question_id
int64
1
17k
question_type
int64
1
2
question
stringlengths
11
207
context
stringlengths
56
98.9k
answer
stringlengths
1
135
answer_begin_position
float64
79
65.4k
answer_end_position
float64
82
65.4k
301
1
แกรี่ เลวิน เกิดที่เมืองอะไรในประเทศอังกฤษ
แกรี่ เลวิน แกรี่ เลวิน เป็นหัวหน้าทีมกายภาพบำบัดของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลและเป็นนักกายภาพบำบัดของทีมชาติอังกฤษอีกด้วยประวัติ ประวัติ. แกรี่ เลวิน เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1964 ที่อีสต์แฮม(East Ham) กรุงลอนดอน ได้มาอยู่กับอาร์เซนอลด้วยการเป็นผู้รักษาประตูทีมเยาวชนตั้งแต่อายุแค่ 16 ปี และผัดตัวเองมาเป็นนักกายภาพบำบัดของทีมสำรองด้วยอายุที่น้อยมากเพียง 19 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นหนึ่งปี ก็ไปเป็นนักเตะของสโมสรฟุตบอลบาร์เน็ต ต่อมาในปี 1986 แกรี่ มีอายุเพียง 22 ปี แต่ก็ได้ทำงานเต็มเวลาในตำแหน่งนักกายภาพบำบัดของทีมชุดใหญ่ในที่สุด เขามีประสบการณ์ด้านงานนี้มาแล้วว่า 1,000 เกม (ครบเกมที่ 1,000 เมื่อธันวาคม ปี 2004) ส่วนการได้รับอนุญาตให้เป็นนักกายภาพบำบัดนั้น เนื่องจากว่าเขาเรียนมาจากโรงพยาบาลกาย วิทยาลัยแห่งวิชากายภาพบำบัดในช่วงปี 1983 ถึง 1986 เขาจบปริญญาตรี (hons) ในสาขาชีววิทยาและอนุปริญญาสาขากายภาพบำบัด เขาเป็นสามาชิกของวิทยาลัยแห่งกายภาพบำบัดการกีฬา และเป็นสมาชิกของสมาคมนักกายภาพบำบัดอาชีพแห่งรัฐอีกด้วย เขามีความเชี่ยวชาญด้านเอ็นร้อยหวายอย่างมาก เนื่องจากว่าเคยมีประสบการณ์กับโทนี อดัมส์ หรือแม้แต่เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับนักกายภาพบำบัดของสโมสรฟุตบอลเบอร์มิงแฮมในช่วงที่เดวิด ดันน์ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อย ๆ ด้วย ในเกมลีกคัพรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 นั้น เลวินเป็นผู้ที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ที่จอห์น เทอร์รี กองหลังของเชลซีโดนอาบู ดิยาบี้เตะเข้าที่ปลายคางในบริเวณกรอบเขตโทษของอาร์เซนอลซึ่งเป็นจังหวะที่เชลซีได้ลูกเตะมุม เทอร์รี่กลืนลิ้นตัวเองเข้าไปและเลวินก็เป็นนักกายภาพบำบัดคนแรกที่มาถึงก่อนและได้ช่วยเหลือเทอร์รี่และสามารถช่วยชีวิตเทอร์รี่ได้ทันท่วงที แต่นี่ไม่ใช่ประสบการณ์เพียงครั้งเดียวที่เขาเคยทำหน้าที่ในกรณีแบบนี้ ในปี 1989 นั้น เขาก็เกือบจะต้องหักขากรรไกรของเดวิด โรคาสเซิล อดีตนักเตะของอาร์เซนอลเพื่อปฐมพยาบาลด้วยวิธีที่คล้าย ๆ กับกรณีช่วยชีวิตเทอร์รี่มาแล้วเหมือนกัน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 แกรี่ เลวินก็ได้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือการช่วยชีวิตเอดูอาร์โด ดา ซิลวา ศูนย์หน้าอาร์เซนอล ที่ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายหักและข้อเท้าเคลื่อนจากจังหวะที่โดนมาร์ติน เทย์เลอร์พุ่งเข้าสะกัดผิดจังหวะ แกรี่ เลวินเข้ามาปฐมพยาบาลทันเวลา มิฉะนั้นแล้ว เอดูอาร์โด ดา ซิลวา อาจจะต้องเสียขาซ้ายจนยุติอาชีพการค้าแข้งไปเลยทีเดียว
กรุงลอนดอน
291
301
302
1
แกรี่ เลวิน จบปริญญาตรี ในสาขาอะไร
แกรี่ เลวิน แกรี่ เลวิน เป็นหัวหน้าทีมกายภาพบำบัดของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลและเป็นนักกายภาพบำบัดของทีมชาติอังกฤษอีกด้วยประวัติ ประวัติ. แกรี่ เลวิน เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1964 ที่อีสต์แฮม(East Ham) กรุงลอนดอน ได้มาอยู่กับอาร์เซนอลด้วยการเป็นผู้รักษาประตูทีมเยาวชนตั้งแต่อายุแค่ 16 ปี และผัดตัวเองมาเป็นนักกายภาพบำบัดของทีมสำรองด้วยอายุที่น้อยมากเพียง 19 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นหนึ่งปี ก็ไปเป็นนักเตะของสโมสรฟุตบอลบาร์เน็ต ต่อมาในปี 1986 แกรี่ มีอายุเพียง 22 ปี แต่ก็ได้ทำงานเต็มเวลาในตำแหน่งนักกายภาพบำบัดของทีมชุดใหญ่ในที่สุด เขามีประสบการณ์ด้านงานนี้มาแล้วว่า 1,000 เกม (ครบเกมที่ 1,000 เมื่อธันวาคม ปี 2004) ส่วนการได้รับอนุญาตให้เป็นนักกายภาพบำบัดนั้น เนื่องจากว่าเขาเรียนมาจากโรงพยาบาลกาย วิทยาลัยแห่งวิชากายภาพบำบัดในช่วงปี 1983 ถึง 1986 เขาจบปริญญาตรี (hons) ในสาขาชีววิทยาและอนุปริญญาสาขากายภาพบำบัด เขาเป็นสามาชิกของวิทยาลัยแห่งกายภาพบำบัดการกีฬา และเป็นสมาชิกของสมาคมนักกายภาพบำบัดอาชีพแห่งรัฐอีกด้วย เขามีความเชี่ยวชาญด้านเอ็นร้อยหวายอย่างมาก เนื่องจากว่าเคยมีประสบการณ์กับโทนี อดัมส์ หรือแม้แต่เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับนักกายภาพบำบัดของสโมสรฟุตบอลเบอร์มิงแฮมในช่วงที่เดวิด ดันน์ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อย ๆ ด้วย ในเกมลีกคัพรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 นั้น เลวินเป็นผู้ที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ที่จอห์น เทอร์รี กองหลังของเชลซีโดนอาบู ดิยาบี้เตะเข้าที่ปลายคางในบริเวณกรอบเขตโทษของอาร์เซนอลซึ่งเป็นจังหวะที่เชลซีได้ลูกเตะมุม เทอร์รี่กลืนลิ้นตัวเองเข้าไปและเลวินก็เป็นนักกายภาพบำบัดคนแรกที่มาถึงก่อนและได้ช่วยเหลือเทอร์รี่และสามารถช่วยชีวิตเทอร์รี่ได้ทันท่วงที แต่นี่ไม่ใช่ประสบการณ์เพียงครั้งเดียวที่เขาเคยทำหน้าที่ในกรณีแบบนี้ ในปี 1989 นั้น เขาก็เกือบจะต้องหักขากรรไกรของเดวิด โรคาสเซิล อดีตนักเตะของอาร์เซนอลเพื่อปฐมพยาบาลด้วยวิธีที่คล้าย ๆ กับกรณีช่วยชีวิตเทอร์รี่มาแล้วเหมือนกัน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 แกรี่ เลวินก็ได้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือการช่วยชีวิตเอดูอาร์โด ดา ซิลวา ศูนย์หน้าอาร์เซนอล ที่ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายหักและข้อเท้าเคลื่อนจากจังหวะที่โดนมาร์ติน เทย์เลอร์พุ่งเข้าสะกัดผิดจังหวะ แกรี่ เลวินเข้ามาปฐมพยาบาลทันเวลา มิฉะนั้นแล้ว เอดูอาร์โด ดา ซิลวา อาจจะต้องเสียขาซ้ายจนยุติอาชีพการค้าแข้งไปเลยทีเดียว
สาขาชีววิทยา
860
872
303
1
พระบิดาของไมดาส มีพระนามว่าอะไร
พระเจ้าไมดาส ไมดาส เป็นชื่อของกษัตริย์ที่ปกครองนครไฟร์เกีย พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้ากลอดิอุส โดยไมดาสสืบทอดพระราชสมบัติต่อจากพระบิดา ซึ่งในเวลานั้นนครไฟร์เกียเป็นหนึ่งในนครที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองที่สุดนครหนึ่งด้วยพระปรีชาสามารถในการบริหารปกครองของพระเจ้ากลอดิอุสตำนานที่เกี่ยวข้องผู้สัมผัสเป็นทองคำ ตำนานที่เกี่ยวข้อง. ผู้สัมผัสเป็นทองคำ. วันหนี่ง คิงไมดาสเสด็จประพาสยังริมฝั่งแม่น้ำซานการิอัสและได้พบ ไซเลนนัส พระอาจารย์ของเทพไดโอนีซุส เทพเจ้าแห่งไวน์และการเฉลิมฉลอง ผู้ซึ่งปลอมตัวเป็นชายชราขี้เมาผู้หนึ่งถูกมัดนอนกลิ้งอยู่กับพื้น พระองค์จึงเข้าไปช่วยแก้มัดให้แก้ท่านโดยในวันนั้น ไซเลนนัสที่กำลังเมาไวน์ได้ที่ เกิดพลัดกับขบวนของเทพไดโอนีซุสและได้ไปพบกับพวกชาวนาเข้า พวกชาวนามีความเชื่อว่า หากเจอไซเลนนัสตอนกำลังเมาให้จับตัวเขามัดไว้ โดยในขณะที่ถูกมัดนั้น จะสามารถถามเรื่องในอนาคตจากไซเลนนัสได้ หลังจากคิงไมดาสทรงช่วยไซเลนนัสเอาไว้ เทพไดโอนีซุสก็เสด็จมาถึง พระองค์ทรงโปรดปรานไมดาสเป็นอันมากที่ช่วยพระอาจารย์ของพระองค์ จึงทรงออกปากว่าจะให้พรแก่ไมดาสหนึ่งข้อตามแต่จะขอ ซึ่งเมื่อได้ยินดังนั้น คิงไมดาสก็ลืมองค์ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ จึงทรงขอพรแก่เทพไดโอนีซุสว่า ขอให้ทุกสิ่งที่ตนสัมผัสนั้นกลายเป็นทองคำทั้งหมด แม้เทพไดโอนีซุสจะทรงแปลกพระทัย แต่ก็ได้ประทานพรให้ตามที่คิงไมดาสได้ขอพรไว้ จากนั้นพระองค์และไซเลนนัสก็เสด็จจากไป ส่วนคิงไมดาสนั้นเมื่อได้พรแล้วก็ทรงทดลองด้วยการแตะของต่าง ๆ ในวังของพระองค์จนกลายเป็นทองคำไปหมด ยังความปรีดาให้แก่พระองค์เป็นอันมาก ทว่า เมื่อถึงเวลาที่จะเสวย คิงไมดาสก็ทรงพบว่า ทั้งอาหารและน้ำที่พระองค์สัมผัสกลายเป็นทองคำจนหมดสิ้น ทำให้พระองค์ไม่สามารถเสวยสิ่งใดได้เลย และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ พระองค์เผลอไปโอบกอดพระธิดาของพระองค์ ทำให้พระธิดากลายเป็นรูปปั้นทองคำไป พระองค์ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก และได้สวดอ้อนวอนขอให้เทพไดโอนีซุสทรงเมตตาลบล้างพรที่ทรงประทานให้ ในที่สุด เทพเจ้าไดโอนีซุสทรงเกิดความสงสารจึงทรงให้บอกให้คิงไมดาสไปชำระล้างพรที่แม่น้ำแพคโตลัส พระองค์ทรงทำตามที่เทพเจ้าตรัสบอก และพรวิเศษก็หายไป พร้อมกับทุกสิ่งกลับคืนดังเดิม อย่างไรก็ตาม พรของไดโอนีซุสที่ถูกชำระล้าง ก็ได้ทำให้แม่น้ำทั้งสายกลายเป็นผงทองคำผู้มีหูเป็นลา ผู้มีหูเป็นลา. คิงไมดาส ได้ตัดสินให้เพื่อนตนเองคือมาร์มาสเป็นฝ่ายชนะเทพอพอลโลในการบรรเลงดนตรีแข่งกัน ประมาณว่าเพื่อนของตนเล่นเพราะกว่า เทพอพอลโลจึงได้ทรงจับพิณกลับหัวลงและบรรเลงเป็นเสียงดนตรีให้คิงไมดาสฟังว่าขนาดพระองค์เอาพิณกลับหัวเล่นยังเพราะกว่ามาร์มาส และมาร์มาสก็ไม่สามารถทำอย่างเทพอพอลโลได้ นั่นทำให้เทพอพอลลโลกริ้ว และได้สาปให้คิงไมดาสที่ตัดสินไม่ได้พระทัย โดยให้คิงไมดาสมีหูเป็นลาซะเลย ซึ่งทำให้คิงไมดาสอับอายมากจึงได้สวมหมวกทรงสูงตลอดเวลา มีเพียงช่างตัดผมส่วนพระองค์ของคิงไมดาสเองเท่านั้นที่รู้ว่าหูของคิงไมดาสเป็นหูลา แต่เขาเก็บความลับไม่ได้ จึงได้ไปตะโกนว่า “พระราชาไมดาสมีหูเป็นลา” ต้นอ้อบริเวณนั้นได้ยินจึงโอนเอนกระซิบบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จนข่าวกระจายทุกคนรู้กันไปทั่ว คิงไมดาสนั้นอับอายเป็นอันมากจึงได้สละบัลลังก์แล้วหนีไปซ่อนตัวในป่าไม่ให้ใครเห็นอีกเลย
พระเจ้ากลอดิอุส
168
183
304
1
พระเจ้าไมดาส ทรงปกครองนครที่มีชื่อว่าอะไร
พระเจ้าไมดาส ไมดาส เป็นชื่อของกษัตริย์ที่ปกครองนครไฟร์เกีย พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้ากลอดิอุส โดยไมดาสสืบทอดพระราชสมบัติต่อจากพระบิดา ซึ่งในเวลานั้นนครไฟร์เกียเป็นหนึ่งในนครที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองที่สุดนครหนึ่งด้วยพระปรีชาสามารถในการบริหารปกครองของพระเจ้ากลอดิอุสตำนานที่เกี่ยวข้องผู้สัมผัสเป็นทองคำ ตำนานที่เกี่ยวข้อง. ผู้สัมผัสเป็นทองคำ. วันหนี่ง คิงไมดาสเสด็จประพาสยังริมฝั่งแม่น้ำซานการิอัสและได้พบ ไซเลนนัส พระอาจารย์ของเทพไดโอนีซุส เทพเจ้าแห่งไวน์และการเฉลิมฉลอง ผู้ซึ่งปลอมตัวเป็นชายชราขี้เมาผู้หนึ่งถูกมัดนอนกลิ้งอยู่กับพื้น พระองค์จึงเข้าไปช่วยแก้มัดให้แก้ท่านโดยในวันนั้น ไซเลนนัสที่กำลังเมาไวน์ได้ที่ เกิดพลัดกับขบวนของเทพไดโอนีซุสและได้ไปพบกับพวกชาวนาเข้า พวกชาวนามีความเชื่อว่า หากเจอไซเลนนัสตอนกำลังเมาให้จับตัวเขามัดไว้ โดยในขณะที่ถูกมัดนั้น จะสามารถถามเรื่องในอนาคตจากไซเลนนัสได้ หลังจากคิงไมดาสทรงช่วยไซเลนนัสเอาไว้ เทพไดโอนีซุสก็เสด็จมาถึง พระองค์ทรงโปรดปรานไมดาสเป็นอันมากที่ช่วยพระอาจารย์ของพระองค์ จึงทรงออกปากว่าจะให้พรแก่ไมดาสหนึ่งข้อตามแต่จะขอ ซึ่งเมื่อได้ยินดังนั้น คิงไมดาสก็ลืมองค์ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ จึงทรงขอพรแก่เทพไดโอนีซุสว่า ขอให้ทุกสิ่งที่ตนสัมผัสนั้นกลายเป็นทองคำทั้งหมด แม้เทพไดโอนีซุสจะทรงแปลกพระทัย แต่ก็ได้ประทานพรให้ตามที่คิงไมดาสได้ขอพรไว้ จากนั้นพระองค์และไซเลนนัสก็เสด็จจากไป ส่วนคิงไมดาสนั้นเมื่อได้พรแล้วก็ทรงทดลองด้วยการแตะของต่าง ๆ ในวังของพระองค์จนกลายเป็นทองคำไปหมด ยังความปรีดาให้แก่พระองค์เป็นอันมาก ทว่า เมื่อถึงเวลาที่จะเสวย คิงไมดาสก็ทรงพบว่า ทั้งอาหารและน้ำที่พระองค์สัมผัสกลายเป็นทองคำจนหมดสิ้น ทำให้พระองค์ไม่สามารถเสวยสิ่งใดได้เลย และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ พระองค์เผลอไปโอบกอดพระธิดาของพระองค์ ทำให้พระธิดากลายเป็นรูปปั้นทองคำไป พระองค์ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก และได้สวดอ้อนวอนขอให้เทพไดโอนีซุสทรงเมตตาลบล้างพรที่ทรงประทานให้ ในที่สุด เทพเจ้าไดโอนีซุสทรงเกิดความสงสารจึงทรงให้บอกให้คิงไมดาสไปชำระล้างพรที่แม่น้ำแพคโตลัส พระองค์ทรงทำตามที่เทพเจ้าตรัสบอก และพรวิเศษก็หายไป พร้อมกับทุกสิ่งกลับคืนดังเดิม อย่างไรก็ตาม พรของไดโอนีซุสที่ถูกชำระล้าง ก็ได้ทำให้แม่น้ำทั้งสายกลายเป็นผงทองคำผู้มีหูเป็นลา ผู้มีหูเป็นลา. คิงไมดาส ได้ตัดสินให้เพื่อนตนเองคือมาร์มาสเป็นฝ่ายชนะเทพอพอลโลในการบรรเลงดนตรีแข่งกัน ประมาณว่าเพื่อนของตนเล่นเพราะกว่า เทพอพอลโลจึงได้ทรงจับพิณกลับหัวลงและบรรเลงเป็นเสียงดนตรีให้คิงไมดาสฟังว่าขนาดพระองค์เอาพิณกลับหัวเล่นยังเพราะกว่ามาร์มาส และมาร์มาสก็ไม่สามารถทำอย่างเทพอพอลโลได้ นั่นทำให้เทพอพอลลโลกริ้ว และได้สาปให้คิงไมดาสที่ตัดสินไม่ได้พระทัย โดยให้คิงไมดาสมีหูเป็นลาซะเลย ซึ่งทำให้คิงไมดาสอับอายมากจึงได้สวมหมวกทรงสูงตลอดเวลา มีเพียงช่างตัดผมส่วนพระองค์ของคิงไมดาสเองเท่านั้นที่รู้ว่าหูของคิงไมดาสเป็นหูลา แต่เขาเก็บความลับไม่ได้ จึงได้ไปตะโกนว่า “พระราชาไมดาสมีหูเป็นลา” ต้นอ้อบริเวณนั้นได้ยินจึงโอนเอนกระซิบบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จนข่าวกระจายทุกคนรู้กันไปทั่ว คิงไมดาสนั้นอับอายเป็นอันมากจึงได้สละบัลลังก์แล้วหนีไปซ่อนตัวในป่าไม่ให้ใครเห็นอีกเลย
นครไฟร์เกีย
135
146
305
1
พี่สาวแท้ๆ ของนริศ อารีย์ มีชื่อว่าอะไร
นริศ อารีย์ นริศ อารีย์ (31 ธันวาคม พ.ศ. 2473 - 30 กันยายน พ.ศ. 2554) เป็นนักร้องเพลงลูกกรุงรุ่นใหญ่ ที่ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในสามขุนพลเพลงลูกกรุง ร่วมกับ สุเทพ วงศ์กำแหง และชรินทร์ นันทนาคร นริศ อารีย์ เป็นน้องชายแท้ๆของ วรนุช อารีย์ นักร้องนำวงสุนทราภรณ์ ชอบร้องเพลงประกวดตามงานวัด หลังจากชนะเลิศการประกวดร้องเพลงที่วิทยาลัยบพิตรพิมุขจึงได้เข้าสู่วงการ แสดงละครวิทยุและร้องเพลงกับคณะละครพันตรีศิลปะ และร้องเพลงสลับฉากที่ศาลาเฉลิมไทย และศาลาเฉลิมกรุง รุ่นเดียวกับสุเทพ วงศ์กำแหง และชรินทร์ นันทนาคร เพลงของนริศ อารีย์ ที่มีชื่อเสียง คือเพลง "ชัวนิจนิรันดร" (พยงค์ มุกดา) "คอย" และ "สักวันหนึ่ง" (ป. ชื่นประโยชน์) "ผู้ครองรัก" และ "ผู้แพ้" (รัก รักษ์พงษ์ หรือ สมณะโพธิรักษ์) "เปียจ๋า" และ "ม่วยจ๋า" (สุรพล โทณะวณิก) "กลิ่นเกล้า" และ "แม้พี่นี้จะขี้เมา" (ไพบูลย์ บุตรขัน) นริศ อารีย์ เสียชีวิตในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554 ด้วยโรคพาร์กินสัน และโรคเบาหวาน ซึ่งตรงกับช่วงที่ กาเหว่า เสียงทอง ผู้เป็นนักร้องชาวไทย ได้เสียชีวิตในช่วงเดียวกัน
วรนุช อารีย์
312
324
306
1
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ มีพระนามเดิมว่าอะไร
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ยัง เขมาภิรโต) สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ นามเดิม ยัง ฉายา เขมาภิรโต เป็นสมเด็จพระราชาคณะ อดีตเจ้าอาวาสวัดโสมนัสราชวรวิหาร เจ้าคณะใหญ่ผู้ช่วยคณะธรรมยุติกนิกาย และเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือประวัติกำเนิด ประวัติ. กำเนิด. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ มีนามเดิม ยัง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2394 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน บิดาเป็นชาวจีนชื่อยี่ มารดาเป็นชาวไทยชื่อขำเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคลอดท่านแน่นิ่งไปจนมารดาบิดาเข้าใจว่าเสียชีวิต เกือบจะนำลงหม้ออยู่แล้ว ป้าของท่านมาดูเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่จึงร้องขึ้นว่า "ยังไม่ตาย" ท่านจึงได้ชื่อว่ายัง เมื่อโตขึ้น ท่านเรียนหนังสือกับมารดา จนกระทั่งมารดาเสียชีวิตขณะท่านอายุได้ 11 ปี บิดาส่งท่านขึ้นเรือให้ไปเรียนที่ประเทศจีน แต่ท่านกระโดดหนีลงจากเรือแล้วไปอยู่กับน้าชายชื่อสิงห์โต ปีต่อมาบิดามารับท่านไปเรียนภาษาจีนที่ศาลเจ้าข้างวัดราชผาติการามวรวิหาร พออายุได้ 14 ปี บิดาให้ทำงานเป็นเสมียนกับพระเสนางควิจารณ์ (ยิ้ม) เมื่อายุได้ 15 ปี น้าที่เคยอุปการะท่านได้พาท่านไปเรียนกับพระครูเขมาภิมุข (อิ่ม) ที่วัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร ต่อมาย้ายไปศึกษากับพระอริยกระวี (ทิง) สมัยยังเป็นพระครูปลัด ฐานานุกรมในพระพรหมมุนี (ทับ พุทฺธสิริ)อุปสมบทและสอบปริยัติธรรม อุปสมบทและสอบปริยัติธรรม. ปีเถาะ พ.ศ. 2410 ได้บรรพชาเป็นสามเณร และเข้าสอบพระปริยัติธรรมที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2413 ได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ถึงปีวอก พ.ศ. 2415 ได้อุปสมบทที่วัดโสมนัสวิหาร โดยมีพระพรหมมุนี (ทับ พุทฺธสิริ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาต่อแล้วเข้าสอบในปีชวด พ.ศ. 2419 ที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ได้อีก 2 ประโยคเป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค และเข้าสอบครั้งสุดท้ายในปีมะเมีย พ.ศ. 2425 ที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ได้อีก 3 ประโยคเป็นเปรียญธรรม 8 ประโยคศาสนกิจ ศาสนกิจ. เมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสว่างลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเลือกพระมหาเปรียญจากวัดโสมนัสวิหารมาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งขณะนั้นมีพระมหาเดช ฐานจาโร กับพระมหายัง เขมาภิรโต ได้ทูลปรึกษาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ทราบว่าพระมหายังเชี่ยวชาญเทศนาจึงเป็นที่นิยมของคฤหัสถ์ แต่พระมหาเดชเป็นที่รักใคร่นับถือของเพื่อนบรรพชิตมากกว่า ที่สุดทรงตัดสินพระทัยตั้งพระมหาเดชเป็นพระราชาคณะไปครองวัดเทพศิรินทราวาสตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2427 พระมหายังจึงอยู่วัดโสมนัสวิหารต่อมา จนได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหารตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445 ตราบจนมรณภาพ ในสมัยของท่านวัดโสมนัสวิหารเจริญรุ่งเรืองมากเพราะท่านเชี่ยวชาญในการแสดงธรรมและการปฏิสังขรณ์ ด้านการศึกษา ในวันที่ 8 มกราคม ร.ศ. 114 ท่านได้รับพระราชทานตราตั้งเป็นกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยฝ่ายบรรพชิต และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้สอบไล่พระปริยัติธรรมในกองเหนือใน ร.ศ. 120 ร.ศ. 121 ร.ศ. 122 เป็นต้น ถึงปี ร.ศ. 129 ท่านจึงได้เป็นแม่กองขวา ท่านเห็นชอบให้พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) สร้างอาคารเรียนขึ้นในวัดเพื่ออุทิศแก่คุณหญิงพึ่ง อาคารนี้ได้รับพระราชทานนามว่า "สาลักษณาลัย" ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2460 และมอบให้กระทรวงศึกษาธิการใช้เป็นสถานศึกษาตั้งแต่วันนั้นสมณศักดิ์สมณศักดิ์. - 2 ตุลาคม พ.ศ. 2428 ตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอมรโมฬี - 20 มีนาคม พ.ศ. 2434 พระราชทานเพิ่มนิตยภัตเป็นเดือนละสี่ตำลึงกึ่ง (เสมอพระราชาคณะชั้นเทพ) - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2437 เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโมลี ตรีปิฎกธรา มหาธรรมกถึกคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสี - 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโกษาจารย์ สุนทรญาณนายก ตรีปิฎกมุนี มหาธิบดีศร บวรสังฆารามคามวาสี - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2444) ได้รับสถาปนาเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองฝ่ายเหนือที่ พระพิมลธรรมมหันตคุณ วิบุลยปรีชาญาณนายก ตรีปิฎกคุณาลังการภูสิต อุดรทิศคณะฤศร บวรสังฆารามคามวาสี - 25 มกราคม พ.ศ. 2453 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2454) เลื่อนเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะใหญ่ผู้ช่วยคณะธรรมยุติกนิกายที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จาตุรงคประธานวิสุต พุทธสิริมธุรธรรมวาที คัมภีรญาณปริยัติโกศล วิมลศีลาจารวัตร์ เขมาภิรัตบริษัทประสาทกร ธรรมยุกติกคณิศรมหาสังฆนายก - 2 มกราคม พ.ศ. 2456 เลื่อนเป็นเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ (ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2458 จึงโปรดให้พระธรรมวโรดม (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) บัญชาคณะสงฆ์ฝ่ายเหนือแทน)มรณภาพ มรณภาพ. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เริ่มอาพาธด้วยโรคอัมพาตมาตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2459 จนถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2474 เวลา 20.20 น. สิริอายุได้ ในวันต่อมา เวลา 17.20 น. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จแทนพระองค์ไปสรงน้ำศพ ได้รับพระราชทานโกศไม้สิบสองฉัตรเบญจา 1 สำรับ และโปรดให้มีพระสวดอภิธรรมเวลากลางคืนมีกำหนด 15 วัน วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2475 เจ้าภาพบำเพ็ญกุศลศพ วันต่อมา เวลา 15.00 น. พนักงานเชิญโกศศพขึ้นรถจตุรมุข ไปสมทบกับขบวนศพพระพรหมมุนี (แย้ม อุปวิกาโส) เข้าประตูสุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส เวียนศพรอบเมรุแล้วยกขึ้นตั้งบนเชิงตะกอน ถึงเวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเพลิงศพแล้วเสด็จกลับ วันที่ 6 เมษายน เวลา 7:00 น. เจ้าภาพเก็บอัฐิ
ยัง
175
178
307
1
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ หนีการไปเรียนที่จีนโดยไปอยู่กับน้าชายมีชื่อว่าอะไร
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ยัง เขมาภิรโต) สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ นามเดิม ยัง ฉายา เขมาภิรโต เป็นสมเด็จพระราชาคณะ อดีตเจ้าอาวาสวัดโสมนัสราชวรวิหาร เจ้าคณะใหญ่ผู้ช่วยคณะธรรมยุติกนิกาย และเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือประวัติกำเนิด ประวัติ. กำเนิด. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ มีนามเดิม ยัง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2394 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน บิดาเป็นชาวจีนชื่อยี่ มารดาเป็นชาวไทยชื่อขำเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคลอดท่านแน่นิ่งไปจนมารดาบิดาเข้าใจว่าเสียชีวิต เกือบจะนำลงหม้ออยู่แล้ว ป้าของท่านมาดูเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่จึงร้องขึ้นว่า "ยังไม่ตาย" ท่านจึงได้ชื่อว่ายัง เมื่อโตขึ้น ท่านเรียนหนังสือกับมารดา จนกระทั่งมารดาเสียชีวิตขณะท่านอายุได้ 11 ปี บิดาส่งท่านขึ้นเรือให้ไปเรียนที่ประเทศจีน แต่ท่านกระโดดหนีลงจากเรือแล้วไปอยู่กับน้าชายชื่อสิงห์โต ปีต่อมาบิดามารับท่านไปเรียนภาษาจีนที่ศาลเจ้าข้างวัดราชผาติการามวรวิหาร พออายุได้ 14 ปี บิดาให้ทำงานเป็นเสมียนกับพระเสนางควิจารณ์ (ยิ้ม) เมื่อายุได้ 15 ปี น้าที่เคยอุปการะท่านได้พาท่านไปเรียนกับพระครูเขมาภิมุข (อิ่ม) ที่วัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร ต่อมาย้ายไปศึกษากับพระอริยกระวี (ทิง) สมัยยังเป็นพระครูปลัด ฐานานุกรมในพระพรหมมุนี (ทับ พุทฺธสิริ)อุปสมบทและสอบปริยัติธรรม อุปสมบทและสอบปริยัติธรรม. ปีเถาะ พ.ศ. 2410 ได้บรรพชาเป็นสามเณร และเข้าสอบพระปริยัติธรรมที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2413 ได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ถึงปีวอก พ.ศ. 2415 ได้อุปสมบทที่วัดโสมนัสวิหาร โดยมีพระพรหมมุนี (ทับ พุทฺธสิริ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาต่อแล้วเข้าสอบในปีชวด พ.ศ. 2419 ที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ได้อีก 2 ประโยคเป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค และเข้าสอบครั้งสุดท้ายในปีมะเมีย พ.ศ. 2425 ที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ได้อีก 3 ประโยคเป็นเปรียญธรรม 8 ประโยคศาสนกิจ ศาสนกิจ. เมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสว่างลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเลือกพระมหาเปรียญจากวัดโสมนัสวิหารมาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งขณะนั้นมีพระมหาเดช ฐานจาโร กับพระมหายัง เขมาภิรโต ได้ทูลปรึกษาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ทราบว่าพระมหายังเชี่ยวชาญเทศนาจึงเป็นที่นิยมของคฤหัสถ์ แต่พระมหาเดชเป็นที่รักใคร่นับถือของเพื่อนบรรพชิตมากกว่า ที่สุดทรงตัดสินพระทัยตั้งพระมหาเดชเป็นพระราชาคณะไปครองวัดเทพศิรินทราวาสตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2427 พระมหายังจึงอยู่วัดโสมนัสวิหารต่อมา จนได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหารตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445 ตราบจนมรณภาพ ในสมัยของท่านวัดโสมนัสวิหารเจริญรุ่งเรืองมากเพราะท่านเชี่ยวชาญในการแสดงธรรมและการปฏิสังขรณ์ ด้านการศึกษา ในวันที่ 8 มกราคม ร.ศ. 114 ท่านได้รับพระราชทานตราตั้งเป็นกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยฝ่ายบรรพชิต และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้สอบไล่พระปริยัติธรรมในกองเหนือใน ร.ศ. 120 ร.ศ. 121 ร.ศ. 122 เป็นต้น ถึงปี ร.ศ. 129 ท่านจึงได้เป็นแม่กองขวา ท่านเห็นชอบให้พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) สร้างอาคารเรียนขึ้นในวัดเพื่ออุทิศแก่คุณหญิงพึ่ง อาคารนี้ได้รับพระราชทานนามว่า "สาลักษณาลัย" ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2460 และมอบให้กระทรวงศึกษาธิการใช้เป็นสถานศึกษาตั้งแต่วันนั้นสมณศักดิ์สมณศักดิ์. - 2 ตุลาคม พ.ศ. 2428 ตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอมรโมฬี - 20 มีนาคม พ.ศ. 2434 พระราชทานเพิ่มนิตยภัตเป็นเดือนละสี่ตำลึงกึ่ง (เสมอพระราชาคณะชั้นเทพ) - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2437 เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโมลี ตรีปิฎกธรา มหาธรรมกถึกคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสี - 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโกษาจารย์ สุนทรญาณนายก ตรีปิฎกมุนี มหาธิบดีศร บวรสังฆารามคามวาสี - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2444) ได้รับสถาปนาเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองฝ่ายเหนือที่ พระพิมลธรรมมหันตคุณ วิบุลยปรีชาญาณนายก ตรีปิฎกคุณาลังการภูสิต อุดรทิศคณะฤศร บวรสังฆารามคามวาสี - 25 มกราคม พ.ศ. 2453 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2454) เลื่อนเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะใหญ่ผู้ช่วยคณะธรรมยุติกนิกายที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จาตุรงคประธานวิสุต พุทธสิริมธุรธรรมวาที คัมภีรญาณปริยัติโกศล วิมลศีลาจารวัตร์ เขมาภิรัตบริษัทประสาทกร ธรรมยุกติกคณิศรมหาสังฆนายก - 2 มกราคม พ.ศ. 2456 เลื่อนเป็นเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ (ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2458 จึงโปรดให้พระธรรมวโรดม (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) บัญชาคณะสงฆ์ฝ่ายเหนือแทน)มรณภาพ มรณภาพ. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เริ่มอาพาธด้วยโรคอัมพาตมาตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2459 จนถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2474 เวลา 20.20 น. สิริอายุได้ ในวันต่อมา เวลา 17.20 น. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จแทนพระองค์ไปสรงน้ำศพ ได้รับพระราชทานโกศไม้สิบสองฉัตรเบญจา 1 สำรับ และโปรดให้มีพระสวดอภิธรรมเวลากลางคืนมีกำหนด 15 วัน วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2475 เจ้าภาพบำเพ็ญกุศลศพ วันต่อมา เวลา 15.00 น. พนักงานเชิญโกศศพขึ้นรถจตุรมุข ไปสมทบกับขบวนศพพระพรหมมุนี (แย้ม อุปวิกาโส) เข้าประตูสุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส เวียนศพรอบเมรุแล้วยกขึ้นตั้งบนเชิงตะกอน ถึงเวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเพลิงศพแล้วเสด็จกลับ วันที่ 6 เมษายน เวลา 7:00 น. เจ้าภาพเก็บอัฐิ
สิงห์โต
879
886
308
1
พระมารดาของหม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร มีพระนามว่าอะไร
หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร นาวาตรี หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร (30 เมษายน พ.ศ. 2467) เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยานุชิต กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป กับหม่อมแหวนศุลี ชยางกูร ณ อยุธยา เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ลำดับที่ 12 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยพระประวัติ พระประวัติ. หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ประสูติเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2467 เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยานุชิต กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป กับหม่อมแหวนศุลี ชยางกูร ณ อยุธยา (บุญยมาลิก) และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ทรงมีอนุชาและขนิษฐา ร่วมอุทร 2 องค์ คือ- หม่อมเจ้าอุทัยเที่ยง ชยางกูร (1 มิถุนายน พ.ศ. 2473) - หม่อมเจ้าจรูญฤทธิเดช ชยางกูร (10 มกราคม พ.ศ. 2476)กรณียกิจ กรณียกิจ. หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ได้ทรงปฏิบัติกรณียกิจในฐานะที่ทรงเป็นส่วนหนึ่งของราชสกุลชยางกูร อาทิ- เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558 หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา และสมาชิกราชสกุลชยางกูร เป็นเจ้าภาพในการสวดพระอภิธรรมพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร - เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สมาชิกราชสกุลชยางกูร โดยมี หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา หม่อมเจ้าอุทัยเที่ยง หม่อมเจ้าจรูญฤทธิเดช และหม่อมจรุงใจ ชยางกูร ณ อยุธยา ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังชีวิตส่วนองค์ ชีวิตส่วนองค์. หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา เสกสมรสกับชมชื่น โกมารกุล ณ นคร มีโอรส 1 คน คือ- หม่อมราชวงศ์พงษ์ไชยา ชยางกูร สมรสกับศรีรัตนา กัณหะยูวะ มีบุตร 2 คน คือ- หม่อมหลวงรัตนพงษ์ ชยางกูร - หม่อมหลวงอธิพรพงศ์ ชยางกูรเกียรติยศเครื่องราชอิสริยาภรณ์
หม่อมแหวนศุลี ชยางกูร ณ อยุธยา
265
295
309
1
โอรสของหม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร มีพระนามว่าอะไร
หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร นาวาตรี หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร (30 เมษายน พ.ศ. 2467) เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยานุชิต กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป กับหม่อมแหวนศุลี ชยางกูร ณ อยุธยา เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ลำดับที่ 12 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยพระประวัติ พระประวัติ. หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ประสูติเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2467 เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยานุชิต กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป กับหม่อมแหวนศุลี ชยางกูร ณ อยุธยา (บุญยมาลิก) และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ทรงมีอนุชาและขนิษฐา ร่วมอุทร 2 องค์ คือ- หม่อมเจ้าอุทัยเที่ยง ชยางกูร (1 มิถุนายน พ.ศ. 2473) - หม่อมเจ้าจรูญฤทธิเดช ชยางกูร (10 มกราคม พ.ศ. 2476)กรณียกิจ กรณียกิจ. หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ได้ทรงปฏิบัติกรณียกิจในฐานะที่ทรงเป็นส่วนหนึ่งของราชสกุลชยางกูร อาทิ- เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558 หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา และสมาชิกราชสกุลชยางกูร เป็นเจ้าภาพในการสวดพระอภิธรรมพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร - เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สมาชิกราชสกุลชยางกูร โดยมี หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา หม่อมเจ้าอุทัยเที่ยง หม่อมเจ้าจรูญฤทธิเดช และหม่อมจรุงใจ ชยางกูร ณ อยุธยา ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังชีวิตส่วนองค์ ชีวิตส่วนองค์. หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา เสกสมรสกับชมชื่น โกมารกุล ณ นคร มีโอรส 1 คน คือ- หม่อมราชวงศ์พงษ์ไชยา ชยางกูร สมรสกับศรีรัตนา กัณหะยูวะ มีบุตร 2 คน คือ- หม่อมหลวงรัตนพงษ์ ชยางกูร - หม่อมหลวงอธิพรพงศ์ ชยางกูรเกียรติยศเครื่องราชอิสริยาภรณ์
หม่อมราชวงศ์พงษ์ไชยา ชยางกูร
1,586
1,614
310
1
พระมารดาของเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต มีพระนามว่าอะไร
เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) (21 เมษายน พ.ศ. 2410 - 1 มีนาคม พ.ศ. 2504) อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ระหว่าง 1 เมษายน พ.ศ. 2465 - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2469 รับตำแหน่งสืบต่อจากเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (หม่อมราชวงศ์อรุณ ฉัตรกุล)ประวัติ ประวัติ. เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เกิดเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2410 ณ จวนเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี ซึ่งเดิมเป็นวังเจ้านคร จังหวัดนครศรีธรรมราช (ปัจจุบันเป็นศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ) เป็นบุตรคนที่ 5 ของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนู ณ นคร) และเป็นบุตรคนเดียว ที่เกิดกับหม่อมนิ่ม ณ นคร พี่น้องต่างมารดา ของท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต มีจำนวน 18 คน ดังนี้- คุณหญิงนุ้ยใหญ่ ณ ถลาง (ภรรยาพระยาสุนทราทรธุรกิจปรีชา หมี ณ ถลาง) - พระยานครกุลเชษฐ์มเหศรภักดี (เอียด ณ นคร) - นายชื่น ณ นคร - คุณนิล ณ นคร - เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต - นายแดง ณ นคร - คุณตลับ ณ นคร - คุณลิ้นจี่ ณ นคร ภรรยา พระพิสัยฯ - คุณขาว ณ นคร - คุณนุ่ม ณ นคร - คุณพริ้ง เภกะนันทน์ ภรรยา อำมาตย์โท พระวุฒิศาสตร์วินิจฉัย (ชิต เภกะนันทน์) - พระยาสุรเทพภักดี (พร้อม ณ นคร) - ขุนบริรักษ์ภูเบศร์ (แกะ ณ นคร) - คุณแห้ว ณ นคร - นายกลั่น ณ นคร - คุณผ่อง ณ นคร - คุณลวาด ณ นคร - คุณจำเริญ ณ นคร - นายไข่ ณ นคร ในวัยเยาว์ ได้ศึกษาหนังสือไทยและขอม ในสำนักเรียนครูคง เมืองนครศรีธรรมราช กับเรียนวิชาเลขไทย ในสำนักขุนกำจัดไพริน (เอี่ยม) จนถึงอายุ 13 ปี เมื่อได้ตัดจุกแล้ว ก็บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาย้ายไปอยู่วัดใหม่กาแก้ว มีพระครูเทพมุนี (แก้ว) เป็นอุปัชฌาย์ ถึงปี พ.ศ. 2423 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้ออกไปเมืองนครศรีธรรมราช จึงขอตัวท่านให้เข้ามารับราชการกับท่านที่กรุงเทพฯ ต่อมาก็ได้อยู่กับเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) และได้ถวายตัวเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก (ปัจจุบันคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) เมื่อ พ.ศ. 2431 เป็นนักเรียนนายร้อย เลขประจำตัว 3 ของประเทศไทย ได้ศึกษา ณ พระราชวังสราญรมย์ จนสำเร็จการศึกษา และเลื่อนยศเป็นร้อยตรี ในปีถัดมา หลังจากนั้นจึงรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และความสามารถ จนมีความเจริญในราชการเป็นลำดับ คือ เป็นปลัดทัพบก ในปี พ.ศ. 2446 , เป็นปลัดทูลฉลองกระทรวงกลาโหม ใน พ.ศ. 2453 , เป็นผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ใน พ.ศ. 2464 จนได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหมในที่สุด เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2465 ในระหว่างรับราชการ ได้เคยรับพระบรมราชโองการให้เป็นหัวหน้า ออกไปตรวจการที่ภาคพายัพ เพื่อจัดตั้งกองทหารในภาคนี้ และทำการปราบเงี้ยว ครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2445 ต่อมาในปี พ.ศ. 2450 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เดินทางออกไปดูการประลองยุทธใหญ่ ที่ประเทศญี่ปุ่น และเมือ พ.ศ. 2453 ก็โปรดฯให้เป็นผู้ไปไต่สวนพวกจีน ที่จังหวัดแพร่ ซึ่งรวมตัวจะไปช่วยพวกกบฏที่ประเทศจีนกบฏ ร.ศ. 130 นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง องคมนตรี ทั้งในรัชกาลที่ 6 และสืบมาถึงรัชกาลที่ 7 ด้วย ท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2469 เพราะป่วย หลังจากนั้นก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ณ บ้านของท่านซึ่งได้รับพระราชทาน ชื่อ "บ้านมหาโยธิน" ที่ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ และบริจาคเงินบำรุงศาสนวัตถุ เช่นสร้างโบสถ์, ศาลาการเปรียญ, หล่อพระประธาน ไว้ประดิษฐานยังวัดทั้งในกรุงเทพฯ และบ้านเดิม นครศรีธรรมราช หลายคราว อนึ่ง เมื่อมีการพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น ท่านเมื่อครั้งเป็น พลโท พระยาวรเดชศักดาวุธ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานนามสกุลด้วยผู้หนึ่ง ทรงพิจารณาเห็นว่า วงศ์สกุลของท่าน ล้วนแต่ได้ดีมีชื่อเสียงกันจากนครศรีธรรมราชแทบทั้งนั้น จึงพระราชทานให้นามสกุลว่า "ณ นคร" (na Nagara) โดยมีคำว่า "ณ" เทียบกับคำว่า "De" ของสกุลขุนนางฝรั่ง สกุลนี้ได้รับพระราชทานเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2456 ด้านครอบครัว เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต สมรสกับท่านผู้หญิงเลียบ ธิดาหลวงสุนทรสินธพ (จอ ปัจฉิม) มีบุตร-ธิดารวม 4 คน คือ- คุณลาภ ณ นคร - นายหยิบ ณ นคร สมรสกับ คุณประนอม สุขุม - คุณพยุง ณ นคร สมรสกับ นายเสน่ห์ ณ นคร - ท่านผู้หญิงโพยม เสนีณรงค์ฤทธิ์ สมรสกับ พลตรี พระยาเสนีณรงค์ฤทธิ์ (หม่อมหลวงเล็ก สนิทวงศ์) เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2504ยศ/บรรดาศักดิ์ยศ/บรรดาศักดิ์. - ยศ - วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2432 เป็นร้อยตรี - วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2435 เป็นร้อยเอก - วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2446 เป็นพันเอก - วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2462 เป็นพลเอก - บรรดาศักดิ์ - วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2440 เป็น หลวงรวบรัดสปัตรพล - วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2444 เป็น พระสุรเดชรณชิต - วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 เป็น พระยาวรเดชศักดาวุธ - วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2456 เป็น พระยาสีหราชเดโชไชย อภัยพิริยบรากรมพาหุ เจ้ากรมอาษาใหญ่ขวา ถือศักดินา 10000 - วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2465 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา มีสมญาจารึกในหิรัญบัฏ ว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต อดิศรมหาสวามิภักดิ์ อุดมศักดิ์เสนาบดี ศรีธรรมราชกุลพงศ์ ดำรงราชวรฤทธิ์ สัตยสถิตย์อาชวาศัย พุทธาทิไตรย์สรณธาดา อภัยพิริยบรากรมพาหุ ดำรงศักดินา 10000
