระจริยวัตร. พระนางเธอลักษมีลาวัณทรงมีพระสิริโฉมงดงาม ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพรรณนาไว้ว่า ส่วนพระกิริยาอัธยาศัย ก็งดงามนัก ดังพระราชนิพนธ์ ความว่า แต่ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงปลีกพระองค์ประทับอยู่เพียงผู้เดียว แม้เจ้าพี่เจ้าน้องจะคอยมาสนใจความเป็นอยู่แต่พระองค์ก็มิได้นำพา โดยรับสั่งด้วยสำนวนติดพระโอษฐ์ว่า "I don't care" พระองค์มักมีปัญหากับเหล่าคนใช้และจบด้วยการไล่คนใช้ออก ท่ามกลางความเงียบเหงาพระองค์จึงทุ่มเทกับงานพระนิพนธ์มากขึ้น และเมื่อยิ่งมีพระชนมายุที่สูงขึ้นก็ทรงพอพระทัยในความวิเวกสันโดษ ทรงเก็บพระองค์ในพระตำหนักลักษมีวิลาศไม่มีพระประสงค์จะพบปะสังสรรค์กับผู้ใดความสนพระทัย ความสนพระทัย. พระนางเธอลักษมีลาวัณ ทรงแยกจากเจ้าพี่เจ้าน้องอยู่ตามลำพัง ณ พระตำหนักในซอยพร้อมพงศ์ริมคลองแสนแสบ ทรงใช้ชีวิตอย่างสงบ และทรงใช้เวลาว่างในการทรงพระนิพนธ์ร้อยกรอง บทละคร และนวนิยายไว้เป็นจำนวนมาก โดยทรงใช้พระนามแฝงว่า "ปัทมะ" "วรรณพิมล" และ "พระนางเธอลักษมีลาวัณ" ทรงดำเนินกิจการคณะละครปรีดาลัยที่พระบิดาได้ทรงริเริ่มไว้ และรับคณะละครปรีดาลัยในพระอุปถัมภ์ ได้สร้างศิลปินนักแสดงที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก เช่น มารุต, ทัต เอกทัต และจอก ดอกจันทน์ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทรงย้ายไปประทับที่ พระตำหนักลักษมีวิลาศ ถนนศรีอยุธยา และทรงพระนิพนธ์บทกวี และนวนิยาย เช่น ชีวิตหวาม เรือนใจที่ไร้ค่า ยั่วรัก โชคเชื่อมชีวิต ภัยรักของจันจลา และเสื่อมเสียงสาปผลงานด้านงานประพันธ์ ผลงาน. ด้านงานประพันธ์. พระนางเธอลักษมีลาวัณทรงใช้ชีวิตเพียงลำพัง ต่อมาโดยใช้เวลาว่างให้หมดไปกับการทรงพระอักษรและนิพนธ์ไว้หลายเรื่องโดยใช้นามปากกาว่า ปัทมะ และ วรรณพิมล โดยมีผลงานพระนิพนธ์ดังนี้ด้านศิลปะการแสดง ด้านศิลปะการแสดง. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง การมหรสพต่างๆ หยุดชะงักลงมีแต่ความเงียบเหงา จึงทรงรื้อฟื้นคณะละครปรีดาลัยของพระบิดา เรียกว่า ละครเฉลิมกรุง ทรงสร้างมิติใหม่ให้วงการละครไทยด้วยการใช้วงดนตรีสากล กับนำท่าระบำฝรั่งผสมกับท่าระบำไทยครั้งแรก ดูงามแปลกตากว่าคณะอื่น แต่ยังคงใช้ผู้แสดงนำและส่วนใหญ่เป็นหญิง ทั้งนี้ทรงซักซ้อมนักแสดงด้วยพระองค์เอง ส่วนการแสดงระบำก็ทรงประดิษฐ์ท่าระบำบางชุดให้สอดคล้องกับเพลงสากลตั้งแต่ พ.ศ. 2477-89 เรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมและยังกลับมาแสดงอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา เช่น ศรอนงค์ จากบทละครของขุนวิจิตรมาตรา เป็นละครประทับใจผู้ชมที่มีทั้งเพลงร้องเพลงระบำเบิกโรงและระบำประกอบเรื่องที่มีทำนองแพรวพราวตระการตา บรรเลงด้วยวงดนตรีเครื่องฝรั่งวงใหญ่อย่างอุปรากรตั้งแต่ต้นจนจบ เปิดการแสดงเรื่องแรกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 คือเรื่อง "พระอาลัสะนัม" ที่ศาลาเฉลิมกรุง ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 ได้แสดงที่โรงมหรสพนาครเขษม ต่อมาในปี พ.ศ. 2486 ได้ร่วมกับบริษัทสหศินิมาจำกัดแสดงที่ศาลาเฉลิมกรุง และครั้งท้ายที่สุดที่ศาลาเฉลิมนครช่วงปี พ.ศ. 2488-89 นอกจากนั้นยังทรงจัดละครการกุศลเช่นเก็บเงินให้กองทัพเรือ งานฉลองรัฐธรรมนูญ จนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม จึงทรงยุบเลิกคณะละครเนื่องจากพระชนมายุเริ่มเข้าสู่วัยชรา และทรงพักผ่อนอิริยาบถเสด็จประพาสยุโรป ละครปรีดาลัยจึงสิ้นสุดเพียงเท่านี้พระเกียรติยศพระอิสริยยศพระเกียรติยศ. พระอิสริยยศ. - หม่อมเจ้าวรรณพิมล วรวรรณ (10 มิถุนายน พ.ศ. 2442 – 21 ตุลาคม พ.ศ. 2463) - หม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ วรวรรณ (21 ตุลาคม พ.ศ. 2463 – 4 เมษายน พ.ศ. 2464) - พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ (4 เมษายน พ.ศ. 2464 – 8 กันยายน พ.ศ. 2464) - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ (8 กันยายน พ.ศ. 2464 – 27 สิงหาคม พ.ศ. 2465) - พระนางเธอลักษมีลาวัณ (27 สิงหาคม พ.ศ. 2465 – 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504)เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ - เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า - เครื่องราชอิสริยาภรณ์วัลลภาภรณ์ (ว.ภ.) - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1 - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 (ป.ป.ร.) ชั้นที่ 2พงศาวลี
มนตรีกุล
332
340
295
1
เอลบรัส เทเดเยฟ ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่ไหน
เอลบรัส เทเดเยฟ เอลบรัส เทเดเยฟ (; ) เกิดวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1974 ที่เขตปรีกรอดนี ดินแดนอิสระนอร์ทออสซีเชียแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต สหภาพโซเวียต เป็นนักมวยปล้ำชาวยูเครนและเป็นแชมป์โอลิมปิก เขาได้กลายเป็นพลเมืองของประเทศยูเครนใน ค.ศ. 1993 และได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่กรุงเอเธนส์ รวมถึงเป็นแชมป์มวยปล้ำชิงแชมป์โลกสามสมัย เทเดเยฟกลายเป็นสมาชิกสภาสมัญผู้แทนราษฎรแห่งประเทศยูเครนใน ค.ศ. 2006 ในฐานะนักการเมืองอิสระของบัญชีรายชื่อของพรรคแห่งภูมิภาค เขาได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งในช่วงก่อนการเลือกรัฐสภาใน ค.ศ. 2007 และอีกครั้งใน ค.ศ. 2012
กรุงเอเธนส์
397
408
296
1
เอลบรัส เทเดเยฟเป็นนักมวยปล้ำและได้เป็นพลเมืองของประเทศยูเครนในปีใด
เอลบรัส เทเดเยฟ เอลบรัส เทเดเยฟ (; ) เกิดวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1974 ที่เขตปรีกรอดนี ดินแดนอิสระนอร์ทออสซีเชียแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต สหภาพโซเวียต เป็นนักมวยปล้ำชาวยูเครนและเป็นแชมป์โอลิมปิก เขาได้กลายเป็นพลเมืองของประเทศยูเครนใน ค.ศ. 1993 และได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่กรุงเอเธนส์ รวมถึงเป็นแชมป์มวยปล้ำชิงแชมป์โลกสามสมัย เทเดเยฟกลายเป็นสมาชิกสภาสมัญผู้แทนราษฎรแห่งประเทศยูเครนใน ค.ศ. 2006 ในฐานะนักการเมืองอิสระของบัญชีรายชื่อของพรรคแห่งภูมิภาค เขาได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งในช่วงก่อนการเลือกรัฐสภาใน ค.ศ. 2007 และอีกครั้งใน ค.ศ. 2012
ค.ศ. 1993
326
335
297
1
นักฟุตบอลนามว่า ซูโซ มีชื่อเต็มว่า เฆซุส โฆอากิน เฟร์นันเดซ ซาเอนซ์ เด ลา ตอร์เร เกิดที่เมืองอะไร