หม่อมนิ่ม ณ นคร
653
668
311
1
เครื่องบินขับไล่ ดัซโซลท์ มิราจ เอฟ1 ของตระกูลมิราจ ได้ประจำกองทัพฝรั่งเศสในปีใด
ดัซโซลท์ มิราจ เอฟ1 ดัซโซลท์ มิราจ เอฟ1 () เป็นเครื่องบินขับไล่ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จแบบหนึ่งของตระกูลมิราจ เริ่มทำการบินครั้งแรกในวันที่ 23 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1966 และประจำกองทัพฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1973รายละเอียด ดัซโซลท์ มิราจ เอฟ1 รายละเอียด ดัซโซลท์ มิราจ เอฟ1. ข้อมูลจำเพาะ- ผู้สร้าง :บริษัทดัซโซลท์-เบร์เกต์(ฝรั่งเศส) - ประเภท:เครื่องบินเจ็ตขับไล่เอนกประสงค์ที่นั่งเดียว - เครื่องยนต์:เทอร์โบเจ๊ต สเนคม่า(Snecma) เอต้า 9 เค-50 ให้แรงขับ 5000 กิโลกรัม และ 7200 กิโลกรัม เมื่อใช้สันดาปท้าย 1 เครื่อง - กางปีก: 8.40 เมตร - ยาว: 15 เมตร - สูง: 4.5 เมตร - พื้นที่ปีก: 25 ตารางเมตร - น้ำหนักเปล่า: 7400 กิโลกรัม - น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด: 14,900 กิโลกรัม - อัตราเร็ว: 2.2 มัค ที่ระยะสูง 12000 เมตร และ 1.2 มัค ที่ระยะสูง ระดับน้ำทะเล - อัตราไต่: 12,780 เมตร/นาที ที่ระดับน้ำทะเล - เพดานบินใช้งาน: 20,000 เมตร - พิสัยบิน: 3,300 กิโลเมตร เมื่อติดถังน้ำมันเชื้อเพลิงภายนอก และ 900 กิโลเมตร เมื่อติดอาวุธเต็มที่ - บินทน: 3 ชั่วโมง 45 นาที - อาวุธ:ปืนใหญ่อากาศ เดฟา ขนาด 30 มม. 2 กระบอก- อาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ มาทรา 530 แมจิค 1-3 นัด และ ไซด์ไวด์เดอร์ 2 นัดที่ปลายปีก
ปี ค.ศ. 1973
289
301
312
1
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในหลวงพระองค์ใด
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรม ทดแทนการปลูกฝิ่น สถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวงอยู่บนเทือกเขาแดนลาว ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร และมียอดดอยสูงถึง 1,928 เมตร พื้นที่รับผิดชอบประมาณ 26.52 ตารางกิโลเมตร หรือ 16,577 ไร่ อากาศดี จัดตั้งขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ว่า “ให้เขาช่วยตัวเอง” เปลี่ยนพื้นที่จากไร่ฝิ่นมาเป็นแปลงเกษตรเมืองหนาวที่สร้างรายได้ดีกว่าเก่าก่อนและไม่ผิดกฎหมายประวัติ ประวัติ. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ที่หมู่บ้านผักไผ่ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และได้เสด็จผ่านบริเวณดอยอ่างขาง ทอดพระเนตรเห็นว่าชาวเขาเผ่ามูเซอ ซึ่งในสมัยนั้นยังไว้แกละถักเปียยาว แต่งกายสีดำ สะพายดาบ ทำการปลูกฝิ่นแต่ยังยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่ง สำคัญต่อระบบนิเวศ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่น ๆ ของประเทศได้ จึงมีพระราชดำริว่าพื้นที่นี้มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น มีการปลูกฝิ่นมาก ไม่มีป่าไม้อยู่เลยและสภาพพื้นที่ไม่ลาดชันนัก ประกอบกับ พระองค์ทรงทราบว่าชาวเขาได้เงินจากฝิ่นเท่ากับที่ได้จากการปลูกท้อพื้นเมือง และทรงทราบว่าที่สถานีทดลองไม้ผลเมืองหนาว ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทดลองวิธีติดตา ต่อกิ่งกับท้อฝรั่ง จึงทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1,500 บาท เพื่อซื้อที่ดินและไร่ในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยทรงแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวงจนถึงพ.ศ. 2560 ใช้เป็นสถานีวิจัย และทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิด ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ผัก ไม้ดอกเมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขา ในการนำพืช เหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามว่า "สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง"สภาพทั่วไป สภาพทั่วไป. สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตั้งอยู่ในเขตบ้านคุ้ม หมู่ที่ 5 ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400 เมตร มีพื้นที่ใช้ทำการเกษตรประมาณ 1,800 ไร่ มีหมู่บ้านชาวเขาที่สถานีฯ ให้การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพรวม 6 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านหลวง บ้านคุ้ม บ้านนอแล บ้านปางม้า บ้านป่าคา และบ้านขอบด้ง ซึ่งประกอบไปด้วยประชากร 4 เผ่าได้แก่ ไทยใหญ่ มูเซอดำ ปะหล่อง และจีนฮ่อ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 17.7 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32 องศาเซลเซียสในเดือนเมษายน และอุณหภูมิต่ำสุด –3 องศาเซเซียสในเดือนมกราคม ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 2,075 มิลลิเมตรต่อปีการดำเนินงานของสถานีการดำเนินงานของสถานี. 1. งานศึกษาวิจัย ไม้ผลเขตหนาว และขยายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ 2. งานเผยแพร่และฝึกอบรม เป็นแหล่งวิชาการปลูกพืชบนที่สูงที่สำคัญ เป็นสถานที่ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และเกษตรกรของมูลนิธิฯ 3. งานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกร เป็นการดำเนินงานส่งเสริม และพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกร บริเวณรอบสถานี โดยมีส่วนราชการต่างๆ ร่วมดำเนินงานในรูปคณะทำงานศูนย์พัฒนา โครงการหลวง กิจกรรมที่สำคัญได้แก่ การพัฒนาแหล่งน้ำ การวางแผน การใช้ที่ดิน การส่งเสริมการปลูกไม้ผล ผัก ชา การฟื้นฟูระบบนิเวศ การฟื้นฟูสภาพธรรมชาติ และการปลูกป่าชาวบ้านการเดินทาง การเดินทาง. การเดินทาง สามารถเดินทางขึ้นดอยอ่างขางได้ทั้งหมด 3 เส้นทาง แต่เส้นทางที่ใช้เป็นหลัก มีอยู่เส้นทางเดียวคือ ขึ้นดอยอ่างข่างที่กิโลเมตรที่ 137 ณ วัดหาดสำราญการเดินทางโดยรถยนต์ การเดินทางโดยรถยนต์. การเดินทางโดยรถยนต์สามารถเดินทางไปได้หลาย 3 เส้นทาง ดังนี้1. ขึ้นดอยอ่างขาง ณ วัดหาดสำราญ กม 137 สามารถใช้เส้นทาง เชียงใหม่-ฝาง (เส้นทางหลวงหมายเลข 107) มาถึงปากทางขึ้นดอยอ่างขาง ให้เลี้ยวซ้ายตามถนน ซึ่งค่อนข้างลาดชัน มีทางโค้งและสูงช้น 2. ขึ้นดอยอ่างขาง ณ อำเภอเชียงดาว กม 79 จากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ใช้เส้นทางเชียงใหม่-ฝาง (ทางหลวงหมายเลข 107) เดินทางเรื่อยมาจนถึงอำเภอเชียงดาว บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 79 จะพบทางแยก (เส้นทางหมายเลข 1) เลี้ยวซ้ายผ่าน ต.เมืองงาย บ้านอรุโณทัย บ้านหลวง เส้นทางค่อนข้างแคบแต่ไม่ลาดชัน 3. เส้นทางจากอำเภอฝาง-หมู่บ้านนอแล มีระยะทางสั้นที่สุด แต่มีความลาดชัดมากและไหล่ทางชำรุด เป็นหลุมบ่อ พื้นถนนเป็นหินกรวด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเลียบแนวชายแดนไทย-พม่า ตลอดทางจะมีด่านทหาร และพบเห็นทั้งค่ายทหารของไทย และพม่า บริเวณสองริมฝั่งหุบเขา ไม่แนะนำให้ไปโดยเด็ดขาดการเดินทางโดยรถประจำทางการเดินทางโดยรถประจำทาง. 1. เดินทางจาก จังหวัดเชียงใหม่ - ดอยอ่างขาง สามารถโดยสารรถประจำทางสายเชียงใหม่-ฝาง หรือ เชียงใหม่-ท่าตอน มาลงที่ปากทางดอยอ่างขาง หน้าวัดหาดสำราญ กิโลเมตรที่ 137 จากนั้นใช้บริการรถสองแถว รถตู้ หรือรถมอเตอร์ไซด์ขึ้นดอยอ่างขางอีกครั้งหนึ่ง หรือเดินทางด้วยรถตู้ประจำทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปยังอ่างขาง ได้เช่นกัน 2. เดินทางจาก จังหวัดเชียงราย - ดอยอ่างขาง สามารถเดินทางโดยใช้เส้นทาง เชียงราย - ดอยอ่างขางได้เช่นกันที่พักภายในสถานีเกษตร ที่พักภายในสถานีเกษตร. อ่างขาง มีที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยว และมีสถานที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวกางเต็นท์ได้
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
176
215
313
1
สถานีเกษตรหลวงอ่างขางตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดอะไร
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรม ทดแทนการปลูกฝิ่น สถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวงอยู่บนเทือกเขาแดนลาว ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร และมียอดดอยสูงถึง 1,928 เมตร พื้นที่รับผิดชอบประมาณ 26.52 ตารางกิโลเมตร หรือ 16,577 ไร่ อากาศดี จัดตั้งขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ว่า “ให้เขาช่วยตัวเอง” เปลี่ยนพื้นที่จากไร่ฝิ่นมาเป็นแปลงเกษตรเมืองหนาวที่สร้างรายได้ดีกว่าเก่าก่อนและไม่ผิดกฎหมายประวัติ ประวัติ. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ที่หมู่บ้านผักไผ่ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และได้เสด็จผ่านบริเวณดอยอ่างขาง ทอดพระเนตรเห็นว่าชาวเขาเผ่ามูเซอ ซึ่งในสมัยนั้นยังไว้แกละถักเปียยาว แต่งกายสีดำ สะพายดาบ ทำการปลูกฝิ่นแต่ยังยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่ง สำคัญต่อระบบนิเวศ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่น ๆ ของประเทศได้ จึงมีพระราชดำริว่าพื้นที่นี้มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น มีการปลูกฝิ่นมาก ไม่มีป่าไม้อยู่เลยและสภาพพื้นที่ไม่ลาดชันนัก ประกอบกับ พระองค์ทรงทราบว่าชาวเขาได้เงินจากฝิ่นเท่ากับที่ได้จากการปลูกท้อพื้นเมือง และทรงทราบว่าที่สถานีทดลองไม้ผลเมืองหนาว ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทดลองวิธีติดตา ต่อกิ่งกับท้อฝรั่ง จึงทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1,500 บาท เพื่อซื้อที่ดินและไร่ในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยทรงแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวงจนถึงพ.ศ. 2560 ใช้เป็นสถานีวิจัย และทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิด ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ผัก ไม้ดอกเมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขา ในการนำพืช เหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามว่า "สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง"สภาพทั่วไป สภาพทั่วไป. สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตั้งอยู่ในเขตบ้านคุ้ม หมู่ที่ 5 ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400 เมตร มีพื้นที่ใช้ทำการเกษตรประมาณ 1,800 ไร่ มีหมู่บ้านชาวเขาที่สถานีฯ ให้การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพรวม 6 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านหลวง บ้านคุ้ม บ้านนอแล บ้านปางม้า บ้านป่าคา และบ้านขอบด้ง ซึ่งประกอบไปด้วยประชากร 4 เผ่าได้แก่ ไทยใหญ่ มูเซอดำ ปะหล่อง และจีนฮ่อ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 17.7 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32 องศาเซลเซียสในเดือนเมษายน และอุณหภูมิต่ำสุด –3 องศาเซเซียสในเดือนมกราคม ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 2,075 มิลลิเมตรต่อปีการดำเนินงานของสถานีการดำเนินงานของสถานี. 1. งานศึกษาวิจัย ไม้ผลเขตหนาว และขยายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ 2. งานเผยแพร่และฝึกอบรม เป็นแหล่งวิชาการปลูกพืชบนที่สูงที่สำคัญ เป็นสถานที่ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และเกษตรกรของมูลนิธิฯ 3. งานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกร เป็นการดำเนินงานส่งเสริม และพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกร บริเวณรอบสถานี โดยมีส่วนราชการต่างๆ ร่วมดำเนินงานในรูปคณะทำงานศูนย์พัฒนา โครงการหลวง กิจกรรมที่สำคัญได้แก่ การพัฒนาแหล่งน้ำ การวางแผน การใช้ที่ดิน การส่งเสริมการปลูกไม้ผล ผัก ชา การฟื้นฟูระบบนิเวศ การฟื้นฟูสภาพธรรมชาติ และการปลูกป่าชาวบ้านการเดินทาง การเดินทาง. การเดินทาง สามารถเดินทางขึ้นดอยอ่างขางได้ทั้งหมด 3 เส้นทาง แต่เส้นทางที่ใช้เป็นหลัก มีอยู่เส้นทางเดียวคือ ขึ้นดอยอ่างข่างที่กิโลเมตรที่ 137 ณ วัดหาดสำราญการเดินทางโดยรถยนต์ การเดินทางโดยรถยนต์. การเดินทางโดยรถยนต์สามารถเดินทางไปได้หลาย 3 เส้นทาง ดังนี้1. ขึ้นดอยอ่างขาง ณ วัดหาดสำราญ กม 137 สามารถใช้เส้นทาง เชียงใหม่-ฝาง (เส้นทางหลวงหมายเลข 107) มาถึงปากทางขึ้นดอยอ่างขาง ให้เลี้ยวซ้ายตามถนน ซึ่งค่อนข้างลาดชัน มีทางโค้งและสูงช้น 2. ขึ้นดอยอ่างขาง ณ อำเภอเชียงดาว กม 79 จากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ใช้เส้นทางเชียงใหม่-ฝาง (ทางหลวงหมายเลข 107) เดินทางเรื่อยมาจนถึงอำเภอเชียงดาว บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 79 จะพบทางแยก (เส้นทางหมายเลข 1) เลี้ยวซ้ายผ่าน ต.เมืองงาย บ้านอรุโณทัย บ้านหลวง เส้นทางค่อนข้างแคบแต่ไม่ลาดชัน 3. เส้นทางจากอำเภอฝาง-หมู่บ้านนอแล มีระยะทางสั้นที่สุด แต่มีความลาดชัดมากและไหล่ทางชำรุด เป็นหลุมบ่อ พื้นถนนเป็นหินกรวด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเลียบแนวชายแดนไทย-พม่า ตลอดทางจะมีด่านทหาร และพบเห็นทั้งค่ายทหารของไทย และพม่า บริเวณสองริมฝั่งหุบเขา ไม่แนะนำให้ไปโดยเด็ดขาดการเดินทางโดยรถประจำทางการเดินทางโดยรถประจำทาง. 1. เดินทางจาก จังหวัดเชียงใหม่ - ดอยอ่างขาง สามารถโดยสารรถประจำทางสายเชียงใหม่-ฝาง หรือ เชียงใหม่-ท่าตอน มาลงที่ปากทางดอยอ่างขาง หน้าวัดหาดสำราญ กิโลเมตรที่ 137 จากนั้นใช้บริการรถสองแถว รถตู้ หรือรถมอเตอร์ไซด์ขึ้นดอยอ่างขางอีกครั้งหนึ่ง หรือเดินทางด้วยรถตู้ประจำทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปยังอ่างขาง ได้เช่นกัน 2. เดินทางจาก จังหวัดเชียงราย - ดอยอ่างขาง สามารถเดินทางโดยใช้เส้นทาง เชียงราย - ดอยอ่างขางได้เช่นกันที่พักภายในสถานีเกษตร ที่พักภายในสถานีเกษตร. อ่างขาง มีที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยว และมีสถานที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวกางเต็นท์ได้
จังหวัดเชียงใหม่
332
348
314
1
ผลงานละครเรื่องแรกของอัทธนียา เอี่ยมวสันต์ หรือชื่อเกิด สริตา เอี่ยมวสันต์ คือเรื่องอะไร
อัทธนียา เอี่ยมวสันต์ อัทธนียา เอี่ยมวสันต์ หรือชื่อเกิด สริตา เอี่ยมวสันต์ ชื่อเล่น ออม (เกิด 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535) เป็นนักแสดงชาวไทย จบระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนประวัติ ประวัติ. ก้าวแรกในวงการบันเทิง เริ่มจากเพื่อนเอารูปที่ถ่ายคู่กันส่งมาแคสติ้งที่โพลีพลัส จึงได้เล่นละครรับเชิญเรื่อง กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ หลังจากนั้นก็มีผลงานโฆษณามาโดยตลอด จนได้มาประกวดโครงการชิงดาว และก็ได้เข้ามาเซ็นสัญญาที่โพลีพลัส ก่อนหน้านี้ เธอเคยประกวด Utaitip Freshy Idol 2008 และคว้ารางวัลป๊อบปูล่าโหวตมาครอง ผลงานละครเรื่องแรกคือ ตะวันทอแสง ที่ออกอากาศทางช่อง 7 รับบทเป็น พิมพรรณ แสดงคู่กับ เชน ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์ โดยมี โดม ปกรณ์ ลัม และ ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ รับบทนำผลงานละครโทรทัศน์ละครซีรีส์โฆษณาผลงาน. โฆษณา. - U-tip lip pink - D-TAC - ทีเบรก - ยาสีฟันคอลเกต - ทรูมูฟ - โฟร์โมสต์ - บาร์บีคิว พลาซ่ามิวสิควีดีโอมิวสิควีดีโอ. - รักเธอคนเดียว - ณัฐ ศักดาทร
ตะวันทอแสง
777
787
315
1
อัทธนียา เอี่ยมวสันต์ เล่นละครเรื่อง ตะวันทอแสง ที่ออกอากาศทางช่อง 7 รับบทเป็นใคร
อัทธนียา เอี่ยมวสันต์ อัทธนียา เอี่ยมวสันต์ หรือชื่อเกิด สริตา เอี่ยมวสันต์ ชื่อเล่น ออม (เกิด 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535) เป็นนักแสดงชาวไทย จบระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนประวัติ ประวัติ. ก้าวแรกในวงการบันเทิง เริ่มจากเพื่อนเอารูปที่ถ่ายคู่กันส่งมาแคสติ้งที่โพลีพลัส จึงได้เล่นละครรับเชิญเรื่อง กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ หลังจากนั้นก็มีผลงานโฆษณามาโดยตลอด จนได้มาประกวดโครงการชิงดาว และก็ได้เข้ามาเซ็นสัญญาที่โพลีพลัส ก่อนหน้านี้ เธอเคยประกวด Utaitip Freshy Idol 2008 และคว้ารางวัลป๊อบปูล่าโหวตมาครอง ผลงานละครเรื่องแรกคือ ตะวันทอแสง ที่ออกอากาศทางช่อง 7 รับบทเป็น พิมพรรณ แสดงคู่กับ เชน ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์ โดยมี โดม ปกรณ์ ลัม และ ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ รับบทนำผลงานละครโทรทัศน์ละครซีรีส์โฆษณาผลงาน. โฆษณา. - U-tip lip pink - D-TAC - ทีเบรก - ยาสีฟันคอลเกต - ทรูมูฟ - โฟร์โมสต์ - บาร์บีคิว พลาซ่ามิวสิควีดีโอมิวสิควีดีโอ. - รักเธอคนเดียว - ณัฐ ศักดาทร
พิมพรรณ
819
826
316
1
ผู้ออกแบบบ้านตุ๊กตาที่ตั้งอยู่เลขที่ 42 ซอยต้นสน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร คือใคร
บ้านตุ๊กตา บ้านตุ๊กตา ตั้งอยู่เลขที่ 42 ซอยต้นสน ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ออกแบบและก่อสร้างโดยศาสตราจารย์หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ราว พ.ศ. 2473 - 2474 เพื่อใช้เป็นเรือนหอของพระองค์ โดยรูปแบบของบ้านคล้ายกับบ้านในชนบทของอังกฤษ ต่อมาทายาทคือหม่อมราชวงศ์ชาญวุฒิ วรวรรณ ได้บูรณะเมื่อ พ.ศ. 2532 ดัดแปลงบานหน้าต่างจากไม้มาเป็นกระจก ปัจจุบันบ้านตุ๊กตาให้เช่าเปิดเป็นสปา ชื่อ 1930 สปาสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. บ้านตุ๊กตาเป็นบ้าน 2 ชั้น และห้องใต้ดิน 1 ชั้น ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบทิวดอร์ มีโครงสร้าง Half-Timber คือโครงสร้างหลักเป็นไม้เต็งรังและไม้สัก ผนังเป็นโครงระแนงไม้สักตามนอน ฉาบปูนเรียบ นับเป็นอาคารแห่งแรกในประเทศไทยที่มีห้องใต้ดินสมบูรณ์แบบ มีระบบถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม บ้านตุ๊กตาได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อ พ.ศ. 2537
ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ
202
236
317
1
บ้านตุ๊กตาได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อปีใด
บ้านตุ๊กตา บ้านตุ๊กตา ตั้งอยู่เลขที่ 42 ซอยต้นสน ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ออกแบบและก่อสร้างโดยศาสตราจารย์หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ราว พ.ศ. 2473 - 2474 เพื่อใช้เป็นเรือนหอของพระองค์ โดยรูปแบบของบ้านคล้ายกับบ้านในชนบทของอังกฤษ ต่อมาทายาทคือหม่อมราชวงศ์ชาญวุฒิ วรวรรณ ได้บูรณะเมื่อ พ.ศ. 2532 ดัดแปลงบานหน้าต่างจากไม้มาเป็นกระจก ปัจจุบันบ้านตุ๊กตาให้เช่าเปิดเป็นสปา ชื่อ 1930 สปาสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. บ้านตุ๊กตาเป็นบ้าน 2 ชั้น และห้องใต้ดิน 1 ชั้น ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบทิวดอร์ มีโครงสร้าง Half-Timber คือโครงสร้างหลักเป็นไม้เต็งรังและไม้สัก ผนังเป็นโครงระแนงไม้สักตามนอน ฉาบปูนเรียบ นับเป็นอาคารแห่งแรกในประเทศไทยที่มีห้องใต้ดินสมบูรณ์แบบ มีระบบถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม บ้านตุ๊กตาได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อ พ.ศ. 2537
พ.ศ. 2537
892
901
318
1
การชกชิงแชมป์แห่งสยาม หวัง อาหะหมัดได้รับเลือกให้ชกกับ ศุข สมบูรณ์ โดยสมัยนั้น นายกสนามคือใคร
หวัง อาหะหมัด หวัง อาหะหมัด เป็นนักมวยไทยที่ได้ตำแหน่งแชมป์แห่งสยามคนแรกตั้งแต่ยังชกแบบคาดเชือก เขาชกมวยคาดเชือกมาตั้งแต่สมัยเวทีสวนกุหลาบในสังกัดคณะลูกศร ชกชนะทั้งนักมวยไทยและจีน เมื่อมาถึงสมัยเวทีมวยท่าช้าง พระยาเทพหัสดินทร์นายสนามได้จัดให้ชกชิงแชมป์แห่งสยาม หวังได้รับเลือกให้ชกกับ ศุข สมบูรณ์ ซึ่งหวังเป็นฝ่ายชกชนะน็อคในยกแรก ได้เงินเดือนเดือนละ 40 บาท หลังจากได้แชมป์ มีนักมวยไทยมาขอท้าชิงแชมป์จากหวัง 2 คน คนแรกคือ ชุ่ม ดีจรรย์ ซึ่งหวังใช้เวลาเพียง 50 วินาทีก็ชนะน็อคชุ่มได้ อีกคนหนึ่งคือ ประดิษฐ์ ลิ้มประยูร ซึ่งหวังเป็นฝ่ายแพ้ไปเพราะเสียเปรียบที่อายุมากกว่าและตัวเล็กกว่า หลังจากชกแพ้ประดิษฐ์แล้ว หวังไม่ได้ขึ้นชกอีก จน พ.ศ. 2492 หวังขอขึ้นชกกับสุข ปราสาทหินพิมาย แต่ทางสนามมวยก็ไม่ได้จัดให้หวังขึ้นชก ทำให้หวังต้องแขวนนวมไปโดยปริยาย
พระยาเทพหัสดินทร์
298
315
319
1
หวัง อาหะหมัด ได้ชกมวยแพ้ให้กับใคร เพราะเสียเปรียบเรื่องอายุมากกว่าและตัวเล็กกว่า
หวัง อาหะหมัด หวัง อาหะหมัด เป็นนักมวยไทยที่ได้ตำแหน่งแชมป์แห่งสยามคนแรกตั้งแต่ยังชกแบบคาดเชือก เขาชกมวยคาดเชือกมาตั้งแต่สมัยเวทีสวนกุหลาบในสังกัดคณะลูกศร ชกชนะทั้งนักมวยไทยและจีน เมื่อมาถึงสมัยเวทีมวยท่าช้าง พระยาเทพหัสดินทร์นายสนามได้จัดให้ชกชิงแชมป์แห่งสยาม หวังได้รับเลือกให้ชกกับ ศุข สมบูรณ์ ซึ่งหวังเป็นฝ่ายชกชนะน็อคในยกแรก ได้เงินเดือนเดือนละ 40 บาท หลังจากได้แชมป์ มีนักมวยไทยมาขอท้าชิงแชมป์จากหวัง 2 คน คนแรกคือ ชุ่ม ดีจรรย์ ซึ่งหวังใช้เวลาเพียง 50 วินาทีก็ชนะน็อคชุ่มได้ อีกคนหนึ่งคือ ประดิษฐ์ ลิ้มประยูร ซึ่งหวังเป็นฝ่ายแพ้ไปเพราะเสียเปรียบที่อายุมากกว่าและตัวเล็กกว่า หลังจากชกแพ้ประดิษฐ์แล้ว หวังไม่ได้ขึ้นชกอีก จน พ.ศ. 2492 หวังขอขึ้นชกกับสุข ปราสาทหินพิมาย แต่ทางสนามมวยก็ไม่ได้จัดให้หวังขึ้นชก ทำให้หวังต้องแขวนนวมไปโดยปริยาย
ประดิษฐ์ ลิ้มประยูร
584
603
320
1
สตีเฟน แพทริก เดวิด เกตลีเป็นนักร้องชาวไอร์แลนด์ แต่งงานกับใคร
สตีเฟน เกตลี สตีเฟน แพทริก เดวิด เกตลี () (17 มีนาคม ค.ศ. 1976 - 10 ตุลาคม ค.ศ. 2009) เป็นนักร้องชาวไอร์แลนด์ นักเขียนและนักแสดง และเป็นนักร้องนำร่วมกับโรแนน คีตติงให้กับวงบอยแบนด์ชื่อ บอยโซน อัลบั้มทุกชุดของวงติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เขาเป็นศิลปินเดี่ยว มีอัลบั้มติดท็อป 10 ในปี 2000 หลังจากที่วงแยกย้ายกับไป เกตลีปรากฏตัวตามเวทีและบนรายการโทรทัศน์ ในปี 2008 เขามารวมตัวกับวงบอยโซนอีกครั้ง มีเพลงใหม่และร่วมแสดงคอนเสิร์ต เกตลีแต่งงานกับแอนดรูว์ คาวล์ส ในลาสเวกัสเมื่อปี 2003 และทำพิธีจดทะเบียนคู่ในลอนดอนในปี 2006 และในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2009 พบร่างเขาเสียชีวิตระหว่างการพักผ่อนที่ มาจอร์ก้า ประเทศสเปน
แอนดรูว์ คาวล์ส
528
543
321
1
สตีเฟน แพทริก เดวิด เกตลีเป็นนักร้องชาวไอร์แลนด์ นักเขียนและนักแสดง เสียชีวิตที่ประเทศอะไร
สตีเฟน เกตลี สตีเฟน แพทริก เดวิด เกตลี () (17 มีนาคม ค.ศ. 1976 - 10 ตุลาคม ค.ศ. 2009) เป็นนักร้องชาวไอร์แลนด์ นักเขียนและนักแสดง และเป็นนักร้องนำร่วมกับโรแนน คีตติงให้กับวงบอยแบนด์ชื่อ บอยโซน อัลบั้มทุกชุดของวงติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เขาเป็นศิลปินเดี่ยว มีอัลบั้มติดท็อป 10 ในปี 2000 หลังจากที่วงแยกย้ายกับไป เกตลีปรากฏตัวตามเวทีและบนรายการโทรทัศน์ ในปี 2008 เขามารวมตัวกับวงบอยโซนอีกครั้ง มีเพลงใหม่และร่วมแสดงคอนเสิร์ต เกตลีแต่งงานกับแอนดรูว์ คาวล์ส ในลาสเวกัสเมื่อปี 2003 และทำพิธีจดทะเบียนคู่ในลอนดอนในปี 2006 และในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2009 พบร่างเขาเสียชีวิตระหว่างการพักผ่อนที่ มาจอร์ก้า ประเทศสเปน
ประเทศสเปน
687
697
322
1
ในปี 2560 ปกเกล้า อนันต์ เล่นในตำแหน่งกองกลาง ให้กับสโมสรใด
ปกเกล้า อนันต์ สิบตำรวจตรี ปกเกล้า อนันต์ เกิดวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2534 เป็นนักฟุตบอลชาวไทย ผู้ซึ่งเข้าแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีกให้แก่สโมสรฟุตบอลแบงค็อก ยูไนเต็ด ในตำแหน่งกองกลางประวัติ ประวัติ. เดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ปกเกล้าได้ร่วมทีมชาติรุ่นเยาวชน 19 ปี เข้าแข่งรายการชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศจีน จากนั้น ในวันที่ 15 พฤศจิกายน เขาได้เซ็นสัญญาร่วมทีมกับสโมสรฟุตบอลอินทรีเพื่อนตำรวจ และในปีถัดมา ในการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก 2554 ปกเกล้าเป็นผู้ทำประตูให้แก่สโมสรฟุตบอลอินทรีเพื่อนตำรวจทั้ง 2 ประตูเมื่อครั้งที่พบกับสโมสรฟุตบอลบีอีซี เทโรศาสน ด้วยผลการแข่ง 2-0 วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ปกเกล้าเป็นหนึ่งในผู้ทำประตูในการแข่งฟุตบอลนัดอุ่นเครื่อง เมื่อครั้งที่พบกับทีมชาติจีนชุดใหญ่ ที่ประเทศจีน โดยเขาเป็นผู้ทำประตูในนาทีที่ 16 และทีมชาติไทยเป็นฝ่ายชนะที่ 5-1 ซึ่งนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ในการชนะทีมชาติจีนได้มากที่สุด ในฤดูกาล 2559 ปกเกล้าได้ย้ายจากทีม เพื่อนตำรวจ มาร่วมทีม ชลบุรี เอฟซีและฤดูกาล 2560 ปกเกล้าก็ได้ย้ายมาร่วมทีม แบงค็อก ยูไนเต็ดผลงานในระดับนานาชาติ ผลงานในระดับนานาชาติ. ปกเกล้า อนันต์ ได้รับการเรียกตัวเข้าร่วมทีมชาติภายใต้การฝึกสอนโดยวินฟรีด เชเฟอร์ สำหรับชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โซนเอเชียการทำประตูในระดับนานาชาติ การทำประตูในระดับนานาชาติ. นอกจากนี้แล้ว ในกลางปี พ.ศ. 2557 ปกเกล้าได้ถูกส่งตัวไปฝึกซ้อมกับสโมสรฟุตบอลเรดิง ทีมในลีกเดอะแชมเปียนชิพ ของอังกฤษ เป็นเวลา 6 เดือน
สโมสรฟุตบอลแบงค็อก ยูไนเต็ด
223
250
323
1
หลวงพ่อแสนแห่งเมืองเชียงแตง เป็นพระพุทธรูปปางอะไร
พระแสน (เชียงแตง) พระแสน หรือ หลวงพ่อแสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 1 เมตร ศิลปะล้านช้าง มีความงดงามอย่างยิ่ง อัญเชิญมาจากเมืองเชียงแตง (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสตึงแตรง ประเทศกัมพูชา) องค์พระเป็นทองเนื้อห้า ที่ฐานพระมีอักษรสมัยล้านช้างจารึกอยู่ ปรงมารวิชัย สังฆาฏิชนิดยาวทาบลงมาถึงพระนาภีแบบลังกาวงศ์ พระเกตุมาลาหรือพระรัศมีเป็นเปลวยาวขึ้นแบบลังกาวงศ์ รอบฝังแก้วผลึก ๑๕ เม็ดนิ้วพระพัตถ์ไม่เสมอกันแบบพระเชียงแสน และสุโขทัยยุคแรก พระเศียรโตเขื่องกว่าส่วนพระองค์จนสังเกตเห็นชัด พระเนตรฝังแก้วผลึก ในส่วนสีขาวและฝั่งนิลในส่วนสีดำ ฐานรองเป็นแบบบัวคว่ำบัวหงาย พระแสน เป็นพระพุทธรูปสำริด เนื้อนวโลหะ ส่วนผสมทองแดงและทองเหลือง น้ำหนัก 160 ชั่ง (น้ำหนักตามมาตราชั่งตวงวัดของประเทศไทย 1 ชั่ง เท่ากับ 80 บาท) (1 บาท เท่ากับ 4 ตำลึง) (น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.2 กรัม) หรือคิดน้ำหนักได้ 100,000 เฟื้อง เดิมพระพุทธรูปนี้มีเป็นปูนปั้น เมื่อปูนที่หุ้มอยู่กระเทาะออก จึงได้เห็นเนื้อโลหะข้างในว่ามีสีทอง พระพุทธรูปหลวงพ่อแสนเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงอัญเชิญพระแสนมาจากเมืองเชียงแตง (ขณะนั้นอยู่ในความปกครองของนครจำปาศักดิ์ อันมีสถานะเป็นประเทศราชของสยาม) เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2401 เพื่อประดิษฐานที่วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร พระแสน เป็นโลหะเนื้อทองสำริดสีแตกต่างกัน ดังนี้1. เบื้องพระศอตอนบนจนถึงพระเศียรและพระพักตร์เป็นทองสำริดสีเหลืองเข้ม 2. องค์พระและฐานรอง ตอนพระเศียรและพระพักตร์ เป็นทองสำริดสีเหลืองอ่อน 3. จีวรเป็นทองสำริดสีเหลืองเข้ม 4. ส่วนผ้าทาบสังฆาฏิก็เป็นเนื้อทอง เป็นทองสำริดสีอ่อน
ปางมารวิชัย
146
157
324
1
กษัตริย์พระองค์ใดเป็นผู้อันเชิญพระแสนจากเมืองเชียงแตง
พระแสน (เชียงแตง) พระแสน หรือ หลวงพ่อแสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 1 เมตร ศิลปะล้านช้าง มีความงดงามอย่างยิ่ง อัญเชิญมาจากเมืองเชียงแตง (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสตึงแตรง ประเทศกัมพูชา) องค์พระเป็นทองเนื้อห้า ที่ฐานพระมีอักษรสมัยล้านช้างจารึกอยู่ ปรงมารวิชัย สังฆาฏิชนิดยาวทาบลงมาถึงพระนาภีแบบลังกาวงศ์ พระเกตุมาลาหรือพระรัศมีเป็นเปลวยาวขึ้นแบบลังกาวงศ์ รอบฝังแก้วผลึก ๑๕ เม็ดนิ้วพระพัตถ์ไม่เสมอกันแบบพระเชียงแสน และสุโขทัยยุคแรก พระเศียรโตเขื่องกว่าส่วนพระองค์จนสังเกตเห็นชัด พระเนตรฝังแก้วผลึก ในส่วนสีขาวและฝั่งนิลในส่วนสีดำ ฐานรองเป็นแบบบัวคว่ำบัวหงาย พระแสน เป็นพระพุทธรูปสำริด เนื้อนวโลหะ ส่วนผสมทองแดงและทองเหลือง น้ำหนัก 160 ชั่ง (น้ำหนักตามมาตราชั่งตวงวัดของประเทศไทย 1 ชั่ง เท่ากับ 80 บาท) (1 บาท เท่ากับ 4 ตำลึง) (น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.2 กรัม) หรือคิดน้ำหนักได้ 100,000 เฟื้อง เดิมพระพุทธรูปนี้มีเป็นปูนปั้น เมื่อปูนที่หุ้มอยู่กระเทาะออก จึงได้เห็นเนื้อโลหะข้างในว่ามีสีทอง พระพุทธรูปหลวงพ่อแสนเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงอัญเชิญพระแสนมาจากเมืองเชียงแตง (ขณะนั้นอยู่ในความปกครองของนครจำปาศักดิ์ อันมีสถานะเป็นประเทศราชของสยาม) เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2401 เพื่อประดิษฐานที่วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร พระแสน เป็นโลหะเนื้อทองสำริดสีแตกต่างกัน ดังนี้1. เบื้องพระศอตอนบนจนถึงพระเศียรและพระพักตร์เป็นทองสำริดสีเหลืองเข้ม 2. องค์พระและฐานรอง ตอนพระเศียรและพระพักตร์ เป็นทองสำริดสีเหลืองอ่อน 3. จีวรเป็นทองสำริดสีเหลืองเข้ม 4. ส่วนผ้าทาบสังฆาฏิก็เป็นเนื้อทอง เป็นทองสำริดสีอ่อน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
1,029
1,063
325
1
พระราชนิเวศน์มฤคทายวันเป็นที่ประทับแปรพระราชฐานในฤดูร้อนของกษัตริย์พระองค์ใด
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานในฤดูร้อนของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวประวัติ ประวัติ. พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานในฤดูร้อนของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวจัดเป็นที่ประทับที่มีความเรียบง่ายที่สุดซึ่งสร้างตามพระราชประสงค์ของพระองค์เองเพื่อไม่ให้เป็นการเปลืองพระราชทรัพย์จนเกินไปโดยพระองค์เสด็จมาประทับ ณ พระราชนิเวศน์แห่งนี้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2467 เป็นเวลา 3 เดือน และครั้งที่สอง ปี พ.ศ. 2468 หลังจากนั้นก็ไม่ได้เสด็จมาประทับอีกเลยเนื่องจาก 5 เดือนต่อมาพระองค์ก็เสด็จสวรรคต ณ พระบรมมหาราชวังปัจจุบัน ปัจจุบัน. ปัจจุบัน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ยังคงซึ่งไว้เขตพระราชฐาน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นค่ายพระรามหก กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด) เพื่อใช้ในการฝึกรบสนับสนุนทางอากาศ และในปี 2536 ตชด ได้จัดตั้ง มูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. สถาปัตยกรรมของพระราชนิเวศน์เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์คือ(ไทยผสมยุโรป) สร้างด้วยไม้สักทองลักษณะเป็นอาคาร2ชั้นเปิดโล่งใต้ถุนสูงบริเวณใต้ถุนทำเป็นคอนกรีต หลังคาเป็นหลังคาทรงปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องว่าวแบบสี่เหลี่ยมซึ่งสามารถกันแดดและกันฝน ได้ดีกว่าแบบธรรมดาเพดานยกพื้นสูงมีบานเกร็ดระบายความร้อน โดยมีเสารองรับพระที่นั่งทั้งหมด1080ต้นวางในแนวเดียวกันเสาทุกต้นมีการหล่อขอบฐาน และยกขอบขึ้นไปรางน้ำเรียกว่าบัวขอบเพื่อกันมดและสัตว์อื่นๆซึ่งในสมัยนั้นมีมดและสัตว์อื่นๆชุกชุมพระที่นั่ง พระที่นั่ง. พระที่นั่งทั้ง3องค์มีความยาวทั้งสิ้น399เมตรแบ่งเป็น3ส่วนคือ ท้องพระโรง เขตที่ประทับฝ่ายหน้า และเขตที่ประทับฝ่ายในโดยมีทางเชื่อมต่อกันโดยตลอดโดยมีพระที่นั่งองค์ต่างๆดังนี้พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์. พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ เป็นพระที่นั่งองค์แรกตั้งอยู่ทางทิศเหนือเป็นพระที่นั่ง2ชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเปิดถึงกันทั้งชั้นบนและชั้นล่างด้านบนเพดานเป็นช่องสี่เหลี่ยมเขียนลวดลายโดยทั้งชั้นล่างและชั้นบนมีห้องควบคุมไฟสำหรับเวทีที่ใช้แสดงละครและมีห้องพักนักแสดงภายในมีบันไดสำหรับนักแสดงขึ้นลงโดยการแสดงจะจัดขึ้นบริเวณทิศเหนือซึ่งเป็นเวทีซึ่งยกพื้นสูงโดยเจ้านายฝ่ายในจะประทับที่เฉลียงชั้นบนอัฒจันทร์ที่อยู่ตรงทางเข้านั้นเป็นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยทางขึ้นและทางลงแยกกันคนละทางโดยบนอัฒจันทร์มีลาดพระบาท(พรม)สำหรับเป็นทางเสด็จชั้นบน เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกว่าราชการ รับพระราชอาคันตุกะ และประกอบพระราชพิธีต่างๆโดยภายในห้องพระราชพิธีเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปซึ่งสร้างขึ้นภายหลังนอกจากนี้ยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกหลายภาพหมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน. หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมานประกอบไปด้วยอาคารต่างๆดังนี้- อาคารด้านหน้า คือบ้านพักของพลเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวง เฟื้อ พึ่งบุญ) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กภายในประกอบด้วยห้องรับแขก ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องทำงาน - พระที่นั่งสมุทรพิมานองค์ที่สอง เป็นส่วนที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในประกอบด้วย ห้องพระบรรทม ห้องทรงงาน ห้องสรง ห้องแต่งพระองค์ - อาคารด้านตรงข้ามกับพระที่นั่งสมุทรพิมาน คือหอเสวยฝ่ายหน้าเป็นสถานที่สำหรับเสวยพระกระยาหารและจัดงานพระราชทานเลี้ยง - พระที่นั่งสมุทรพิมานองค์แรก เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อมาโปรดเกล้าให้เป็นที่ประทับของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี - เรือนฝ่ายใน เดิมเป็นบ้านพักของพลตรี พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ) ซึ่งเป็นน้องชายของเจ้าพระยารามราฆพ โดยพระที่นั่งองค์นี้มีทางเชื่อมกับศาลาลงสรงฝ่ายหน้าภายในประกอบด้วยห้องแต่งพระองค์ ห้องเก็บของ และเฉลียงสำหรับรับลมทะเลโดยถ้าไม่โปรดจะลงเล่นน้ำทะเลก็มาประทับที่เฉลียงรับลมทะเลก็ได้หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร. หมู่พระทีนั่งพิศาลสาครประกอบไปด้วยอาคารต่างๆดังนี้- อาคารหลังแรก เป็นห้องรับแขกเดิมเป็นท้องพระโรงฝ่ายในปัจจุบันเป็นโรงเรียนสอนดนตรีไทย - หอเสวยฝ่ายใน เป็นสถานที่สำหรับเสวยพระกระยาหาร - พระที่นั่งพิศาลสาคร เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ภายในประกอบด้วย ห้องบรรทม ห้องรับแขก ห้องสรง ห้องแต่งพระองค์และเฉลียงสำหรับรับลมทะเล - เรือนพระสุจริตสุดา เป็นบ้านพักของพระสุจริตสุดาซึ่งเป็นพระสนมเอกภายในประกอบด้วย ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องแต่งตัวและเฉลียงรับลมทะเล - ห้องพักคุณท้าววรคณานันท์ เป็นบ้านพักของคุณท้าววรคณานันท์(หม่อมราชวงศ์แป๋ม มาลากุล) และคุณท้าวสมศักดิ์(หม่อมราชวงศ์แป๋ม มาลากุล) โดยพระที่นั่งองค์นี้มีทางเชื่อมกับศาลาลงสรงฝ่ายในภายในประกอบด้วยห้องแต่งพระองค์ ห้องเก็บของ และเฉลียงสำหรับรับลมทะเลโดยถ้าไม่โปรดจะลงเล่นน้ำทะเลก็มาประทับที่เฉลียงรับลมทะเลก็ได้สวนพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน สวนพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน. แต่เดิมพบเพียงภาพถ่ายในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยปรากฏสภาพเป็นป่าชายหาดตามลักษณะภูมิประเทศ และถากเป็นพื้นโล่งเตียนโดยรอบหมู่พระที่นั่ง เมื่อทางมูลนิธิมีโครงการในการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบพระราชนิเวศน์ โดยหม่อมหลวงภูมิใจ ชุมพล ผู้ออกแบบสวนได้แรงบันดาลใจจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีสวนต่างๆดังนี้- สวนเวนิสวานิช สวนที่ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างจากบทพระราชนิพนธ์เรื่องเวนิสวานิช ที่แปลมาจากเรื่องThe Merchant of Venice ของวิลเลี่ยม เช็กสเปียร์ นักประพันธ์ชื่อก้องโลกชาวอังกฤษ ที่พระองค์ท่านทรงคงลีลาและฉันทลักษณ์ การแปล ไว้คำต่อคำใกล้เคียงกับต้นฉบับจริงมากที่สุดสวนแห่งนี้ออกแบบในสไตล์เรอเนส ซองและที่กำหนด สร้างไว้ ณ จุดหน้าสุดของเขตพระราชฐานก็เพื่อเป็นจุดนัดพบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เฉกเช่นเดียวกับเมืองเวนิส ที่เป็นสถานที่พบปะของผู้คน และเป็นแหล่งการค้า ในบทประพันธ์ของเช็กสเปียร์ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน- สวนศกุนตลา ลานกว้างที่ใช้ต้นเข็มนานาพันธุ์ทำเป็นกำแพงล้อมรอบสวน พื้นที่ภายในสวนแห่งนี้ใช้เป็นเหมือนเวทีจัดการแสดง อาทิ การแสดงโขน การแสดงละครในฤดูหนาว รวมถึงการจัดเลี้ยงรับรองต่างๆ จากสวนศกุนตลาพื้นอิฐหกเหลี่ยม สีแดงอ่อนตัดกับสนามหญ้าสีเขียว ทอดยาวพาเราไปด้านหน้าทางขึ้นพระราชวังที่รายล้อม ด้วยความร่มรื่นของ ไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ และพุ่มไม้ดอกที่แข่งกันชูช่อประชันสี ราวกับภาพเขียนสีน้ำมันที่จิตรกรเอกบรรจงวาดอย่าง ไว้ อย่างสุดฝีมือ- สวนมัทนะพาธา รอบด้วยระเบียงทั้งสามด้าน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชนิพนธ์เรื่องมัทนะพาธา หรือตำนานดอกกุหลาบ อันเป็นบทละครพูดคำฉันท์ที่มีการใช้สัมผัสและฉันทลักษณ์ได้ถูกต้องและมีความไพเราะยิ่ง และได้รับการยกย่อง ว่าเป็นยอดบทละครพูดคำฉันท์ "สวนมัทนะพาธา ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยแนวไม้พุ่มลายอ่อนช้อย โดยเลือกใช้ต้นข่อย ซึ่งมีพุ่มหนาแน่น ทนต่อแดด และไอทะเลได้ดีนั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
179
215
326
1
เรือนพระสุจริตสุดาเป็นบ้านพักของพระสนมเอก ซึ่งมีพระนามว่าอะไร
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานในฤดูร้อนของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวประวัติ ประวัติ. พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานในฤดูร้อนของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวจัดเป็นที่ประทับที่มีความเรียบง่ายที่สุดซึ่งสร้างตามพระราชประสงค์ของพระองค์เองเพื่อไม่ให้เป็นการเปลืองพระราชทรัพย์จนเกินไปโดยพระองค์เสด็จมาประทับ ณ พระราชนิเวศน์แห่งนี้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2467 เป็นเวลา 3 เดือน และครั้งที่สอง ปี พ.ศ. 2468 หลังจากนั้นก็ไม่ได้เสด็จมาประทับอีกเลยเนื่องจาก 5 เดือนต่อมาพระองค์ก็เสด็จสวรรคต ณ พระบรมมหาราชวังปัจจุบัน ปัจจุบัน. ปัจจุบัน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ยังคงซึ่งไว้เขตพระราชฐาน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นค่ายพระรามหก กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด) เพื่อใช้ในการฝึกรบสนับสนุนทางอากาศ และในปี 2536 ตชด ได้จัดตั้ง มูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม. สถาปัตยกรรมของพระราชนิเวศน์เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์คือ(ไทยผสมยุโรป) สร้างด้วยไม้สักทองลักษณะเป็นอาคาร2ชั้นเปิดโล่งใต้ถุนสูงบริเวณใต้ถุนทำเป็นคอนกรีต หลังคาเป็นหลังคาทรงปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องว่าวแบบสี่เหลี่ยมซึ่งสามารถกันแดดและกันฝน ได้ดีกว่าแบบธรรมดาเพดานยกพื้นสูงมีบานเกร็ดระบายความร้อน โดยมีเสารองรับพระที่นั่งทั้งหมด1080ต้นวางในแนวเดียวกันเสาทุกต้นมีการหล่อขอบฐาน และยกขอบขึ้นไปรางน้ำเรียกว่าบัวขอบเพื่อกันมดและสัตว์อื่นๆซึ่งในสมัยนั้นมีมดและสัตว์อื่นๆชุกชุมพระที่นั่ง พระที่นั่ง. พระที่นั่งทั้ง3องค์มีความยาวทั้งสิ้น399เมตรแบ่งเป็น3ส่วนคือ ท้องพระโรง เขตที่ประทับฝ่ายหน้า และเขตที่ประทับฝ่ายในโดยมีทางเชื่อมต่อกันโดยตลอดโดยมีพระที่นั่งองค์ต่างๆดังนี้พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์. พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ เป็นพระที่นั่งองค์แรกตั้งอยู่ทางทิศเหนือเป็นพระที่นั่ง2ชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเปิดถึงกันทั้งชั้นบนและชั้นล่างด้านบนเพดานเป็นช่องสี่เหลี่ยมเขียนลวดลายโดยทั้งชั้นล่างและชั้นบนมีห้องควบคุมไฟสำหรับเวทีที่ใช้แสดงละครและมีห้องพักนักแสดงภายในมีบันไดสำหรับนักแสดงขึ้นลงโดยการแสดงจะจัดขึ้นบริเวณทิศเหนือซึ่งเป็นเวทีซึ่งยกพื้นสูงโดยเจ้านายฝ่ายในจะประทับที่เฉลียงชั้นบนอัฒจันทร์ที่อยู่ตรงทางเข้านั้นเป็นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยทางขึ้นและทางลงแยกกันคนละทางโดยบนอัฒจันทร์มีลาดพระบาท(พรม)สำหรับเป็นทางเสด็จชั้นบน เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกว่าราชการ รับพระราชอาคันตุกะ และประกอบพระราชพิธีต่างๆโดยภายในห้องพระราชพิธีเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปซึ่งสร้างขึ้นภายหลังนอกจากนี้ยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกหลายภาพหมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน. หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมานประกอบไปด้วยอาคารต่างๆดังนี้- อาคารด้านหน้า คือบ้านพักของพลเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวง เฟื้อ พึ่งบุญ) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กภายในประกอบด้วยห้องรับแขก ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องทำงาน - พระที่นั่งสมุทรพิมานองค์ที่สอง เป็นส่วนที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในประกอบด้วย ห้องพระบรรทม ห้องทรงงาน ห้องสรง ห้องแต่งพระองค์ - อาคารด้านตรงข้ามกับพระที่นั่งสมุทรพิมาน คือหอเสวยฝ่ายหน้าเป็นสถานที่สำหรับเสวยพระกระยาหารและจัดงานพระราชทานเลี้ยง - พระที่นั่งสมุทรพิมานองค์แรก เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อมาโปรดเกล้าให้เป็นที่ประทับของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี - เรือนฝ่ายใน เดิมเป็นบ้านพักของพลตรี พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ) ซึ่งเป็นน้องชายของเจ้าพระยารามราฆพ โดยพระที่นั่งองค์นี้มีทางเชื่อมกับศาลาลงสรงฝ่ายหน้าภายในประกอบด้วยห้องแต่งพระองค์ ห้องเก็บของ และเฉลียงสำหรับรับลมทะเลโดยถ้าไม่โปรดจะลงเล่นน้ำทะเลก็มาประทับที่เฉลียงรับลมทะเลก็ได้หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร. หมู่พระทีนั่งพิศาลสาครประกอบไปด้วยอาคารต่างๆดังนี้- อาคารหลังแรก เป็นห้องรับแขกเดิมเป็นท้องพระโรงฝ่ายในปัจจุบันเป็นโรงเรียนสอนดนตรีไทย - หอเสวยฝ่ายใน เป็นสถานที่สำหรับเสวยพระกระยาหาร - พระที่นั่งพิศาลสาคร เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ภายในประกอบด้วย ห้องบรรทม ห้องรับแขก ห้องสรง ห้องแต่งพระองค์และเฉลียงสำหรับรับลมทะเล - เรือนพระสุจริตสุดา เป็นบ้านพักของพระสุจริตสุดาซึ่งเป็นพระสนมเอกภายในประกอบด้วย ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องแต่งตัวและเฉลียงรับลมทะเล - ห้องพักคุณท้าววรคณานันท์ เป็นบ้านพักของคุณท้าววรคณานันท์(หม่อมราชวงศ์แป๋ม มาลากุล) และคุณท้าวสมศักดิ์(หม่อมราชวงศ์แป๋ม มาลากุล) โดยพระที่นั่งองค์นี้มีทางเชื่อมกับศาลาลงสรงฝ่ายในภายในประกอบด้วยห้องแต่งพระองค์ ห้องเก็บของ และเฉลียงสำหรับรับลมทะเลโดยถ้าไม่โปรดจะลงเล่นน้ำทะเลก็มาประทับที่เฉลียงรับลมทะเลก็ได้สวนพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน สวนพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน. แต่เดิมพบเพียงภาพถ่ายในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยปรากฏสภาพเป็นป่าชายหาดตามลักษณะภูมิประเทศ และถากเป็นพื้นโล่งเตียนโดยรอบหมู่พระที่นั่ง เมื่อทางมูลนิธิมีโครงการในการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบพระราชนิเวศน์ โดยหม่อมหลวงภูมิใจ ชุมพล ผู้ออกแบบสวนได้แรงบันดาลใจจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีสวนต่างๆดังนี้- สวนเวนิสวานิช สวนที่ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างจากบทพระราชนิพนธ์เรื่องเวนิสวานิช ที่แปลมาจากเรื่องThe Merchant of Venice ของวิลเลี่ยม เช็กสเปียร์ นักประพันธ์ชื่อก้องโลกชาวอังกฤษ ที่พระองค์ท่านทรงคงลีลาและฉันทลักษณ์ การแปล ไว้คำต่อคำใกล้เคียงกับต้นฉบับจริงมากที่สุดสวนแห่งนี้ออกแบบในสไตล์เรอเนส ซองและที่กำหนด สร้างไว้ ณ จุดหน้าสุดของเขตพระราชฐานก็เพื่อเป็นจุดนัดพบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เฉกเช่นเดียวกับเมืองเวนิส ที่เป็นสถานที่พบปะของผู้คน และเป็นแหล่งการค้า ในบทประพันธ์ของเช็กสเปียร์ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน- สวนศกุนตลา ลานกว้างที่ใช้ต้นเข็มนานาพันธุ์ทำเป็นกำแพงล้อมรอบสวน พื้นที่ภายในสวนแห่งนี้ใช้เป็นเหมือนเวทีจัดการแสดง อาทิ การแสดงโขน การแสดงละครในฤดูหนาว รวมถึงการจัดเลี้ยงรับรองต่างๆ จากสวนศกุนตลาพื้นอิฐหกเหลี่ยม สีแดงอ่อนตัดกับสนามหญ้าสีเขียว ทอดยาวพาเราไปด้านหน้าทางขึ้นพระราชวังที่รายล้อม ด้วยความร่มรื่นของ ไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ และพุ่มไม้ดอกที่แข่งกันชูช่อประชันสี ราวกับภาพเขียนสีน้ำมันที่จิตรกรเอกบรรจงวาดอย่าง ไว้ อย่างสุดฝีมือ- สวนมัทนะพาธา รอบด้วยระเบียงทั้งสามด้าน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชนิพนธ์เรื่องมัทนะพาธา หรือตำนานดอกกุหลาบ อันเป็นบทละครพูดคำฉันท์ที่มีการใช้สัมผัสและฉันทลักษณ์ได้ถูกต้องและมีความไพเราะยิ่ง และได้รับการยกย่อง ว่าเป็นยอดบทละครพูดคำฉันท์ "สวนมัทนะพาธา ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยแนวไม้พุ่มลายอ่อนช้อย โดยเลือกใช้ต้นข่อย ซึ่งมีพุ่มหนาแน่น ทนต่อแดด และไอทะเลได้ดีนั่นเอง
พระสุจริตสุดา
3,983
3,996
327
1
ดร.วราวุธ สุธีธร เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านใด
วราวุธ สุธีธร วราวุธ สุธีธร (10 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ที่จังหวัดนครปฐม— ) เป็นนักธรณีวิทยา, นักบรรพชีวินวิทยาที่มีชื่อเสียงชาวไทย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์มีกระดูกสันหลัง ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซากดึกดำบรรพ์และพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประวัติ ประวัติ. วราวุธ สุธีธร หรือที่รู้จักกันในนาม ดร.วราวุธ สุธีธร จบธรณีวิทยา (วท.บ.) จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และได้รับวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) สาขาชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปัจจุบันเป็นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ชีวินครอบครัวสมรสกับนางประภัสร์พร สุธีธร (ฉ่ำเฉลิม) มีบุตร 3 คน คือ นางสุธาทิพย์ กาวิเนตร (ชื่อสกุลเดิม "สุธีธร"), นางสาวธนาสิริ สุธีธร และนายสุรเวช สุธีธร เข้ารับราชการที่กรมทรัพยากรธรณี เมื่อปี พ.ศ. 2517 มีภารกิจทำหน้าที่สำรวจและทำแผนที่ธรณีวิทยา บริเวณภาคตะวันตกและอิสาน ทำให้พบกระดูกไดโนเสาร์หลายแหล่งในอิสาน จนต่อมาได้มีความร่วมมือกับคณะสำรวจชีววิทยาไทย-ฝรั่งเศส ทำการสำรวจฟอสซิลสัตว์มีกระดูกสันหลังในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา อีกทั้งได้เป็นวิทยากรถวายรายงานแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ภูเวียง ภูหลวง และภูกุ้มข้าว เกี่ยวกับไดโนเสาร์หลายครั้งผลงาน ผลงาน. ผลงานการค้นพบของวราวุธ ได้แก่ การค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่หลายชนิดในประเทศไทย เช่น ไดโนเสาร์ซอโรพอด ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ (Phuwiangosaurus sirindhornae) ไดโนเสาร์กินเนื้อ สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส (Siamotyrannus isanensis), ไดโนเสาร์ปากนกแก้ว ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กิ (Psittacesaurus sattayaraki) และไดโนเสาร์ซอโรพอดที่เก่าแก่ที่สุด อิสานโนซอรัส อรรถวิภัชน์ชี (Isanosaurus attavipatch) รวมทั้งการค้นพบฟอสซิลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดในภาคใต้และภาคเหนือ เป็นต้น และได้รับเกียรติถูกนำนามสกุลไปตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้แก่ สยามโมซอรัส สุธีธรนิ (Siamosaurus suteethorni) ไดโนเสาร์กินเนื้อที่พบในประเทศไทย
สัตว์มีกระดูกสันหลัง
230
250
328
1
พ่อของดอน ธีระธาดา นักแสดงชาวไทย คือใคร
ดอน ธีระธาดา ดอน ธีระธาดา หรือ Don Thai Theerathada เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 เป็นนักแสดงชาวไทย สตันท์แมนในวงการฮอลลีวูด มีผลงานการแสดงภาพยนตร์ไทยเรื่อง ฟ้า ในปี 2541 ที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง รางวัลตุ๊กตาเงิน ดาวรุ่งฝ่ายชาย หลังจากนั้นแสดงนำในละครโทรทัศน์อีก 6 เรื่อง ดอน ธีระธาดา มีชื่อจริงว่า ภาณุทัศน์ ธีระธาดา เป็นบุตรของจิรทัต ธีระธาดา กับหทัยเทพ ธีระธาดา (สกุลเดิม ศิริจรรยา) เขามีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อ ภราไดย ธีระธาดา (ชื่อเล่น ดุ๊ก) เขาได้ศึกษาที่มหาวิทยาลัยจอร์จเมสัน ดอนเคยเข้าแข่งขันวิ่งข้ามรั้วสำหรับทีมชาติไทย นอกจากนี้ยังเคยแข่งขันเทควันโดในทีมชาติอเมริกา เขายังได้มีส่วนร่วมกับแคมเปญของแบรนด์ Nike, Tag-Huer, Ray-Ban, และ Oakley ซึ่งก็นำสู่บทบาททางด้านภาพยนตร์ ในปี 1999 ดอนถูกทาบทามจากคริส ลี สำหรับงานที่อเมริกา แต่ดอนเลือกที่จะอยู่ในไทยเนื่องจากหาโอกาสในช่วงที่เขาเริ่มมีความโด่งดังในประเทศไทย ขณะที่อยู่ในประเทศไทยเขาได้เข้าร่วมทีมกับเฉิน หลง ปัจจุบันดอนอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาวางแผนด้านการแสดงในสหรัฐอเมริกา ชีวิตส่วนตัว ได้สมรสกับทันตแพทย์สาวชาวเวียดนาม ชื่อ มีมี่ ลานนี่ นูเหวน หลังจากคบหาดูใจกันมา 4 ปี โดยมีสินสอดเงินสดและเครื่องเพชรรวมมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาทผลงานละครไทยผลงาน. ละครไทย. - 2540 เก็บใจไว้เพื่อรัก (ช่อง 3) - 2541 ร่วมงานรัก (ช่อง3) รับเชิญ - 2544 อมตะ (ไอทีวี) - 2544 พี่เลี้ยงกึ่งสำเร็จรูป (ช่อง 3) - 2546 พยัคฆ์ร้าย 6 แผ่นดิน (ช่อง 3) รับบท เคนชิโร่ - 2548 ข้ามขอบฟ้ามาเพื่อรัก (ช่อง 3)ซีรีส์ซีรีส์. - 2544 Alias - 2545-2548 American Dreams - 2547 M80 - 2547 Fear Factor - 2547 Scream Play - 2548 - 2548 Entourage - 2550 The Simple Life - 2551-2552 The Unit - 2552 Katana - 2551-2552 Heroes - 2554 The Cape - 2555-2556 - 2556 Paydayภาพยนตร์แสดงภาพยนตร์. แสดง. - 2541 ฟ้า (Candle Light Entertainment) - 2544 คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด ภาค 2 (Rush Hour 2) - 2546 Highbinders - 2547 Around the World in 80 Days - 2548 Dirt Squirrel - 2548 Color Blind - 2548 The New World - 2549 - 2549 Undoing - 2549 สงครามปีศาจโจรสลัดสยองโลก (Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest) - 2550 - 2550 ผจญภัยล่าโจรสลัดสุดขอบโลก (Pirates of the Caribbean: At World's End) - 2550 คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด ภาค 3 (Rush Hour 3) - 2550 บุก เพาะพันธุ์มฤตยู (The Invasion) - 2550 Balls of Fury - 2550 เบ็นเท็น จอมวายร้ายข้ามเวลา (Ben 10: Race Against Time) - 2551 Interpretation - 2552 ดราก้อนบอล อีโวลูชั่น (Dragonball: Evolution) - 2552 Fast & Furious - 2552 คนคลั่ง ไฟแรงสูง (Crank: High Voltage) - 2552 - 2552 Blood and Bone - 2552 2 (Video Game) - 2553 The Book of Eli - 2553 MacGruber - 2553 Shanghai - 2553 โคตรคนทีมมหากาฬ ภาค 1 (The Expendables) - 2553 - 2554 The Green Hornet - 2554 Detention - 2554 Haywire - 2554 3 (Video Game) - 2555 21 Jump Street - 2555 Safe - 2555 โคตรคนทีมมหากาฬ ภาค 2 (The Expendables 2) - 2555 The Baytown Outlaws - 2555 Red Dawn - 2555 (Video Game) - 2555 Bullet to the Head - 2556 - 2556 Olympus Has Fallen - 2556 The Wolverine - 2556 Red 2 - 2556 (post-production) - 2557 Teenage Mutant Ninja Turtles (post-production) - 2557 Heat (post-production) - 2557 (post-production)สตันท์สตันท์. - ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส 3พากย์ พากย์. 2009-2012 : "American Dad" พากย์เป็น Qui-Loพิธีกรพิธีกร. - ก๊วน กวน ยิ้ม (ธ.ค.2540 - ม.ค.2542 / เจ เอส แอล / ช่อง 5)โฆษณาโฆษณา. - แบรนด์รางวัลรางวัล. - รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ครั้งที่ 22 ประจำปี พ.ศ. 2541 รางวัลตุ๊กตาเงิน ดาวรุ่งฝ่ายชาย จาก ฟ้า (Candle Light Entertainment)
จิรทัต ธีระธาดา
424
439
329
1
โคลิน แอนดรูว์ เฟิร์ธได้รับรางวัลออสการ์ ในสาขาใดจากการประกาศผลรางวัลอะคาเดมี่ ครั้งที่ 83
โคลิน เฟิร์ธ โคลิน แอนดรูว์ เฟิร์ธ () เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1960 เป็นนักแสดงชาวอังกฤษ เฟิร์ธมีชื่อเสียงครั้งแรกโดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร จากการรับบทเป็น มร. ดาร์ซี ในรายการโทรทัศน์ดัดแปลงในปี 1995 เรื่อง Pride&Prejudice ต่อมายังประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิส เรื่อง Bridget Jones's Diary ที่ร่วมแสดงกับเรเน่ เซลเวเกอร์ และฮิว แกรนต์ ผลงานอื่นๆ ได้แก่ Shakespeare in Love, Mamma Mia! และ Love Actually กับผลงานล่าสุดของเขาในเรื่อง Kingsman เฟิร์ธได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในการประกาศผลรางวัลอะคาเดมี่ ครั้งที่ 83 จากบทของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ในภาพยนตร์เรื่อง The King's Speech
สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
609
634
330
1
โคลิน แอนดรูว์ เฟิร์ธ ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The King's Speech รับบทบาทเป็นใคร
โคลิน เฟิร์ธ โคลิน แอนดรูว์ เฟิร์ธ () เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1960 เป็นนักแสดงชาวอังกฤษ เฟิร์ธมีชื่อเสียงครั้งแรกโดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร จากการรับบทเป็น มร. ดาร์ซี ในรายการโทรทัศน์ดัดแปลงในปี 1995 เรื่อง Pride&Prejudice ต่อมายังประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิส เรื่อง Bridget Jones's Diary ที่ร่วมแสดงกับเรเน่ เซลเวเกอร์ และฮิว แกรนต์ ผลงานอื่นๆ ได้แก่ Shakespeare in Love, Mamma Mia! และ Love Actually กับผลงานล่าสุดของเขาในเรื่อง Kingsman เฟิร์ธได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในการประกาศผลรางวัลอะคาเดมี่ ครั้งที่ 83 จากบทของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ในภาพยนตร์เรื่อง The King's Speech
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6
684
707
331
1
นามสกุลเดิมของพระครูสุจิณธรรมวิมล หรือ หลวงปู่ม่น ธมฺมจิณฺโณ คืออะไร
พระครูสุจิณธรรมวิมล (ม่น ธมฺมจิณฺโณ) พระครูสุจิณธรรมวิมล (หลวงปู่ม่น ธมฺมจิณฺโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเนินตามาก และอดีตรองเจ้าคณะตำบลหัวถนน เกจิดังของอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรีประวัติ ประวัติ. ท่านมีนามว่า " ม่น " นามสกุล " วิญญาณ " เกิดที่บ้านเนินตามาก ตำบลโคกเพลาะ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2453 (ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ) เป็นบุตรของนายมา และนางแดง วิญญาณ ท่านมีพี่น้อง 3 คน คือ ในวัยเด็กบิดามารดาได้นำไปฝากเรียนไว้ที่วัดตามโบราณนิยมเรียกว่า " หนังสือวัด " จนมีความรู้ด้านอักษร การปกครอง ด้านช่างฝีมือ แพทย์แผนโบราณอุปสมบทครั้งแรก อุปสมบทครั้งแรก. ปี พ.ศ. 2473 เมื่อหลวงปู่ม่น อายุได้ 20 ปี บิดาเห็นสมควรว่าถึงวัยในการบวชเรียนแล้ว จึงได้จัดงานอุปสมบทให้ที่วัดเนินตามาก บวชได้ 1 พรรษา แล้วก็ต้องลาสิกขาออกไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ จนมีฐานะที่ดีมั่นคงเป็นที่ประจักษ์ จงหวนคิดถึงการบวช จึงกราบลาบิดามารดา เข้าอุปสมบทอีกครั้งอุปสมบทครั้งที่ 2 อุปสมบทครั้งที่ 2. ปี พ.ศ. 2482 เมื่อหลวงปู่ม่น อายุได้ 29 ปี (ตรงกับวันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2482) ณ พัทธสีมาวัดโคกเพลาะ ตำบลโคกเพลาะ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี โดยมีท่าน ท่านได้รับฉายาทางธรรมว่า " ธมฺมจิณฺโณ " จากนั้นพำนักที่วัดโคกเพลาระยะหนึ่งจึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดเนินตามาก เริ่มศึกษาเล่าเรียนคันถธุระและวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง เคร่งครัด ประกอบคุณงามความดีตามความเหมาะสมของเพศสมณะ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในธรรมวินัยตั้งแต่เริ่มอุปสมบท ศึกษาปริยัติธรรม เข้าสอบนักธรรมชั้นตรี-โท ตามลำดับ มีความสามารถในการจำและสวดพระปาฏิโมกข์ได้ จนมาค้นคว้าด้วยตนเอง ฝึกการปฏิบัติจิตและกัมมัฏฐาน เพื่อหลุดพ้นอย่างจริงจังเมื่ออุปสมบท 5 พรรษา จึงออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น พระพุทธบาท สระบุรี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นต้น ท่านเล่าว่า ไปศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ (สมัยที่หลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่) แต่เมื่อปฏิบัติได้ 7 วัน ท่านบอกว่าไม่ถูกกับจริต เลยขอลาไปที่อื่น หลังท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์พระสมุห์บุญยิ่ง วิริโย ที่วัดเขาบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติอันเป็นไปด้วยธาตุและจริตเป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากนี้ ยังศึกษาด้านเวชกรรมจากพระสมห์บุญยิ่งเพิ่มเติม จนมีความเชี่ยวชาญ ต่อมาพระสมุห์บุญยิ่งชักชวนหลวงปู่ม่นออกธุดงค์หาสถานที่ปฏิบัติวิเวก เป็นสัปปายะ จนพบถ้ำจักรพงษ์ บนเกาะสีชัง อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ทั้งอาจารย์ และศิษย์จึงได้พำนักอยู่ ณ ที่นี้ จนหลวงปู่ม่น เกิดความก้าวหน้าทางจิตเป็นอย่างมากงานปกครองงานปกครอง. - พ.ศ. 2490 อายุ 37 พรรษาที่ 8 ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาสวัดเนินตามาก - พ.ศ. 2533 อายุ 80 พรรษาที่ 51 ได้รับแต่งตั้งเป็น รองเจ้าคณะตำบลหัวถนนสมณศักดิ์สมณศักดิ์. - พ.ศ. 2529 อายุ 76 พรรษาที่ 77 ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ที่ " พระครูสุจิณธรรมวิมล "งานด้านการพัฒนางานด้านการพัฒนา. - พ.ศ. 2495 – 2500 วางศิลาฤกษ์สร้างอุโบสถ และฝังลูกนิมิตร (ปัจจุบัน) - พ.ศ. 2512 – 2529 สร้างโรงเรียนประถมศึกษาวัดเนินตามาก (ปัจจุบันคือ โรงเรียนวัดเนินตามาก) - พ.ศ. 2537 อนุญาติให้คณะศิษย์ทำวัตถุมงคล (รุ่นเมตตา) เพื่อสร้างอาคารโรงพยาบาลพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี - - ก่อตั้งมูลนิธิวัดเนินตามาก , มูลนิธิโรงเรียนวัดเนินตามาก , มูลนิธิเด็กก่อนวัยเรียน , มูลนิธิสภาตำบลโคกเพลาะ , กองทุนมูลนิธิสุจิณธรรมวิมลมรณภาพ มรณภาพ. ในปี พ.ศ. 2523 หลวงปู่ม่น ได้อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนัสนิคม จนกระทั่งเกือบหายเป็นปกติ จึงกลับมาพักฝื้นที่วัดเนินตามากตามเดิม ต่อมา ปี พ.ศ. 2537 ท่านอาพาธหนักอีกครั้ง ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาทสมิติเวช กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง 8 เดือน จึงสามารถกลับมาอยู่ที่วัดเนินตามาก หลักจากนั้นท่านก็อาพาธเป็นๆ หายๆ เข้าโรงพยาบาทสมิติเวช กรุงเทพฯ กระทั่งมรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ ณ โรงพยาบาทสมิติเวช กรุงเทพฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2541 เวลา 18.00 น. รวมสิริอายุได้ 88 ปี 5 เดือน 24 วัน พรรษาที่ 59 ได้รับพระราชทางเพลิงศพ ในวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549 เวลา 16.00 น. ณ วัดเนินตามาก ตำบลโคกเพลา อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
วิญญาณ
332
338
332
1
พระครูสุจิณธรรมวิมล หรือ หลวงปู่ม่น ธมฺมจิณฺโณเจ้าอาวาสวัดเนินตามาก ท่านมรณภาพด้วยอายุเท่าไร
พระครูสุจิณธรรมวิมล (ม่น ธมฺมจิณฺโณ) พระครูสุจิณธรรมวิมล (หลวงปู่ม่น ธมฺมจิณฺโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเนินตามาก และอดีตรองเจ้าคณะตำบลหัวถนน เกจิดังของอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรีประวัติ ประวัติ. ท่านมีนามว่า " ม่น " นามสกุล " วิญญาณ " เกิดที่บ้านเนินตามาก ตำบลโคกเพลาะ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2453 (ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ) เป็นบุตรของนายมา และนางแดง วิญญาณ ท่านมีพี่น้อง 3 คน คือ ในวัยเด็กบิดามารดาได้นำไปฝากเรียนไว้ที่วัดตามโบราณนิยมเรียกว่า " หนังสือวัด " จนมีความรู้ด้านอักษร การปกครอง ด้านช่างฝีมือ แพทย์แผนโบราณอุปสมบทครั้งแรก อุปสมบทครั้งแรก. ปี พ.ศ. 2473 เมื่อหลวงปู่ม่น อายุได้ 20 ปี บิดาเห็นสมควรว่าถึงวัยในการบวชเรียนแล้ว จึงได้จัดงานอุปสมบทให้ที่วัดเนินตามาก บวชได้ 1 พรรษา แล้วก็ต้องลาสิกขาออกไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ จนมีฐานะที่ดีมั่นคงเป็นที่ประจักษ์ จงหวนคิดถึงการบวช จึงกราบลาบิดามารดา เข้าอุปสมบทอีกครั้งอุปสมบทครั้งที่ 2 อุปสมบทครั้งที่ 2. ปี พ.ศ. 2482 เมื่อหลวงปู่ม่น อายุได้ 29 ปี (ตรงกับวันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2482) ณ พัทธสีมาวัดโคกเพลาะ ตำบลโคกเพลาะ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี โดยมีท่าน ท่านได้รับฉายาทางธรรมว่า " ธมฺมจิณฺโณ " จากนั้นพำนักที่วัดโคกเพลาระยะหนึ่งจึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดเนินตามาก เริ่มศึกษาเล่าเรียนคันถธุระและวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง เคร่งครัด ประกอบคุณงามความดีตามความเหมาะสมของเพศสมณะ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในธรรมวินัยตั้งแต่เริ่มอุปสมบท ศึกษาปริยัติธรรม เข้าสอบนักธรรมชั้นตรี-โท ตามลำดับ มีความสามารถในการจำและสวดพระปาฏิโมกข์ได้ จนมาค้นคว้าด้วยตนเอง ฝึกการปฏิบัติจิตและกัมมัฏฐาน เพื่อหลุดพ้นอย่างจริงจังเมื่ออุปสมบท 5 พรรษา จึงออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น พระพุทธบาท สระบุรี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นต้น ท่านเล่าว่า ไปศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ (สมัยที่หลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่) แต่เมื่อปฏิบัติได้ 7 วัน ท่านบอกว่าไม่ถูกกับจริต เลยขอลาไปที่อื่น หลังท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์พระสมุห์บุญยิ่ง วิริโย ที่วัดเขาบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติอันเป็นไปด้วยธาตุและจริตเป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากนี้ ยังศึกษาด้านเวชกรรมจากพระสมห์บุญยิ่งเพิ่มเติม จนมีความเชี่ยวชาญ ต่อมาพระสมุห์บุญยิ่งชักชวนหลวงปู่ม่นออกธุดงค์หาสถานที่ปฏิบัติวิเวก เป็นสัปปายะ จนพบถ้ำจักรพงษ์ บนเกาะสีชัง อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ทั้งอาจารย์ และศิษย์จึงได้พำนักอยู่ ณ ที่นี้ จนหลวงปู่ม่น เกิดความก้าวหน้าทางจิตเป็นอย่างมากงานปกครองงานปกครอง. - พ.ศ. 2490 อายุ 37 พรรษาที่ 8 ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาสวัดเนินตามาก - พ.ศ. 2533 อายุ 80 พรรษาที่ 51 ได้รับแต่งตั้งเป็น รองเจ้าคณะตำบลหัวถนนสมณศักดิ์สมณศักดิ์. - พ.ศ. 2529 อายุ 76 พรรษาที่ 77 ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ที่ " พระครูสุจิณธรรมวิมล "งานด้านการพัฒนางานด้านการพัฒนา. - พ.ศ. 2495 – 2500 วางศิลาฤกษ์สร้างอุโบสถ และฝังลูกนิมิตร (ปัจจุบัน) - พ.ศ. 2512 – 2529 สร้างโรงเรียนประถมศึกษาวัดเนินตามาก (ปัจจุบันคือ โรงเรียนวัดเนินตามาก) - พ.ศ. 2537 อนุญาติให้คณะศิษย์ทำวัตถุมงคล (รุ่นเมตตา) เพื่อสร้างอาคารโรงพยาบาลพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี - - ก่อตั้งมูลนิธิวัดเนินตามาก , มูลนิธิโรงเรียนวัดเนินตามาก , มูลนิธิเด็กก่อนวัยเรียน , มูลนิธิสภาตำบลโคกเพลาะ , กองทุนมูลนิธิสุจิณธรรมวิมลมรณภาพ มรณภาพ. ในปี พ.ศ. 2523 หลวงปู่ม่น ได้อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนัสนิคม จนกระทั่งเกือบหายเป็นปกติ จึงกลับมาพักฝื้นที่วัดเนินตามากตามเดิม ต่อมา ปี พ.ศ. 2537 ท่านอาพาธหนักอีกครั้ง ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาทสมิติเวช กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง 8 เดือน จึงสามารถกลับมาอยู่ที่วัดเนินตามาก หลักจากนั้นท่านก็อาพาธเป็นๆ หายๆ เข้าโรงพยาบาทสมิติเวช กรุงเทพฯ กระทั่งมรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ ณ โรงพยาบาทสมิติเวช กรุงเทพฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2541 เวลา 18.00 น. รวมสิริอายุได้ 88 ปี 5 เดือน 24 วัน พรรษาที่ 59 ได้รับพระราชทางเพลิงศพ ในวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549 เวลา 16.00 น. ณ วัดเนินตามาก ตำบลโคกเพลา อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
88 ปี 5 เดือน 24 วัน
3,561
3,581
333
1
พระมารดาของจรุงจิตต์ อุรัสยะนันท์ มีนามว่าอะไร
จรุงจิตต์ ทีขะระ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ เป็นนางสนองพระโอษฐ์ และ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9ประวัติ ประวัติ. จรุงจิตต์ อุรัสยะนันท์ มีสกุลเดิมว่า จรุงจิตต์ อุรัสยะนันท์ เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2488 เป็นบุตรีของนายจาด อุรัสยะนันท์ และ ท่านผู้หญิงเจือทอง อุรัสยะนันท์ บิดาของท่านผู้หญิงเคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์สมรสกับ พล.อ.อ.รังสรรค์ ทีขะระ อดีตรองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด มีบุตรีหนึ่งคนคือ นางปิยวรา ทีขะระ เนตรน้อย ปัจจุบันถวายงานในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นหัวหน้าคณะทำงานพิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ เป็นผู้ช่วยท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ อดีตราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในการเดินทางสำรวจผ้าไหมมัดหมี่ในภาคอีสานจนเกิดเป็นมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2548 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2544 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2539 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 2 (ภ.ป.ร.2)
ท่านผู้หญิงเจือทอง อุรัสยะนันท์
367
398
334
1
บุตรสาวของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ คือใคร
จรุงจิตต์ ทีขะระ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ เป็นนางสนองพระโอษฐ์ และ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9ประวัติ ประวัติ. จรุงจิตต์ อุรัสยะนันท์ มีสกุลเดิมว่า จรุงจิตต์ อุรัสยะนันท์ เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2488 เป็นบุตรีของนายจาด อุรัสยะนันท์ และ ท่านผู้หญิงเจือทอง อุรัสยะนันท์ บิดาของท่านผู้หญิงเคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์สมรสกับ พล.อ.อ.รังสรรค์ ทีขะระ อดีตรองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด มีบุตรีหนึ่งคนคือ นางปิยวรา ทีขะระ เนตรน้อย ปัจจุบันถวายงานในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นหัวหน้าคณะทำงานพิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ เป็นผู้ช่วยท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ อดีตราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในการเดินทางสำรวจผ้าไหมมัดหมี่ในภาคอีสานจนเกิดเป็นมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2548 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2544 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2539 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) - เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 2 (ภ.ป.ร.2)
นางปิยวรา ทีขะระ เนตรน้อย
603
628
335
1
พระแม่สันโตษี เป็นผู้ปกปักษ์รักษาสายน้ำซันโตชี เป็นธิดาของใคร
พระแม่สันโดษี พระแม่สันโตษี เป็นธิดาของพระพิฆเนศ เป็นผู้ปกปักษ์รักษาสายน้ำซันโตชี ลักษณะเป็นเทพธิดางดงาม มี 4 กร แต่ละกรจะทรงดาบ ทรงตรีศูท ทรงถาดข้าว และกรอีกกรประทานพรกำเนิด กำเนิด. แต่เดิม พระพิฆเนศไม่มีธิดา มีเพียงแต่พระโอรส 2 พระองค์ กับพระชายา สิทธิและพุทธิ แต่อยู่มาพระโอรสทั้งสอง อยากทำพิธีผูก รัคชิต (เป็นการผูกข้อมือมงคลคล้ายสายสิญจ์บ้านเราโดยผู้ที่ผูกให้ต้องเป็นน้องสาวของผู้ที่ต้องการผูก) พระพิฆเนศวรเลยติดจิตจากพระชายาทั้งสองมาเสกให้กลายเป็นกุมารีน่ารัก นามว่า "ซันโตชี" จากนั้นพระโอรสของพระพิฆเนศวรก็ได้รับการผูกรัคชิตจากพระน้องนางซันโตชีสมพระทัยตำนานความศรัทธา ตำนานความศรัทธา. มีหญิงสาวชื่อ "สัตวาตี" เป็นผู้มีความศรัทธาต่อพระแม่ซันโตชีมาก เธอจะมานมัสการร้องรำบูชาพระแม่ทุกครั้งที่มายังศาลของพระแม่ จนมีอยู่ในวันบูชาพระแม่ซันโตชี ชายหนุ่มชื่อ "บียู" มาร่วมพิธีด้วย สัตวาตีพบบียูจนเกิดความรักขึ้น จากนั้นต่อมาสัตวาตีก็พบบียูทุกครั้งในวันบูชาพระแม่ซันโตชี จากนั้นสัตวาตีกับบียูก็รักกันและแต่งงานกัน สัตวาตีย้ายไปอยู่บ้านของบียู แต่ก็มิได้ลดละหรือทิ้งความศรัทธาในพระแม่ สัตวาตียังคงสวดมนต์และนมัสการพระแม่ทุกวัน โดยตั้งเป็นศาลที่มีเทวรูปเล็กๆของพระแม่ แต่วันหนึ่งบียูต้องจากสัตวาตีไปทำมาหากินยังต่างเมืองด้วยความดูถูกจากเหล่าพี่ๆ ที่หากว่าตนไม่มีค่าไม่ยอมทำมาหากิน สัตวาตีไม่สบายใจกลัวว่าบียูจัเกิดอันตรายจึงอ้อนวอนให้พระแม่ซันโตชีคุ้มครอง ปรากฏว่าเรือที่บียูโดยสารไปนั่นเกิดล้ม พระแม่ซันโตชีทรงช่วยบียูไปถึงฝั่ง พอบียูฟื้นได้สติก็เดินทางไปจนพบศาลของพระแม่ซันโตชี บียูเห็นชายชราผู้หนึ่งนอนหมดสติอยู่ บียูช่วยจนชายชราผู้นั่นฟื้น ปรากฏว่าชายชราผู้นั่นเป็นมหาเศรษฐี จึงตอบแทนพระคุณของบียูโดยรับบียูเป็นลูกจ้าง ต่อมาบียูทำงานกับเศรษฐีจนชำนาญในการค้า เศรษฐีเห็นว่าบียูเป็นคนหนุ่มไวไฟและขยันจึงยกบุตรสาวให้ ทางฝ่ายสัตวาตีทราบข่าวว่าบียูเรือล้ม สัตวาตีก็โศกเศร้าเสียใจ แต่ก็เชื่อในพระแม่ซันโตชีว่า พระแม่ต้องช่วยบียูให้รอดและต้องกลับมาหาเธอ สัตวาตีถูกเหล่าพระสะใภัรังแกต่างๆนานา แต่สัตวาตีก็อดทน พระแม่ซันโตชีมาหาบียูและเตือนเขาถึงสัตวาตี บียูจึงยึกขึ้นได้ว่าตนเองมีภรรยาที่แสนดีคือสัตวาตีรออยู่ที่บ้าน และพระแม่ซันโตชียังบอกกับเศรษฐีให้ปล่อยบียูไป เศรษฐีจึงมอบเงินทองที่เป็นค่าน้ำพักน้ำแรงของบียูและแบ่งสมบัติบางส่วนให้ บียูเดินทางกลับมาบ้าน สัตวาตีก็ดีใจยิ่งนัก สัตวาตีกับบียูก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขจากการช่วยเหลือจากพระแม่ซันโตชี
พระพิฆเนศ
128
137
336
1
ประธานในพิธีมงคลสมรสระหว่างนพ.ชื่น พุทธิแพทย์และคุณหญิงเพิ่ม คือใคร
พระยาดำรงแพทยาคุณ (ชื่น พุทธิแพทย์) ศาสตราจารย์อุปการคุณ พลตรี พระยาดำรงแพทยาคุณ (นพ.ชื่น พุทธิแพทย์) เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2424 เป็นบุตรของจมื่นศรีโภคา (ฟัก) กับนางศรีโภคา (พอก) สำเร็จการศึกษาแพทย์ประกาศนียบัตรจากประเทศอังกฤษ สมาชิกแห่งราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ และอนุสมาชิกแห่งราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ประเทศอังกฤษ สมรสกับคุณหญิงเพิ่ม (วัชราภัย) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2458 โดยมีสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาภ เสด็จมาเป็นประธานในพิธีมงคลสมรส ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตั้งแต่หลวงศักดาพลรักษ์ พระยาศักดาพลรักษ์ และพระยาดำรงแพทยาคุณเมื่อ พ.ศ. 2466 มีบุตร 7 คน และสมรสครั้งที่สองกับคุณหญิงสมานใจ มีบุตร-ธิดา 6 คน ท่านดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ท่านแรก ถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2496ประวัติการทำงานประวัติการทำงาน. - นายแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระอาการประชวร พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนสวรรคต - นายแพทย์ผู้ถวายพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว - ผู้ร่วมก่อตั้งแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย และสภานายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ระหว่างปีพ.ศ. 2468-2472 - ผู้ก่อตั้งสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ - ริเริ่มออก "จดหมายเหตุทางแพทย์ของสภากาชาดสยาม" ซึ่งเป็นวารสารการแพทย์ของไทยเล่มแรกเมื่อปี พ.ศ. 2461 ปัจจุบันคือ วารสารจดหมายเหตุทางการแพทย์ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย (จพสท) - ผู้สอนและบัญญํติศัพท์ นิติเวชวิทยาท่านแรกของประเทศ - ผู้อำนวยการกองบรรเทาทุกข์ สภากาชาดสยาม คนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2463(ปัจจุบันคือ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย) - ร่วมก่อตั้งและเป็นคณบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ท่านแรก และรักษาการหัวหน้าแผนกศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ - กรรมการสภากาชาดไทย - กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาภ
499
528
337
1
ภรรยาคนที่สองของพระยาดำรงแพทยาคุณ มีชื่อว่าอะไร
พระยาดำรงแพทยาคุณ (ชื่น พุทธิแพทย์) ศาสตราจารย์อุปการคุณ พลตรี พระยาดำรงแพทยาคุณ (นพ.ชื่น พุทธิแพทย์) เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2424 เป็นบุตรของจมื่นศรีโภคา (ฟัก) กับนางศรีโภคา (พอก) สำเร็จการศึกษาแพทย์ประกาศนียบัตรจากประเทศอังกฤษ สมาชิกแห่งราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ และอนุสมาชิกแห่งราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ประเทศอังกฤษ สมรสกับคุณหญิงเพิ่ม (วัชราภัย) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2458 โดยมีสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาภ เสด็จมาเป็นประธานในพิธีมงคลสมรส ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตั้งแต่หลวงศักดาพลรักษ์ พระยาศักดาพลรักษ์ และพระยาดำรงแพทยาคุณเมื่อ พ.ศ. 2466 มีบุตร 7 คน และสมรสครั้งที่สองกับคุณหญิงสมานใจ มีบุตร-ธิดา 6 คน ท่านดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ท่านแรก ถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2496ประวัติการทำงานประวัติการทำงาน. - นายแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระอาการประชวร พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนสวรรคต - นายแพทย์ผู้ถวายพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว - ผู้ร่วมก่อตั้งแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย และสภานายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ระหว่างปีพ.ศ. 2468-2472 - ผู้ก่อตั้งสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ - ริเริ่มออก "จดหมายเหตุทางแพทย์ของสภากาชาดสยาม" ซึ่งเป็นวารสารการแพทย์ของไทยเล่มแรกเมื่อปี พ.ศ. 2461 ปัจจุบันคือ วารสารจดหมายเหตุทางการแพทย์ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย (จพสท) - ผู้สอนและบัญญํติศัพท์ นิติเวชวิทยาท่านแรกของประเทศ - ผู้อำนวยการกองบรรเทาทุกข์ สภากาชาดสยาม คนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2463(ปัจจุบันคือ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย) - ร่วมก่อตั้งและเป็นคณบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ท่านแรก และรักษาการหัวหน้าแผนกศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ - กรรมการสภากาชาดไทย - กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
คุณหญิงสมานใจ
702
715
338
1
ไซปรัสได้รับเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ในปีใด