ซูโซ (นักฟุตบอล) ซูโซ () มีชื่อเต็มว่า เฆซุส โฆอากิน เฟร์นันเดซ ซาเอนซ์ เด ลา ตอร์เร () เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ที่เมืองกาดิซ ประเทศสเปน เป็นนักฟุตบอลของทีมชาติสเปนชุดเยาวชน และเอซีมิลาน ในตำแหน่งกองกลาง ซูโซไม่ประสบความสำเร็จในการเล่นกับลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จึงโดนยืมตัวไปเล่นให้กับอูเด อัลเมริอา ในลาลิกา สเปน จนกระทั่งในต้นปี ค.ศ. 2015 จึงได้ย้ายไปสังกัดเอซีมิลาน ในเซเรียอา อิตาลี อย่างถาวร
เมืองกาดิซ
222
232
298
1
เฆซุส โฆอากิน เฟร์นันเดซ ซาเอนซ์ เด ลา ตอร์เร สังกัดเอซีมิลานในเซเรียอาประเทศอะไร
ซูโซ (นักฟุตบอล) ซูโซ () มีชื่อเต็มว่า เฆซุส โฆอากิน เฟร์นันเดซ ซาเอนซ์ เด ลา ตอร์เร () เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ที่เมืองกาดิซ ประเทศสเปน เป็นนักฟุตบอลของทีมชาติสเปนชุดเยาวชน และเอซีมิลาน ในตำแหน่งกองกลาง ซูโซไม่ประสบความสำเร็จในการเล่นกับลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จึงโดนยืมตัวไปเล่นให้กับอูเด อัลเมริอา ในลาลิกา สเปน จนกระทั่งในต้นปี ค.ศ. 2015 จึงได้ย้ายไปสังกัดเอซีมิลาน ในเซเรียอา อิตาลี อย่างถาวร
อิตาลี
497
503
299
1
ภาพยนตร์เรื่อง Boyhood ในปี 2014 ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กำกับโดยใคร
ริชาร์ด ลินเคลเตอร์ ริชาร์ด สจ๊วต ลินเคลเตอร์ (; 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1960) เป็นผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักในภาพยนตร์แนวคัมมิงออฟเอจ (coming of age) แบบตลก เรื่อง Dazed and Confused (1993) ภาพยนตร์โรแมนติกดรามาไตรภาคเรื่อง Before Sunrise (1995), Before Sunset (2004) และ Before Midnight (2013) และภาพยนตร์แอนิเมชันเทคนิคโรโตสโคป เรื่อง Waking Life (2001) ภาพยนตร์ดนตรีแนวตลกเรื่อง School of Rock (2003), ภาพยนตร์แอนิเมชันเทคนิคโรโตสโคป เรื่อง A Scanner Darkly (2006) และภาพยนตร์คัมมิงออฟเอจ แนวดรามาเรื่อง Boyhood (2014) ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี ค.ศ. 2014 ภาพยนตร์ของเขาอย่างภาพยนตร์ไตรภาค Before... และภาพยนตร์ Boyhood ที่ใช้ทีมนักแสดงเดิมและใช้เวลาการถ่ายทำอันยาวนานหลายปี
ริชาร์ด สจ๊วต ลินเคลเตอร์
115
140
300
1
ภาพยนตร์แนวตลกที่สร้างโดยริชาร์ด สจ๊วต ลินเคลเตอร์ ในปี 1993 คือเรื่องอะไร
ริชาร์ด ลินเคลเตอร์ ริชาร์ด สจ๊วต ลินเคลเตอร์ (; 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1960) เป็นผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักในภาพยนตร์แนวคัมมิงออฟเอจ (coming of age) แบบตลก เรื่อง Dazed and Confused (1993) ภาพยนตร์โรแมนติกดรามาไตรภาคเรื่อง Before Sunrise (1995), Before Sunset (2004) และ Before Midnight (2013) และภาพยนตร์แอนิเมชันเทคนิคโรโตสโคป เรื่อง Waking Life (2001) ภาพยนตร์ดนตรีแนวตลกเรื่อง School of Rock (2003), ภาพยนตร์แอนิเมชันเทคนิคโรโตสโคป เรื่อง A Scanner Darkly (2006) และภาพยนตร์คัมมิงออฟเอจ แนวดรามาเรื่อง Boyhood (2014) ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี ค.ศ. 2014 ภาพยนตร์ของเขาอย่างภาพยนตร์ไตรภาค Before... และภาพยนตร์ Boyhood ที่ใช้ทีมนักแสดงเดิมและใช้เวลาการถ่ายทำอันยาวนานหลายปี
เรื่อง Dazed and Confused (1993)
273
305