ประเทศไซปรัส ไซปรัส (; คีโปรส; ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐไซปรัส (; ; ) เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก อยู่ทางใต้ของประเทศตุรกี 44 ไมล์ อยู่ทางตะวันตกของชายฝั่งประเทศซีเรียประมาณ 64 ไมล์ และห่างจากเกาะโรดส์ และเกาะคาร์ปาทอส ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรีซ 240 ไมล์ ไซปรัสเป็นจุดหมายหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่นักท่องเที่ยวนิยมไปมากที่สุด โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 2.4 ล้านคนต่อปี ไซปรัสได้รับเอกราชจากการเป็นอาณานิคมจากสหราชอาณาจักร เมื่อปี 1960 และเป็นประเทศสมาชิกในเครือจักรภพในปี 1961ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ เศรษฐกิจ. เศรษฐกิจของประเทศไซปรัสมีความหลากหลายและมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตามประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ประมาณการไว้ว่า จีดีพีต่อหัวของไซปรัสน่าจะอยู่ที่ประมาณ 28,381 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มสหภาพยุโรป นโยบายสำคัญของรัฐบาลไซปรัส คือ ทำให้ประเทศไซปรัสเป็นฐานสำหรับทำธุรกิจของชาวต่างชาติ และ พยายามผลักดันให้ไซปรัสเข้าเป็นหนึ่งในกลุ่มสหภาพยุโรปให้ได้ และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547การแบ่งเขตการปกครอง การแบ่งเขตการปกครอง. ประเทศไซปรัสแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 เขต ได้แก่นโยบายต่างประเทศความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย นโยบายต่างประเทศ. ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย. ไทยและไซปรัสได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2523 ปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม มีเขตอาณาครอบคลุมไซปรัส โดยเอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐไซปรัส มีถิ่นพำนัก ณ กรุงโรม (อิตาลี) คนปัจจุบันคือ นายสุรพิทย์ กีรติบุตร และมีนายอีเลียส แพนนาอีเดส เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำไซปรัส ส่วนเอกอัครราชทูตไซปรัสประจำประเทศไทยคนปัจจุบัน คือ นาง มาเรีย ไมเคิล โดยมีถิ่นพำนักอยู่ที่กรุงนิวเดลี, ประเทศอินเดีย และนายปณิธิ วสุรัตน์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ไซปรัสประจำไทยประชากรศาสนาภาษา ประชากร. ภาษา. Anna Hamblaourisการศึกษา
ปี 1960
563
570
339
1
บ้านเกิดของทัตพงศ์ พงศทัต อยู่ที่จังหวัดอะไร
ทัตพงศ์ พงศทัต บัณฑ์รพล วสิฐวัชรมงคล มีชื่อเล่นว่า เต้ (เดิมชื่อ ทัตพงศ์ พงศทัต และเปลี่ยนชื่อเป็น ศุกล พงศทัต) เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 ที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นลูกชายของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์คิด และนางศศิภา พงศทัต มีพี่ชาย 1 คน และพี่สาว1คน เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบชั้นปวส.จาก วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาวิทยาเขตเทคนิคภาคพายัพ ปริญญาตรี – โทที่ มหาวิทยาลัยเกริก คณะนิเทศศาสตร์ ปริญญาตรี สาขาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ปริญญาโท สาขาบริหารการสื่อสาร รางวัลโล่เรียนดี และในปี พ.ศ. 2531 ทัตพงศ์แสดงภาพยนตร์เรื่อง คุณรู้มั๊ย ว่าผมรัก และแสดงซิทคอมเรื่อง บางรักซอย 9 ในปี พ.ศ. 2546 และซิทคอมเรื่อง บ้านนี้ที่บางรัก ใน พ.ศ. 2553ผลงานภาพยนตร์ผลงาน. ภาพยนตร์. - พ.ศ. 2531 คุณรู้มั๊ย ว่าผมรัก - พ.ศ. 2532 ปุลากง - พ.ศ. 2539 เด็กระเบิด ยืดแล้วยึด - พ.ศ. 2544 ฝนตกไม่ทั่วฟ้า - พ.ศ. 2553 เขี้ยวอาฆาตละครโทรทัศน์ซีรีส์ซิทคอมมิวสิควีดีโอ
จังหวัดพิษณุโลก
245
260
340
1
มุนินทร์ สายประสาท จบศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอะไร
มุนินทร์ สายประสาท มุนินทร์ สายประสาท เป็นนักวาดการ์ตูนอาชีพ เธอมีชื่อเสียงในวงการนักวาดการ์ตูน โดยการ์ตูนเล่มแรกของเธอ "มุนินฺ" จากสำนักพิมพ์จ้ำอ้าว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ เธอยังเป็นเจ้าของลายเส้นประกอบมิวสิควิดีโอเพลง "ราตรีสวัสดิ์" ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยเช่นกันประวัติ ประวัติ. มุนินทร์ สายประสาท เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2531 ในจังหวัดขอนแก่น จบศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เกียรตินิยมอันดับหนึ่งและเหรียญทอง จุดประกายการเป็นนักวาดการ์ตูนเริ่มจากการที่ มุนินทร์ สายประสาท ได้เริ่มวาดรูปส่งเข้าประกวดงานต่างๆ จนเธอก็ได้รางวัลมาตลอดได้ใบประกาศนียบัตรการันตีมาแล้วหลายงาน ขณะที่เรียนชั้นอนุบาลและประถม เธอจะชอบวาดรูปตามหนังสือการ์ตูนชื่อดัง และตอนมัธยมเธอนั้นชอบการ์ตูนญี่ปุ่น เลยวาดตามและนำเรื่องเพื่อนๆมาแต่งเป็นการ์ตูน จนหลายคนชื่นชมจึงนำการวาดภาพมาเป็นงานอดิเรก จนมาเรียนในมหาวิทยาลัยเธอก็ได้วาดการตูนเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ เช่น ยูทูบ จนจ้ำอ้าวสำนักพิมพ์ ได้มาชักชวนเธอให้มาออกหนังสือ ปัจจุบันเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ 10 มิลลิเมตร ที่เปิดตัวด้วยผลงานนิยายภาพเรื่อง "แต่งเอง" และ "ประโยคสัญลักษณ์"ผลงานผลงานเดี่ยวผลงาน. ผลงานเดี่ยว. - มุนินฺ เล่ม 1-6 - พฤหัสบายดี - Gray Scale - คนแห่งความรัก - ไอ ซี ยู (i sea u) เล่ม 1-5 - เรื่องและภาพ - ดินสอไม้ - แต่งเอง - ประโยคสัญลักษณ์ - ฉันอยู่ข้างๆ - โตเกียวไส้หวาน - โลกกับอาทิตย์ - ประโยคสัญลักษณ์ 2 - i sea u 24 Hours - ความทรงจำที่ก้าว - OST. รักนี้...ไม่มีกำหนดคืนผลงานร่วมผลงานร่วม. - Love (ตอน ถนนสีเทา) - อะไรๆก็ฮา (ร่วมเขียน) - หอมหัวใหญ่ ฉบับกุมหัวใจคนพิการ (ตอน Hope) - Done Project (ตอน ต้นไม้ของเด็กชายเลขที่ 23) - LET's Comic (ร่วมเขียน) - Paper Journey เจอหมดนี่...ที่มาเก๊า - HOMEROOM : Photograph 101
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
549
567
341
1
พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ นักแสดงชาวไทย มีชื่อเล่นว่าอะไร
พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ เป็นนักแสดงชาวไทยประวัติครอบครัวและการศึกษา ประวัติ. ครอบครัวและการศึกษา. พิมพ์ชนก หรือใบเฟิร์น เกิดเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2535 ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เป็นบุตรคนโตของครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน โดยนามสกุลลือวิเศษไพบูลย์เพี้ยนมาจากแซ่หลวี่ (呂) บิดาทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก มารดารับราชการเป็นนักสังคมสงเคราะห์ มีน้องชายหนึ่งคนอายุห่างกัน 3 ปี พิมพ์ชนกสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้น (ประถม 1-4) จากโรงเรียนมีนประสาทวิทยา ระดับประถมศึกษาตอนปลาย (ประถม 5-6) จากโรงเรียนเทพอักษร ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า และระดับปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและการกำกับการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒชีวิตในวัยเด็ก ชีวิตในวัยเด็ก. ในวัยเด็กพิมพ์ชนกได้รับการส่งเสริมให้เป็นนักกีฬายิมนาสติกลีลา เพื่อใช้ความสามารถด้านกีฬาดังกล่าวเข้าศึกษาต่อด้วยโควต้าพิเศษของนักกีฬา เคยลงแข่งขันได้เหรียญรางวัลประเภททีมหลายครั้ง ต่อมาเนื่องจากต้องฝึกซ้อมอย่างหนักทำให้พิมพ์ชนกต้องใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ที่โรงเรียนและสนามฝึกซ้อม เป็นเหตุให้ท้อกับกิจกรรมนี้ ขณะที่พิมพ์ชนกเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 มีทีมงานโมเดลลิ่งที่กำลังค้นหานักแสดงเด็กหน้าใหม่ได้มาพบเข้าที่สนามฝึกซ้อม จึงได้ชักชวนให้มาถ่ายโฆษณารองเท้านักเรียนยี่ห้อหนึ่ง และเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นครั้งแรกผลงานผลงานภาพยนตร์ ผลงาน. ผลงานภาพยนตร์. ก่อนมีชื่อเสียง พิมพ์ชนกเคยมีผลงานเป็นนักแสดงสมทบในภาพยนตร์ไทยมาแล้วหลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์สั้นเฉลิมพระเกียรติเรื่องแด่พระผู้ทรงธรรม ตอนทะเลของก้อย, ภาพยนตร์ 5 หัวใจฮีโร่, อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง, และเชือดก่อนชิม โดยภาพยนตร์สามเรื่องหลังเข้าฉายไล่เลี่ยกันในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 เป็นเหตุให้พิมพ์ชนกเริ่มเป็นที่รู้จักแต่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แต่ต่อมาจากการเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ไทยเรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก เข้าฉายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ทำให้พิมพ์ชนกมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เนื่องจากความสามารถในการแสดงของพิมพ์ชนกที่ทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมและคล้อยตามไปกับตัวละครที่แสดงได้เป็นอย่างดี ประกอบกับกระแสความนิยมของภาพยนตร์ที่มีเพิ่มขึ้นตามลำดับในลักษณะการบอกต่อแบบปากต่อปาก ทำให้ภาพยนตร์ซึ่งทำรายได้ขณะเปิดตัวไม่สูงนัก แต่สามารถยืนโรงฉายต่อเนื่องได้ถึงสองเดือนเศษ นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นักวิจารณ์หลายคนให้ความเห็นว่าเป็นภาพยนตร์ประเภทม้านอกสายตา ส่วนผลงานภาพยนตร์ของพิมพ์ชนกเรื่องต่อไป คือ โคตรสู้ โคตรโส ฉายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 และเลิฟซัมเมอร์ รักตะลอนออนเดอะบีช ฉายเมื่อตุลาคมปี 2554 ในช่วงกลางเดือนปี 2555 ภาพยนตร์ สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก ยังสร้างปรากฏการณ์ข้ามประเทศ โดยภาพยนตร์ฉบับตัดต่อใหม่ พร้อมความยาว 100 นาที เข้าฉายด้วยจำนวนจอฉายถึง 6,000 โรงที่ประเทศจีน เพื่อผู้ชมชาวจีน เรียกได้ว่ามากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องใดในประวัติศาสตร์ และพิมพ์ชนกกับผู้กำกับยังได้เดินทางไปโปรโมตหนังเรื่องนี้ ที่จีนเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่สนใจกับสื่อและแฟนคลับชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้และให้การต้อนรับพิมพ์ชนกเป็นอย่างมาก หลังจากพิมพ์ชนกได้ไปโปรโมตภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประเทศจีน แฟนคลับที่ประเทศจีนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ทำให้จำนวนแฟนคลับของพิมพ์ชนกในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพิมพ์ชนกได้สมัครเว็บไซต์ของจีน Weibo ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่กำลังนิยมและเป็นที่รู้จักมากของประเทศจีน เพื่อสามารถติดต่อกับแฟนคลับชาวจีนได้ง่ายขึ้น ทำให้จำนวนแฟนคลับให้การตอบรับอย่างมาก ภายในเวลา 3 เดือนกว่า (มิถุนายน-กันยายน 2555) พิมพ์ชนกมีจำนวนสมาชิกและแฟนคลับที่ให้ความสนใจมากถึง 500,000 กว่าคนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดตามพิมพ์ชนกใน Weibo เกินกว่า 5,000,000 คน ซึ่งถือเป็นนักแสดงหญิงของไทยที่มีชาวจีนติดตามมากที่สุด นอกจากนี้ ความดังของกระแสภาพยนตร์ สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก ยังทำให้พิมพ์ชนกมีโอกาสได้ร่วมแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ของประเทศฟิลิปปินส์ เรื่อง Suddenly It's Magic ที่เข้าฉายในฟิลิปปินส์ปลายเดือนตุลาคม 2555 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ มาริโอ้ เมาเร่อ นำแสดงร่วมกับนักแสดงจากประเทศฟิลิปปินส์ผลงานละครโทรทัศน์ ผลงานละครโทรทัศน์. สำหรับงานละครโทรทัศน์ พิมพ์ชนกมีผลงานครั้งแรกโดยรับบทนักแสดงสมทบในละครเรื่องทะเลสาบสีเลือด ออกอากาศที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 ต่อมา พิมพ์ชนกได้ทำสัญญาเข้าสังกัดสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 มีระยะเวลา 7 ปี เริ่มจากปลายปี พ.ศ. 2552 ปัจจุบันพิมพ์ชนกมีผลงานละครโทรทัศน์กับต้นสังกัดช่อง 7 เริ่มตั้งแต่ วัยป่วนก๊วนล่าฝัน, นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว, ลูกโขน, มนต์รักแม่น้ำมูล สัญญากับทางต้นสังกัด คือ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ของพิมพ์ชนก สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 ละครเรื่องสุดท้ายของใบเฟิร์นกับทางช่อง 7 คือเรื่องบัลลังก์หงส์ ปัจจุบันเป็น นักแสดงอิสระผลงานละครในฐานะนักแสดงอิสระผลงานละครในฐานะนักแสดงสังกัด สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7ละครเทิดพระเกียรติละครเวทีละครเวที. - Proof (ละครเวที มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)ผลงานเพลงผลงานเพลง. - 2553 เพลงประกอบละคร วัยป่วนก๊วนล่าฝัน- เพลง เพราะเธอ - เพลง การเดินทางที่แสนไกล (รวมนักแสดง) - 2555 เพลงประกอบละคร "อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว"- เพลง เสกรัก...ให้เธอได้รู้ (ร่วมกับ อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์)- 2556 เพลงประกอบละคร "ลูกไม้หลากสี"- เพลง ขอบคุณที่รักกัน (ร่วมกับ โตนนท์, มิก, สเตฟานี่)- 2558 เพลงประกอบภาพยนตร์ 2538 อัลเทอร์มาจีบ- เพลง สายตา - 2559 เพลงประกอบละคร "บัลลังก์หงส์"- เพลง สัญญาจากหัวใจ (ใบเฟิร์นร้อง)มิวสิกวิดีโอมิวสิกวิดีโอ. - 2547 เพลง น้ำลาย ของ ซิลลี่ ฟูลส์ - 2549 เพลง เรื่องธรรมดา ของ เจมส์ เรืองศักดิ์ - 2549 เพลง เรารักแม่ ของ รวมศิลปินอาร์เอส - 2549 เพลง 14 อีกครั้ง ของ เสก โลโซ - 2552 เพลง เจ็บหัวใจ ของ เสก โลโซ - 2552 เพลง เพลงนี้ ของ สิงโต เดอะสตาร์ - 2553 เพลง สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก ของ ธนกฤต พานิชวิทย์ - 2555 เพลง บาลาชู บาชู / เสกรัก...ให้เธอได้รู้ (ประกอบละคร อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว) - 2556 เพลง พระราชาเป็นประมุขของประชาชน เพลงเทิดพระเกียรติ "ในหลวง" (รวมนักแสดงช่อง 7) - 2558 เพลง สายตา (ประกอบภาพยนตร์ 2538 อัลเทอร์มาจีบ) - 2559 เพลง สัญญาจากหัวใจ (ประกอบละคร บัลลังก์หงส์) - 2560 เพลง จีบ… (May I) ของ แหนม รณเดช - 2560 เพลง จะมีวันของฉันไหม ของ นิว จิ๋ว (ประกอบละคร หลงไฟ) - 2561 เพลง คิดถึงจัง (มาหาหน่อย) ของ โอ๊ต ปราโมทย์รางวัลรางวัล. - 2545 หนูน้อยนพมาศ ของสำนักงานเขตมีนบุรี - 2553 รางวัลเฉลิมไทยอวอร์ด ครั้งที่ 8 สาขานักแสดงหญิงในบทนำจากภาพยนตร์ไทยแห่งปี จาก สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก - 2553 นักแสดงดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยม TOP Award 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก - 2554 รางวัล “ระฆังทอง” บุคคลแห่งปี 2554 สาขาสร้างสรรค์ สนับสนุนมวลชนและสังคมดีเด่น ประเภทศิลปิน ดารา นักแสดง - 2555 รางวัลดาราหญิงยอดนิยม งาน KAZZ Award 2012 - 2557 รางวัลนิสิตดีเด่น ปี 2557 เป็นผู้ทำกิจกรรมและสร้างชื่อเสียง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ - 2558 BIOSCOPE Awards 2015 การแสดงแห่งปี จากภาพยนตร์ 2538 อัลเทอร์มาจีบ และ แคท อ่ะ แว้บ! #แบบว่ารักอ่ะ - 2560 OK Beauty Choice 2017 สาขา CHARMING BABE - 2560 ASIAN DRAMA FANS PHILIPPINES 2ND GATHERING sponsored by Viu Philippines สาขา BEST ACTRESS in Thai Dramas Category - 2561 MThai Top Talk-about 2018 สาขา นักแสดงหญิง ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด จากละครเรื่อง หลงไฟเข้าชิงรางวัลเข้าชิงรางวัล. - 2553 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 20 ประจำปี 2553 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก - 2553 (เข้าชิงรางวัล) รางวัล Starpics Thai Film Awards ครั้งที่ 8 ประจำปี 2553 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก) - 2553 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 19 ประจำปี 2553 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก) - 2553 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลคมชัดลึก ครั้งที่ 8 ประจำปี 2553 ประเภทภาพยนตร์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก) - 2559 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 25 ประจำปี 2558 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก 2538 อัลเทอร์มาจีบ - 2559 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลคมชัดลึก ครั้งที่ 13 ประจำปี 2558 ประเภทภาพยนตร์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (2538 อัลเทอร์มาจีบ) - 2559 (เข้าชิงรางวัล) รางวัล Starpics Thai Film Awards ครั้งที่ 13 ประจำปี 2558 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก แคทอ่ะแว้บ! #แบบว่ารักอ่ะ - 2559 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 24 ประจำปี 2558 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (แคทอ่ะแว้บ! #แบบว่ารักอ่ะ)
ใบเฟิร์น
237
245
342
1
โรงพยาบาลที่พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ หรือใบเฟิร์น เกิดมีชื่อว่าอะไร
พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ เป็นนักแสดงชาวไทยประวัติครอบครัวและการศึกษา ประวัติ. ครอบครัวและการศึกษา. พิมพ์ชนก หรือใบเฟิร์น เกิดเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2535 ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เป็นบุตรคนโตของครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน โดยนามสกุลลือวิเศษไพบูลย์เพี้ยนมาจากแซ่หลวี่ (呂) บิดาทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก มารดารับราชการเป็นนักสังคมสงเคราะห์ มีน้องชายหนึ่งคนอายุห่างกัน 3 ปี พิมพ์ชนกสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้น (ประถม 1-4) จากโรงเรียนมีนประสาทวิทยา ระดับประถมศึกษาตอนปลาย (ประถม 5-6) จากโรงเรียนเทพอักษร ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า และระดับปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและการกำกับการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒชีวิตในวัยเด็ก ชีวิตในวัยเด็ก. ในวัยเด็กพิมพ์ชนกได้รับการส่งเสริมให้เป็นนักกีฬายิมนาสติกลีลา เพื่อใช้ความสามารถด้านกีฬาดังกล่าวเข้าศึกษาต่อด้วยโควต้าพิเศษของนักกีฬา เคยลงแข่งขันได้เหรียญรางวัลประเภททีมหลายครั้ง ต่อมาเนื่องจากต้องฝึกซ้อมอย่างหนักทำให้พิมพ์ชนกต้องใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ที่โรงเรียนและสนามฝึกซ้อม เป็นเหตุให้ท้อกับกิจกรรมนี้ ขณะที่พิมพ์ชนกเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 มีทีมงานโมเดลลิ่งที่กำลังค้นหานักแสดงเด็กหน้าใหม่ได้มาพบเข้าที่สนามฝึกซ้อม จึงได้ชักชวนให้มาถ่ายโฆษณารองเท้านักเรียนยี่ห้อหนึ่ง และเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นครั้งแรกผลงานผลงานภาพยนตร์ ผลงาน. ผลงานภาพยนตร์. ก่อนมีชื่อเสียง พิมพ์ชนกเคยมีผลงานเป็นนักแสดงสมทบในภาพยนตร์ไทยมาแล้วหลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์สั้นเฉลิมพระเกียรติเรื่องแด่พระผู้ทรงธรรม ตอนทะเลของก้อย, ภาพยนตร์ 5 หัวใจฮีโร่, อนึ่ง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง, และเชือดก่อนชิม โดยภาพยนตร์สามเรื่องหลังเข้าฉายไล่เลี่ยกันในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 เป็นเหตุให้พิมพ์ชนกเริ่มเป็นที่รู้จักแต่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แต่ต่อมาจากการเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ไทยเรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก เข้าฉายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ทำให้พิมพ์ชนกมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เนื่องจากความสามารถในการแสดงของพิมพ์ชนกที่ทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมและคล้อยตามไปกับตัวละครที่แสดงได้เป็นอย่างดี ประกอบกับกระแสความนิยมของภาพยนตร์ที่มีเพิ่มขึ้นตามลำดับในลักษณะการบอกต่อแบบปากต่อปาก ทำให้ภาพยนตร์ซึ่งทำรายได้ขณะเปิดตัวไม่สูงนัก แต่สามารถยืนโรงฉายต่อเนื่องได้ถึงสองเดือนเศษ นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นักวิจารณ์หลายคนให้ความเห็นว่าเป็นภาพยนตร์ประเภทม้านอกสายตา ส่วนผลงานภาพยนตร์ของพิมพ์ชนกเรื่องต่อไป คือ โคตรสู้ โคตรโส ฉายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 และเลิฟซัมเมอร์ รักตะลอนออนเดอะบีช ฉายเมื่อตุลาคมปี 2554 ในช่วงกลางเดือนปี 2555 ภาพยนตร์ สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก ยังสร้างปรากฏการณ์ข้ามประเทศ โดยภาพยนตร์ฉบับตัดต่อใหม่ พร้อมความยาว 100 นาที เข้าฉายด้วยจำนวนจอฉายถึง 6,000 โรงที่ประเทศจีน เพื่อผู้ชมชาวจีน เรียกได้ว่ามากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องใดในประวัติศาสตร์ และพิมพ์ชนกกับผู้กำกับยังได้เดินทางไปโปรโมตหนังเรื่องนี้ ที่จีนเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่สนใจกับสื่อและแฟนคลับชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้และให้การต้อนรับพิมพ์ชนกเป็นอย่างมาก หลังจากพิมพ์ชนกได้ไปโปรโมตภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประเทศจีน แฟนคลับที่ประเทศจีนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ทำให้จำนวนแฟนคลับของพิมพ์ชนกในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพิมพ์ชนกได้สมัครเว็บไซต์ของจีน Weibo ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่กำลังนิยมและเป็นที่รู้จักมากของประเทศจีน เพื่อสามารถติดต่อกับแฟนคลับชาวจีนได้ง่ายขึ้น ทำให้จำนวนแฟนคลับให้การตอบรับอย่างมาก ภายในเวลา 3 เดือนกว่า (มิถุนายน-กันยายน 2555) พิมพ์ชนกมีจำนวนสมาชิกและแฟนคลับที่ให้ความสนใจมากถึง 500,000 กว่าคนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดตามพิมพ์ชนกใน Weibo เกินกว่า 5,000,000 คน ซึ่งถือเป็นนักแสดงหญิงของไทยที่มีชาวจีนติดตามมากที่สุด นอกจากนี้ ความดังของกระแสภาพยนตร์ สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก ยังทำให้พิมพ์ชนกมีโอกาสได้ร่วมแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ของประเทศฟิลิปปินส์ เรื่อง Suddenly It's Magic ที่เข้าฉายในฟิลิปปินส์ปลายเดือนตุลาคม 2555 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ มาริโอ้ เมาเร่อ นำแสดงร่วมกับนักแสดงจากประเทศฟิลิปปินส์ผลงานละครโทรทัศน์ ผลงานละครโทรทัศน์. สำหรับงานละครโทรทัศน์ พิมพ์ชนกมีผลงานครั้งแรกโดยรับบทนักแสดงสมทบในละครเรื่องทะเลสาบสีเลือด ออกอากาศที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 ต่อมา พิมพ์ชนกได้ทำสัญญาเข้าสังกัดสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 มีระยะเวลา 7 ปี เริ่มจากปลายปี พ.ศ. 2552 ปัจจุบันพิมพ์ชนกมีผลงานละครโทรทัศน์กับต้นสังกัดช่อง 7 เริ่มตั้งแต่ วัยป่วนก๊วนล่าฝัน, นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว, ลูกโขน, มนต์รักแม่น้ำมูล สัญญากับทางต้นสังกัด คือ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ของพิมพ์ชนก สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 ละครเรื่องสุดท้ายของใบเฟิร์นกับทางช่อง 7 คือเรื่องบัลลังก์หงส์ ปัจจุบันเป็น นักแสดงอิสระผลงานละครในฐานะนักแสดงอิสระผลงานละครในฐานะนักแสดงสังกัด สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7ละครเทิดพระเกียรติละครเวทีละครเวที. - Proof (ละครเวที มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)ผลงานเพลงผลงานเพลง. - 2553 เพลงประกอบละคร วัยป่วนก๊วนล่าฝัน- เพลง เพราะเธอ - เพลง การเดินทางที่แสนไกล (รวมนักแสดง) - 2555 เพลงประกอบละคร "อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว"- เพลง เสกรัก...ให้เธอได้รู้ (ร่วมกับ อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์)- 2556 เพลงประกอบละคร "ลูกไม้หลากสี"- เพลง ขอบคุณที่รักกัน (ร่วมกับ โตนนท์, มิก, สเตฟานี่)- 2558 เพลงประกอบภาพยนตร์ 2538 อัลเทอร์มาจีบ- เพลง สายตา - 2559 เพลงประกอบละคร "บัลลังก์หงส์"- เพลง สัญญาจากหัวใจ (ใบเฟิร์นร้อง)มิวสิกวิดีโอมิวสิกวิดีโอ. - 2547 เพลง น้ำลาย ของ ซิลลี่ ฟูลส์ - 2549 เพลง เรื่องธรรมดา ของ เจมส์ เรืองศักดิ์ - 2549 เพลง เรารักแม่ ของ รวมศิลปินอาร์เอส - 2549 เพลง 14 อีกครั้ง ของ เสก โลโซ - 2552 เพลง เจ็บหัวใจ ของ เสก โลโซ - 2552 เพลง เพลงนี้ ของ สิงโต เดอะสตาร์ - 2553 เพลง สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก ของ ธนกฤต พานิชวิทย์ - 2555 เพลง บาลาชู บาชู / เสกรัก...ให้เธอได้รู้ (ประกอบละคร อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว) - 2556 เพลง พระราชาเป็นประมุขของประชาชน เพลงเทิดพระเกียรติ "ในหลวง" (รวมนักแสดงช่อง 7) - 2558 เพลง สายตา (ประกอบภาพยนตร์ 2538 อัลเทอร์มาจีบ) - 2559 เพลง สัญญาจากหัวใจ (ประกอบละคร บัลลังก์หงส์) - 2560 เพลง จีบ… (May I) ของ แหนม รณเดช - 2560 เพลง จะมีวันของฉันไหม ของ นิว จิ๋ว (ประกอบละคร หลงไฟ) - 2561 เพลง คิดถึงจัง (มาหาหน่อย) ของ โอ๊ต ปราโมทย์รางวัลรางวัล. - 2545 หนูน้อยนพมาศ ของสำนักงานเขตมีนบุรี - 2553 รางวัลเฉลิมไทยอวอร์ด ครั้งที่ 8 สาขานักแสดงหญิงในบทนำจากภาพยนตร์ไทยแห่งปี จาก สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก - 2553 นักแสดงดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยม TOP Award 2010 จากภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก - 2554 รางวัล “ระฆังทอง” บุคคลแห่งปี 2554 สาขาสร้างสรรค์ สนับสนุนมวลชนและสังคมดีเด่น ประเภทศิลปิน ดารา นักแสดง - 2555 รางวัลดาราหญิงยอดนิยม งาน KAZZ Award 2012 - 2557 รางวัลนิสิตดีเด่น ปี 2557 เป็นผู้ทำกิจกรรมและสร้างชื่อเสียง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ - 2558 BIOSCOPE Awards 2015 การแสดงแห่งปี จากภาพยนตร์ 2538 อัลเทอร์มาจีบ และ แคท อ่ะ แว้บ! #แบบว่ารักอ่ะ - 2560 OK Beauty Choice 2017 สาขา CHARMING BABE - 2560 ASIAN DRAMA FANS PHILIPPINES 2ND GATHERING sponsored by Viu Philippines สาขา BEST ACTRESS in Thai Dramas Category - 2561 MThai Top Talk-about 2018 สาขา นักแสดงหญิง ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด จากละครเรื่อง หลงไฟเข้าชิงรางวัลเข้าชิงรางวัล. - 2553 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 20 ประจำปี 2553 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก - 2553 (เข้าชิงรางวัล) รางวัล Starpics Thai Film Awards ครั้งที่ 8 ประจำปี 2553 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก) - 2553 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 19 ประจำปี 2553 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก) - 2553 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลคมชัดลึก ครั้งที่ 8 ประจำปี 2553 ประเภทภาพยนตร์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่า...รัก) - 2559 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 25 ประจำปี 2558 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก 2538 อัลเทอร์มาจีบ - 2559 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลคมชัดลึก ครั้งที่ 13 ประจำปี 2558 ประเภทภาพยนตร์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (2538 อัลเทอร์มาจีบ) - 2559 (เข้าชิงรางวัล) รางวัล Starpics Thai Film Awards ครั้งที่ 13 ประจำปี 2558 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก แคทอ่ะแว้บ! #แบบว่ารักอ่ะ - 2559 (เข้าชิงรางวัล) รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 24 ประจำปี 2558 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จาก (แคทอ่ะแว้บ! #แบบว่ารักอ่ะ)
โรงพยาบาลวชิรพยาบาล
286
305
343
1
โกต-ดาร์มอร์ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในแคว้นใดของประเทศฝรั่งเศ
จังหวัดโกต-ดาร์มอร์ โกต-ดาร์มอร์ (, ฟังเสียง; ) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในแคว้นเบรอตาญในประเทศฝรั่งเศส ตัวจังหวัดตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส โดยมีแซ็ง-บรีเยอเป็นเมืองหลวง โกต-ดู-นอร์ดเป็นหนึ่งใน 83 จังหวัดที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1790 จากบางส่วนของอดีตจังหวัดบริตทานี ชื่อของจังหวัดเปลี่ยนเป็น “Côtes-d'Armor” ในปี ค.ศ. 1990 (“ar mor” แปลว่า “ทะเล” ในภาษาเบรอตง) นอกจากนั้นก็ยังเป็นชื่อที่แผลงมาจากชื่อเดิม “Armorica” ซึ่งเป็นชื่อของจังหวัดโรมัน
แคว้นเบรอตาญ
167
179
344
1
แซ็ง-บรีเยอเป็นเมืองหลวงของจังหวัดอะไรในประเทศฝรั่งเศส
จังหวัดโกต-ดาร์มอร์ โกต-ดาร์มอร์ (, ฟังเสียง; ) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในแคว้นเบรอตาญในประเทศฝรั่งเศส ตัวจังหวัดตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส โดยมีแซ็ง-บรีเยอเป็นเมืองหลวง โกต-ดู-นอร์ดเป็นหนึ่งใน 83 จังหวัดที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1790 จากบางส่วนของอดีตจังหวัดบริตทานี ชื่อของจังหวัดเปลี่ยนเป็น “Côtes-d'Armor” ในปี ค.ศ. 1990 (“ar mor” แปลว่า “ทะเล” ในภาษาเบรอตง) นอกจากนั้นก็ยังเป็นชื่อที่แผลงมาจากชื่อเดิม “Armorica” ซึ่งเป็นชื่อของจังหวัดโรมัน
โกต-ดู-นอร์ด
276
288
345
1
อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์แบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 5 ตำบล กี่หมู่บ้าน
อำเภอสามร้อยยอด สามร้อยยอด เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ตั้งและอาณาเขต ที่ตั้งและอาณาเขต. อำเภอสามร้อยยอดตั้งอยู่ทางตอนกลางของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้- ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอปราณบุรี - ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทย - ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอกุยบุรี และเขตตะนาวศรี (ประเทศพม่า) - ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตตะนาวศรี (ประเทศพม่า)ประวัติ ประวัติ. ท้องที่อำเภอสามร้อยยอดเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอปราณบุรีและอำเภอกุยบุรี ในครั้งแรกทางราชการได้แบ่งพื้นที่ตำบลสามร้อยยอด ตำบลศิลาลอย และตำบลไร่เก่าจากอำเภอปราณบุรีออกมาตั้งเป็น กิ่งอำเภอสามร้อยยอด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ปีเดียวกัน ต่อมาในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2538 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศจัดตั้งตำบลศาลาลัยขึ้นโดยแบ่งพื้นที่ 6 หมู่บ้านจากตำบลไร่เก่า และได้มีพระราชกฤษฎีกาโอนตำบลไร่ใหม่จากอำเภอกุยบุรีมาอยู่ในเขตการปกครองของทางกิ่งอำเภอตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2539 ในที่สุดก็ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะขึ้นเป็น อำเภอสามร้อยยอด ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน ปีเดียวกันการแบ่งเขตการปกครองการปกครองส่วนภูมิภาค การแบ่งเขตการปกครอง. การปกครองส่วนภูมิภาค. อำเภอสามร้อยยอดแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 5 ตำบล 41 หมู่บ้าน ได้แก่การปกครองส่วนท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่น. ท้องที่อำเภอสามร้อยยอดประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7 แห่ง ได้แก่- เทศบาลตำบลไร่ใหม่ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลไร่ใหม่ (รวมทั้งบางส่วนของตำบลสามกระทายในเขตอำเภอกุยบุรีด้วย) - เทศบาลตำบลไร่เก่า ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลไร่เก่าและบางส่วนของตำบลศาลาลัย - องค์การบริหารส่วนตำบลสามร้อยยอด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสามร้อยยอดทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลศิลาลอย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลศิลาลอยทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลไร่เก่า ครอบคลุมพื้นที่ตำบลไร่เก่า (นอกเขตเทศบาลตำบลไร่เก่า) - องค์การบริหารส่วนตำบลศาลาลัย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลศาลาลัย (นอกเขตเทศบาลตำบลไร่เก่า) - องค์การบริหารส่วนตำบลไร่ใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลไร่ใหม่ (นอกเขตเทศบาลตำบลไร่ใหม่)สถานที่สำคัญสถานที่สำคัญ. - อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด
41 หมู่บ้าน
1,284
1,295
346
1
พระบิดาของเจ้าชายอาแล็กซ็องดร์แห่งเบลเยียม มีพระนามว่าอะไร
เจ้าชายอาแล็กซ็องดร์แห่งเบลเยียม เจ้าชายอาแล็กซ็องดร์แห่งเบลเยียม () เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม กับพระวรชายาพระองค์ที่ 2 ลิเลียง เจ้าหญิงแห่งเรธี พระองค์มีศักดิ์เป็นพระราชอนุชาต่างพระราชมารดาใน สมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 แห่งเบลเยียม และมีศักดิ์เป็นพระราชปิตุลาใน สมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิปแห่งเบลเยียม พระองค์อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงเลอาแห่งเบลเยียม แต่พระองค์ไม่มีโอรส-ธิดา
สมเด็จพระราชาธิบดีเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม
193
238
347
1
เจ้าหญิงเลอาแห่งเบลเยียมอภิเษกสมรสกับผู้ใด
เจ้าชายอาแล็กซ็องดร์แห่งเบลเยียม เจ้าชายอาแล็กซ็องดร์แห่งเบลเยียม () เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม กับพระวรชายาพระองค์ที่ 2 ลิเลียง เจ้าหญิงแห่งเรธี พระองค์มีศักดิ์เป็นพระราชอนุชาต่างพระราชมารดาใน สมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 แห่งเบลเยียม และมีศักดิ์เป็นพระราชปิตุลาใน สมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิปแห่งเบลเยียม พระองค์อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงเลอาแห่งเบลเยียม แต่พระองค์ไม่มีโอรส-ธิดา
เจ้าชายอาแล็กซ็องดร์แห่งเบลเยียม
141
173
348
1
สามีของเมย์ เฟื่องอารมย์ หรือ ปทิดา กำเนิดพลอย คือใคร
เมย์ เฟื่องอารมย์ ปทิดา กำเนิดพลอย (ชื่อเดิม: ศิกานต์ เจริญพาณิชย์; 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2519) ชื่อเล่น เมย์ เป็นที่รู้จักในชื่อ เมย์ เฟื่องอารมย์ เป็นนักแสดงหญิงชาวไทย ส่วนใหญ่มักรับบทเป็นนางร้าย เธอสมรสกับกรรชัย กำเนิดพลอย ซึ่งเป็นนักแสดงด้วยกัน มีธิดาหนึ่งคนประวัติ ประวัติ. เมย์เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2519 ชื่อ "เมย์ เฟื่องอารมย์" นี้เป็นชื่อในวงการบันเทิง โดยนำชื่อเล่นกับนามสกุลก่อนสมรสของแม่ "เฟื่องอารมย์" มาใช้เป็นชื่อทางการแสดง ทั้งนี้แม่ของเมย์ เป็นพี่น้องกับ ชลิต เฟื่องอารมย์ และชรัส เฟื่องอารมย์ สำหรับด้านการแสดง เมย์ เข้าวงการด้วยการออกเทป อัลบัมชื่อว่า May ค่ายเอ็มสแควร์ แต่ปัจจุบันได้มาเน้นด้านการแสดงเป็นหลักซึ่งมักจะได้รับบทร้าย นอกจากนี้ยังมีงานเดินแบบ พิธีกร เมย์จบการศึกษาระดับอนุบาลจากโรงเรียนสังสิทธิ ระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนเซนต์จอห์น ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสตรีวิทยา 2 และระดับอุดมศึกษาปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาการตลาด ระดับปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เอกโฆษณา เมย์ เฟื่องอารมย์ มีความสัมพันธ์กับกรรชัย กำเนิดพลอย และเคยตกเป็นข่าวดังทางสื่อมวลชน คือ กรณีการทะเลาะวิวาทกับสาวโคโยตี้ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกรรชัยเมื่อปี พ.ศ. 2549 และกรณีแย่งรถมินิ คูเปอร์ กับกฤตธีรา อินพรวิจิตร ในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งพัชราภา ไชยเชื้อร่วมอยู่ด้วยทั้งสองเหตุการณ์ ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เมย์พร้อมกับกรรชัยได้ออกมาเปิดเผยว่าเมย์ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว โดยทั้งคู่จดทะเบียนสมรสอย่างเงียบ ๆ ไม่เปิดเผยตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2555 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อจริงมาเป็นชื่อที่ใช้ในปัจจุบันเพื่อเอาเคล็ด ปัจจุบันทั้งคู่มีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อภูรดา กำเนิดพลอย มีชื่อเล่นว่า มายูผลงานการแสดงละครโทรทัศน์ผู้จัดละครซิตคอมผลงานการแสดง. ซิตคอม. - ปี 2555 - 2557 ระเบิดเที่ยงแถวตรง รับบท พ.ญ. ลำเภาพิธีกรพิธีกร. - Oops on air - รายการ Oops On Air ช่อง ITV - พิธีกรรับเชิญ รายการรู้จริงป่ะ ช่อง 3 - พิธีกรรับเชิญ รายการ 5 4 3 2 Show ช่อง 5 - พิธีกรรับเชิญ รายการหม่ำโชว์ ช่อง 5 - พิธีกรรับเชิญ รายการคนอวดผี ช่อง 7 - พิธีกรรับเชิญ รายการเข้าครัววันหยุด ช่อง 5 - พิธีกรรับเชิญ รายการบิ๊กหม่ำ ช่อง 3 - อู้ว! ลัล ล้า ช่อง 5 - ยุทธจ๊กรนักจำ ช่อง9 - ดีเจ รวมมิตร90 เรดิโอ - พิธีกร รายการ True Coffee Master ช่อง 61 True Inside - พิธีกร รายการ Thailand Special - พิธีกร รายการ “แฟ้มลับ คดีเลิฟ” (The X-Lies) - พิธีกร รายการ Happy Morning กับ ภัคจีรา วรรณสุทธิ์ และ มรกต กิตติสาระ ช่อง 5 - พิธีกร รายการ สวย เฉียบ เนียบ - พิธีกร รายการ ระเบิดเที่ยงแถวตรง - พิธีกร รายการ ยอง ยอง เหลา ทางช่อง 3 แฟมิลีมิวสิกวิดีโอมิวสิกวิดีโอ. - ไหนว่าจะไม่หลอกกัน ซิลลี่ฟูล - ผู้ร้ายคนใหม่ ไฮเปอร์งานอื่นงานอื่น. - ได้ร่วมหุ้นกับ เพื่อนสนิท อั้ม พัชราภา เปิดร้านจำหน่ายกระเป๋าชื่อ "Buon Fine" ที่ crystal park - เปิดร้านส้มตำ ร่วมกับ เอ ศุภชัย ชื่อร้าน "ตำแหล" ที่อิพิเรียล สำโรง, เมเจอร์ รัชโยธิน, ยูเนี่ยนมอรางวัลรางวัล. - 1 ใน 5 รางวัลดาราสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากละครเรื่องปิ่นมุกจากงาน top awards 2006 - 2549 IN Magazine Bitchy นางร้ายในดวงใจ - 2550 IN Magazine Bitchy นางร้ายในดวงใจ - 2550 สตาร์ปาร์ตี้ 18 ปี ทีวีพูล รางวัลขวัญใจบทนางร้ายประจำปี 2550 - 2551 IN Magazine Bitchy นางร้ายในดวงใจ - 2551 IN Magazine เพื่อนซี้ Hot Buddy - 2551 นิตยสาร WE คู่รักทรหด - 2552 นางร้ายแห่งปี - 2552 FHM 100 SEXIEST WOMEN IN THE WORLD 2009 - 2553 Bitchy Baby นางร้ายแห่งยุค - 2553 FHM 100 SEXIEST WOMEN IN THE WORLD 2010 - 2554 1 ใน 10 ดาราสาวเซ็กซี่ของเมืองไทย จากงาน Star's Choice Awards 2011 - 2555 สยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ ในปี 2012 รางวัล ร้ายได้ใจ สาขาละครโทรทัศน์ ละครรอยไหม ช่อง 3 - 2555 TV POOL STARS PARTY 2012 รางวัล ร้ายสุดขั้ว - 2555 Star’s Light Awards 2012 รางวัล ทรงผมโดนใจ
กรรชัย กำเนิดพลอย
295
312
349
1
ลูกสาวของกรรชัย กำเนิดพลอย มีชื่อว่าอะไร
เมย์ เฟื่องอารมย์ ปทิดา กำเนิดพลอย (ชื่อเดิม: ศิกานต์ เจริญพาณิชย์; 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2519) ชื่อเล่น เมย์ เป็นที่รู้จักในชื่อ เมย์ เฟื่องอารมย์ เป็นนักแสดงหญิงชาวไทย ส่วนใหญ่มักรับบทเป็นนางร้าย เธอสมรสกับกรรชัย กำเนิดพลอย ซึ่งเป็นนักแสดงด้วยกัน มีธิดาหนึ่งคนประวัติ ประวัติ. เมย์เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2519 ชื่อ "เมย์ เฟื่องอารมย์" นี้เป็นชื่อในวงการบันเทิง โดยนำชื่อเล่นกับนามสกุลก่อนสมรสของแม่ "เฟื่องอารมย์" มาใช้เป็นชื่อทางการแสดง ทั้งนี้แม่ของเมย์ เป็นพี่น้องกับ ชลิต เฟื่องอารมย์ และชรัส เฟื่องอารมย์ สำหรับด้านการแสดง เมย์ เข้าวงการด้วยการออกเทป อัลบัมชื่อว่า May ค่ายเอ็มสแควร์ แต่ปัจจุบันได้มาเน้นด้านการแสดงเป็นหลักซึ่งมักจะได้รับบทร้าย นอกจากนี้ยังมีงานเดินแบบ พิธีกร เมย์จบการศึกษาระดับอนุบาลจากโรงเรียนสังสิทธิ ระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนเซนต์จอห์น ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสตรีวิทยา 2 และระดับอุดมศึกษาปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาการตลาด ระดับปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เอกโฆษณา เมย์ เฟื่องอารมย์ มีความสัมพันธ์กับกรรชัย กำเนิดพลอย และเคยตกเป็นข่าวดังทางสื่อมวลชน คือ กรณีการทะเลาะวิวาทกับสาวโคโยตี้ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกรรชัยเมื่อปี พ.ศ. 2549 และกรณีแย่งรถมินิ คูเปอร์ กับกฤตธีรา อินพรวิจิตร ในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งพัชราภา ไชยเชื้อร่วมอยู่ด้วยทั้งสองเหตุการณ์ ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เมย์พร้อมกับกรรชัยได้ออกมาเปิดเผยว่าเมย์ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว โดยทั้งคู่จดทะเบียนสมรสอย่างเงียบ ๆ ไม่เปิดเผยตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2555 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อจริงมาเป็นชื่อที่ใช้ในปัจจุบันเพื่อเอาเคล็ด ปัจจุบันทั้งคู่มีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อภูรดา กำเนิดพลอย มีชื่อเล่นว่า มายูผลงานการแสดงละครโทรทัศน์ผู้จัดละครซิตคอมผลงานการแสดง. ซิตคอม. - ปี 2555 - 2557 ระเบิดเที่ยงแถวตรง รับบท พ.ญ. ลำเภาพิธีกรพิธีกร. - Oops on air - รายการ Oops On Air ช่อง ITV - พิธีกรรับเชิญ รายการรู้จริงป่ะ ช่อง 3 - พิธีกรรับเชิญ รายการ 5 4 3 2 Show ช่อง 5 - พิธีกรรับเชิญ รายการหม่ำโชว์ ช่อง 5 - พิธีกรรับเชิญ รายการคนอวดผี ช่อง 7 - พิธีกรรับเชิญ รายการเข้าครัววันหยุด ช่อง 5 - พิธีกรรับเชิญ รายการบิ๊กหม่ำ ช่อง 3 - อู้ว! ลัล ล้า ช่อง 5 - ยุทธจ๊กรนักจำ ช่อง9 - ดีเจ รวมมิตร90 เรดิโอ - พิธีกร รายการ True Coffee Master ช่อง 61 True Inside - พิธีกร รายการ Thailand Special - พิธีกร รายการ “แฟ้มลับ คดีเลิฟ” (The X-Lies) - พิธีกร รายการ Happy Morning กับ ภัคจีรา วรรณสุทธิ์ และ มรกต กิตติสาระ ช่อง 5 - พิธีกร รายการ สวย เฉียบ เนียบ - พิธีกร รายการ ระเบิดเที่ยงแถวตรง - พิธีกร รายการ ยอง ยอง เหลา ทางช่อง 3 แฟมิลีมิวสิกวิดีโอมิวสิกวิดีโอ. - ไหนว่าจะไม่หลอกกัน ซิลลี่ฟูล - ผู้ร้ายคนใหม่ ไฮเปอร์งานอื่นงานอื่น. - ได้ร่วมหุ้นกับ เพื่อนสนิท อั้ม พัชราภา เปิดร้านจำหน่ายกระเป๋าชื่อ "Buon Fine" ที่ crystal park - เปิดร้านส้มตำ ร่วมกับ เอ ศุภชัย ชื่อร้าน "ตำแหล" ที่อิพิเรียล สำโรง, เมเจอร์ รัชโยธิน, ยูเนี่ยนมอรางวัลรางวัล. - 1 ใน 5 รางวัลดาราสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากละครเรื่องปิ่นมุกจากงาน top awards 2006 - 2549 IN Magazine Bitchy นางร้ายในดวงใจ - 2550 IN Magazine Bitchy นางร้ายในดวงใจ - 2550 สตาร์ปาร์ตี้ 18 ปี ทีวีพูล รางวัลขวัญใจบทนางร้ายประจำปี 2550 - 2551 IN Magazine Bitchy นางร้ายในดวงใจ - 2551 IN Magazine เพื่อนซี้ Hot Buddy - 2551 นิตยสาร WE คู่รักทรหด - 2552 นางร้ายแห่งปี - 2552 FHM 100 SEXIEST WOMEN IN THE WORLD 2009 - 2553 Bitchy Baby นางร้ายแห่งยุค - 2553 FHM 100 SEXIEST WOMEN IN THE WORLD 2010 - 2554 1 ใน 10 ดาราสาวเซ็กซี่ของเมืองไทย จากงาน Star's Choice Awards 2011 - 2555 สยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ ในปี 2012 รางวัล ร้ายได้ใจ สาขาละครโทรทัศน์ ละครรอยไหม ช่อง 3 - 2555 TV POOL STARS PARTY 2012 รางวัล ร้ายสุดขั้ว - 2555 Star’s Light Awards 2012 รางวัล ทรงผมโดนใจ
ภูรดา กำเนิดพลอย
1,570
1,586
350
1
วัดมหรรณพารามวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลใด
วัดมหรรณพารามวรวิหาร วัดมหรรณพารามวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยกรมหมื่นอุดมรัตนราษีที่มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าอรรณพ เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 3 การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 หลังจากกรมหมื่นอุดมรัตนราษีได้สิ้นพระชนม์แล้ว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดมหรรณพาราม สถาปัตยกรรมภายในวัดมีทั้งแบบไทยและแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน หลังคาของพระอุโบสถไม่มีช่อฟ้า ใบระกา มีพระประธานปั้นด้วยปูน ลงรักปิดทอง เป็นพระพุทธรูปสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนพระวิหารมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ รวมทั้งมีศิลปะแบบเดียวกัน มีพระพุทธรูปหล่อสมัยสุโขทัยนามว่า พระร่วงทองคำ ประดิษฐานอยู่ ปัจจุบันมี พระเทพสุตเมธี (บุญธรรม สุตธมฺโม) เป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
รัชกาลที่ 3
189
200
351
1
นวนิยายเรื่องแรกในนามของ ก. สุรางคนางค์ ตีพิมพ์ครั้งแรกประมาณปี พ.ศ. 2509 มีชื่อว่าอะไร
รักประกาศิต รักประกาศิต เป็นนวนิยายเรื่องแรกในนามของ ก. สุรางคนางค์ ตีพิมพ์ครั้งแรกประมาณปี พ.ศ. 2509 เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2523 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ สาขานักแสดงสนับสนุนหญิง ในปี พ.ศ. 2523 สร้างเป็นหนังต่อกัน 2 ภาคตามกระแสความนิยม ภาคต่อชื่อ ภูชิชย์-นริศรา และเคยได้รับการสร้างเป็นละครครั้งแรกในปี 2520 ทาง ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ต่อมา ทางช่อง 3 และ ช่อง 7 มาแล้วสองครั้งฉายในปี 2531 และ 2543 และช่อง 3 ได้นำมาสร้างอีกครั้งในปี 2555ภาพยนตร์ภาพยนตร์. - พ.ศ. 2523 ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ กำกับโดย พิศาล อัครเศรณี - สร้างโดย พรเทวาโปรดักชั่น - ผู้อำนวยการสร้างโดย เชษฐ์ ขันธ์สุวรรณ- พิศาล อัครเศรณี รับบท ภูชิชย์ - เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ รับบท นริศรา - พอเจตน์ แก่นเพชร รับบท วิทวัส - มนตรี เจนอักษร รับบท นิพนธ์ - ธิติมา สังขพิทักษ์ รับบท สุพัฒนา - ลินดา ค้าธัญเจริญ รับบท มาลินี - ตรีนุช ทิมเจริญ รับบท เจ้าน้อย ทิพยดารา - ฉายครั้งแรกวันที่ 14 มิถุนายน 2523 ที่โรงหนังแอมบาสเดอร์-ดาดา-พลาซาร์-แกรนด์-สเตลลา-ออสการ์-เจ้าพระยา- ภูชิชย์-นริศรา ฉายครั้งแรกวันที่ 18 เมษายน 2524 ที่โรงหนังรามา-แอมบาสเดอร์-ดาดา-แกรนด์-สิริรามาละครโทรทัศน์พ.ศ. 2520ละครโทรทัศน์. พ.ศ. 2520. - ละครโทรทัศน์ทาง ช่อง 9 อ.ส.ม.ท.- พิศาล อัครเศรณี รับบท ภูชิชย์- ศันสนีย์ สมานวรวงศ์ รับบท นริศรา- เศรษฐา ศิระฉายา รับบท นิพนธ์- สุทธิจิตร วีระเดชกำแหง รับบท สุพัฒนา- โฉมฉาย ฉัตรวิไล รับบท มาลินี- สุประวัติ ปัทมสูต รับบท วิทวัสพ.ศ. 2531พ.ศ. 2531. - ละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 - บริษัท ไอ แอม โปรดักชั่น - บทโทรทัศน์โดย สายทิพย์ - กำกับการแสดงโดย อดุลย์ ดุลยรัตน์- ฉัตรชัย เปล่งพานิช รับบท ภูชิชย์- ลลิตา ปัญโญภาส รับบท นริศรา- ปัญญา นิรันดร์กุล รับบท นิพนธ์- รัญญา ศิยานนท์ รับบท สุพัฒนา- หทัยรัตน์ อมตวณิชย์ รับบท เจ้าน้อย ทิพยดารา- เฉลิมพร พุ่มพันธ์วงศ์ รับบท วิทวัส- ราตรี วิทวัส รับบท รัชนิดา- อรสา พรหมประทาน รับบท ลัคนา - ด.ญ.มาไรนา เบริ์ดเนอร์ รับบทเป็น สายธารพ.ศ. 2543พ.ศ. 2543. - ละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 - บริษัท อาร์ เอส โปรโมชั่น - บทโทรทัศน์โดย ศักดิ์ อักษรา - กำกับการแสดงโดย องอาจ สิงห์ลำพอง- ศรราม เทพพิทักษ์ รับบท ภูชิชย์- กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา รับบท นริศรา- จาตุรงค์ โกลิมาศ รับบท นิพนธ์- อุบลวรรณ บุญรอด รับบท สุพัฒนา- นุศรา ประวันณา รับบท เจ้าน้อย ทิพยดารา- พฤกษ์ พีรนันท์ รับบท วิทวัส- กมลา กำภู ณ อยุธยา รับบท มาลินี- นึกคิด บุญทอง รับบท ณรงค์- กุ้งนาง ปัทมสูต รับบท ลัคนา- เอก โอรี รับบท พูนพันธ์- ธัญญรัตน์ โลหะนันท์ รับบท เจ้าดารกา- ไมเคิล เวนซ์ รับบท ผล- เสาวลักษณ์ ศรีอรัญญ์ รับบท บัวเกี๋ยง- ปริญญ์ วิกรานต์ รับบท พิสุทธิ์- วันวิสา ดำขำ รับบท ลาวัลย์- ลิขิต บุญประกอบ รับบท ประพจน์ - ด.ญ.พิมประภา ตั้งประภาพร รับบทเป็น สายธารพ.ศ. 2555พ.ศ. 2555. - ละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 - บริษัท เมคเกอร์วาย - บทโทรทัศน์โดย กฤษณ์ มงคลเกษม, พิมพ์พิชชา ภู่ประพันธ์ - กำกับการแสดงโดย ยุทธนา ลอพันธ์ไพบูลย์- ณัฐวุฒิ สกิดใจ รับบท ภูชิชย์- ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ รับบท นริศรา- สรวิชญ์ สุบุญ รับบท นิพนธ์- ณปภา ตันตระกูล รับบท สุพัฒนา- พิจิตรา สิริเวชชะพันธ์ รับบท เจ้าน้อย ทิพยดารา- สกาวใจ พูนสวัสดิ์ รับบท ลัคนา- สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล รับบท พิสุทธิ์- สุพจน์ จันทร์เจริญ รับบท วิทวัส- โชติรส แก้วพินิจ รับบท รัชนิดา- ศิระ แพทย์รัตน์ รับบท ผล- รมิดา ประภาสโนบล รับบท บัวเกี๋ยง- เวธกา ศิริวัฒนา รับบท ลาวัลย์- เมธัส ตรีรัตนวารีสิน รับบท เจมส์- เจสสิกา ภาสะพันธุ์ รับบท มัลลิกา- พรรษชล สุปรีย์ รับบท พร- ถนอม สามโทน รับบท ลุงปั๋น- พิมพ์พรรณ บูรณะพิมพ์ รับบท แม่อุ้ยนักแสดงรับเชิญนักแสดงรับเชิญ. - เพ็ญพักตร์ ศิริกุล รับบท เจ้าดารกา- วิวัฒน์ ผสมทรัพย์ รับบท เจ้าเทพมงคล- มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช รับบท คุณหญิงบริรักษ์กิจเกษตร- สุเชาว์ พงษ์วิไล รับบท พ่อพิสุทธิ์- อรสา พรหมประทาน รับบท แม่พิสุทธิ์- กรุณพล เทียนสุวรรณ รับบท พ.ท.ณรงค์ - ด.ญ.นภัสธนันท์ นิมจิรวัฒน์ รับบทเป็น สายธารนักแสดงนำ
รักประกาศิต
99
110
352
1
ในปี พ.ศ. 2555 ผู้กำกับการแสดงโดยยุทธนา ลอพันธ์ไพบูลย์ได้ผลิตละครเรื่องรักประกาศิต ใครเป็นผู้รับบทนริศรา
รักประกาศิต รักประกาศิต เป็นนวนิยายเรื่องแรกในนามของ ก. สุรางคนางค์ ตีพิมพ์ครั้งแรกประมาณปี พ.ศ. 2509 เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2523 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ สาขานักแสดงสนับสนุนหญิง ในปี พ.ศ. 2523 สร้างเป็นหนังต่อกัน 2 ภาคตามกระแสความนิยม ภาคต่อชื่อ ภูชิชย์-นริศรา และเคยได้รับการสร้างเป็นละครครั้งแรกในปี 2520 ทาง ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ต่อมา ทางช่อง 3 และ ช่อง 7 มาแล้วสองครั้งฉายในปี 2531 และ 2543 และช่อง 3 ได้นำมาสร้างอีกครั้งในปี 2555ภาพยนตร์ภาพยนตร์. - พ.ศ. 2523 ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ กำกับโดย พิศาล อัครเศรณี - สร้างโดย พรเทวาโปรดักชั่น - ผู้อำนวยการสร้างโดย เชษฐ์ ขันธ์สุวรรณ- พิศาล อัครเศรณี รับบท ภูชิชย์ - เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ รับบท นริศรา - พอเจตน์ แก่นเพชร รับบท วิทวัส - มนตรี เจนอักษร รับบท นิพนธ์ - ธิติมา สังขพิทักษ์ รับบท สุพัฒนา - ลินดา ค้าธัญเจริญ รับบท มาลินี - ตรีนุช ทิมเจริญ รับบท เจ้าน้อย ทิพยดารา - ฉายครั้งแรกวันที่ 14 มิถุนายน 2523 ที่โรงหนังแอมบาสเดอร์-ดาดา-พลาซาร์-แกรนด์-สเตลลา-ออสการ์-เจ้าพระยา- ภูชิชย์-นริศรา ฉายครั้งแรกวันที่ 18 เมษายน 2524 ที่โรงหนังรามา-แอมบาสเดอร์-ดาดา-แกรนด์-สิริรามาละครโทรทัศน์พ.ศ. 2520ละครโทรทัศน์. พ.ศ. 2520. - ละครโทรทัศน์ทาง ช่อง 9 อ.ส.ม.ท.- พิศาล อัครเศรณี รับบท ภูชิชย์- ศันสนีย์ สมานวรวงศ์ รับบท นริศรา- เศรษฐา ศิระฉายา รับบท นิพนธ์- สุทธิจิตร วีระเดชกำแหง รับบท สุพัฒนา- โฉมฉาย ฉัตรวิไล รับบท มาลินี- สุประวัติ ปัทมสูต รับบท วิทวัสพ.ศ. 2531พ.ศ. 2531. - ละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 - บริษัท ไอ แอม โปรดักชั่น - บทโทรทัศน์โดย สายทิพย์ - กำกับการแสดงโดย อดุลย์ ดุลยรัตน์- ฉัตรชัย เปล่งพานิช รับบท ภูชิชย์- ลลิตา ปัญโญภาส รับบท นริศรา- ปัญญา นิรันดร์กุล รับบท นิพนธ์- รัญญา ศิยานนท์ รับบท สุพัฒนา- หทัยรัตน์ อมตวณิชย์ รับบท เจ้าน้อย ทิพยดารา- เฉลิมพร พุ่มพันธ์วงศ์ รับบท วิทวัส- ราตรี วิทวัส รับบท รัชนิดา- อรสา พรหมประทาน รับบท ลัคนา - ด.ญ.มาไรนา เบริ์ดเนอร์ รับบทเป็น สายธารพ.ศ. 2543พ.ศ. 2543. - ละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 - บริษัท อาร์ เอส โปรโมชั่น - บทโทรทัศน์โดย ศักดิ์ อักษรา - กำกับการแสดงโดย องอาจ สิงห์ลำพอง- ศรราม เทพพิทักษ์ รับบท ภูชิชย์- กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา รับบท นริศรา- จาตุรงค์ โกลิมาศ รับบท นิพนธ์- อุบลวรรณ บุญรอด รับบท สุพัฒนา- นุศรา ประวันณา รับบท เจ้าน้อย ทิพยดารา- พฤกษ์ พีรนันท์ รับบท วิทวัส- กมลา กำภู ณ อยุธยา รับบท มาลินี- นึกคิด บุญทอง รับบท ณรงค์- กุ้งนาง ปัทมสูต รับบท ลัคนา- เอก โอรี รับบท พูนพันธ์- ธัญญรัตน์ โลหะนันท์ รับบท เจ้าดารกา- ไมเคิล เวนซ์ รับบท ผล- เสาวลักษณ์ ศรีอรัญญ์ รับบท บัวเกี๋ยง- ปริญญ์ วิกรานต์ รับบท พิสุทธิ์- วันวิสา ดำขำ รับบท ลาวัลย์- ลิขิต บุญประกอบ รับบท ประพจน์ - ด.ญ.พิมประภา ตั้งประภาพร รับบทเป็น สายธารพ.ศ. 2555พ.ศ. 2555. - ละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 - บริษัท เมคเกอร์วาย - บทโทรทัศน์โดย กฤษณ์ มงคลเกษม, พิมพ์พิชชา ภู่ประพันธ์ - กำกับการแสดงโดย ยุทธนา ลอพันธ์ไพบูลย์- ณัฐวุฒิ สกิดใจ รับบท ภูชิชย์- ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ รับบท นริศรา- สรวิชญ์ สุบุญ รับบท นิพนธ์- ณปภา ตันตระกูล รับบท สุพัฒนา- พิจิตรา สิริเวชชะพันธ์ รับบท เจ้าน้อย ทิพยดารา- สกาวใจ พูนสวัสดิ์ รับบท ลัคนา- สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล รับบท พิสุทธิ์- สุพจน์ จันทร์เจริญ รับบท วิทวัส- โชติรส แก้วพินิจ รับบท รัชนิดา- ศิระ แพทย์รัตน์ รับบท ผล- รมิดา ประภาสโนบล รับบท บัวเกี๋ยง- เวธกา ศิริวัฒนา รับบท ลาวัลย์- เมธัส ตรีรัตนวารีสิน รับบท เจมส์- เจสสิกา ภาสะพันธุ์ รับบท มัลลิกา- พรรษชล สุปรีย์ รับบท พร- ถนอม สามโทน รับบท ลุงปั๋น- พิมพ์พรรณ บูรณะพิมพ์ รับบท แม่อุ้ยนักแสดงรับเชิญนักแสดงรับเชิญ. - เพ็ญพักตร์ ศิริกุล รับบท เจ้าดารกา- วิวัฒน์ ผสมทรัพย์ รับบท เจ้าเทพมงคล- มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช รับบท คุณหญิงบริรักษ์กิจเกษตร- สุเชาว์ พงษ์วิไล รับบท พ่อพิสุทธิ์- อรสา พรหมประทาน รับบท แม่พิสุทธิ์- กรุณพล เทียนสุวรรณ รับบท พ.ท.ณรงค์ - ด.ญ.นภัสธนันท์ นิมจิรวัฒน์ รับบทเป็น สายธารนักแสดงนำ
ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ
2,782
2,803
353
1
พระเจ้าเอ็ดวีทรงเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ ในปี ค.ศ.955-959 พระบิดนามว่าอะไร
พระเจ้าเอ็ดวี พระเจ้าเอ็ดวี [ภาษาอังกฤษ Edwy] หรือ เอ็ดวิก [ภาษาอังกฤษ Eadwig] โอรสของพระเจ้าเอ็ดมุนด์ ทรงเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ (ค.ศ.955-959) ต่อจากพระปิตุลา เอ็ดเร็ด เอเธลวาลด์บันทึกไว้ว่าประชาชนทั่วไปเรียกว่าเอ็ดวิกว่า "ผู้งดงามทุกส่วน (All-Fair)" เนื่องจากพระองค์รูปงามมาก พระองค์เป็นที่รู้จักมากที่สุดจากเรื่องการประจันหน้ากับดันสตานในงานเลี้ยงฉลองการราชาภิเษก และจากเรื่องที่ว่าในปีค.ศ.957 อาณาจักรถูกแบ่ง พื้นที่ทั้งหมดที่อยู่เหนือเธมส์ (เมอร์เซียและนอร์ธัมเบรีย) ปกครองโดยพระอนุชาของพระองค์ เอ็ดการ์ การแบ่งประเทศดูจะสงบสุขดี และเมื่อเอ็ดวิกสวรรคตในอีกสองปีต่อมา เอ็ดการ์ขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออังกฤษที่เป็นเอกภาพอีกครั้งความขัดแย้งกับนักบุญดันสตาน ความขัดแย้งกับนักบุญดันสตาน. เอ็ดวิกเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นคนหนุ่มรูปงามมาก และเสน่ห์ยามอยู่ในห้องบรรทมของเอลฟ์จิฟูคนงามเป็นที่จดจำมากกว่ายามอยู่บนพระอาสน์ในที่ประชุมสภา นักบุญดันสตานโกรธที่กษัตริย์ไม่สนใจในหน้าที่ ลากพระองค์ลงจากแท่นบรรทม เอ็ดวีไม่เคยอภัยให้กับการทำลายเกียรติแห่งราชวงศ์ของพระองค์และเกลียดชังดันสตานนับแต่นั้นเป็นต้นมา ปัญหาเริ่มต้นขึ้นในงานเลี้ยงฉลองการราชาภิเษก พระองค์ได้ปลีกตัวออกมาหาความสุขกับเหล่าเลดี้ เอเธลจิฟูที่อาจเป็นพระมารดาเลี้ยงของพระองค์กับบุตรสาว เอลฟ์จิฟูที่พระองค์ตั้งใจจะอภิเษกสมรสด้วย เหล่าขุนนางไม่พอใจการหนีออกไปของกษัตริย์ และพระองค์ถูกดุนสตานและไซน์ซิก บิชอปแห่งลิชฟิลด์ ลากกลับไปที่งานเลี้ยง เอ็ดวิกไม่พอใจการขัดจังหวะนี้ และหลังจากเหตุการณ์นั้นดุนสตานก็ไม่เคยเป็นที่โปรดปรานของพระองค์อีกเลย เอ็ดวิกถึงขั้นเกลียดดุนสตานเลยก็ว่าได้ และพระองค์ได้ขับไล่เขาออกจากประเทศหลังจากนั้นไม่นาน เรื่องนี้ทำให้เอ็ดวิกไม่เป็นที่โปรดปรานของศาสนจักรการอภิเษกสมรสที่เป็นโมฆะ การอภิเษกสมรสที่เป็นโมฆะ. ปีค.ศ.956 เอลฟ์จิฟูที่สืบเชื้อสายมาจากเอเธลเร็ดที่ 1 และเป็นน้องสาวของเอเธลวาลด์ ผู้เขียนพงศาวดาร ได้ขึ้นเป็นพระมเหสีของกษัตริย์ การอภิเษกสมรสถูกศาสนจักรมองว่าขัดต่อหลักศาสนา และพระองค์ถูกบีบให้เนรเทศพระนางออกจากราชสำนักโดยอาร์ชบิชอปโอดาที่บังคับให้คู่อภิเษกสมรสแยกทางกันเนื่องจากทั้งคู่มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตที่ใกล้ชิดกันเกินไป เอเธลวาลด์ผู้เขียนพงศาวดารอธิบายถึงตัวเองว่าเป็น "หลานของพระราชนัดดา" ของพระเจ้าเอเธลเร็ดที่ 1 ผู้เป็นพระเชษฐาของพระเจ้าอัลเฟรดมหาราช เอ็ดวิกกับเอลฟ์จิฟูจึงเป็นญาติลำดับที่สามที่อยู่ถัดออกไปหนึ่งขั้น ศาสนจักรในตอนนั้นมองว่าการอภิเษกสมรสระหว่างคนที่มีสายเลือดเดียวกันภายในเก้าช่วงเป็นการผิดประเวณีของญาติที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิดกันเกินไป แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องของการเมืองมากกว่าเรื่องของศาสนา เอ็ดวิกกับเอ็ดจิฟูไม่มีโอรสธิดา ดังนั้นความเป็นกษัตริย์จึงถูกส่งต่อไปยังเอ็ดการ์เมื่อเอ็ดวิกสวรรคตในปีต่อมาการบริหารปกครอง การบริหารปกครอง. เอ็ดวิกสืบทอดบัลลังก์แห่งอังกฤษต่อจากพระปิตุลาขณะที่พระองค์มีพระชนมายุ 15 ชันษา ทรงเริ่มรัชสมัยของพระองค์ด้วยการยืนกรานที่จะเป็นอิสระจากที่ปรึกษาคนสำคัญในรัชสมัยของพระมาตุลาและพระราชบิดา พระองค์ขับไล่ดันสตานออกจากประเทศและริบทรัพย์สินที่ดินที่เป็นของพระอัยยิกา เอ็ดจิฟู ผู้ที่เป็นพยานในกฎบัตรหลายฉบับของพระโอรสของพระนาง เอ็ดมุนด์และเอ็ดเร็ด พระองค์ไม่ได้กำจัดหัวหน้าผู้นำท้องถิ่น เอเธลสตานผู้เป็นกษัตริย์ครึ่งหนึ่ง แต่ได้แต่งตั้งผู้นำท้องถิ่นคนใหม่ขึ้นมาปกครองดูแลพื้นที่ในส่วนของเมอร์เซียที่เอเธลสตานเคยดูแล กฎบัตรจากปีค.ศ.956 เป็นผลของความพยายามของเอ็ดวิกที่จะสร้างฐานของบริวารที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ในหมู่ผู้คนใหม่ๆที่ได้รับการเลื่อนขั้นมีพระญาติของพระองค์อยู่หลายคนรวมถึงเอลเฟีย ผู้นำท้องถิ่นของเมอร์เซีย, เอลเฟีย พ่อบ้านของตระกูลที่ต่อมาได้เป็นผู้นำท้องถิ่นของเซ็นทรัลเวสเซ็กซ์ และเบิร์ทเฮล์ม บิชอปแห่งวินเชสเตอร์ ทั้งสามคนรวมถึงพระมเหสีของเอ็ดวิก เอลฟ์จิฟู ที่เป็นน้องสาวของเอเธลวาลด์ผู้เขียนพงศาวดาร อาจสืบเชื้อสายมาจากเอเธลเร็ดที่ 1 การเลื่อนขั้นให้กับกลุ่มพระญาติอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการสร้างตระกูลที่ทรงอำนาจเหมือนของเอเธลสตานผู้เป็นกษัตริย์ครึ่งหนึ่งและดันสตาน การอภิเษกสมรสของเอ็ดวิกกับเอ็ดจิฟูอาจเป็นสัญญาณที่เตือนเอ็ดการ์มากขึ้นไปอีก เหมือนเช่นการอภิเษกสมรสกับจูดิธของเอเธลวูล์ฟที่อาจสร้างความกังวลให้กับเอเธลบาลด์ในช่วงต้นศตวรรษ โอรสที่ประสูติจากการอภิเษกสมรสระหว่างพระบิดาและพระมารดาที่เป็นราชวงศ์อาจถูกมองว่าคู่ควรกับบัลลังก์มากกว่าตัวของเอ็ดการ์ เมื่อพิจารณาจากกฎบัตรจำนวนมากมายไม่ได้สัดส่วนที่ออกในช่วงรัชสมัยของพระองค์ เอ็ดวิกดูจะพระราชทานอภิสิทธิ์ให้อย่างฟุ่มเฟือยไร้เหตุผล และไม่นานนักผู้นำของชาวเมอร์เซียและนอร์ธัมเบรียก็สะอิดสะเอียดความลำเอียงที่มีให้เวสเซ็กซ์ของพระองค์และลุกขึ้นมาก่อกบฏ การก่อกบฏนำโดยพระอนุชาของพระองค์ เอ็ดการ์ และอาร์ชบิชอปโอดาแห่งแคนเทอร์สบรีที่กษัตริย์แสดงออกว่าไม่โปรดปราน เอ็ดวิกเผชิญหน้ากับพวกเขาที่กลอสเตอร์แต่พ่ายแพ้และกองทัพของพระองค์หนีไป เอลฟ์จิว่าถูกทรมานและเกิดแผลเป็นที่เลวร้ายบนพระพักตร์ของพระนาง พระนางสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นาน ผลที่ได้คือในปีค.ศ.957 พระอนุชาของพระองค์ เจ้าชายเอ็ดการ์ ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์โดยชาวเมอร์เซียและชาวนอร์ธัมเบรีย อาณาจักรถูกแบ่ง แต่การแบ่งเป็นไปอย่างสงบ ผู้นำท้องถิ่นและบิชอปได้ทางเหนือของเธมส์ เธมส์กลายเป็นราชสำนักของเอ็ดการ์ และส่วนที่อยู่ทางใต้ของเธมส์เป็นราชสำนักของเอ็ดวิก แต่ชัดเจนว่าอำนาจโดยรวมทั้งหมดเป็นของเอ็ดวิก ในกฎบัตรของพระองค์ พระองค์ยังคงเป็น rex Anglorum กษัตริย์แห่งอังกฤษ ขณะที่เอ็ดการ์ถูกขนานนามว่า "กษัตริย์ของชาวเมอร์เซีย" และดูเหมือนว่าเหรียญของทั้งสองฝั่งของเธมส์เป็นพระนามของเอ็ดวิกจนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคต ในด้านที่เป็นลบ เอ็ดวิกจำใจต้องยอมให้เอ็ดการ์เรียกตัวดันสตานกลับมาจากการถูกขับไล่ออกจากประเทศการสวรรคต การสวรรคต. เอ็ดวีสวรรคตอย่างไม่ทราบสเหตุในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.959 หลังครองราชย์ได้เพียงสี่ปี พระองค์อาจถูกปลงพระชนม์ เอ็ดวิกไม่เคยเป็นที่นิยมและไม่ได้รับการไว้อาลัยอย่างยิ่งใหญ่จากผู้อยู่ใต้ปกครอง เอ็ดการ์ขึ้นเสวยราชสมบัติอย่างสันติ อาณาจักรเวสเซ็กซ์, เมอร์เซีย และนอร์ธัมเบรียถูกรวมเข้าด้วยกัน แหล่งข้อมูล แหล่งข้อมูล. - Timeline for King Edwy (Eadwig) (955 - 959) - Edwy the Fair - King Edwy - Eadwig All-Fair
พระเจ้าเอ็ดมุนด์
175
191
354
1
พระเจ้าเอ็ดวิกกษัตริย์แห่งอังกฤษ ใครเป็นผู้ครองราชต่อพระเจ้าเอ็ดวิก
พระเจ้าเอ็ดวี พระเจ้าเอ็ดวี [ภาษาอังกฤษ Edwy] หรือ เอ็ดวิก [ภาษาอังกฤษ Eadwig] โอรสของพระเจ้าเอ็ดมุนด์ ทรงเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ (ค.ศ.955-959) ต่อจากพระปิตุลา เอ็ดเร็ด เอเธลวาลด์บันทึกไว้ว่าประชาชนทั่วไปเรียกว่าเอ็ดวิกว่า "ผู้งดงามทุกส่วน (All-Fair)" เนื่องจากพระองค์รูปงามมาก พระองค์เป็นที่รู้จักมากที่สุดจากเรื่องการประจันหน้ากับดันสตานในงานเลี้ยงฉลองการราชาภิเษก และจากเรื่องที่ว่าในปีค.ศ.957 อาณาจักรถูกแบ่ง พื้นที่ทั้งหมดที่อยู่เหนือเธมส์ (เมอร์เซียและนอร์ธัมเบรีย) ปกครองโดยพระอนุชาของพระองค์ เอ็ดการ์ การแบ่งประเทศดูจะสงบสุขดี และเมื่อเอ็ดวิกสวรรคตในอีกสองปีต่อมา เอ็ดการ์ขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออังกฤษที่เป็นเอกภาพอีกครั้งความขัดแย้งกับนักบุญดันสตาน ความขัดแย้งกับนักบุญดันสตาน. เอ็ดวิกเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นคนหนุ่มรูปงามมาก และเสน่ห์ยามอยู่ในห้องบรรทมของเอลฟ์จิฟูคนงามเป็นที่จดจำมากกว่ายามอยู่บนพระอาสน์ในที่ประชุมสภา นักบุญดันสตานโกรธที่กษัตริย์ไม่สนใจในหน้าที่ ลากพระองค์ลงจากแท่นบรรทม เอ็ดวีไม่เคยอภัยให้กับการทำลายเกียรติแห่งราชวงศ์ของพระองค์และเกลียดชังดันสตานนับแต่นั้นเป็นต้นมา ปัญหาเริ่มต้นขึ้นในงานเลี้ยงฉลองการราชาภิเษก พระองค์ได้ปลีกตัวออกมาหาความสุขกับเหล่าเลดี้ เอเธลจิฟูที่อาจเป็นพระมารดาเลี้ยงของพระองค์กับบุตรสาว เอลฟ์จิฟูที่พระองค์ตั้งใจจะอภิเษกสมรสด้วย เหล่าขุนนางไม่พอใจการหนีออกไปของกษัตริย์ และพระองค์ถูกดุนสตานและไซน์ซิก บิชอปแห่งลิชฟิลด์ ลากกลับไปที่งานเลี้ยง เอ็ดวิกไม่พอใจการขัดจังหวะนี้ และหลังจากเหตุการณ์นั้นดุนสตานก็ไม่เคยเป็นที่โปรดปรานของพระองค์อีกเลย เอ็ดวิกถึงขั้นเกลียดดุนสตานเลยก็ว่าได้ และพระองค์ได้ขับไล่เขาออกจากประเทศหลังจากนั้นไม่นาน เรื่องนี้ทำให้เอ็ดวิกไม่เป็นที่โปรดปรานของศาสนจักรการอภิเษกสมรสที่เป็นโมฆะ การอภิเษกสมรสที่เป็นโมฆะ. ปีค.ศ.956 เอลฟ์จิฟูที่สืบเชื้อสายมาจากเอเธลเร็ดที่ 1 และเป็นน้องสาวของเอเธลวาลด์ ผู้เขียนพงศาวดาร ได้ขึ้นเป็นพระมเหสีของกษัตริย์ การอภิเษกสมรสถูกศาสนจักรมองว่าขัดต่อหลักศาสนา และพระองค์ถูกบีบให้เนรเทศพระนางออกจากราชสำนักโดยอาร์ชบิชอปโอดาที่บังคับให้คู่อภิเษกสมรสแยกทางกันเนื่องจากทั้งคู่มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตที่ใกล้ชิดกันเกินไป เอเธลวาลด์ผู้เขียนพงศาวดารอธิบายถึงตัวเองว่าเป็น "หลานของพระราชนัดดา" ของพระเจ้าเอเธลเร็ดที่ 1 ผู้เป็นพระเชษฐาของพระเจ้าอัลเฟรดมหาราช เอ็ดวิกกับเอลฟ์จิฟูจึงเป็นญาติลำดับที่สามที่อยู่ถัดออกไปหนึ่งขั้น ศาสนจักรในตอนนั้นมองว่าการอภิเษกสมรสระหว่างคนที่มีสายเลือดเดียวกันภายในเก้าช่วงเป็นการผิดประเวณีของญาติที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิดกันเกินไป แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องของการเมืองมากกว่าเรื่องของศาสนา เอ็ดวิกกับเอ็ดจิฟูไม่มีโอรสธิดา ดังนั้นความเป็นกษัตริย์จึงถูกส่งต่อไปยังเอ็ดการ์เมื่อเอ็ดวิกสวรรคตในปีต่อมาการบริหารปกครอง การบริหารปกครอง. เอ็ดวิกสืบทอดบัลลังก์แห่งอังกฤษต่อจากพระปิตุลาขณะที่พระองค์มีพระชนมายุ 15 ชันษา ทรงเริ่มรัชสมัยของพระองค์ด้วยการยืนกรานที่จะเป็นอิสระจากที่ปรึกษาคนสำคัญในรัชสมัยของพระมาตุลาและพระราชบิดา พระองค์ขับไล่ดันสตานออกจากประเทศและริบทรัพย์สินที่ดินที่เป็นของพระอัยยิกา เอ็ดจิฟู ผู้ที่เป็นพยานในกฎบัตรหลายฉบับของพระโอรสของพระนาง เอ็ดมุนด์และเอ็ดเร็ด พระองค์ไม่ได้กำจัดหัวหน้าผู้นำท้องถิ่น เอเธลสตานผู้เป็นกษัตริย์ครึ่งหนึ่ง แต่ได้แต่งตั้งผู้นำท้องถิ่นคนใหม่ขึ้นมาปกครองดูแลพื้นที่ในส่วนของเมอร์เซียที่เอเธลสตานเคยดูแล กฎบัตรจากปีค.ศ.956 เป็นผลของความพยายามของเอ็ดวิกที่จะสร้างฐานของบริวารที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ในหมู่ผู้คนใหม่ๆที่ได้รับการเลื่อนขั้นมีพระญาติของพระองค์อยู่หลายคนรวมถึงเอลเฟีย ผู้นำท้องถิ่นของเมอร์เซีย, เอลเฟีย พ่อบ้านของตระกูลที่ต่อมาได้เป็นผู้นำท้องถิ่นของเซ็นทรัลเวสเซ็กซ์ และเบิร์ทเฮล์ม บิชอปแห่งวินเชสเตอร์ ทั้งสามคนรวมถึงพระมเหสีของเอ็ดวิก เอลฟ์จิฟู ที่เป็นน้องสาวของเอเธลวาลด์ผู้เขียนพงศาวดาร อาจสืบเชื้อสายมาจากเอเธลเร็ดที่ 1 การเลื่อนขั้นให้กับกลุ่มพระญาติอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการสร้างตระกูลที่ทรงอำนาจเหมือนของเอเธลสตานผู้เป็นกษัตริย์ครึ่งหนึ่งและดันสตาน การอภิเษกสมรสของเอ็ดวิกกับเอ็ดจิฟูอาจเป็นสัญญาณที่เตือนเอ็ดการ์มากขึ้นไปอีก เหมือนเช่นการอภิเษกสมรสกับจูดิธของเอเธลวูล์ฟที่อาจสร้างความกังวลให้กับเอเธลบาลด์ในช่วงต้นศตวรรษ โอรสที่ประสูติจากการอภิเษกสมรสระหว่างพระบิดาและพระมารดาที่เป็นราชวงศ์อาจถูกมองว่าคู่ควรกับบัลลังก์มากกว่าตัวของเอ็ดการ์ เมื่อพิจารณาจากกฎบัตรจำนวนมากมายไม่ได้สัดส่วนที่ออกในช่วงรัชสมัยของพระองค์ เอ็ดวิกดูจะพระราชทานอภิสิทธิ์ให้อย่างฟุ่มเฟือยไร้เหตุผล และไม่นานนักผู้นำของชาวเมอร์เซียและนอร์ธัมเบรียก็สะอิดสะเอียดความลำเอียงที่มีให้เวสเซ็กซ์ของพระองค์และลุกขึ้นมาก่อกบฏ การก่อกบฏนำโดยพระอนุชาของพระองค์ เอ็ดการ์ และอาร์ชบิชอปโอดาแห่งแคนเทอร์สบรีที่กษัตริย์แสดงออกว่าไม่โปรดปราน เอ็ดวิกเผชิญหน้ากับพวกเขาที่กลอสเตอร์แต่พ่ายแพ้และกองทัพของพระองค์หนีไป เอลฟ์จิว่าถูกทรมานและเกิดแผลเป็นที่เลวร้ายบนพระพักตร์ของพระนาง พระนางสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นไม่นาน ผลที่ได้คือในปีค.ศ.957 พระอนุชาของพระองค์ เจ้าชายเอ็ดการ์ ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์โดยชาวเมอร์เซียและชาวนอร์ธัมเบรีย อาณาจักรถูกแบ่ง แต่การแบ่งเป็นไปอย่างสงบ ผู้นำท้องถิ่นและบิชอปได้ทางเหนือของเธมส์ เธมส์กลายเป็นราชสำนักของเอ็ดการ์ และส่วนที่อยู่ทางใต้ของเธมส์เป็นราชสำนักของเอ็ดวิก แต่ชัดเจนว่าอำนาจโดยรวมทั้งหมดเป็นของเอ็ดวิก ในกฎบัตรของพระองค์ พระองค์ยังคงเป็น rex Anglorum กษัตริย์แห่งอังกฤษ ขณะที่เอ็ดการ์ถูกขนานนามว่า "กษัตริย์ของชาวเมอร์เซีย" และดูเหมือนว่าเหรียญของทั้งสองฝั่งของเธมส์เป็นพระนามของเอ็ดวิกจนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคต ในด้านที่เป็นลบ เอ็ดวิกจำใจต้องยอมให้เอ็ดการ์เรียกตัวดันสตานกลับมาจากการถูกขับไล่ออกจากประเทศการสวรรคต การสวรรคต. เอ็ดวีสวรรคตอย่างไม่ทราบสเหตุในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.959 หลังครองราชย์ได้เพียงสี่ปี พระองค์อาจถูกปลงพระชนม์ เอ็ดวิกไม่เคยเป็นที่นิยมและไม่ได้รับการไว้อาลัยอย่างยิ่งใหญ่จากผู้อยู่ใต้ปกครอง เอ็ดการ์ขึ้นเสวยราชสมบัติอย่างสันติ อาณาจักรเวสเซ็กซ์, เมอร์เซีย และนอร์ธัมเบรียถูกรวมเข้าด้วยกัน แหล่งข้อมูล แหล่งข้อมูล. - Timeline for King Edwy (Eadwig) (955 - 959) - Edwy the Fair - King Edwy - Eadwig All-Fair
เอ็ดการ์
660
668
355
1
ครูมวยคนแรกของสิงห์มณี แก้วสัมฤทธิ์ คือใคร
สิงห์มณี แก้วสัมฤทธิ์ สิงห์มณี แก้วสัมฤทธิ์ เกิดวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2526 เป็นนักมวยไทยชาวไทย ซึ่งเคยได้รับการมองว่าเป็นเพียงนักมวยนอกสายตาของการแข่งขันรายการมวยรอบอีซูซุ ครั้งที่ 22 แต่แล้ว เขาก็สามารถเป็นฝ่ายชนะซุปเปอร์บอน ลูกเจ้าแม่สายวารี และครองแชมป์รายการดังกล่าวได้เป็นผลสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมาย ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าแข่งขันชิงชัยกับสุดสาคร ส.กลิ่นมี ในรายการอีซูซุคัพ ซูเปอร์ไฟต์ ที่จัดขึ้นในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555 ที่แหลมบาลีฮาย ณ เมืองพัทยา ซึ่งสิงห์มณีได้เป็นฝ่ายชนะคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ จากการแข่งขันครั้งนี้เอง ที่ส่งผลให้เขาได้เป็นตัวแทนชาวไทยสู่การแข่งขันระดับโลกในรายการ THAI FIGHT 2012 ในที่สุด วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 สิงห์มณีเข้าแข่งขันรายการไทยไฟต์ 2012 รอบรองชนะเลิศ ที่ซึ่งเขาเป็นฝ่ายชนะคะแนน เมย์ดี ซาตูท จากฝรั่งเศส และได้พบกับอังเดร คูเลบิน ในรอบถัดมาประวัติ ประวัติ. สิงห์มณี แก้วสัมฤทธิ์ มีชื่อจริงว่า บัวทอง การงานดี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เป็นบุตรของ นายอ่อนศรี และนางลี การงานดี เริ่มฝึกมวยครั้งแรกเมื่ออายุ 10 ปี โดยมี ศรแดง พรทวี เป็นครูมวยคนแรก จากนั้น ได้เข้าแข่งขันมวยครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี โดยใช้ชื่อ สิงห์มณี เกษตรเกรียงไกร เขาได้รับค่าตัวในการแข่งขันครั้งแรกที่ 150 บาท และเริ่มสั่งสมชื่อเสียงเรื่อยมา ก่อนที่จะได้รับการทาบทามจาก สมพงษ์ ธนาศุภวัฒน์ (เสี่ยอ้วน จอมพระ) ให้มาฝึกซ้อมที่ค่าย ส.ศรีสมพงษ์ และได้รับการส่งตัวมาแข่งขัน ณ เวทีมวยราชดำเนิน เพื่อสร้างชื่อเสียงในกรุงเทพ ในเวลาต่อมา เขาได้รับค่าตัวที่ 50,000 บาท เมื่อครั้งที่พบกับคู่ชก นพเดช เช็งซิมอิ๊วยิม ภายหลังจากนั้น เขาได้พบกับคู่ชก ก้องฟ้า อู๊ดดอนเมือง ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้ สิงห์มณีได้ถูกไล่ลงจากสังเวียนและถูกปลดตำแหน่งแชมป์ ส่งผลให้สิงห์มณีเกิดความท้อและตัดสินใจเลิกเข้าร่วมแข่งขัน แล้วหันไปทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ที่จังหวัดภูเก็ตเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี และแล้ว ชีวิตเขาก็ถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อ ศรีเมือง สิงห์สวนเงิน ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะแก้วสัมฤทธิ์ ได้ชักชวนให้มาฝึกซ้อมที่ค่ายแล้วส่งเข้าแข่งขันที่เวทีมวยอ้อมน้อย ซึ่งเขาได้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการแข่งขันรายการมวยรอบอีซูซุ ครั้งที่ 22 ซึ่งสิงห์มณีเองก็ไม่ค่อยมั่นใจในการแข่งขันครั้งนี้เท่าใดนัก เนื่องจากนักมวยไทยที่เข้าแข่งขันแต่ละคนล้วนมีฝีมือที่เก่งกาจทั้งสิ้น ถึงกระนั้น แม้เขาจะเป็นรองด้านสภาพร่างกาย แต่เขาก็ตัดสินใจทุ่มเทฝึกซ้อม จนสามารถฝ่าเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ โดยได้พบกับคู่ชก ซุปเปอร์บอน ลูกเจ้าแม่สายวารี ในรอบชิงชนะเลิศ และจากการแข่งขันในครั้งนี้เอง ที่ทำให้สิงห์มณีเป็นฝ่ายชนะคะแนน วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555 สิงห์มณี เข้าร่วมแข่งขันชิงแชมป์รุ่นเวลเธอร์เวทของสหพันธ์มวยไทยอาชีพโลก โดยเป็นคู่เอกในรายการ ศึกมวยดีวิถีไทยพัทยามหากุศล ซึ่งจัดขึ้นที่เวทีมวยพัทยาบ๊อกซิ่งเวิลด์ โดยเป็นฝ่ายชนะคะแนนคู่ชกอย่างอังเดร คูเลบิน ซึ่งเป็นนักมวยไทยชาวเบลารุส สิงห์มณีเข้าแข่งขันรายการ THAI FIGHT ในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยได้พบกับวาทนิยาจ วาลดริม ซึ่งเป็นนักมวยไทยชาวเบลเยียม และสิงห์มณีเป็นฝ่ายชนะคะแนน และเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศโดยพบกับคู่ปรับเก่าอย่างอังเดร คูเลบิน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ที่ซึ่งสิงห์มณีเป็นฝ่ายชนะจากการแข่งขันครั้งดังกล่าวสถิติการแข่งขันมวยรอบอีซูซุ ครั้งที่ 22เกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - แชมป์ 135 ปอนด์ เวทีมวยราชดำเนิน - แชมป์ 140 ปอนด์ สภามวยไทยโลก - แชมป์สหพันธ์มวยไทยอาชีพโลก รุ่นเวลเธอร์เวทระเบียงภาพ
ศรแดง พรทวี
1,089
1,100
356
1
ผู้ชนะเลิศรางวัลบาฟต้า สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2549 คือใคร
เจค จิลเลินฮาล เจค็อบ เบนจามิน จิลเลนฮอล () เกิดวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน ผู้ชนะเลิศรางวัลบาฟต้า สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2549 และเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain) จิลเลนฮอลเป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์ โดยเขาเริ่มการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปี และเป็นที่รู้จักครั้งแรกในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่อง Donnie Darko เขารับบทบาทเป็นวัยรุ่นผู้มีปัญหาทางจิต ในปี พ.ศ. 2547 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow จากนั้นในปี พ.ศ. 2548 เขารับบทบาทเป็นนาวิกโยธินผู้ท้อแท้และสับสนในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ในปีเดียวกันรับบทบาทเป็น "คาวบอยเกย์" ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก จิลเลนฮอลเป็นนักกิจกรรม มีบทบาทและร่วมสนับสนุนกิจกรรมการเมืองและทางสังคมหลายครั้ง ได้ร่วมโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์เลือกตั้ง "ร็อก เดอะ โหวต" (Rock the Vote) และร่วมหาเสียงสนับสนุนให้พรรคเดโมแครต ในปี พ.ศ. 2547 และช่วยประชาสัมพันธ์ในงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของ อเมริกันซิวิลลิเบอร์ตีส์ยูเนียน (American Civil Liberties Union)ประวัติชีวิตช่วงแรกและการศึกษา ประวัติ. ชีวิตช่วงแรกและการศึกษา. จิลเลนฮอลเกิดในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์ บิดาของจิลเลนฮอลเติบโตมากับครอบครัวศาสนาสวีเดนบอร์เจียน (Swedenborgianism) ในครอบครัวตระกูลจิลเลนฮอล บรรพบุรุษชาวสวีเดนที่มีชื่อเสียงของตระกูลนี้คือ แอนเดอร์ส ลีโอนาร์ด จิลเลนฮอล นายทหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านแมลง มารดาของจิลเลนฮอลเป็นครอบครัวยิว-อเมริกันที่มาจากนิวยอร์ก และเป็นภรรยาเก่าของอีริค โฟเนอร์ ศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ส่วนแมกกี จิลเลนฮอล พี่สาวมีอาชีพเป็นนักแสดงเช่นกัน จิลเลนฮอลถูกเลี้ยงดูแลในความเชื่อแบบยิว พิธีฉลองอายุ 13 ปี (B'nai Mitzvah) ของเขาเกิดขึ้นที่ศูนย์คนไร้ที่อยู่ เพราะพ่อและแม่ต้องการให้เขาได้สำนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่พิเศษกว่าผู้อื่น โดยตัดสินใจที่จะฉลองพิธีกับคนเหล่านั้นด้วยความเรียบง่ายกว่าที่เขาเคยได้รับ นอกจากนั้นพ่อและแม่ยังให้จิลเลนฮอลหารายได้พิเศษช่วงฤดูร้อนให้กับตัวเอง โดยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คอยช่วยชีวิตคนบริเวณชายหาดและบริกรที่ภัตตาคารที่เพื่อนของพ่อเขาเป็นเจ้าของผลงานการแสดงช่วงแรก ผลงานการแสดงช่วงแรก. ตั้งแต่เด็ก จิลเลนฮอลยังได้คลุกคลีกับวงการภาพยนตร์เนื่องจากอาชีพของครอบครัว ในวัย 11 ปี เขาได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกในปี พ.ศ. 2534 เรื่อง City Slicker รับบทเป็นลูกชายของบิลลี คริสตัล อย่างไรก็ตามพ่อแม่ไม่อนุญาตให้จิลเลนฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Mighty Ducks (ภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2535) เนื่องจากต้องออกจากบ้านร่วม 2 เดือน ในปีถัดมาพ่อแม่ก็ได้อนุญาตให้เขาไปทดสอบบท แต่ก็มีข้อห้ามถ้าถูกคัดเลือก แต่จิลเลนฮอลก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงในภาพยนตร์ของพ่อเขาอยู่หลายหน ในปี พ.ศ. 2536 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Dangerous Woman (แมกกีพี่สาวก็ร่วมแสดง) ต่อมาปี พ.ศ. 2537 กับละครโทรทัศน์เรื่อง Homicide: Life on the Street ในปี พ.ศ. 2541 แมกกีและเจคได้ร่วมออกรายการกับแม่ในรายการทำอาหาร "Molto Mario" ทางช่องฟู้ด เน็ตเวิร์ค ก่อนที่จะจบการศึกษาระดับไฮสคูล ภาพยนตร์เรื่องเดียวที่พ่อของเขาไม่ได้กำกับและได้อนุญาตให้แสดงคือเรื่อง Josh and S.A.M. จิลเลนฮอลจบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนฮาวาร์ด-เวสต์เลกในลอสแอนเจลิสในปี พ.ศ. 2541 จากนั้นได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในรัฐนิวยอร์ก (พี่สาวและแม่ของเขาก็เรียนที่นี่) จิลเลนฮอลได้ศึกษาด้านศาสนาตะวันออกและปรัชญา ถึงปีที่ 2 แล้วได้พักการเรียนไว้เพื่อมุ่งเข้าสู่วงการบันเทิง อย่างไรก็ดีจิลเลนฮอลก็ได้กลับมาศึกษาต่อจนจบในที่สุด จิลเลนฮอลได้รับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง October Sky ในปี พ.ศ. 2542 กำกับโดยโจ จอห์นสตัน ดัดแปลงมาจากอัตชีวประวัติของโฮเมอร์ ฮิกแคม รับบทบาทเป็นนักเรียนมัธยมที่รับทุนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นคนงานในเหมือง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนังสือพิมพ์ซาคราเมนโตนิวส์แอนด์รีวิว วิจารณ์ว่า "เป็นการแสดงที่แจ้งเกิด"ของเขาการประสบความสำเร็จและเสียงวิจารณ์ การประสบความสำเร็จและเสียงวิจารณ์. Donnie Darko ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ที่จิลเลนฮอลรับบทนำ ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ในครั้งแรกที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 แต่ในที่สุดก็เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยริชาร์ด เคลลี โดยจิลเลนฮอลรับบทเป็นวัยรุ่นมีปัญหาที่หนีความตาย และได้พบกับกระต่ายสูง 6 ฟุตที่ชื่อ แฟรงค์ที่บอกเขาว่าโลกกำลังใกล้สู่จุดจบ จิลเลนฮอลได้รับคำวิจารณ์ตอบรับที่ดี แดน คอยส์จาก เว็บซาลอน.คอม วิจารณ์ว่า "จิลเลนฮอลเล่นบทบาทที่ยากสองอย่าง ทั้งบทธรรมดาที่ไม่น่าสนใจและบทที่ลำบากได้ในเวลาเดียวกัน" จิลเลนฮอลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอินดีเพนเดนต์สปิริตอวอร์ด สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในปี พ.ศ. 2545 จิลเลนฮอลได้แสดงคู่กับเจนนิเฟอร์ อนิสตันในภาพยนตร์จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เรื่อง The Good Girl และยังได้แสดงเรื่อง Lovely & Amazing ร่วมกับ แคเธอรีน คีเนอร์ ในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องได้รับบทบาทเป็นชายหนุ่มที่ตกหลุมรัก และมีความสัมพันธ์ลึกกับหญิงที่แต่งงานแล้ว ภายหลังจิลเลนฮอลได้อธิบายว่า "นี่คือบทบาทของวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ" ต่อมาจิลเลนฮอลได้แสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ ของทัชสโตน พิคเจอร์ส เรื่อง Bubble Boy สร้างมาจากงานเขียนของเดวิด เวตเตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ว่า "ยุ่งเหยิง ไม่มีแก่น เป็นความเลวร้ายที่ไร้รสนิยมอย่างที่สุด" หลังจากเรื่อง Bubble Boy ก็ได้แสดงประกบกับดัสติน ฮอฟแมน และซูซาน ซาแรนดอนในภาพยนตร์เรื่อง Moonlight Mile ได้รับบทบาทเป็นเด็กหนุ่มที่รับมือกับความตายของคู่หมั้นและความโศกเศร้าของครอบครัวคู่หมั้น เขียนบทและกำกับ โดยแบรด ซิเบอลิง จากประสบการณ์จริง ได้รับความวิจารณ์ทั้งดีและไม่ดี จิลเลนฮอลเกือบได้รับเลือกให้แสดงเป็นสไปเดอร์แมนในภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน 2 โดยผู้กำกับ แซม ไรมิ หลังจากที่โทบีย์ แมคไกวร์ได้รับบาดเจ็บที่หลัง อย่างไรก็ตามจิลเลนฮอลไม่ได้แสดงในภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้ ต่อมาได้รับบทในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง The Day After Tomorrow ในปี พ.ศ. 2547 แสดงร่วมกับเดนนิส เควด ผลงานเรื่องแรกบนเวทีละครของจิลเลนฮอลคือการแสดงในบทนำของละครลอนดอนที่ถูกนำมาทำใหม่ โดยเคนเนธ โลเนอร์แกน เรื่อง This Is Our Youth ละครเรื่องนี้เปิดแสดงนานถึงแปดสัปดาห์ที่เวสต์เอ็นด์ในลอนดอน เขาได้รับบทบาทเศรษฐีเด็กที่ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ในการขโมย ซื้อขายและเสพยาเสพย์ติด ร่วมกับเฮย์เดน คริสเตนเซนและแอนนา พาควิน สำหรับบทนี้จิลเลนฮอลได้รับรางวัลอีฟนิงสแตนดาร์ดเธียรเตอร์อวอร์ด ในประเภทนักแสดงหน้าใหม่ผู้มีผลงานโดดเด่นหุบเขาเร้นรักและอนาคต หุบเขาเร้นรักและอนาคต. ปี พ.ศ. 2548 ถือเป็นปีของจิลเลนฮอล ได้แสดงภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมอย่าง Proof, Jarhead, และ หุบเขาเร้นรัก ในภาพยนตร์เรื่อง Proof ได้แสดงร่วมกับกวินเน็ธ พัลโทรว์และแอนโธนี ฮ็อพกินส์ ผู้กำกับจอห์น แมดเดน ภาพยนตร์ซึ่งมีบทดัดแปลงมาจากละครที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ จิลเลนฮอลได้รับบทบาทเป็นลูกศิษย์นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ ผู้จากไปด้วยโรคบกพร่องทางจิต ที่เข้ามาช่วยแก้สมการคณิตศาสตร์ ที่ยังแก้ไม่ได้ ในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ได้รับบทเป็นนาวิกโยธินที่ถูกส่งตัวไปยังทะเลทรายในซาอุดีอาระเบีย เพื่อร่วมรบในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก กระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนเปิดตัวค่อนข้างเงียบเนื่องจากออกมาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก แซม เม็นเดสผู้กำกับเรื่อง Jarhead พูดถึงจิลเลนฮอลว่า "เขาเข้าวงการตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเด็กหน้าตาดี อยู่ในครอบครัวบันเทิง เขามักจะมีความคิดที่จะไปให้ถึงที่เขาจะไป แต่ในบางระดับเขาก็ยังไปไม่ถึง และเขาต้องการที่จะทำงานในส่วนนี้ ต้องการที่จะค้นพบตัวเอง และผมไม่สามารถจะตื่นเต้นกว่านี้เกี่ยวกับการแสดงของเขา" ในภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก จิลเลนฮอลได้แสดงร่วมกับฮีธ เลดเจอร์ ในบทคนงานในฟาร์มเลี้ยงแกะที่เกิดมีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ ท้องเรื่องเกิดในทศวรรษที่ 60 บนภูเขาโบรคแบ็กในรัฐไวโอมิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดด้วยการคว้ารางวัลสิงโตทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ (กันยายน พ.ศ. 2548) และยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำถึง 4 สาขา และอีก 4 สาขาจากรางวัลบาฟต้า และ 3 สาขาจากรางวัลออสการ์ จิลเลนฮอลถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม แต่พ่ายให้กับจอร์จ คลูนีย์ไป ในส่วนรางวัลบาฟต้าได้รับรางวัลดาราสมทบชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังได้รับรางวัลยังอาร์ทิสต์อวอร์ดจาก ดิอเมริกันส์ฟอร์ดิอาร์ทสเนชันนัลอาร์ทสอวอร์ดส สำหรับความสำเร็จในอาชีพ เมื่อภาพยนตร์ออกฉายมักมีข่าวลือเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของจิลเลนฮอล เขาให้คำตอบว่า ในปี พ.ศ. 2548 จิลเลนฮอลได้ให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towers เค้าโครงมาจากหนังสือเขียนโดย มอร์ดิไซ เกอร์สไตน์ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 ภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Zodiac ได้ออกฉายที่สหรัฐอเมริกา โดยผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ ได้เค้าโครงเรื่องจากเรื่องจริง ได้รับบทเป็น โรเบิร์ต เกรย์สมิธ ผู้เขียนหนังสือทั้ง 2 เล่มของ โซดิแอก คิลเลอร์ นักฆ่าจักรราศี จิลเลนฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง Rendition ออกฉายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 มีฉากหลังเป็นตะวันออกกลาง กำกับโดยเกวิน ฮูด ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงกับรีส วิเธอร์สปูน บทถัดไปของจิลเลนฮอลคือ หนังนำมาสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2547 เรื่อง Brothers กำกับโดย จิม เชอริแดนชีวิตส่วนตัวครอบครัว ชีวิตส่วนตัว. ครอบครัว. สมาชิกในครอบครัวจิลเลนฮอลได้ทำงานฮอลลีวูดร่วมกับจิลเลนฮอลหลายเรื่อง แม็กกีพี่สาวของจิลเลนฮอลเคยแสดงภาพยนตร์ร่วมกับจิลเลนฮอล ในเรื่อง Donnie Darko และยังร่วมแสดงกับเขาในเรื่อง A Dangerous Woman ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยสตีเฟน จิลเลนฮอล พ่อของพวกเขา แมกกีหมั้นกับนักแสดง ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด ซึ่งจิลเลนฮอลได้แสดงร่วมกับหลานสาว ราโมนา ซาร์สการ์ดในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead (ราโมนา ซาร์สการ์ดเกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2549) จิลเลนฮอลมีแม่ทูนหัวชื่อ เจมี ลี เคอร์ติส นักแสดงชื่อดัง ส่วนตัวเขาเองเป็นพ่อทูนหัวของ มาทิลดา โรส เลดเจอร์ (เกิด 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548) เป็นลูกสาวนักแสดง ฮีธ เลดเจอร์ และ มิเชล วิลเลียมส์ ทั้งคู่เป็นนักแสดงจากเรื่องหุบเขาเร้นรัก นอกจากนั้นลุงของจิลเลนฮอล ชื่อแอนเดอร์ส จิลเลนฮอล ยังเป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือพิมพ์ เดอะ ไมอามี เฮอร์รอลด์ความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์. จิลเลนฮอลได้ออกเดทกับเจนนี เลวิส นักร้องวงไรโล ไคลีย์ในปี พ.ศ. 2544 ต่อมาได้เดทกับเคิร์สเตน ดันส์ ทั้งคู่รู้จักกันผ่านพี่สาวของจิลเลนฮอล แมกกี (ดันส์และแมกกี ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ในเรื่อง Mona Lisa Smile) หลังจากนั้นก็เริ่มออกเดทกันในเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 ต่อจากนั้นก็มีการรายงานว่าทั้งคู่เลิกกันเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2547 แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 ดันส์และจิลเลนฮอลมีสุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด ชื่อว่า แอตติคัส ที่ทั้งคู่ได้ช่วยเหลือออกจากศูนย์คุ้มครองสุนัขในลอสแอนเจลิส จิลเลนฮอลยังมีสุนัขพันธุ์ปัคเคิล ชื่อ บู แรดลีย์ สุนัขทั้ง 2 ตัวตั้งตามชื่อตัวละครในบทประพันธ์ของฮาร์เปอร์ ลี เรื่อง To Kill a Mockingbird หนึ่งในบทประพันธ์เรื่องโปรดของจิลเลนฮอล จิลเลนฮอลมีข่าวกับ รีส วิเธอร์สปูนที่เพิ่งหย่ากับสามีไรอัน ฟิลิปเป้ ทั้งคู่เริ่มคบหากันหลังจากเจอกันในกองถ่าย Rendition ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยุติลงเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 จากรายงานของนิตยสารพีเพิลการเมืองและความสนใจอื่นๆ การเมืองและความสนใจอื่นๆ. จิลเลนฮอลมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมือง โดยได้ถ่ายโฆษณารณรงค์การเลือกตั้งในโครงการร็อก เดอะ โหวต (Rock the Vote) ในช่วงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาปี พ.ศ. 2547 เขาได้ไปมหาวิทยาลัยเซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย กับพี่สาวเพื่อรณรงค์นักเรียนนักศึกษาให้ไปเลือกตั้ง จิลเลนฮอลได้ร่วมหาเสียงสนับสนุนให้ ผู้สมัครจอห์น เคอร์รี ของพรรคเดโมแครต จิลเลนฮอลกล่าวว่า "มันทำให้ผมหมดความอดทนเมื่อนักแสดงพูดถึงเรื่องการเมือง ผมเป็นพลเมืองคนหนึ่งและผมเลือกเล่นภาพยนตร์ ที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ผมพยายามและพูดในสิ่งที่ผมทำ ผิดหรือถูก นักแสดงหนุ่มนั้นล้วนมีอิทธิพล" จิลเลนฮอลเติบโตมาในครอบครัวที่ตระหนักถึงเรื่องสังคม เขาร่วมการรณรงค์กับ อเมริกันซิวิลลิเบอร์ตีส์ยูเนียน (เอซีแอลยู) เป็นองค์กรที่ทั้งครอบครัวของจิลเลนฮอลให้การสนับสนุน จิลเลนฮอลตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม และนิยมการนำของเก่ามาใช้ใหม่ และเคยให้สัมภาษณ์ว่า ได้ออกเงิน 400 เหรียญต่อปีเพื่อปลูกต้นไม้ให้ป่าในประเทศโมซัมบิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งประชาสัมพันธ์รายการฟิวเจอร์ฟอร์เรส หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow เขาได้บินไปแถบอาร์กติกเพื่อรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน ในเวลาว่าง จิลเลนฮอลนิยมทำงานฝีมือจากไม้ ทำอาหาร ส่วนกิจกรรมอื่นเขาเคยกล่าวว่า "ผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็พยายามฝึกสติ" และพยายามฝึกสมาธิทุกวันผลงานภาพยนตร์ ผลงานภาพยนตร์. เจค จิลเลนฮอลมีผลงานแสดงภาพยนตร์มาแล้ว 17 เรื่อง (ข้อมูลเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550) โดยเริ่มอาชีพการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปีในเรื่อง City Slickers ส่วนผลงานล่าสุดคือเรื่อง Rendition แสดงร่วมกับ รีส วิธเธอร์สปูน ออกฉายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังเคยพากย์เสียงให้กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towersรางวัลที่ได้รับ รางวัลที่ได้รับ. จิลเลนฮอลมีผลงานโดดเด่นที่สุดจากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain) จากบทบาทคาวบอยเกย์ "แจ็ค ทวิสต์" ได้รับรางวัลจาก 5 สถาบันใหญ่ นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังเคยได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Donnie Darko จากโคลทรูดิส อวอร์ดส
เจค็อบ เบนจามิน จิลเลนฮอล
103
128
357
1
เจค็อบ เบนจามิน จิลเลนฮอล หรือ เจค จิลเลนฮอล เริ่มชีวิตการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปี ในเรื่องอะไร
เจค จิลเลินฮาล เจค็อบ เบนจามิน จิลเลนฮอล () เกิดวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน ผู้ชนะเลิศรางวัลบาฟต้า สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2549 และเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain) จิลเลนฮอลเป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์ โดยเขาเริ่มการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปี และเป็นที่รู้จักครั้งแรกในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่อง Donnie Darko เขารับบทบาทเป็นวัยรุ่นผู้มีปัญหาทางจิต ในปี พ.ศ. 2547 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow จากนั้นในปี พ.ศ. 2548 เขารับบทบาทเป็นนาวิกโยธินผู้ท้อแท้และสับสนในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ในปีเดียวกันรับบทบาทเป็น "คาวบอยเกย์" ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก จิลเลนฮอลเป็นนักกิจกรรม มีบทบาทและร่วมสนับสนุนกิจกรรมการเมืองและทางสังคมหลายครั้ง ได้ร่วมโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์เลือกตั้ง "ร็อก เดอะ โหวต" (Rock the Vote) และร่วมหาเสียงสนับสนุนให้พรรคเดโมแครต ในปี พ.ศ. 2547 และช่วยประชาสัมพันธ์ในงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของ อเมริกันซิวิลลิเบอร์ตีส์ยูเนียน (American Civil Liberties Union)ประวัติชีวิตช่วงแรกและการศึกษา ประวัติ. ชีวิตช่วงแรกและการศึกษา. จิลเลนฮอลเกิดในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์ บิดาของจิลเลนฮอลเติบโตมากับครอบครัวศาสนาสวีเดนบอร์เจียน (Swedenborgianism) ในครอบครัวตระกูลจิลเลนฮอล บรรพบุรุษชาวสวีเดนที่มีชื่อเสียงของตระกูลนี้คือ แอนเดอร์ส ลีโอนาร์ด จิลเลนฮอล นายทหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านแมลง มารดาของจิลเลนฮอลเป็นครอบครัวยิว-อเมริกันที่มาจากนิวยอร์ก และเป็นภรรยาเก่าของอีริค โฟเนอร์ ศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ส่วนแมกกี จิลเลนฮอล พี่สาวมีอาชีพเป็นนักแสดงเช่นกัน จิลเลนฮอลถูกเลี้ยงดูแลในความเชื่อแบบยิว พิธีฉลองอายุ 13 ปี (B'nai Mitzvah) ของเขาเกิดขึ้นที่ศูนย์คนไร้ที่อยู่ เพราะพ่อและแม่ต้องการให้เขาได้สำนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่พิเศษกว่าผู้อื่น โดยตัดสินใจที่จะฉลองพิธีกับคนเหล่านั้นด้วยความเรียบง่ายกว่าที่เขาเคยได้รับ นอกจากนั้นพ่อและแม่ยังให้จิลเลนฮอลหารายได้พิเศษช่วงฤดูร้อนให้กับตัวเอง โดยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คอยช่วยชีวิตคนบริเวณชายหาดและบริกรที่ภัตตาคารที่เพื่อนของพ่อเขาเป็นเจ้าของผลงานการแสดงช่วงแรก ผลงานการแสดงช่วงแรก. ตั้งแต่เด็ก จิลเลนฮอลยังได้คลุกคลีกับวงการภาพยนตร์เนื่องจากอาชีพของครอบครัว ในวัย 11 ปี เขาได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกในปี พ.ศ. 2534 เรื่อง City Slicker รับบทเป็นลูกชายของบิลลี คริสตัล อย่างไรก็ตามพ่อแม่ไม่อนุญาตให้จิลเลนฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Mighty Ducks (ภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2535) เนื่องจากต้องออกจากบ้านร่วม 2 เดือน ในปีถัดมาพ่อแม่ก็ได้อนุญาตให้เขาไปทดสอบบท แต่ก็มีข้อห้ามถ้าถูกคัดเลือก แต่จิลเลนฮอลก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงในภาพยนตร์ของพ่อเขาอยู่หลายหน ในปี พ.ศ. 2536 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Dangerous Woman (แมกกีพี่สาวก็ร่วมแสดง) ต่อมาปี พ.ศ. 2537 กับละครโทรทัศน์เรื่อง Homicide: Life on the Street ในปี พ.ศ. 2541 แมกกีและเจคได้ร่วมออกรายการกับแม่ในรายการทำอาหาร "Molto Mario" ทางช่องฟู้ด เน็ตเวิร์ค ก่อนที่จะจบการศึกษาระดับไฮสคูล ภาพยนตร์เรื่องเดียวที่พ่อของเขาไม่ได้กำกับและได้อนุญาตให้แสดงคือเรื่อง Josh and S.A.M. จิลเลนฮอลจบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนฮาวาร์ด-เวสต์เลกในลอสแอนเจลิสในปี พ.ศ. 2541 จากนั้นได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในรัฐนิวยอร์ก (พี่สาวและแม่ของเขาก็เรียนที่นี่) จิลเลนฮอลได้ศึกษาด้านศาสนาตะวันออกและปรัชญา ถึงปีที่ 2 แล้วได้พักการเรียนไว้เพื่อมุ่งเข้าสู่วงการบันเทิง อย่างไรก็ดีจิลเลนฮอลก็ได้กลับมาศึกษาต่อจนจบในที่สุด จิลเลนฮอลได้รับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง October Sky ในปี พ.ศ. 2542 กำกับโดยโจ จอห์นสตัน ดัดแปลงมาจากอัตชีวประวัติของโฮเมอร์ ฮิกแคม รับบทบาทเป็นนักเรียนมัธยมที่รับทุนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นคนงานในเหมือง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนังสือพิมพ์ซาคราเมนโตนิวส์แอนด์รีวิว วิจารณ์ว่า "เป็นการแสดงที่แจ้งเกิด"ของเขาการประสบความสำเร็จและเสียงวิจารณ์ การประสบความสำเร็จและเสียงวิจารณ์. Donnie Darko ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ที่จิลเลนฮอลรับบทนำ ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ในครั้งแรกที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 แต่ในที่สุดก็เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยริชาร์ด เคลลี โดยจิลเลนฮอลรับบทเป็นวัยรุ่นมีปัญหาที่หนีความตาย และได้พบกับกระต่ายสูง 6 ฟุตที่ชื่อ แฟรงค์ที่บอกเขาว่าโลกกำลังใกล้สู่จุดจบ จิลเลนฮอลได้รับคำวิจารณ์ตอบรับที่ดี แดน คอยส์จาก เว็บซาลอน.คอม วิจารณ์ว่า "จิลเลนฮอลเล่นบทบาทที่ยากสองอย่าง ทั้งบทธรรมดาที่ไม่น่าสนใจและบทที่ลำบากได้ในเวลาเดียวกัน" จิลเลนฮอลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอินดีเพนเดนต์สปิริตอวอร์ด สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในปี พ.ศ. 2545 จิลเลนฮอลได้แสดงคู่กับเจนนิเฟอร์ อนิสตันในภาพยนตร์จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เรื่อง The Good Girl และยังได้แสดงเรื่อง Lovely & Amazing ร่วมกับ แคเธอรีน คีเนอร์ ในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องได้รับบทบาทเป็นชายหนุ่มที่ตกหลุมรัก และมีความสัมพันธ์ลึกกับหญิงที่แต่งงานแล้ว ภายหลังจิลเลนฮอลได้อธิบายว่า "นี่คือบทบาทของวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ" ต่อมาจิลเลนฮอลได้แสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ ของทัชสโตน พิคเจอร์ส เรื่อง Bubble Boy สร้างมาจากงานเขียนของเดวิด เวตเตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ว่า "ยุ่งเหยิง ไม่มีแก่น เป็นความเลวร้ายที่ไร้รสนิยมอย่างที่สุด" หลังจากเรื่อง Bubble Boy ก็ได้แสดงประกบกับดัสติน ฮอฟแมน และซูซาน ซาแรนดอนในภาพยนตร์เรื่อง Moonlight Mile ได้รับบทบาทเป็นเด็กหนุ่มที่รับมือกับความตายของคู่หมั้นและความโศกเศร้าของครอบครัวคู่หมั้น เขียนบทและกำกับ โดยแบรด ซิเบอลิง จากประสบการณ์จริง ได้รับความวิจารณ์ทั้งดีและไม่ดี จิลเลนฮอลเกือบได้รับเลือกให้แสดงเป็นสไปเดอร์แมนในภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน 2 โดยผู้กำกับ แซม ไรมิ หลังจากที่โทบีย์ แมคไกวร์ได้รับบาดเจ็บที่หลัง อย่างไรก็ตามจิลเลนฮอลไม่ได้แสดงในภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้ ต่อมาได้รับบทในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง The Day After Tomorrow ในปี พ.ศ. 2547 แสดงร่วมกับเดนนิส เควด ผลงานเรื่องแรกบนเวทีละครของจิลเลนฮอลคือการแสดงในบทนำของละครลอนดอนที่ถูกนำมาทำใหม่ โดยเคนเนธ โลเนอร์แกน เรื่อง This Is Our Youth ละครเรื่องนี้เปิดแสดงนานถึงแปดสัปดาห์ที่เวสต์เอ็นด์ในลอนดอน เขาได้รับบทบาทเศรษฐีเด็กที่ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ในการขโมย ซื้อขายและเสพยาเสพย์ติด ร่วมกับเฮย์เดน คริสเตนเซนและแอนนา พาควิน สำหรับบทนี้จิลเลนฮอลได้รับรางวัลอีฟนิงสแตนดาร์ดเธียรเตอร์อวอร์ด ในประเภทนักแสดงหน้าใหม่ผู้มีผลงานโดดเด่นหุบเขาเร้นรักและอนาคต หุบเขาเร้นรักและอนาคต. ปี พ.ศ. 2548 ถือเป็นปีของจิลเลนฮอล ได้แสดงภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมอย่าง Proof, Jarhead, และ หุบเขาเร้นรัก ในภาพยนตร์เรื่อง Proof ได้แสดงร่วมกับกวินเน็ธ พัลโทรว์และแอนโธนี ฮ็อพกินส์ ผู้กำกับจอห์น แมดเดน ภาพยนตร์ซึ่งมีบทดัดแปลงมาจากละครที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ จิลเลนฮอลได้รับบทบาทเป็นลูกศิษย์นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ ผู้จากไปด้วยโรคบกพร่องทางจิต ที่เข้ามาช่วยแก้สมการคณิตศาสตร์ ที่ยังแก้ไม่ได้ ในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ได้รับบทเป็นนาวิกโยธินที่ถูกส่งตัวไปยังทะเลทรายในซาอุดีอาระเบีย เพื่อร่วมรบในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก กระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนเปิดตัวค่อนข้างเงียบเนื่องจากออกมาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก แซม เม็นเดสผู้กำกับเรื่อง Jarhead พูดถึงจิลเลนฮอลว่า "เขาเข้าวงการตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเด็กหน้าตาดี อยู่ในครอบครัวบันเทิง เขามักจะมีความคิดที่จะไปให้ถึงที่เขาจะไป แต่ในบางระดับเขาก็ยังไปไม่ถึง และเขาต้องการที่จะทำงานในส่วนนี้ ต้องการที่จะค้นพบตัวเอง และผมไม่สามารถจะตื่นเต้นกว่านี้เกี่ยวกับการแสดงของเขา" ในภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก จิลเลนฮอลได้แสดงร่วมกับฮีธ เลดเจอร์ ในบทคนงานในฟาร์มเลี้ยงแกะที่เกิดมีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ ท้องเรื่องเกิดในทศวรรษที่ 60 บนภูเขาโบรคแบ็กในรัฐไวโอมิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดด้วยการคว้ารางวัลสิงโตทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ (กันยายน พ.ศ. 2548) และยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำถึง 4 สาขา และอีก 4 สาขาจากรางวัลบาฟต้า และ 3 สาขาจากรางวัลออสการ์ จิลเลนฮอลถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม แต่พ่ายให้กับจอร์จ คลูนีย์ไป ในส่วนรางวัลบาฟต้าได้รับรางวัลดาราสมทบชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังได้รับรางวัลยังอาร์ทิสต์อวอร์ดจาก ดิอเมริกันส์ฟอร์ดิอาร์ทสเนชันนัลอาร์ทสอวอร์ดส สำหรับความสำเร็จในอาชีพ เมื่อภาพยนตร์ออกฉายมักมีข่าวลือเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของจิลเลนฮอล เขาให้คำตอบว่า ในปี พ.ศ. 2548 จิลเลนฮอลได้ให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towers เค้าโครงมาจากหนังสือเขียนโดย มอร์ดิไซ เกอร์สไตน์ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 ภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Zodiac ได้ออกฉายที่สหรัฐอเมริกา โดยผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ ได้เค้าโครงเรื่องจากเรื่องจริง ได้รับบทเป็น โรเบิร์ต เกรย์สมิธ ผู้เขียนหนังสือทั้ง 2 เล่มของ โซดิแอก คิลเลอร์ นักฆ่าจักรราศี จิลเลนฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง Rendition ออกฉายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 มีฉากหลังเป็นตะวันออกกลาง กำกับโดยเกวิน ฮูด ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงกับรีส วิเธอร์สปูน บทถัดไปของจิลเลนฮอลคือ หนังนำมาสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2547 เรื่อง Brothers กำกับโดย จิม เชอริแดนชีวิตส่วนตัวครอบครัว ชีวิตส่วนตัว. ครอบครัว. สมาชิกในครอบครัวจิลเลนฮอลได้ทำงานฮอลลีวูดร่วมกับจิลเลนฮอลหลายเรื่อง แม็กกีพี่สาวของจิลเลนฮอลเคยแสดงภาพยนตร์ร่วมกับจิลเลนฮอล ในเรื่อง Donnie Darko และยังร่วมแสดงกับเขาในเรื่อง A Dangerous Woman ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยสตีเฟน จิลเลนฮอล พ่อของพวกเขา แมกกีหมั้นกับนักแสดง ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด ซึ่งจิลเลนฮอลได้แสดงร่วมกับหลานสาว ราโมนา ซาร์สการ์ดในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead (ราโมนา ซาร์สการ์ดเกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2549) จิลเลนฮอลมีแม่ทูนหัวชื่อ เจมี ลี เคอร์ติส นักแสดงชื่อดัง ส่วนตัวเขาเองเป็นพ่อทูนหัวของ มาทิลดา โรส เลดเจอร์ (เกิด 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548) เป็นลูกสาวนักแสดง ฮีธ เลดเจอร์ และ มิเชล วิลเลียมส์ ทั้งคู่เป็นนักแสดงจากเรื่องหุบเขาเร้นรัก นอกจากนั้นลุงของจิลเลนฮอล ชื่อแอนเดอร์ส จิลเลนฮอล ยังเป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือพิมพ์ เดอะ ไมอามี เฮอร์รอลด์ความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์. จิลเลนฮอลได้ออกเดทกับเจนนี เลวิส นักร้องวงไรโล ไคลีย์ในปี พ.ศ. 2544 ต่อมาได้เดทกับเคิร์สเตน ดันส์ ทั้งคู่รู้จักกันผ่านพี่สาวของจิลเลนฮอล แมกกี (ดันส์และแมกกี ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ในเรื่อง Mona Lisa Smile) หลังจากนั้นก็เริ่มออกเดทกันในเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 ต่อจากนั้นก็มีการรายงานว่าทั้งคู่เลิกกันเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2547 แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 ดันส์และจิลเลนฮอลมีสุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด ชื่อว่า แอตติคัส ที่ทั้งคู่ได้ช่วยเหลือออกจากศูนย์คุ้มครองสุนัขในลอสแอนเจลิส จิลเลนฮอลยังมีสุนัขพันธุ์ปัคเคิล ชื่อ บู แรดลีย์ สุนัขทั้ง 2 ตัวตั้งตามชื่อตัวละครในบทประพันธ์ของฮาร์เปอร์ ลี เรื่อง To Kill a Mockingbird หนึ่งในบทประพันธ์เรื่องโปรดของจิลเลนฮอล จิลเลนฮอลมีข่าวกับ รีส วิเธอร์สปูนที่เพิ่งหย่ากับสามีไรอัน ฟิลิปเป้ ทั้งคู่เริ่มคบหากันหลังจากเจอกันในกองถ่าย Rendition ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยุติลงเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 จากรายงานของนิตยสารพีเพิลการเมืองและความสนใจอื่นๆ การเมืองและความสนใจอื่นๆ. จิลเลนฮอลมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมือง โดยได้ถ่ายโฆษณารณรงค์การเลือกตั้งในโครงการร็อก เดอะ โหวต (Rock the Vote) ในช่วงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาปี พ.ศ. 2547 เขาได้ไปมหาวิทยาลัยเซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย กับพี่สาวเพื่อรณรงค์นักเรียนนักศึกษาให้ไปเลือกตั้ง จิลเลนฮอลได้ร่วมหาเสียงสนับสนุนให้ ผู้สมัครจอห์น เคอร์รี ของพรรคเดโมแครต จิลเลนฮอลกล่าวว่า "มันทำให้ผมหมดความอดทนเมื่อนักแสดงพูดถึงเรื่องการเมือง ผมเป็นพลเมืองคนหนึ่งและผมเลือกเล่นภาพยนตร์ ที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ผมพยายามและพูดในสิ่งที่ผมทำ ผิดหรือถูก นักแสดงหนุ่มนั้นล้วนมีอิทธิพล" จิลเลนฮอลเติบโตมาในครอบครัวที่ตระหนักถึงเรื่องสังคม เขาร่วมการรณรงค์กับ อเมริกันซิวิลลิเบอร์ตีส์ยูเนียน (เอซีแอลยู) เป็นองค์กรที่ทั้งครอบครัวของจิลเลนฮอลให้การสนับสนุน จิลเลนฮอลตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม และนิยมการนำของเก่ามาใช้ใหม่ และเคยให้สัมภาษณ์ว่า ได้ออกเงิน 400 เหรียญต่อปีเพื่อปลูกต้นไม้ให้ป่าในประเทศโมซัมบิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งประชาสัมพันธ์รายการฟิวเจอร์ฟอร์เรส หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow เขาได้บินไปแถบอาร์กติกเพื่อรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน ในเวลาว่าง จิลเลนฮอลนิยมทำงานฝีมือจากไม้ ทำอาหาร ส่วนกิจกรรมอื่นเขาเคยกล่าวว่า "ผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็พยายามฝึกสติ" และพยายามฝึกสมาธิทุกวันผลงานภาพยนตร์ ผลงานภาพยนตร์. เจค จิลเลนฮอลมีผลงานแสดงภาพยนตร์มาแล้ว 17 เรื่อง (ข้อมูลเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550) โดยเริ่มอาชีพการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปีในเรื่อง City Slickers ส่วนผลงานล่าสุดคือเรื่อง Rendition แสดงร่วมกับ รีส วิธเธอร์สปูน ออกฉายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังเคยพากย์เสียงให้กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towersรางวัลที่ได้รับ รางวัลที่ได้รับ. จิลเลนฮอลมีผลงานโดดเด่นที่สุดจากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain) จากบทบาทคาวบอยเกย์ "แจ็ค ทวิสต์" ได้รับรางวัลจาก 5 สถาบันใหญ่ นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังเคยได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Donnie Darko จากโคลทรูดิส อวอร์ดส
เรื่อง City Slicker
2,356
2,375
358
1
ราอุล อัลบิโอล ตอร์ตาฆาดา เล่นฟุตบอลให้กับทีมชาติอะไร
ราอุล อัลบิโอล ราอุล อัลบิโอล ตอร์ตาฆาดา () เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1985 ที่เมืองบิลามาร์ชันต์ () แคว้นบาเลนเซีย เป็นนักฟุตบอลชาวสเปน เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดและฟุตบอลทีมชาติสเปน เขาเป็นนักฟุตบอลที่เล่นได้หลายตำแหน่ง สามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งกองหลังตัวกลางหรือกองกลางตัวรับ
ทีมชาติสเปน
272
283
359
1
บ้านเกิดของเทียมบุญ อินทรบุตร อยู่ที่จังหวัดใด
เทียมบุญ อินทรบุตร เทียมบุญ อินทรบุตร อดีตโปรโมเตอร์มวยชื่อดัง ผู้ถือได้ว่าเป็นผู้มีความสำคัญในแวดวงมวยทั้งมวยไทยและมวยสากลในประเทศไทย และถือเป็นแบบอย่างให้แก่โปรโมเตอร์ในปัจจุบันด้วย เทียมบุญเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2469 ที่จังหวัดลำปาง ในครอบครัวที่มีฐานะ ในวัยเด็กและวัยรุ่นเคยใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชน เป็นที่รู้จักกันดีจากการเป็นโปรโมเตอร์จัดการชกของนักมวยสากลระดับแชมป์โลกชาวไทย อาทิ โผน กิ่งเพชร ที่ชิงแชมป์โลกรุ่นฟลายเวทคืนจาก ฮิโรยูกิ เอบิฮาร่า นักมวยชาวญี่ปุ่น ซึ่งในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์การชกมวยสากลชิงแชมป์โลกในประเทศไทย และการจัด "ศึกสายเลือด" การชิงแชมป์โลกระหว่างนักมวยไทยด้วยกันเองเป็นครั้งแรก คือ ชาติชาย เชี่ยวน้อย กับ พันธุ์ทิพย์ แก้วสุริยะ และที่เป็นที่จดจำได้ดีที่สุด คือ การที่เป็นผู้วางแผนให้ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ ชกมวยสากลเพียง 3 ครั้งเท่านั้นแล้วได้เป็นแชมป์โลก อย่างที่เรียกกันว่า "บันได 3 ขั้น" นอกจากนี้แล้ว เทียมบุญถือว่าเป็นผู้สร้างจุดขายและประชาสัมพันธ์การชกมวยในรูปแบบใหม่ เช่น การแต่งเพลงมาร์ชเชียร์มวย หรือ การจัดมวยตามเสด็จพระราชกุศล เป็นต้น เทียมบุญได้รับฉายาจากสื่อมวลชนในแวดวงมวยว่า "พญาอินทรี" หรือ "หัวแตงโม" เนื่องจากมีลักษณะศีรษะที่ใหญ่โต และไว้ผมทรงสั้นเกรียน เทียมบุญยุติบทบาทตัวเองจากวงการมวยในปี พ.ศ. 2526 ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสำนักงานทนายความและการบัญชี ย่านถนนวิสุทธิกษัตริย์ แต่สุขภาพทรุดโทรมจากทั้งโรคหัวใจ และถุงลมโป่งพอง อันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่จัด ถึงขนาดต้องพกถังออกซิเจนไว้ข้างตัวตลอดเวลา เข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลหลายครั้ง ต่อมาเกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มในห้องน้ำที่บ้านพักตัวเอง จนกระดูกสะโพกหัก 3 ท่อน ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานนับเดือน เมื่อกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ไม่นานนัก เทียมบุญตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการยิงกระสุนขนาด จุด 38 ใส่ศีรษะตนเองจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 ขณะมีอายุได้ 65 ปี งานศพของเทียมบุญได้รับพระราชทานเพลิงเป็นกรณีพิเศษที่วัดมักกะสัน
จังหวัดลำปาง
311
323
360
1
วัดที่จัดงานศพของเทียมบุญ อินทรบุตร อดีตโปรโมเตอร์มวย คือวัดอะไร
เทียมบุญ อินทรบุตร เทียมบุญ อินทรบุตร อดีตโปรโมเตอร์มวยชื่อดัง ผู้ถือได้ว่าเป็นผู้มีความสำคัญในแวดวงมวยทั้งมวยไทยและมวยสากลในประเทศไทย และถือเป็นแบบอย่างให้แก่โปรโมเตอร์ในปัจจุบันด้วย เทียมบุญเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2469 ที่จังหวัดลำปาง ในครอบครัวที่มีฐานะ ในวัยเด็กและวัยรุ่นเคยใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชน เป็นที่รู้จักกันดีจากการเป็นโปรโมเตอร์จัดการชกของนักมวยสากลระดับแชมป์โลกชาวไทย อาทิ โผน กิ่งเพชร ที่ชิงแชมป์โลกรุ่นฟลายเวทคืนจาก ฮิโรยูกิ เอบิฮาร่า นักมวยชาวญี่ปุ่น ซึ่งในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์การชกมวยสากลชิงแชมป์โลกในประเทศไทย และการจัด "ศึกสายเลือด" การชิงแชมป์โลกระหว่างนักมวยไทยด้วยกันเองเป็นครั้งแรก คือ ชาติชาย เชี่ยวน้อย กับ พันธุ์ทิพย์ แก้วสุริยะ และที่เป็นที่จดจำได้ดีที่สุด คือ การที่เป็นผู้วางแผนให้ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ ชกมวยสากลเพียง 3 ครั้งเท่านั้นแล้วได้เป็นแชมป์โลก อย่างที่เรียกกันว่า "บันได 3 ขั้น" นอกจากนี้แล้ว เทียมบุญถือว่าเป็นผู้สร้างจุดขายและประชาสัมพันธ์การชกมวยในรูปแบบใหม่ เช่น การแต่งเพลงมาร์ชเชียร์มวย หรือ การจัดมวยตามเสด็จพระราชกุศล เป็นต้น เทียมบุญได้รับฉายาจากสื่อมวลชนในแวดวงมวยว่า "พญาอินทรี" หรือ "หัวแตงโม" เนื่องจากมีลักษณะศีรษะที่ใหญ่โต และไว้ผมทรงสั้นเกรียน เทียมบุญยุติบทบาทตัวเองจากวงการมวยในปี พ.ศ. 2526 ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสำนักงานทนายความและการบัญชี ย่านถนนวิสุทธิกษัตริย์ แต่สุขภาพทรุดโทรมจากทั้งโรคหัวใจ และถุงลมโป่งพอง อันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่จัด ถึงขนาดต้องพกถังออกซิเจนไว้ข้างตัวตลอดเวลา เข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลหลายครั้ง ต่อมาเกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มในห้องน้ำที่บ้านพักตัวเอง จนกระดูกสะโพกหัก 3 ท่อน ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานนับเดือน เมื่อกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ไม่นานนัก เทียมบุญตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการยิงกระสุนขนาด จุด 38 ใส่ศีรษะตนเองจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 ขณะมีอายุได้ 65 ปี งานศพของเทียมบุญได้รับพระราชทานเพลิงเป็นกรณีพิเศษที่วัดมักกะสัน
วัดมักกะสัน
1,834
1,845
361
1
คู่ชกคนแรกของวิทยาน้อย สิงห์ยอดฟ้า คือใคร
วิทยาน้อย สิงห์ยอดฟ้า วิทยาน้อย สิงห์ยอดฟ้า หรือนายสุรศักด์ แซ่ห่าน นักมวยสากลชาวไทย เกิดเมื่อ พ.ศ. 2489 ที่ ธนบุรีประวัติ ประวัติ. วิทยาน้อยเรียนจบชั้น มศ. 3 จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ หลังจากเรียนจบได้ไปหัดชกมวยไทยกับสมปอง วงษ์สิทธิโชค และตั้งแชเล้ง พงษ์สิงห์ ขึ้นชกครั้งแรกชนะน็อค ดาวน้อย สิงห์ทอผ้า ยก 2 จากนั้นตระเวนชกตามต่างจังหวัดจนมีชื่อเสียง จึงขึ้นชกที่เวทีลุมพินี ชนะคะแนนพรแก้ว ลูกตากสิน และได้ไปชกที่เวทีราชดำเนินแพ้แตก ศักดิ์นรินทร์ จีระพันธุ์ ยก แรก จากนั้นจึงหันมาชกมวยสากล ชกครั้งแรก ชนะคะแนน ฤทธิ์โรจน์ เลิศฤทธิ์ ต่อมาชนะน็อคบำเหน็จ สิงห์เชื้อเพลิง ยก 4 ได้เข้าอับดับมวยสากลของเวทีราชดำเนิน และได้ครองแชมป์มวยสากลรุ่นฟลายเวทของเวทีลุมพินีเมื่อชกชนะชายธง สิงห์เชื้อเพลิง ต่อมาชนะคะแนนสมฤกษ์ ร.ส.พ. ได้ครองแชมป์มวยสากลรุ่นฟลายเวทเวทีราชดำเนิน ก่อนจะเสียแชมป์ให้ศักดิ์หน่อย ศ.โกสุมภ์ ต่อมาชกชนะสึโยะชิ นะกะมุระ รองแชมป์โลกชาวญี่ปุ่นเมื่อ 10 กันยายน พ.ศ. 2508 จึงได้เป็นรองแชมป์โลก แต่ต่อมาชกแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง จึงหลุดจากอันดับโลก จนแพ้น็อกเวนิส บ.ข.ส. ยก 2 จึงแขวนนวมไปเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2513 ปัจจุบันวิทยาน้อยประกอบอาชีพค้าขายในกรุงเทพฯเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - แชมป์ประเทศไทยรุ่นฟลายเวท- ชิง ชนะคะแนน สมฤกษ์ ร.ส.พ. - เสียแชมป์ แพ้คะแนน ศักดิ์หน่อย ศ.โกสุมภ์
ดาวน้อย สิงห์ทอผ้า
376
394
362
1
ภรรยาของประยุทธ มหากิจศิริ คือใคร
ประยุทธ มหากิจศิริ ประยุทธ มหากิจศิริ (1 ธันวาคม พ.ศ. 2488 - ) นักธุรกิจชาวไทย ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท พีเอ็มส์ กรุ๊ปส์ เจ้าของบริษัทไทยน็อคซ์ สเตนเลส และไทย คอปเปอร์ เป็นเจ้าของสนามกอล์ฟเลควูด จากฉายา"เจ้าพ่อเนสกาแฟ"ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเขาเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ และ บริษัท เนสท์เล่(ไทย)จำกัด แต่ความจริงเขาเป็นผู้ถือหุ้นโรงงานผลิตเนสกาแฟ โดยถือหุ้นอยู่ 50% มิได้มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟหรือบริษัท เนสท์เล่(ไทย)จำกัด โดยตรงแต่อย่างใด ชีวิตส่วนตัว สมรสกับ สุวิมล มหากิจศิริ มีบุตร 3 คน คือ อุษณีย์ มหากิจศิริ เฉลิมชัย มหากิจศิริ และอุษณา มหากิจศิริ นายประยุทธ มหากิจศิริ มีความสนิทสนมกับทักษิณ ชินวัตร โดยมีลูกชายคือ เฉลิมชัย มหากิจศิริ เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกับ พานทองแท้ ชินวัตรการเมือง การเมือง. นายประยุทธ มหากิจศิริ เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี พ.ศ. 2540 ต่อมาได้เข้ารับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แต่ต่อมาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2545 มีผลตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2543 - 21 มีนาคม พ.ศ. 2548 ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2546 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2540 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
สุวิมล มหากิจศิริ
568
585
363
1
พานทองแท้ ชินวัตร เป็นเพื่อนกับลูกชายของประยุทธ มหากิจศิริ มีชื่อว่าอะไร
ประยุทธ มหากิจศิริ ประยุทธ มหากิจศิริ (1 ธันวาคม พ.ศ. 2488 - ) นักธุรกิจชาวไทย ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท พีเอ็มส์ กรุ๊ปส์ เจ้าของบริษัทไทยน็อคซ์ สเตนเลส และไทย คอปเปอร์ เป็นเจ้าของสนามกอล์ฟเลควูด จากฉายา"เจ้าพ่อเนสกาแฟ"ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเขาเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ และ บริษัท เนสท์เล่(ไทย)จำกัด แต่ความจริงเขาเป็นผู้ถือหุ้นโรงงานผลิตเนสกาแฟ โดยถือหุ้นอยู่ 50% มิได้มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟหรือบริษัท เนสท์เล่(ไทย)จำกัด โดยตรงแต่อย่างใด ชีวิตส่วนตัว สมรสกับ สุวิมล มหากิจศิริ มีบุตร 3 คน คือ อุษณีย์ มหากิจศิริ เฉลิมชัย มหากิจศิริ และอุษณา มหากิจศิริ นายประยุทธ มหากิจศิริ มีความสนิทสนมกับทักษิณ ชินวัตร โดยมีลูกชายคือ เฉลิมชัย มหากิจศิริ เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกับ พานทองแท้ ชินวัตรการเมือง การเมือง. นายประยุทธ มหากิจศิริ เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี พ.ศ. 2540 ต่อมาได้เข้ารับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แต่ต่อมาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2545 มีผลตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2543 - 21 มีนาคม พ.ศ. 2548 ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2546 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) - พ.ศ. 2540 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
เฉลิมชัย มหากิจศิริ
729
748
364
1
ผลงานชิ้นเอกของวิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธกวีจินตนิยมชาวอังกฤษ มีชื่อว่าอะไร
วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ (; 7 เมษายน ค.ศ. 1770 - 23 เมษายน ค.ศ. 1850) เป็นกวีจินตนิยมชาวอังกฤษ ผู้เริ่มยุคจินตนิยมของวรรณกรรมอังกฤษร่วมกับแซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ ในปี ค.ศ. 1798 ด้วยงานตีพิมพ์ร่วมชื่อ Lyrical Ballads งานที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเวิร์ดสเวิร์ธ คือ The Prelude บทกวีกึ่งอัตชีวประวัติในช่วงแรกในชีวิตของเขาซึ่งได้ผ่านการปรับปรุงแก้ไขและต่อเติมมาเป็นจำนวนหลายครั้ง ชื่อผลงานนี้ตั้งขึ้นในโอกาสที่ตีพิมพ์หลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว ก่อนหน้านั้นมันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นบทกวี "แด่คอเลริดจ์" เวิร์ดสเวิร์ธได้รับตำแหน่ง Poet Laureate (กวีของรัฐ) ของบริเตนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1843 จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1850ผลงานที่สำคัญผลงานที่สำคัญ. - Lyrical Ballads, และบทกวีอื่นๆ (1798)- "Simon Lee" - "We are Seven" - "Lines Written in Early Spring" - "Expostulation and Reply" - "The Tables Turned" - "The Thorn" - "Lines Composed A Few Miles above Tintern Abbey" - Lyrical Ballads, และบทกวีอื่นๆ (1800)- Preface to the Lyrical Ballads - "Strange fits of passion have I known" - "She Dwelt among the Untrodden Ways" - "Three years she grew" - "A Slumber Did my Spirit Seal" - "I travelled among unknown men" - "Lucy Gray" - "The Two April Mornings" - "Nutting" - "The Ruined Cottage" - "Michael" - "The Kitten At Play" - Poems, in Two Volumes (1807)- "Resolution and Independence" - "I Wandered Lonely as a Cloud" หรือรู้จักในชื่อ "Daffodils" - "My Heart Leaps Up" - "Ode to Duty" - "The Solitary Reaper" - "Elegiac Stanzas" - "Composed upon Westminster Bridge, September 3, 1802" - "London, 1802" - "The World Is Too Much with Us"- The Excursion (1814)- Laodamia (1815, 1845)- The Prelude (1850)- Guide to the Lakes (1810)
The Prelude
396
407
365
1
วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธเป็นกวีจินตนิยมชาวอังกฤษ เสียชีวิตในปี ค.ศ. ใด
วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ธ (; 7 เมษายน ค.ศ. 1770 - 23 เมษายน ค.ศ. 1850) เป็นกวีจินตนิยมชาวอังกฤษ ผู้เริ่มยุคจินตนิยมของวรรณกรรมอังกฤษร่วมกับแซมมวล เทย์เลอร์ คอเลริดจ์ ในปี ค.ศ. 1798 ด้วยงานตีพิมพ์ร่วมชื่อ Lyrical Ballads งานที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเวิร์ดสเวิร์ธ คือ The Prelude บทกวีกึ่งอัตชีวประวัติในช่วงแรกในชีวิตของเขาซึ่งได้ผ่านการปรับปรุงแก้ไขและต่อเติมมาเป็นจำนวนหลายครั้ง ชื่อผลงานนี้ตั้งขึ้นในโอกาสที่ตีพิมพ์หลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว ก่อนหน้านั้นมันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นบทกวี "แด่คอเลริดจ์" เวิร์ดสเวิร์ธได้รับตำแหน่ง Poet Laureate (กวีของรัฐ) ของบริเตนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1843 จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1850ผลงานที่สำคัญผลงานที่สำคัญ. - Lyrical Ballads, และบทกวีอื่นๆ (1798)- "Simon Lee" - "We are Seven" - "Lines Written in Early Spring" - "Expostulation and Reply" - "The Tables Turned" - "The Thorn" - "Lines Composed A Few Miles above Tintern Abbey" - Lyrical Ballads, และบทกวีอื่นๆ (1800)- Preface to the Lyrical Ballads - "Strange fits of passion have I known" - "She Dwelt among the Untrodden Ways" - "Three years she grew" - "A Slumber Did my Spirit Seal" - "I travelled among unknown men" - "Lucy Gray" - "The Two April Mornings" - "Nutting" - "The Ruined Cottage" - "Michael" - "The Kitten At Play" - Poems, in Two Volumes (1807)- "Resolution and Independence" - "I Wandered Lonely as a Cloud" หรือรู้จักในชื่อ "Daffodils" - "My Heart Leaps Up" - "Ode to Duty" - "The Solitary Reaper" - "Elegiac Stanzas" - "Composed upon Westminster Bridge, September 3, 1802" - "London, 1802" - "The World Is Too Much with Us"- The Excursion (1814)- Laodamia (1815, 1845)- The Prelude (1850)- Guide to the Lakes (1810)
ปี ค.ศ. 1850
735
747
366
1
ผู้ได้เหรียญทองรุ่นแบนตัมเวท กีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2551 ที่ ปักกิ่ง ประเทศจีน คือใคร
เอนค์บาติน บาดาร์-อูกัน เอนค์บาติน บาดาร์-อูกัน (Enkhbatyn Badar-Uugan) นักมวยสากลสมัครเล่นชาวมองโกเลีย เกิดเมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2528 ที่ อุลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย ติดทีมชาติมองโกเลียเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2551 ที่ ปักกิ่ง ประเทศจีน ในรุ่นแบนตัมเวท รอบแรก ชนะ วาลเดซ จาก เม็กซิโก เมื่อ 12 สิงหาคม รอบสอง ชนะ จอห์น โจ เนวิน จาก ไอร์แลนด์ เมื่อ 15 สิงหาคม รอบก่อนรองชนะเลิศ ชนะ คูมิโซ อิกโกโปเลง จาก บอตสวานา เมื่อ 18 สิงหาคม รอบรองชนะเลิศ ชนะ แวเซสลาฟ โกยัน จากมอลโดวา เมื่อ 22 สิงหาคม รอบชิงชนะเลิศ ชนะ ยันเกียล เลออน จากคิวบา เมื่อ 24 สิงหาคม ได้เหรียญทอง
เอนค์บาติน บาดาร์-อูกัน
123
146
367
1
การีม ม็อสตาฟา แบนเซมาเป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เกิดที่เมืองอะไรในประเทศฝรั่งเศส
การีม แบนเซมา การีม ม็อสตาฟา แบนเซมา (; เกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรีย ในตำแหน่งกองหน้า อดีตเคยเล่นให้สโมสรฟุตบอลออแล็งปิกลียอแน ปัจจุบันลงเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดและฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสเกียรติประวัติออแล็งปิกลียอแนเกียรติประวัติ. ออแล็งปิกลียอแน. - ลีกเอิง : 2004–05, 2005–06, 2006–07, 2007–08 - กุปเดอฟร็องส์ : 2007–08 - ทรอเฟเดช็องปียง : 2006, 2007เรอัลมาดริดเรอัลมาดริด. - ลาลีกา : 2011–12 - โกปาเดลเรย์ : 2010–11, 2013–14 - ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา : 2012 - ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2013–14 - ยูฟ่าซูเปอร์คัพ : 2014 - ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก : 2014
เมืองลียง
169
178
368
1
การีม ม็อสตาฟา แบนเซมาเป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรีย เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลอะไร
การีม แบนเซมา การีม ม็อสตาฟา แบนเซมา (; เกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรีย ในตำแหน่งกองหน้า อดีตเคยเล่นให้สโมสรฟุตบอลออแล็งปิกลียอแน ปัจจุบันลงเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดและฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสเกียรติประวัติออแล็งปิกลียอแนเกียรติประวัติ. ออแล็งปิกลียอแน. - ลีกเอิง : 2004–05, 2005–06, 2006–07, 2007–08 - กุปเดอฟร็องส์ : 2007–08 - ทรอเฟเดช็องปียง : 2006, 2007เรอัลมาดริดเรอัลมาดริด. - ลาลีกา : 2011–12 - โกปาเดลเรย์ : 2010–11, 2013–14 - ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา : 2012 - ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2013–14 - ยูฟ่าซูเปอร์คัพ : 2014 - ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก : 2014
สโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด
314
336
369
1
คู่ครองของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ มีพระนามว่าอะไร
พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ (21 มกราคม พ.ศ. 2426 — 8 เมษายน พ.ศ. 2453) เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 27 ในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ที่ประสูติแต่จอมมารดาสอาด ธิดาพระยาทิพมณเฑียร พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ เมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ แรม 9 ค่ำ ปีมะแม เบญจศก จ.ศ. 1245 ตรงกับวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2426 ในช่วงที่พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ มีพระชนม์ชีพอยู่ ทรงรับราชการที่กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่โปรดปรานของ "พระพุทธเจ้าหลวง" แต่พระองค์ทรงมีบุญน้อย ยังไม่ได้รับทรงกรม ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือน 4 แรม 14 ค่ำ ปีจอ โทศก จ.ศ. 1272 ตรงกับวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2453 พระชันษา 28 ปี พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดสระเกศ วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 เป็นต้นราชสกุล วิสุทธิ ณ อยุธยาพระโอรสธิดา พระโอรสธิดา. พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงกมลเปรมปรีดิ์ วิสุทธิ (ราชสกุลเดิม: นวรัตน) พระธิดาในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าคุณจอมมารดาเอม) กับหม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา มีพระโอรสธิดา 4 องค์ คือ- หม่อมเจ้าหญิงพงศ์ประพันธ์ วิสุทธิ - หม่อมเจ้าชายนันทิวัฒน์ วิสุทธิ (สิ้นชีพิตักษัยตั้งแต่ยังทรงเยาว์) - หม่อมเจ้าชายรัตยากร วิสุทธิ ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงสุลัภวัลเลง วิสุทธิ (ราชสกุลเดิม: สวัสดิวัตน์) หรือท่านหญิงตุ๊ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ - หม่อมเจ้าชายขจรปรีดี วิสุทธิ ทรงเสกสมรสกับหม่อมมณี วิสุทธิ ณ อยุธยา
หม่อมเจ้าหญิงกมลเปรมปรีดิ์ วิสุทธิ
967
1,001
370
1
พระบิดาของหม่อมเจ้าหญิงกมลเปรมปรีดิ์ วิสุทธิ มีพระนามว่าอะไร
พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ (21 มกราคม พ.ศ. 2426 — 8 เมษายน พ.ศ. 2453) เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 27 ในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ที่ประสูติแต่จอมมารดาสอาด ธิดาพระยาทิพมณเฑียร พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ เมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ แรม 9 ค่ำ ปีมะแม เบญจศก จ.ศ. 1245 ตรงกับวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2426 ในช่วงที่พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ มีพระชนม์ชีพอยู่ ทรงรับราชการที่กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่โปรดปรานของ "พระพุทธเจ้าหลวง" แต่พระองค์ทรงมีบุญน้อย ยังไม่ได้รับทรงกรม ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือน 4 แรม 14 ค่ำ ปีจอ โทศก จ.ศ. 1272 ตรงกับวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2453 พระชันษา 28 ปี พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดสระเกศ วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 เป็นต้นราชสกุล วิสุทธิ ณ อยุธยาพระโอรสธิดา พระโอรสธิดา. พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงกมลเปรมปรีดิ์ วิสุทธิ (ราชสกุลเดิม: นวรัตน) พระธิดาในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าคุณจอมมารดาเอม) กับหม่อมนุ่ม นวรัตน ณ อยุธยา มีพระโอรสธิดา 4 องค์ คือ- หม่อมเจ้าหญิงพงศ์ประพันธ์ วิสุทธิ - หม่อมเจ้าชายนันทิวัฒน์ วิสุทธิ (สิ้นชีพิตักษัยตั้งแต่ยังทรงเยาว์) - หม่อมเจ้าชายรัตยากร วิสุทธิ ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงสุลัภวัลเลง วิสุทธิ (ราชสกุลเดิม: สวัสดิวัตน์) หรือท่านหญิงตุ๊ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ - หม่อมเจ้าชายขจรปรีดี วิสุทธิ ทรงเสกสมรสกับหม่อมมณี วิสุทธิ ณ อยุธยา
พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์
1,033
1,099
371
1
บิดาของพรทิวา ศักดิ์ศิริเวทย์กุล หรือ พรทิวา นาคาศัย คือใคร
พรทิวา นาคาศัย พรทิวา ศักดิ์ศิริเวทย์กุล หรือ พรทิวา นาคาศัย(6 มิถุนายน พ.ศ. 2504 - ) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชัยนาท อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ อดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยประวัติ ประวัติ. พรทิวา ศักดิ์ศิริเวทย์กุล เป็นบุตรสาวของนายสุรินทร์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล เจ้าของสถานบริการอาบอบนวด "โพไซดอน" ย่านรัชดาฯ และนางบุญเรือน ศักดิ์ศิริเวทย์กุล นางพรทิวามีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คนดังนี้1. นางพรทิพย์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล 2. นายสมชาย ศักดิ์ศิริเวทย์กุล 3. นายขจรศักดิ์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล 4. นายสุชัย ศักดิ์ศิริเวทย์กุล พรทิวา ศักดิ์ศิริเวทย์กุล สมรสแล้วกับ นายอนุชา นาคาศัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชัยนาท พรรคไทยรักไทย ปัจจุบันได้หย่ากับอนุชา นาคาศัย แล้วการศึกษา การศึกษา. พรทิวา ศักดิ์ศิริเวทย์กุล สำเร็จการศึกษาม.ปลายจาก โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ปริญญาตรี 2 หลักสูตร คือ ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาภูมิศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ (การปกครอง) จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จบการศึกษาปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิตสาขาการบริหารจัดการสาธารณะ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และประกาศนียบัตรชั้นสูง สาขาการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้าการทำงาน การทำงาน. พรทิวา ศักดิ์ศิริเวทย์กุล เคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ก่อนจะเข้ามาทำงานการเมืองติดตามมากับนายอนุชา นาคาศัย เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดชัยนาท และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชัยนาท เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นช่วงที่กระทรวงพาณิชย์ ต้องมีภารกิจในการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มราคาแพง และปัญหาสินค้าอื่นๆ ขึ้นราคา รวมถึงการถูกโจมตีจากฝ่ายค้าน และนายวัชระ เพชรทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ปลายปี พ.ศ. 2553 สื่อมวลชนประจำทำเนียบได้ตั้งฉายา "นางฟ้าสต๊อกลม" เนื่องจากปัญหาสินค้าต่างๆ มักจะมีความไม่โปร่งใสบ่อยครั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2554 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
นายสุรินทร์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล
362
392
372
1
เลดิออน เชนิชา เป็นนักมวยสากลประเทศอะไร
เลดิออน เชนิชา เลดิออน เชนิซา () นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ เกิดเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2518 สถิติการชก 29 ครั้ง ชนะ 18 (น็อค 7) เสมอ 1 แพ้ 10ประวัติ ประวัติ. เชนิชาเริ่มชกมวยสากลอาชีพเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2536 ชนะคะแนน เนลสัน เนลมิดา จากนั้นขึ้นชกชนะรวดอีก 12 ครั้ง ซึ่งรวมทั้งชกชนะเซลโซ่ แดงก๊อด และ นีล กาก้า ด้วย จากนั้น เชนิชาเดินทางไปชิงแชมป์ OPBF รุ่นไลท์ฟลายเวทที่เกาหลีใต้เมื่อ 11 กันยายน พ.ศ. 2537 แพ้น็อค ชาง ยังซุน ยก 7 จากนั้น ก็มาชกในประเทศไทย แพ้คะแนน พะเนียง พูนธรัตน์ เทพสตาร์ เฉลิมศรี จากนั้นได้มาชิงแชมป์ OPBF รุ่นฟลายเวทเมื่อ 18 มีนาคม พ.ศ. 2538 ก็เป็นฝ่ายแพ้คะแนน โชคชัย โชควิวัฒน์ และมาชกนอกรอบในเดือนต่อมา ก็เป็นฝ่ายแพ้คะแนน ศิริมงคล สิงห์มนัสศักดิ์ หลังจากกลับไปชกชนะที่ฟิลิปปินส์ 2 ครั้ง เชนิชามาชกที่ไทยอีก คราวนี้เป็นฝ่ายชนะคะแนนดัทซ์บอย ดัทซ์บอยยิม น้องชายของแซมซั่น ดัทซ์บอยยิม หลังจากนั้น เชนิชาไปชกที่ญี่ปุ่น แพ้คะแนนซูซูกิ คาบาโตะ จากนั้น เชนิชามาชกแพ้คะแนน ฉัตรชัย อีลิทยิม และเมื่อขึ้น พ.ศ. 2539 เชนิชามาชกนอกรอบ ชนะทีเคโอ โชคชัย โชควิวัฒน์ในยกที่ 4 โดยโชคชัยไหล่หลุดจนต้องยุติการชกไป จากนั้น เชนิชามาชกแพ้น็อควีรพล นครหลวงโปรโมชั่น ยก 9 และกลับไปชกที่ฟิลิปปินส์อีกเพียงครั้งเดียว แพ้น็อค ราฟฟี มอลทันบัล เมื่อ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ชิงแชมป์ฟิลิปปินส์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวทไม่สำเร็จ จากนั้น เชนิชาก็แขวนนวมไปเกียรติประวัติเกียรติประวัติ. - เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ- ชิงแชมป์ OPBF รุ่นไลท์ฟลายเวท เมื่อ 11 กันยายน 2537 แพ้น็อค ชาง ยังซุน ยก 7 ที่ เกาหลีใต้ - ชิงแชมป์ OPBF รุ่นฟลายเวท เมื่อ 18 มีนาคม 2538 แพ้คะแนน โชคชัย โชควิวัฒน์ ที่ กทม.
ฟิลิปปินส์
136
146
373
1
อาดานา เป็นเมืองทางตอนใต้ของประเทศอะไร
อาดานา อาดานา (Adana) เป็นเมืองทางตอนใต้ของประเทศตุรกี และเป็นศูนย์กลางการค้าและกสิกรรมที่สำคัญ เมืองตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซย์ฮาน อยู่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนราว 30 กม. เป็นเมืองหลวงของจังหวัดอาดานา มีประชากร 1.6 ล้านคน แต่เดิมเป็นที่ตั้งกองทหารของโรมัน ต่อมาประมาณ ค.ศ. 762 ฮารุน-อาร์-รอซิด คอลีฟะห์แห่งราชวงศ์อับบาซียะห์ได้เข้าครอบครองแลทะนุบำรุงจนเจริญรุ่งเรือง ระหว่าง ค.ศ. 1832-1840 ตกเป็นของอียิปต์
ประเทศตุรกี
125
136
374
1
ระหว่าง ค.ศ. 1832-1840 อาดานาเป็นเมืองทางตอนใต้ของประเทศตุรกีตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอะไร
อาดานา อาดานา (Adana) เป็นเมืองทางตอนใต้ของประเทศตุรกี และเป็นศูนย์กลางการค้าและกสิกรรมที่สำคัญ เมืองตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซย์ฮาน อยู่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนราว 30 กม. เป็นเมืองหลวงของจังหวัดอาดานา มีประชากร 1.6 ล้านคน แต่เดิมเป็นที่ตั้งกองทหารของโรมัน ต่อมาประมาณ ค.ศ. 762 ฮารุน-อาร์-รอซิด คอลีฟะห์แห่งราชวงศ์อับบาซียะห์ได้เข้าครอบครองแลทะนุบำรุงจนเจริญรุ่งเรือง ระหว่าง ค.ศ. 1832-1840 ตกเป็นของอียิปต์
อียิปต์
488
495
375
1
บุปผา สายชล เล่นลิเกอยู่ในคณะอะไร
บุปผา สายชล บุปผา สายชล (13 เมษายน พ.ศ. 2490 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2533) เป็นนักร้องลูกทุ่งหญิงชื่อดังในครั้งอดีตที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และนอกจากจะมีผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมมากมายหลายสิบเพลงแล้ว ก็ยังมีผลงานทางด้านการแสดงภาพยนตร์อีกหลายเรื่องประวัติ ประวัติ. บุปผา สายชลเข้าสู่วงการ เข้าสู่วงการ. บุปผา สายชล เล่นลิเกในคณะสายพิณวัฒนา ของครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่จะรับบท กัณหา-ชาลี เล่นคู่กับพี่ชาย บุปผา สายชล ชื่นชอบการร้องเพลง เข้าสู่วงการด้วยการเป็นร้องร้องเชียร์รำวง ก่อนจะเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งเต็มตัวเมื่ออายุ 14 ปี จากการชักชวนของ สุชาติ เทียนทอง โดยได้มาอยู่กับวงจุฬารัตน์ ของครูมงคล อมาตยกุล และได้มีโอกาสบันทึกเสียงเพลงแรกชื่อ “ แก้มนวล “ แก้กับเพลง “ หอมหวน “ ของโฆษิต นพคุณ ที่แต่งโดยชาย เมืองสิงห์ ทั้งสองเพลง แต่อาชีพการงานของเธอในวงจุฬารัตน์นั้นไม่ค่อยเจริญรุ่งเรืองนัก เพราะการที่เธอไม่ค่อยมีโอกาสบันทึกเสียง ตอนที่ออกไปแสดงหน้าเวที ก็จึงต้องหยิบยืมเพลงของ ดวงใจ เมืองสิงห์ไปขับร้อง แต่ปรากฏว่าเธอร้องได้ดีกว่าเจ้าของเพลง ทำให้ชาย เมืองสิงห์ ไม่ค่อยกล้าป้อนเพลงให้โด่งดัง โด่งดัง. ระหว่างนั้น เมื่อมีปัญหา เธอก็ได้หันหน้าไปปรึกษาหารือกับศรีไพร ใจพระ หรือเก่งกาจ จงใจพระในปัจจุบันบัน ซึ่งตอนนั้นเป็นโฆษกของวง จนกลายเป็นคู่รักกันในที่สุด ในที่สุด ศรีไพร ใจพระ ก็หอบหิ้ว บุปผาออกมาตั้งวงเองในปี 2508 ชื่อวง กระดิ่งทอง และหาวิธีผลักดันบุปผา สายชล ด้วยการให้ บุปผา สายชล มีโอกาสเล่นลิเก กับชาย เมืองสิงห์ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีหวังได้เพลงจากชาย เมืองสิงห์ ศรีไพร ใจพระ ก็หันไปขอเพลงจากครูไพบูลย์ บุตรขัน จากที่เคยมีชื่อเสียงมาบ้างจากเพลงหวานอย่าง "แก้มนวล" ครูไพบูลย์ บุตรขัน เปลี่ยนทางให้บุปผา สายชล หันมาร้องเพลงแนวโฉบเฉี่ยวอย่างเพลง "รักคนแก่ดีกว่า" ซึ่งงานนี้ก็ไม่พลาดอีกเช่นกัน เมื่อเธอมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว จน รังสี ทัศนพยัคฆ์ ต้องนำเธอไปร่วมแสดงในภาพยนตร์หลายสิบเรื่อง เริ่มจาก "ชาติลำชี" และตามมาด้วย “ มนต์รักลูกทุ่ง “ อันลือลั่นในยุคขายนักร้องลูกทุ่ง และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เธอโด่งดังมากขึ้นไปอีก เพราะได้บทดี และได้ร้องเพลงหลายเพลง หลังการเสียชีวิตของมิตร ชัยบัญชา พระเอกภาพยนตร์ ระดับตำนานของฟ้าเมืองไทย ครูไพบูลย์ บุตรขัน ก็แต่งเพลง “ ยมบาลเจ้าขา “ เพื่อปรับทุกข์เรื่องการที่คนดีตายเร็ว คนชั่วตายช้า และก็ไม่ผิดหวังอีก เมื่อเพลงดังระเบิด รวมแล้วเธอมีผลงานบันทึกเสียงราว 500 เพลงปัญหาครอบครัว ปัญหาครอบครัว. ปี 2517 ชีวิตครอบครัวของบุปผา สายชล และ ศรีไพร ใจพระ เริ่มมีปัญหาก็เลยเลิกกัน ศรีไพร ใจพระ หันไปทำวงดนตรีหงษ์ทอง ดาวอุดร ส่วนบุปผา สายชล ก็มุ่งไปสู่วงการภาพยนตร์ และพบรักใหม่กับ สิงหา สุริยงค์ พระเอกภาพยนตร์ที่มีโอกาสร่วมงานกัน และมีบุตรกับสิงหา สุริยงค์ 1 คน ซึ่งก่อนหน้านี้มีบุตรกับ ศรีไพร ใจพระ 1 คน ในปี 2524 บุปผา สายชล ที่ไม่มี ศรีไพร ใจพระ ผลักดัน ได้พยายามกลับเข้าสู่วงการลูกทุ่งอีกครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จลาลับ ลาลับ. บุปผา สายชล เสียชีวิต เมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 จากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูง ที่โรงพยาบาลเอกชล จังหวัดชลบุรี เสียชีวิตในปีเดียวกับนางบุญมี พยนต์เลิศ คุณแม่ของเธอ ซึ่งเสียชีวิตในวันที่ 3 มกราคม 2533 ปัจจุบัน สุรชัย สายชล ทายาทคนหนึ่งของบุปผา สายชล ก็ได้ผลิตผลงานลูกทุ่งตามรอยผู้เป็นมารดา แต่ไม่ได้รับความนิยมนักผลงานภาพยนตร์ผลงานภาพยนตร์. - ชาติลำชี (2512) - มนต์รักลูกทุ่ง (2513) - ส้มตำ (2514) - หยาดฝน (2515) - ขวัญใจลูกทุ่ง (2515) - แก้วกลางนา (2516) - อำนาจเงิน(2516) - มนต์รักแผ่นดินทอง (2521) - ไอ้ฟ้าผ่า (2521) - กำนันโพธิ์ (2522) - เขยเต็กกอ (2529)
คณะสายพิณวัฒนา
404
418
376
1
แม่ของบุปผา สายชล นักร้องลูกทุ่งหญิง คือใคร
บุปผา สายชล บุปผา สายชล (13 เมษายน พ.ศ. 2490 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2533) เป็นนักร้องลูกทุ่งหญิงชื่อดังในครั้งอดีตที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และนอกจากจะมีผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมมากมายหลายสิบเพลงแล้ว ก็ยังมีผลงานทางด้านการแสดงภาพยนตร์อีกหลายเรื่องประวัติ ประวัติ. บุปผา สายชลเข้าสู่วงการ เข้าสู่วงการ. บุปผา สายชล เล่นลิเกในคณะสายพิณวัฒนา ของครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่จะรับบท กัณหา-ชาลี เล่นคู่กับพี่ชาย บุปผา สายชล ชื่นชอบการร้องเพลง เข้าสู่วงการด้วยการเป็นร้องร้องเชียร์รำวง ก่อนจะเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งเต็มตัวเมื่ออายุ 14 ปี จากการชักชวนของ สุชาติ เทียนทอง โดยได้มาอยู่กับวงจุฬารัตน์ ของครูมงคล อมาตยกุล และได้มีโอกาสบันทึกเสียงเพลงแรกชื่อ “ แก้มนวล “ แก้กับเพลง “ หอมหวน “ ของโฆษิต นพคุณ ที่แต่งโดยชาย เมืองสิงห์ ทั้งสองเพลง แต่อาชีพการงานของเธอในวงจุฬารัตน์นั้นไม่ค่อยเจริญรุ่งเรืองนัก เพราะการที่เธอไม่ค่อยมีโอกาสบันทึกเสียง ตอนที่ออกไปแสดงหน้าเวที ก็จึงต้องหยิบยืมเพลงของ ดวงใจ เมืองสิงห์ไปขับร้อง แต่ปรากฏว่าเธอร้องได้ดีกว่าเจ้าของเพลง ทำให้ชาย เมืองสิงห์ ไม่ค่อยกล้าป้อนเพลงให้โด่งดัง โด่งดัง. ระหว่างนั้น เมื่อมีปัญหา เธอก็ได้หันหน้าไปปรึกษาหารือกับศรีไพร ใจพระ หรือเก่งกาจ จงใจพระในปัจจุบันบัน ซึ่งตอนนั้นเป็นโฆษกของวง จนกลายเป็นคู่รักกันในที่สุด ในที่สุด ศรีไพร ใจพระ ก็หอบหิ้ว บุปผาออกมาตั้งวงเองในปี 2508 ชื่อวง กระดิ่งทอง และหาวิธีผลักดันบุปผา สายชล ด้วยการให้ บุปผา สายชล มีโอกาสเล่นลิเก กับชาย เมืองสิงห์ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีหวังได้เพลงจากชาย เมืองสิงห์ ศรีไพร ใจพระ ก็หันไปขอเพลงจากครูไพบูลย์ บุตรขัน จากที่เคยมีชื่อเสียงมาบ้างจากเพลงหวานอย่าง "แก้มนวล" ครูไพบูลย์ บุตรขัน เปลี่ยนทางให้บุปผา สายชล หันมาร้องเพลงแนวโฉบเฉี่ยวอย่างเพลง "รักคนแก่ดีกว่า" ซึ่งงานนี้ก็ไม่พลาดอีกเช่นกัน เมื่อเธอมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว จน รังสี ทัศนพยัคฆ์ ต้องนำเธอไปร่วมแสดงในภาพยนตร์หลายสิบเรื่อง เริ่มจาก "ชาติลำชี" และตามมาด้วย “ มนต์รักลูกทุ่ง “ อันลือลั่นในยุคขายนักร้องลูกทุ่ง และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เธอโด่งดังมากขึ้นไปอีก เพราะได้บทดี และได้ร้องเพลงหลายเพลง หลังการเสียชีวิตของมิตร ชัยบัญชา พระเอกภาพยนตร์ ระดับตำนานของฟ้าเมืองไทย ครูไพบูลย์ บุตรขัน ก็แต่งเพลง “ ยมบาลเจ้าขา “ เพื่อปรับทุกข์เรื่องการที่คนดีตายเร็ว คนชั่วตายช้า และก็ไม่ผิดหวังอีก เมื่อเพลงดังระเบิด รวมแล้วเธอมีผลงานบันทึกเสียงราว 500 เพลงปัญหาครอบครัว ปัญหาครอบครัว. ปี 2517 ชีวิตครอบครัวของบุปผา สายชล และ ศรีไพร ใจพระ เริ่มมีปัญหาก็เลยเลิกกัน ศรีไพร ใจพระ หันไปทำวงดนตรีหงษ์ทอง ดาวอุดร ส่วนบุปผา สายชล ก็มุ่งไปสู่วงการภาพยนตร์ และพบรักใหม่กับ สิงหา สุริยงค์ พระเอกภาพยนตร์ที่มีโอกาสร่วมงานกัน และมีบุตรกับสิงหา สุริยงค์ 1 คน ซึ่งก่อนหน้านี้มีบุตรกับ ศรีไพร ใจพระ 1 คน ในปี 2524 บุปผา สายชล ที่ไม่มี ศรีไพร ใจพระ ผลักดัน ได้พยายามกลับเข้าสู่วงการลูกทุ่งอีกครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จลาลับ ลาลับ. บุปผา สายชล เสียชีวิต เมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 จากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูง ที่โรงพยาบาลเอกชล จังหวัดชลบุรี เสียชีวิตในปีเดียวกับนางบุญมี พยนต์เลิศ คุณแม่ของเธอ ซึ่งเสียชีวิตในวันที่ 3 มกราคม 2533 ปัจจุบัน สุรชัย สายชล ทายาทคนหนึ่งของบุปผา สายชล ก็ได้ผลิตผลงานลูกทุ่งตามรอยผู้เป็นมารดา แต่ไม่ได้รับความนิยมนักผลงานภาพยนตร์ผลงานภาพยนตร์. - ชาติลำชี (2512) - มนต์รักลูกทุ่ง (2513) - ส้มตำ (2514) - หยาดฝน (2515) - ขวัญใจลูกทุ่ง (2515) - แก้วกลางนา (2516) - อำนาจเงิน(2516) - มนต์รักแผ่นดินทอง (2521) - ไอ้ฟ้าผ่า (2521) - กำนันโพธิ์ (2522) - เขยเต็กกอ (2529)
นางบุญมี พยนต์เลิศ
2,812
2,830
377
1
พ่อของอิวานกา มารี ทรัมป์ คือใคร
อิวานกา ทรัมป์ อิวานกา มารี ทรัมป์ เป็น นักการเมือง นักธุรกิจหญิงชาวอเมริกัน อดีตนักสังคม นักเขียนและนางแบบ เธอเป็นลูกสาวของดอนัลด์ ทรัมป์กับภรรยาคนแรกอิวานา ทรัมป์อดีตนางแบบ เธอเป็นรองประธานระดับสูงในบริษัทของพ่อเธอ และเป็นที่ปรึกษาในรายการ The Apprentice ของพ่อเธอด้วย เธอย้ายไป วอชิงตัน ดี.ซี. ในปี 2017 พร้อมสามีของเธอจาเร็ด คัชเนอร์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธาราธิบดีสหรัฐอเมริกา
ดอนัลด์ ทรัมป์
214
228
378
1
สามีของอิวานกา มารี ทรัมป์ คือใคร
อิวานกา ทรัมป์ อิวานกา มารี ทรัมป์ เป็น นักการเมือง นักธุรกิจหญิงชาวอเมริกัน อดีตนักสังคม นักเขียนและนางแบบ เธอเป็นลูกสาวของดอนัลด์ ทรัมป์กับภรรยาคนแรกอิวานา ทรัมป์อดีตนางแบบ เธอเป็นรองประธานระดับสูงในบริษัทของพ่อเธอ และเป็นที่ปรึกษาในรายการ The Apprentice ของพ่อเธอด้วย เธอย้ายไป วอชิงตัน ดี.ซี. ในปี 2017 พร้อมสามีของเธอจาเร็ด คัชเนอร์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธาราธิบดีสหรัฐอเมริกา
จาเร็ด คัชเนอร์
412
427
379
1
แจ๊ค เดลานีย์เป็นนักมวยสากลอดีตแชมป์โลกชาวแคนาดา เสียชีวิตที่เมืองใดในประเทศสหรัฐอเมริกา
แจ๊ค เดลานีย์ แจ๊ค เดลานีย์ (Jack Delaney) เป็นนักมวยสากลอดีตแชมป์โลกชาวแคนาดา เกิดเมื่อ 18 มีนาคม พ.ศ. 2442 ที่เกาะเซนต์ฟรานซิส รัฐควิเบก ในแคนาดา เริ่มชกมวยสากลอาชีพเมื่ออายุได้ 20 ปี และมีโอกาสได้ชิงแชมป์โลกรุ่นไลท์เฮฟวี่เวทเมื่อ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 ชนะคะแนน ปอล เบอร์เลนบาดซ์ ได้แชมป์โลกมาครอง จากนั้นขึ้นชกนอกรอบชนะอีก 2 ครั้ง แต่หลังจากชกแพ้คะแนน จิมมี่ มาโลนีย์แล้ว เดลานีย์กลับประกาศสละตำแหน่งแชมป์โลก แต่ยังคงชกมวยสากลอย่างต่อเนื่อง ต่อมาใน พ.ศ. 2471 เดลานีย์ขึ้นชกกับแจ๊ด เดร์กี อดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทในแบบไม่มีตำแหน่งแชมป์เป็นเดิมพัน ซึ่งผลปรากฏว่าเดลานีย์แพ้น็อคแค่ยกแรก เขาหยุดชกไปหลายปี กลับมาชกอีกครั้งใน พ.ศ. 2475 โดยขึ้นชกชนะน็อคคู่ชก 3 ครั้งรวด แต่หลังจากขึ้นชกชนะน็อค เลียว วิลเลียมส์ ยก 1 แล้ว เดลานีย์กลับประกาศแขวนนวมไป เดลานีย์ถึงแก่กรรมเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 ที่นิวยอร์ก รวมอายุได้ 49 ปี เขาได้รับเลือกให้เข้าสู่หอเกียรติยศเมื่อ พ.ศ. 2516
นิวยอร์ก
885
893
380
1
บ้านเกิดของวิเชษฐ์ เกษมทองศรี อยู่ที่ไหน
วิเชษฐ์ เกษมทองศรี นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี สังกัดพรรคไทยรักไทยประวัติ ประวัติ. นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ที่อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นบุตรของนายชัยวัฒน์ กับนางสุภาพร เกษมทองศรี สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนยีบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จากวิทยาเขตบพิตรพิมุข ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จากวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ต่อมาจึงได้เข้ารับการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ จากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (วิทยาเขตบพิตรพิมุข จักวรรดิ) เมื่อปี พ.ศ. 2529 และปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ปี พ.ศ. 2541การทำงาน การทำงาน. นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในระหว่างปี พ.ศ. 2539 - พ.ศ. 2540 ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 เป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในปี พ.ศ. 2544 ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2546 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2545 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
จังหวัดราชบุรี
450
464
381
1
ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รับตำแหน่งอะไร
วิเชษฐ์ เกษมทองศรี นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี สังกัดพรรคไทยรักไทยประวัติ ประวัติ. นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ที่อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นบุตรของนายชัยวัฒน์ กับนางสุภาพร เกษมทองศรี สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนยีบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จากวิทยาเขตบพิตรพิมุข ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จากวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ต่อมาจึงได้เข้ารับการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ จากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (วิทยาเขตบพิตรพิมุข จักวรรดิ) เมื่อปี พ.ศ. 2529 และปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ปี พ.ศ. 2541การทำงาน การทำงาน. นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในระหว่างปี พ.ศ. 2539 - พ.ศ. 2540 ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 เป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในปี พ.ศ. 2544 ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์. - พ.ศ. 2546 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) - พ.ศ. 2545 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
139
190
382
1
การเลือกตั้งในปีพ.ศ. 2547 พอล เอ็ดการ์ ฟีลิป มาร์ติน ชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศอะไร
พอล มาร์ติน พอล เอ็ดการ์ ฟีลิป มาร์ติน () เกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2481 เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งแคนาดาและอดีตหัวหน้าพรรคเสรีนิยมแห่งแคนาดา เขานำพรรคเสรีนิยมชนะการเลือกตั้งในปีพ.ศ. 2547 จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย สองปีถัดมาเขาก็แพ้ญัตติไม่ไว้วางใจ ส่งผลให้เขาต้องยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ในปีพ.ศ. 2549 ทำให้เขานำพรรคเสรีนิยมแพ้การเลือกตั้ง ดังนั้นเขาจึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค
แคนาดา
190
196
383
1
เจ้าผู้ครองนครลำพูนยาวนานที่สุดคือใคร
เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ เจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ () เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 6 พระองค์ปกครองลำพูนในระหว่างปี พ.ศ. 2386 - พ.ศ. 2414 รวมระยะเวลาการปกครองทั้งหมด 28 ปี ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนที่ปกครองลำพูนยาวนานเป็นอับดับที่ 2 รองจากเจ้าจักรคำขจรศักดิ์พระประวัติ พระประวัติ. เจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ เป็นราชโอรสในเจ้าหลวงเศรษฐีคำฝั้นเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 3 กับแม่เจ้าคำแปงราชเทวี ทรงปกครองลำพูนหลังจากที่เจ้าหลวงธรรมลังกาถึงแก่พิราลัย จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนเมื่อปีพ.ศ. 2386 พระองค์ทรงปกครองลำพูนอยู่ 28 ปี พระองค์ก็ถึงแก่พิราลัยในปีพ.ศ. 2414 เจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ราชโอรสของพระองค์ จึงได้เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนแทนพระองค์ราชโอรส ราชธิดาราชโอรส ราชธิดา. - เจ้าหญิงรินคำ (ณ เชียงใหม่) เทวีในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ - เจ้าราชบุตร (พิมมะสาร ณ ลำพูน) - เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ (พระนามเดิมว่า เจ้าน้อยดาวเรือง) - เจ้าน้อยพรหมลำดับสาแหรก
เจ้าจักรคำขจรศักดิ์
349
368
384
1
พระมารดาของเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 6 มีพระนามว่าอะไร
เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ เจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ () เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 6 พระองค์ปกครองลำพูนในระหว่างปี พ.ศ. 2386 - พ.ศ. 2414 รวมระยะเวลาการปกครองทั้งหมด 28 ปี ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนที่ปกครองลำพูนยาวนานเป็นอับดับที่ 2 รองจากเจ้าจักรคำขจรศักดิ์พระประวัติ พระประวัติ. เจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ เป็นราชโอรสในเจ้าหลวงเศรษฐีคำฝั้นเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 3 กับแม่เจ้าคำแปงราชเทวี ทรงปกครองลำพูนหลังจากที่เจ้าหลวงธรรมลังกาถึงแก่พิราลัย จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เจ้าหลวงไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนเมื่อปีพ.ศ. 2386 พระองค์ทรงปกครองลำพูนอยู่ 28 ปี พระองค์ก็ถึงแก่พิราลัยในปีพ.ศ. 2414 เจ้าหลวงดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์ราชโอรสของพระองค์ จึงได้เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนแทนพระองค์ราชโอรส ราชธิดาราชโอรส ราชธิดา. - เจ้าหญิงรินคำ (ณ เชียงใหม่) เทวีในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ - เจ้าราชบุตร (พิมมะสาร ณ ลำพูน) - เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ (พระนามเดิมว่า เจ้าน้อยดาวเรือง) - เจ้าน้อยพรหมลำดับสาแหรก
แม่เจ้าคำแปงราชเทวี
524
543
385
1
แม่ของนายแพทย์จักรีวัชร มหิดล มีนามว่าอะไร
จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ นายแพทย์จักรีวัชร มหิดล พระนามเดิมคือ หม่อมเจ้าจักรีวัชร มหิดล (พระนามเล่น: ท่านชายอ่อง) (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526)เป็นพระราชโอรสองค์ที่สามในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ประสูติแต่สุจาริณี วิวัชรวงศ์และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ปัจจุบันจักรีวัชร ประทับอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาประวัติ ประวัติ. จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ (ท่านชายอ่อง) ประสูติ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 มีเชษฐา อนุชา และขนิษฐาร่วมมารดาเดียวกันอีก 4 องค์ คือ- จุฑาวัชร วิวัชรวงศ์ (ท่านชายอ้วน) ประสูติ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2522 - วัชรเรศร วิวัชรวงศ์ (ท่านชายอ้น) ประสูติ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 - วัชรวีร์ วิวัชรวงศ์ (ท่านชายอิน) ประสูติ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2528 - พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ (พระองค์หญิงหญิง) ประสูติ 8 มกราคม พ.ศ. 2530 จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ เป็นพระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าลำดับที่ 29 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยการย้ายออกนอกราชอาณาจักร การย้ายออกนอกราชอาณาจักร. หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้วยความขัดแย้งในครอบครัว ทำให้สุจาริณี วิวัชรวงศ์พาบุตรทั้ง 5 ไปประทับยังสหราชอาณาจักร โดยภายหลังสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศที่ "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร") ทรงรับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ (ขณะนั้นทรงดำรงพระยศที่ "หม่อมเจ้าบุษย์น้ำเพชร มหิดล") มาประทับในไทย ซึ่งวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2540 มีหนังสือผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำสหราชอาณาจักรเพื่อแจ้งต่อผ่ายที่เกี่ยวข้องว่า ท่านชายทั้งสี่ได้ถูกถอดออกจากสถานะพระราชวงศ์และไม่มีสิทธิ์ในการใช้ฐานันดร "หม่อมเจ้า" อีกต่อไป ทั้งนี้ได้เปลี่ยนให้ไปใช้นามสกุลพระราชทาน "วิวัชรวงศ์" แทน อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏประกาศการถอดฐานันดรศักดิ์ในราชกิจจานุเบกษา ที่โดยปกติแล้วการลาออกและการถอดถอนจากฐานันดรศักดิ์ของเจ้านายชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะต้องลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ ถูกจัดอยู่ลำดับที่ 29 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยการศึกษาการศึกษา. - ระดับมัธยมศึกษา Trinity Prep School - ระดับอุดมศึกษา แพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริการาชตระกูล
สุจาริณี วิวัชรวงศ์
319
338
386
1
หม่อมเจ้าจักรีวัชร มหิดล มีพระนามเล่นว่าอะไร
จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ นายแพทย์จักรีวัชร มหิดล พระนามเดิมคือ หม่อมเจ้าจักรีวัชร มหิดล (พระนามเล่น: ท่านชายอ่อง) (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526)เป็นพระราชโอรสองค์ที่สามในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ประสูติแต่สุจาริณี วิวัชรวงศ์และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ปัจจุบันจักรีวัชร ประทับอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาประวัติ ประวัติ. จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ (ท่านชายอ่อง) ประสูติ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 มีเชษฐา อนุชา และขนิษฐาร่วมมารดาเดียวกันอีก 4 องค์ คือ- จุฑาวัชร วิวัชรวงศ์ (ท่านชายอ้วน) ประสูติ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2522 - วัชรเรศร วิวัชรวงศ์ (ท่านชายอ้น) ประสูติ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 - วัชรวีร์ วิวัชรวงศ์ (ท่านชายอิน) ประสูติ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2528 - พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ (พระองค์หญิงหญิง) ประสูติ 8 มกราคม พ.ศ. 2530 จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ เป็นพระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าลำดับที่ 29 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยการย้ายออกนอกราชอาณาจักร การย้ายออกนอกราชอาณาจักร. หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้วยความขัดแย้งในครอบครัว ทำให้สุจาริณี วิวัชรวงศ์พาบุตรทั้ง 5 ไปประทับยังสหราชอาณาจักร โดยภายหลังสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศที่ "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร") ทรงรับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ (ขณะนั้นทรงดำรงพระยศที่ "หม่อมเจ้าบุษย์น้ำเพชร มหิดล") มาประทับในไทย ซึ่งวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2540 มีหนังสือผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำสหราชอาณาจักรเพื่อแจ้งต่อผ่ายที่เกี่ยวข้องว่า ท่านชายทั้งสี่ได้ถูกถอดออกจากสถานะพระราชวงศ์และไม่มีสิทธิ์ในการใช้ฐานันดร "หม่อมเจ้า" อีกต่อไป ทั้งนี้ได้เปลี่ยนให้ไปใช้นามสกุลพระราชทาน "วิวัชรวงศ์" แทน อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏประกาศการถอดฐานันดรศักดิ์ในราชกิจจานุเบกษา ที่โดยปกติแล้วการลาออกและการถอดถอนจากฐานันดรศักดิ์ของเจ้านายชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะต้องลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ ถูกจัดอยู่ลำดับที่ 29 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยการศึกษาการศึกษา. - ระดับมัธยมศึกษา Trinity Prep School - ระดับอุดมศึกษา แพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริการาชตระกูล
ท่านชายอ่อง
193
204
387
1
เคโซ โอะบุชิ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนที่ 54 เสียชีวิตด้วยโรคอะไร
เคโซ โอะบุชิ เคโซ โอะบุชิ () (25 มิถุนายน พ.ศ. 2480 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2543) เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนที่ 54 ลำดับดับที่ 84 ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 12 สมัย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากนายริวตะโร ฮะชิโมะโตะ ที่ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่พรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้ง เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ขณะมีอายุได้ 62 ปี เคยเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงประวัติ ประวัติ. นายโอะบุชิ เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดกุมมะ เป็นบุตรคนที่สองของ นายโคเฮ และนางชิโยะ โอบุชิ ทำธุรกิจโรงงานปั่นด้าย เข้าศึกษาใน คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยวะเซะดะ กรุงโตเกียว ขณะศึกษานั้นโอะบุชิมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเช็คสเปียร์ แต่สถานการณ์พลิกผันเมื่อนายโคเฮอิ โอบุชิ ผู้บิดา ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2501 ซึ่งนายโคเฮเคยได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2492 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้งในอีกสามครั้งต่อมา หลังได้รับการเลือกตั้งนายโคเฮ เสียชีวิตลงในอีกเพียง 3 เดือนต่อมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ โอะบุชิ ที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย จำเป็นต้องก้าวสู่การเมือง ต่อจากบิดา และได้ปฏิญาณตนอย่างซื่อสัตย์ที่จะ "สืบทอดงานของบิดา และตอบแทนบุญคุณของ ผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้" และเมื่อโอะบุชิมีอายุครบ 25 ปี ก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการเมืองอย่างเต็มตัว
โรคหลอดเลือดสมอง
397
413
388
1
เคโซ โอะบุชิเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนที่ 54 มีแม่ชื่อว่าอะไร
เคโซ โอะบุชิ เคโซ โอะบุชิ () (25 มิถุนายน พ.ศ. 2480 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2543) เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนที่ 54 ลำดับดับที่ 84 ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 12 สมัย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากนายริวตะโร ฮะชิโมะโตะ ที่ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่พรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้ง เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ขณะมีอายุได้ 62 ปี เคยเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงประวัติ ประวัติ. นายโอะบุชิ เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดกุมมะ เป็นบุตรคนที่สองของ นายโคเฮ และนางชิโยะ โอบุชิ ทำธุรกิจโรงงานปั่นด้าย เข้าศึกษาใน คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยวะเซะดะ กรุงโตเกียว ขณะศึกษานั้นโอะบุชิมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเช็คสเปียร์ แต่สถานการณ์พลิกผันเมื่อนายโคเฮอิ โอบุชิ ผู้บิดา ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2501 ซึ่งนายโคเฮเคยได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2492 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้งในอีกสามครั้งต่อมา หลังได้รับการเลือกตั้งนายโคเฮ เสียชีวิตลงในอีกเพียง 3 เดือนต่อมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ โอะบุชิ ที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย จำเป็นต้องก้าวสู่การเมือง ต่อจากบิดา และได้ปฏิญาณตนอย่างซื่อสัตย์ที่จะ "สืบทอดงานของบิดา และตอบแทนบุญคุณของ ผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้" และเมื่อโอะบุชิมีอายุครบ 25 ปี ก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการเมืองอย่างเต็มตัว
นางชิโยะ โอบุชิ
572
587
389
1
แอนดี้ โบการ์ด ตัวละครจากเกมต่อสู้ ตำนานหมาป่ากระหายเลือด มีพี่ชายชื่ออะไร
แอนดี้ โบการ์ด แอนดี้ โบการ์ด (; ) เป็นตัวละครจากเกมต่อสู้ ตำนานหมาป่ากระหายเลือด รวมทั้ง เดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส เขามีพี่ชายชื่อ เทอร์รี่ โบการ์ด และมีเพื่อนที่เป็นนักมวยไทยชื่อ โจ ฮิกาชิ ซึ่งเป็นสมาชิกทีมเดียวกัน นอกจากนี้ แอนดี้ยังมีแฟนสาวชื่อ ไม ชิรานุอิ ซึ่งเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักวิชานินจาตระกูลชิรานุอิด้วยเช่นกันประวัติตามท้องเรื่องประวัติตามท้องเรื่อง. - ตำนานหมาป่ากระหายเลือด แอนดี้ โบการ์ด เป็นบุตรบุญธรรมของเจฟ โบการ์ด และเป็นน้องชายของเทอร์รี่ โบการ์ด เมื่อบิดาของพวกเขาเสียชีวิตลงด้วยฝีมือของกีส โฮเวิร์ด แอนดี้จึงตัดสินใจฝึกฝีมือการต่อสู้ของเขาให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยแยกทางจากพี่ชายของเขาเพื่อฝึกฝนวิชาที่ประเทศญี่ปุ่น ช่วงระหว่างนี้ เขาได้รับการสอนวิชารูปแบบชิรานุอิ และศิลปะการต่อสู้มือเปล่าซึ่งมีชื่อว่าโคปโปเคนจากฮันโซ ชิรานุอิ- เดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส เมื่อได้มีประกาศการจัดการแข่งขันเดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส '94 แอนดี้ได้เข้าร่วมทีมเดียวกันกับเทอร์รี่ และโจ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาตกลงใจที่จะติดตามพี่ชายของเขาไปทุกคราวในการแข่งขันเดอะคิงออฟไฟท์เตอร์สครั้งต่อมา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เต็มใจเข้าร่วมแข่งเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อมีการกดดันเลือกเฉพาะโจ กับไมเข้าร่วมทีมเป็นหลัก ในขณะที่กติกาใหม่ใน KOF '99 อนุญาตให้มีสมาชิกในทีมสี่ราย โดยไม ชิรานุอิ เข้าร่วมทีมใน KOF'99 และบลู แมรี่ เข้าร่วมทีมใน KOF 2000
เทอร์รี่ โบการ์ด
217
233
390
1
แอนดี้ โบการ์ดเป็นตัวละครจากเกมต่อสู้ ตำนานหมาป่ากระหายเลือด มีแฟนชื่อว่าอะไร
แอนดี้ โบการ์ด แอนดี้ โบการ์ด (; ) เป็นตัวละครจากเกมต่อสู้ ตำนานหมาป่ากระหายเลือด รวมทั้ง เดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส เขามีพี่ชายชื่อ เทอร์รี่ โบการ์ด และมีเพื่อนที่เป็นนักมวยไทยชื่อ โจ ฮิกาชิ ซึ่งเป็นสมาชิกทีมเดียวกัน นอกจากนี้ แอนดี้ยังมีแฟนสาวชื่อ ไม ชิรานุอิ ซึ่งเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักวิชานินจาตระกูลชิรานุอิด้วยเช่นกันประวัติตามท้องเรื่องประวัติตามท้องเรื่อง. - ตำนานหมาป่ากระหายเลือด แอนดี้ โบการ์ด เป็นบุตรบุญธรรมของเจฟ โบการ์ด และเป็นน้องชายของเทอร์รี่ โบการ์ด เมื่อบิดาของพวกเขาเสียชีวิตลงด้วยฝีมือของกีส โฮเวิร์ด แอนดี้จึงตัดสินใจฝึกฝีมือการต่อสู้ของเขาให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยแยกทางจากพี่ชายของเขาเพื่อฝึกฝนวิชาที่ประเทศญี่ปุ่น ช่วงระหว่างนี้ เขาได้รับการสอนวิชารูปแบบชิรานุอิ และศิลปะการต่อสู้มือเปล่าซึ่งมีชื่อว่าโคปโปเคนจากฮันโซ ชิรานุอิ- เดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส เมื่อได้มีประกาศการจัดการแข่งขันเดอะคิงออฟไฟท์เตอร์ส '94 แอนดี้ได้เข้าร่วมทีมเดียวกันกับเทอร์รี่ และโจ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาตกลงใจที่จะติดตามพี่ชายของเขาไปทุกคราวในการแข่งขันเดอะคิงออฟไฟท์เตอร์สครั้งต่อมา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เต็มใจเข้าร่วมแข่งเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อมีการกดดันเลือกเฉพาะโจ กับไมเข้าร่วมทีมเป็นหลัก ในขณะที่กติกาใหม่ใน KOF '99 อนุญาตให้มีสมาชิกในทีมสี่ราย โดยไม ชิรานุอิ เข้าร่วมทีมใน KOF'99 และบลู แมรี่ เข้าร่วมทีมใน KOF 2000
ไม ชิรานุอิ
334
345
391
1
พ่อของปีเตอร์ เฟอร์ดินานด์ ดรักเกอร์ ชื่อว่า อดอล์ฟ ทำอาชีพอะไร
ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ปีเตอร์ เฟอร์ดินานด์ ดรักเกอร์ () เป็นทั้งนักเขียน ที่ปรึกษาด้านการจัดการ และเป็นผู้บรรยายด้าน "นักนิเวศน์สังคม" หนังสือของเขาเป็นแนวทางและแหล่งค้นคว้าด้านมนุษย์ที่จัดตั้งธุรกิจ, องค์กร, รัฐบาล และหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสังคม งานเขียนของเขาได้ทำนายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงปลายศตวรรษที่ยี่สิบ รวมทั้งความเป็นเอกชน และการกระจายอำนาจ, ความรุ่งโรจน์ของญี่ปุ่นที่จะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในยุคนั้น, ความเห็นทางการตลาดที่สำคัญ ความเร่งด่วนของสังคมข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ใน ค.ศ. 1959 ดรักเกอร์ได้ให้ความสำคัญต่อ "การเรียนรู้ของคนงาน" และช่วงปลายชีวิต เขาได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึง "ความรู้ด้านการผลิตผลงาน" อันเป็นขอบเขตของความรู้ด้านการจัดการด้วยเช่นกัน โดยแนวคิดต่างๆของเขายังไม่ล้าสมัยและเป็นประโยชน์ต่อนักธุรกิจมายาวนานหลายทศวรรษชีวประวัติและปรัชญา ชีวประวัติและปรัชญา. ปีเตอร์ ดรักเกอร์ เป็นบุตรของทนายความซึ่งมีชื่อว่า อดอล์ฟ และมารดาชื่อ แคโรรีน ดรักเกอร์เกิดที่ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1909 ดรักเกอร์ย้ายไปหางานทำที่ฮัมบูร์กแล้วเริ่มฝึกทำงานที่บริษัทค้าฝ้าย แล้วเป็นนักเขียนข่าวให้กับหนังสือพิมพ์ Der Österreichische Volkswirt (ออสเตรีย อิโคโนมิสต์) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต ผลงานของเขาสร้างความประทับใจต่อโจเซฟซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อเขาเอง เกี่ยวกับเรื่องแนวคิดของผู้ประกอบการ ดรักเกอร์ยังมีอิทธิพลต่อแนวคิดที่มีความแตกต่างไปจาก จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ผู้ซึ่งได้บรรยายที่เคมบริดจ์ เมื่อ ค.ศ. 1934 ว่า "ผมเพิ่งเข้าใจว่านักเรียนเศรษฐศาสตร์ของเคนส์ล้วนปราดเปรื่องในห้องเรียนซึ่งสนใจเกี่ยวกับความนิยมด้านสินค้า" ในขณะที่ดรักเกอร์เขียนเอาไว้ว่า "ผมสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้คน" ถัดจากนั้นอีก 70 ปี งานเขียนของดรักเกอร์ได้กลายเป็นเครื่องหมายโดยมุ่งเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดที่มีอยู่ทั่วไป หนังสือของเขาได้สอดแทรกบทเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องของการทำอย่างไรองค์กรถึงจะสามารถสร้างคนที่ดีที่สุดขึ้นมาได้ และคนงานจะสามารถตระหนักถึงสภาพชุมชนได้อย่างไร รวมทั้งจะเป็นที่ยอมรับในการจัดตั้งสังคมสมัยใหม่โดยรอบได้อย่างไร ขณะที่เขายังหนุ่ม ก็ได้เขียนผลงานขึ้นมาสองชิ้น — โดยเล่มหนึ่งกล่าวถึงนักปรัชญาชาวเยอรมันซึ่งมีชื่อว่า เฟดเดอริช จูเลียส สตาห์ล กับเรื่อง "คำถามของชาวยิวในเยอรมัน" (The Jewish Question in Germany) — ซึ่งได้ถูกสั่งเผาและระงับการจัดพิมพ์โดยฝ่ายนาซี ปี ค.ศ. 1993 ได้เดินทางออกจากเยอรมันไปยังอังกฤษ ในกรุงลอนดอน เขาได้ทำงานในบริษัทประกัน หลังจากนั้นเขาได้เป็นผู้นำนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญในธนาคารอย่างเป็นการส่วนตัว เขายังได้ติดต่อกับ ดอริส ชมิตซ์ ผู้ซึ่งเป็นคนรู้จักจากมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ตอีกครั้ง ทั้งคู่ได้แต่งงานกันใน ค.ศ. 1934 (ทั้งนี้ รายชื่อในใบรับรองระบุชื่อของเขาว่า ปีเตอร์ จอร์จ ดรักเกอร์ ) และสองสามีภรรยาก็ได้ย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา โดยเขาได้มาเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย รวมถึงเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ (ดรักเกอร์ไม่ยอมรับกับคำว่า "กูรู" ซึ่งคนทั่วไปยอมรับในตัวเขา โดยเขายังกล่าวย้ำอีกด้วยว่า "ผมพูดมาหลายปีแล้ว เราจะใช้คำว่า "กูรู" ก็คงเสมือนกับว่าเราเป็น "นักต้มตุ๋น" จนอาจต้องถูกพาดหัวข่าวที่ยาวมาก") ในปี ค.ศ. 1943 ดรักเกอร์โอนสัญชาติเป็นพลเมืองของอเมริกา เป็นผู้สอนที่วิทยาลัยเบนนิงตัน ช่วงปี ค.ศ. 1942 ถึง 1949 หลังจากนั้น เขาได้เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ช่วงปี ค.ศ. 1950 ถึง 1971 ดรักเกอร์เดินทางสู่แคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1971 ซึ่งได้พัฒนาหลักสูตรเอ็มบีเอด้านการบริหาร สำหรับฝึกอาชีพที่ มหาวิทยาลัยแคลมอนต์ เกรดูเอท (หลังจากนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ โรงเรียนแคลมอนต์ เกรดูเอท) ช่วงปี ค.ศ. 1971 จนถึงช่วงที่เขาเสียชีวิต เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษด้านสังคมศาสตร์ กับ การจัดการ ที่มหาวิทยาลัยแคลมอนต์ เกรดูเอท และได้ตั้งชื่อมหาวิทยาลัยขึ้นมาว่า "ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ เกรดูเอทสคูล ออฟ เมเนจเมนท์" (หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นชื่อในที่รู้จักกันว่า "ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ แอนด์ มาซาโตชิ อิโต้ เกรดูเอทสคูล ออฟ เมเนจเมนท์") เพื่อเป็นการให้เกียรติ เมื่อปี ค.ศ. 1987 เขาสอนในชั้นเรียนครั้งสุดท้ายเมื่อปีค.ศ. 2002 ในขณะที่มีอายุได้ 92 ปีการทำงาน การทำงาน. อาชีพของเขาในฐานะนักคิดทางธุรกิจได้หยุดพักลงในค.ศ. 1942 เมื่อช่วงที่เขาได้เริ่มงานเขียนด้านสังคมและการเมืองซึ่งทำให้เขามีส่วนร่วมในการทำงานภายใน เจนเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลกในสมัยนั้น จากประสบการณ์ในยุโรปได้สร้างความตะลึงใจต่อผู้บริหาร เขาได้แบ่งความประทับใจนี้ต่อโดนัลด์สัน บราวด์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการบริหารควบคุมของจีเอ็ม ในค.ศ. 1943 เขาได้รับการเชื้อเชิญจากบราวน์ให้เขาร่วมปฏิบัติการที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น "การตรวจสอบทางการเมือง": การวิเคราะห์ทางสังคมศาสตร์สองปีของบริษัท ดรักเกอร์ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการกระประชุมทุกครั้ง, สัมภาษณ์ลูกจ้าง และวิเคราะห์ถึงการผลิตตลอดจนมีส่วนในการสินใจผลิตเชิงปฏิบัติ หนังสือเกี่ยวกับผลลัพธ์ คอนเซ็ปท์ ออฟ เดอะ คอร์ปอเรชั่น ก็ยังเป็นที่นิยมในองค์กรจีเอ็มนี้ด้วย ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างหลายส่วนและนำมาซึ่งหลายหัวข้อ, การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำงาน และหนังสือเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามทางจีเอ็มรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกับสินค้าตัวสุดท้าย ดรักเกอร์ให้นึกถึงยักษ์ผู้มีอำนาจที่ต้องการนโยบายบนตำแหน่งสร้างความสัมพันธ์ต่อลูกค้า, ความสัมพันธ์ของผู้กระจายหน้าที่, ความสัมพันธ์ต่อลูกจ้าง และอื่นๆ ภายในบริษัท ดรักเกอร์ได้เสนอแนะถึงสิ่งที่มากกว่าการพิจารณา ประธานจีเอ็มคนสำคัญ อัลเฟรด สโลน รู้สึกสับสนกับหนังสือ "จะเป็นการปฏิบัติอย่างง่ายๆถ้ามันไม่มีอยู่" โดยดรักเกอร์ได้เรียกในภายหลังว่า "ไม่เคยกล่าวถึงมันและไม่เคยมีการรับรองการได้กล่าวถึงในทัศนะของเขา" ดรักเกอร์ได้สอนคณะผู้บริหารว่าเป็น "ศิลปะแห่งเสรีนิยม" และเขาได้ทำให้รู้สึกว่าข้อมูลการจัดการของเขาเกิดจากการบูรณาการบทเรียนจากประวัติศาสตร์, สังคมวิทยา, จิตวิทยา, ปรัชญา, ศาสนาและวัฒนธรรม เข้าไว้ด้วยกัน เขายังเชื่ออีกด้วยว่าความแข็งแกร่งนั้นมาจากทุกส่วนของสถาบัน อันประกอบด้วย ภาคเอกชน, มีความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งหมด "ความจริงคือ," ดรักเกอร์ได้เขียนไว้ในปี ค.ศ. 1973 การจัดการ: ถือเป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก, มีความรับผิดชอบ, และต้องฝึกฝน, "ซึ่งในสังคมสมัยใหม่นั้นจะไม่มีกลุ่มผู้นำอื่นเว้นแต่ผู้จัดการ ถ้าผู้จัดการสถาบันหลักและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ ไม่สามารถทำหน้าที่โดยรวมให้ดีได้ ก็จะไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ดีได้อีกเลย" ดรักเกอร์สนใจในผลของการเติบโตของผู้คนซึ่งทำงานด้วยใจมากกว่าการทำงานด้วยมือ เขาได้ก่อให้เกิดความสนใจโดยชี้ประเด็นถึงลูกจ้างบางคนผู้ซึ่งรู้เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่แน่นอนมากกว่าเจ้านายของพวกเขาหรือผู้ร่วมงาน และยังได้ร่วมมือกับองค์กรขนาดใหญ่อื่นๆด้วย ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจอย่างง่ายๆก็คือเป็นการยกย่องถึงความก้าวหน้าของมนุษย์เรานั่นเอง ดรักเกอร์ได้วิเคราะห์และอธิบายถึงการทำอย่างไรจึงจะเกิดการเปลี่ยนความคิดร่วมกันเกี่ยวกับการขับเคลื่อนองค์กรได้ งานเขียนของเขาได้เข้าถึงมากยิ่งขึ้นในโลกธุรกิจที่กำลังเติบโตในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ โดยในเวลานั้น บริษัทขนาดใหญ่ได้พัฒนาประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมการผลิตขั้นพื้นฐานกับกระบวนการการจัดการของผลิตผลมวลชน ผู้บริหารหลายรายได้สอนให้คนงานของพวกเขาได้รู้ถึงการขับเคลื่อนในบริษัท และดรักเกอร์ได้นำมันมาอยู่บนความเชื่อของพวกเขาเหล่านั้น ด้วยเกรงว่าองค์กรจะล้าสมัย แต่เขาก็ยังแสดงความเห็นใจ เขาได้คาดว่าผู้อ่านของเขาคงจะเป็นผู้ฉลาด, มีเหตุผล, ทำงานหนักและเข้ากับคนได้ ถ้าองค์กรมีความพยายาม เขาเชื่อว่ามันคงเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นแนวคิดที่อาจล้าสมัย, ทั้งความคิดแคบๆเกี่ยวกับปัญหา หรือความขัดแย้งภายใน กระทั่งเขาได้เป็นผู้ให้คำปรึกษา ดรักเกอร์ได้ทำงานกับหลายๆบริษัท ซึ่งได้แก่ เจนเนอรอล อิเล็คทริก, โคคา-โคล่า, ซิตี้คอร์ป, ไอบีเอ็ม และอินเทล เขาได้ให้คำปรึกษาแก่ผู้นำธุรกิจที่เรารู้จักกันดี ตั้งแต่ แจ็ค เวลช์ จากจีอี, เอ.จี.แลฟลี่ย์ จาก พรอกเตอร์แอนด์แกมเบิล, แอนดี้ กรูฟ จากอินเทล, จอห์น เบกแมน จากเอ็ดเวิร์ด โจนส์, โชอิจิโร่ โทโยดะ ประธานผู้ทรงเกียรติแห่งโตโยต้า มอเตอร์ กับมาซาโตชิ อิโต้ ประธานผู้ทรงเกียรติแห่ง อิโต้-โยคาโด้ กรุ๊ป ซึ่งเป็นองค์กรขายตรงที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก แม้ว่าเขาจะได้ช่วยสร้างคความสำเร็จให้กับผู้บริหารองค์กร เขาได้ทำให้เกิดความกลัวเมื่อ อันดับฟอร์จูน 500 ซีอีโอ ได้ทำให้ค่าเฉลี่ยคนงานเกิดภาวะลอยตัวซึ่งมีอัตราเกินกว่า 100 ช่วงเวลา เขาได้ให้เหตุผลในปี 1984 โดยพยายามระบุว่าการชดเชยควรจะลดอัตราลงให้เหลือไม่เกิน 20 ช่วงเวลา โดยการจัดลำดับและการทำแฟ้มบันทึก — โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ลูกจ้างได้ถูกเลิกจ้างงานนับพันคน "มันคือสิ่งที่ไม่อาจยกโทษให้ทั้งทางศีลธรรมและทางสังคม," ดรักเกอร์ได้เขียนเอาไว้ "และเราจะชดใช้อย่างหนักสำหรับมัน" ดรักเกอร์ได้ให้คำปรึกษาสำหรับตัวแทนรัฐบาลหลายแห่งทั้งจากสหรัฐอเมริกา, แคนาดา และญี่ปุ่น เขาได้ทำงานในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและได้ช่วยให้องค์กรเหล่านั้นประสบผลสำเร็จ บ่อยครั้งที่ให้คำปรึกษาระดับอาชีพ ท่ามกลางหน่วยกลุ่มสังคม เขายังได้พิจารณาถึงองค์กรที่มีชื่อว่า Salvation Army, the Girl Scouts of the USA, C.A.R.E., กาชาดอเมริกัน, และ Navajo Nation (ซึ่งเป็นคณะกรรมการของชนเผ่าอินเดียนแดง) ด้วยเช่นกัน โดยแท้จริงแล้ว ดรักเกอร์ ได้คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการเติบโตของหน่วยสังคมในอเมริกา ซึ่งดำเนินต่อไป ด้วยการอาสาโดยไม่หวังผลกำไร ประชาชนต่างค้นหาถึงการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเขาเป็นต้นตำรับในการคิดโดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการวางตำแหน่งในงานของพวกเขา แต่นั่นก็เป็นการยากที่จะหาแหล่งทดสอบจากสนามแข่งจริง "ความเป็นพลเมือง และการคิดว่าหน่วยสังคมจะไม่สามารถรักษาความผิดปกติที่มีอยู่ได้ทุกอาการ ทั้งงที่มีอยู่ในเบื้องหลังของนายทุน กับเบื้องหลังของการปกครอง แต่บางทีสิ่งที่ต้องมาก่อนการแก้ปัญหากลับผิดปกติไปด้วย" ดรักเกอร์เขียนเอาไว้ "มันได้ช่วยฟื้นฟูหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีอยู่ในตัวเมือง ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพลเมือง กับความภาคภูมิใจที่เป็นเครื่องหมายแห่งสังคม"งานเขียน งานเขียน. ปีเตอร์ ดรักเกอร์ มีงานเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นจำนวนมาก และได้รับการแปลมาแล้วกว่า 30 ภาษาทั่วโลก โดยมีงานเขียนสองเรื่องเป็นนิยาย และอีกหนึ่งเรื่องเป็นอัตชีวประวัติ นอกจากนี้ มีบทความหลายชิ้นที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารชั้นนำอย่าง ฮาวาร์ด บิสิเนส รีวิว, ดิ แอตแลนติค มันธ์ลี่ และ ดิ อีโคโนมิสต์ ด้วยเช่นกัน และเขายังได้มีส่วนร่วมเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในช่วงวัยเก้าสิบต่างหากด้วย ดรักเกอร์ดรักเกอร์ถึงแก่กรรม ที่ เคลมอนต์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 สิริอายุได้ 95 ปีแนวคิดพื้นฐาน แนวคิดพื้นฐาน. แนวคิดในการบริหารจัดการหลายประการมาจากงานเขียนของดรักเกอร์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น: การกระจายอำนาจและการทำให้เข้าใจง่าย ดรักเกอร์ได้ลดคำสั่งกับรูปแบบการควบคุม และกล่าวว่าบริษัทที่มีการทำงานที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีการกระจายอำนาจ ตามแนวคิดของดรักเกอร์คือ บริษัทมักจะมีแนวโน้มที่จะผลิตสินค้ามากเกินไป รวมทั้งมีการจ้างพนักงานที่ไม่จำเป็น และมักขยายสู่ภาคเศรษฐกิจที่ควรหลีกเลี่ยง, ความสงสัยลึกซึ้งของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาค ดรักเกอร์ได้โต้แย้งว่าเศรษฐศาสตร์ที่จัดสอนภายในโรงเรียนทั้งหมดไม่สามารถอธิบายถึงลักษณะสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้แต่อย่างใด, จากการแสดงความเคารพต่อคนงาน ดรักเกอร์เชื่อว่าพนักงานทั้งหลายต่างเป็นทรัพย์สิน และไม่ได้เป็นหนี้สิน เขาสอนให้รู้ว่าความรู้ของคนงานเป็นส่วนประกอบสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ใจความสำคัญของแนวปรัชญานี้เป็นมุมมองว่าผู้คนต่างเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร และหน้าที่ของผู้จัดการก็คือการเตรียมการและให้ความเป็นเสรีต่อบุคลากรในการดำเนินการ ความเชื่อในสิ่งที่เขาเรียกว่า "อาการป่วยของรัฐบาล" ดรักเกอร์ไม่ได้มีความลำเอียงต่อรัฐบาล โดยอ้างว่ารัฐบาลอาจไม่สามารถหรือไม่เต็มใจให้บริการใหม่ต่อสิ่งที่ผู้คนมีความจำเป็นหรือต้องการได้ แต่เขาก็เชื่อว่าอาการนี้มิใช่ของรัฐบาลโดยเนื้อแท้ ซึ่งมีอยู่ในบทความ The Sickness of Government (อาการป่วยของรัฐบาล) ในหนังสือ The Age of Discontinuity โดยเป็นพื้นฐานของ New Public Management ซึ่งเป็นทฤษฎีในการรัฐประศาสน์ที่เป็นระเบียบวินัยครอบคลุมในช่วงยุค 1980 กับ 1990 , แนวคิดเกี่ยวกับการละทิ้งต่อแผนการ โดยทั้งภาคธุรกิจและรัฐบาลมักมีแนวโน้มที่จะยึดติดกับความสำเร็จในวันวาน มากกว่าที่จะเห็นถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ในระยะยาว, ความเชื่อของดรักเกอร์ ว่าการดำเนินการโดยปราศจากความคิด ย่อมเป็นสาเหตุของความล้มเหลวทุกประการ สิ่งจำเป็นสำหรับชุมชน สำหรับในช่วงแรกเริ่มอาชีพของดรักเกอร์ เขาได้ทำนายถึง "จุดจบของมนุษย์เศรษฐกิจ" และสนับสนุนการสร้าง "ชุมชนโรงงาน" เมื่อบุคคลของสังคมมีความจำเป็นและต้องการที่จะพบเห็น ซึ่งต่อมาภายหลังเขาก็ได้รู้ว่าลักษณะชุมชนโรงงานมิได้มีลักษณะเป็นตัวตน และในช่วงยุค 1980 เขาได้ชี้ให้เห็นว่าในภาคของอาสาสมัครไม่แสวงหาผลกำไรเป็นกุญแจในการช่วยเหลือด้านสุขภาพสังคม ที่ผู้พบเห็นจะบังเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เขายังให้แนวคิดด้านความจำเป็นในการบริหารธุรกิจ โดยให้ความสำคัญต่อหลายความต้องการและเป้าหมาย มากกว่าการอยู่ใต้คำบังคับบัญชาเพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้เป็นการบริหารจัดการที่มีรูปแบบวัตถุประสงค์จากประเด็นสำคัญของเขาในปี ค.ศ. 1954 ซึ่งปรากฏในหนังสือ The Practice of Management (การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร) , ในด้านความรับผิดชอบหลักของบริษัท คือการให้บริการต่อลูกค้า โดยที่กำไรไม่ใช่เป้าหมายหลัก หากแต่เป็นเงื่อนไขสำหรับการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของบริษัท, องค์กรควรมีวิธีการที่เหมาะสมในการดำเนินการธุรกิจทุกกระบวนการ และมีความเชื่อในแนวคิดที่ว่าบริษัทยอดเยี่ยมควรจะมีอยู่ในการสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดของมนุษย์รางวัลเกียรติคุณรางวัลเกียรติคุณ. - 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 ได้รับรางวัล Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช - ได้รับเกียรติจากรัฐบาลญี่ปุ่น และออสเตรีย ให้เป็นประธาน มูลนิธิปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ เพื่อการบริหารจัดการโดยไม่แสวงหาผลกำไร - สถาบัน Leader to Leader Institute ได้มอบรางวัล ผู้มีเกียรติสูงสุดแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, ตามคำกล่าวอ้างของประธานแห่ง NYU - ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย 25 แห่งทั่วโลก ทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกา, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็ก, อังกฤษ, สเปน และสวิสเซอร์แลนด์บทวิเคราะห์ บทวิเคราะห์. วอลสตรีทเจอนัล ได้วิเคราะห์ถึงงานบรรยายของเขาหลายรายการในปีค.ศ. 1987 และได้รายงานว่าเขาได้พลาดไปจากความจริงในบางครั้ง ดรักเกอร์ได้ออกจากความน่าจะเป็น ตัวอย่างเช่น เมื่อเขาพูดให้กับผู้เข้ารับฟังคำบรรยายให้กับเจ้าหน้าที่กลุ่มบริษัทมิตสึอิที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษ (คำให้การของดรักเกอร์: "ผมใช้เรื่องราวเพื่อสร้างประเด็น ไม่ใช่เพื่อเขียนประวัติศาสตร์) และขณะที่เขาเริ่มรู้ล่วงหน้า เขาก็ไม่ค่อยได้ทำนายออกมาอย่างถูกต้องเท่าใดนัก โดยเขาได้คาดการณ์ แล้วยกตัวอย่าง ถึงด้านศูนย์กลางการเงินของประเทศว่าจะเคลื่อนย้ายจากนิวยอร์กมายังวอชิงตัน การรักษาใจความสำคัญของดรักเกอร์—“การบริหารจัดการโดยอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง”—คือข้อบกพร่องและไม่เคยทดสอบถึงประสิทธิผลที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิจารณ์กล่าวว่าระบบนั้นยากแก่การทำให้เกิดผล และบริษัทเหล่านั้นได้ควบคุมการเน้นย้ำขึ้นอยู่บ่อยๆ โดยต่อต้านถึงความคิดสร้างสรรค์แบบเด็กๆถึงการพบเป้าหมายของพวกเขาเหล่านั้นผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์. - Friedrich Julius Stahl: konservative Staatslehre und geschichtliche Entwicklung (1932) - The End of Economic Man: The Origins of Totalitarianism (1939) - The Future of Industrial Man (1942) - Concept of the Corporation (1945) (A study of General Motors) - The New Society (1950) - The Practice of Management (1954) - America's Next 20 Years (1957) - Landmarks of Tomorrow: A Report on the New 'Post-Modern' World (1959) - Power and Democracy in America (1961) - Managing for Results: Economic Tasks and Risk-Taking Decisions (1964) - The Effective Executive (1966) - The Age of Discontinuity (1968) - Technology, Management and Society (1970) - Men, Ideas and Politics (1971) - Management: Tasks, Responsibilities and Practices (1973) - "Managing Oneself" (1999) - The Unseen Revolution: How Pension Fund Socialism Came to America (1976) - An Introductory View of Management (1977) - Adventures of a Bystander (1979) (อัตชีวประวัติ) - Song of the Brush: Japanese Paintings from the Sanso Collection (1979) - Managing in Turbulent Times (1980) - Toward the Next Economics and Other Essays (1981) - The Changing World of the Executive (1982) - The Last of All Possible Worlds (1982) - The Temptation to Do Good (1984) - Innovation and Entrepreneurship: Practice and Principles (1985) - The Discipline of Innovation, Harvard Business Review, 1985 - The Frontiers of Management (1986) - The New Realities (1989) - Managing the Non-Profit Organization: Practices and Principles (1990) - Managing for the Future: The 1990s and Beyond (1992) - The Post-Capitalist Society (1993) - The Ecological Vision: Reflections on the American Condition (1993) - The Theory of the Business, Harvard Business Review, September-October 1994 - Managing in a Time of Great Change (1995) - Drucker on Asia: A Dialogue Between Peter Drucker and Isao Nakauchi (1997) - Peter Drucker on the Profession of Management (1998) - Management Challenges for the 21st century (1999) - Managing Oneself, Harvard Business Review, March-April 1999 - The Essential Drucker: The Best of Sixty Years of Peter Drucker's Essential Writings on Management (2001) - Leading in a Time of Change: What it Will Take to Lead Tomorrow (2001; with Peter Senge) - The Effective Executive Revised (2002) - They're Not Employees, They're People, Harvard Business Review, February 2002 - Managing in the Next Society (2002) - A Functioning Society (2003) - The Daily Drucker: 366 Days of Insight and Motivation for Getting the Right Things Done (2004) - What Makes An Effective Executive, Harvard Business Review, June 2004. - The Effective Executive in Action (2005) - Classic Drucker (2006)มรดกตกทอด มรดกตกทอด. ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ได้มอบ
ทนายความ
952
960
392
1
ปีเตอร์ เฟอร์ดินานด์ ดรักเกอร์ เป็นอาจารย์สอนในห้องเรียนครั้งสุดท้ายตอนอายุเท่าไร
ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ปีเตอร์ เฟอร์ดินานด์ ดรักเกอร์ () เป็นทั้งนักเขียน ที่ปรึกษาด้านการจัดการ และเป็นผู้บรรยายด้าน "นักนิเวศน์สังคม" หนังสือของเขาเป็นแนวทางและแหล่งค้นคว้าด้านมนุษย์ที่จัดตั้งธุรกิจ, องค์กร, รัฐบาล และหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสังคม งานเขียนของเขาได้ทำนายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงปลายศตวรรษที่ยี่สิบ รวมทั้งความเป็นเอกชน และการกระจายอำนาจ, ความรุ่งโรจน์ของญี่ปุ่นที่จะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในยุคนั้น, ความเห็นทางการตลาดที่สำคัญ ความเร่งด่วนของสังคมข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ใน ค.ศ. 1959 ดรักเกอร์ได้ให้ความสำคัญต่อ "การเรียนรู้ของคนงาน" และช่วงปลายชีวิต เขาได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึง "ความรู้ด้านการผลิตผลงาน" อันเป็นขอบเขตของความรู้ด้านการจัดการด้วยเช่นกัน โดยแนวคิดต่างๆของเขายังไม่ล้าสมัยและเป็นประโยชน์ต่อนักธุรกิจมายาวนานหลายทศวรรษชีวประวัติและปรัชญา ชีวประวัติและปรัชญา. ปีเตอร์ ดรักเกอร์ เป็นบุตรของทนายความซึ่งมีชื่อว่า อดอล์ฟ และมารดาชื่อ แคโรรีน ดรักเกอร์เกิดที่ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1909 ดรักเกอร์ย้ายไปหางานทำที่ฮัมบูร์กแล้วเริ่มฝึกทำงานที่บริษัทค้าฝ้าย แล้วเป็นนักเขียนข่าวให้กับหนังสือพิมพ์ Der Österreichische Volkswirt (ออสเตรีย อิโคโนมิสต์) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต ผลงานของเขาสร้างความประทับใจต่อโจเซฟซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อเขาเอง เกี่ยวกับเรื่องแนวคิดของผู้ประกอบการ ดรักเกอร์ยังมีอิทธิพลต่อแนวคิดที่มีความแตกต่างไปจาก จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ผู้ซึ่งได้บรรยายที่เคมบริดจ์ เมื่อ ค.ศ. 1934 ว่า "ผมเพิ่งเข้าใจว่านักเรียนเศรษฐศาสตร์ของเคนส์ล้วนปราดเปรื่องในห้องเรียนซึ่งสนใจเกี่ยวกับความนิยมด้านสินค้า" ในขณะที่ดรักเกอร์เขียนเอาไว้ว่า "ผมสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้คน" ถัดจากนั้นอีก 70 ปี งานเขียนของดรักเกอร์ได้กลายเป็นเครื่องหมายโดยมุ่งเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดที่มีอยู่ทั่วไป หนังสือของเขาได้สอดแทรกบทเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องของการทำอย่างไรองค์กรถึงจะสามารถสร้างคนที่ดีที่สุดขึ้นมาได้ และคนงานจะสามารถตระหนักถึงสภาพชุมชนได้อย่างไร รวมทั้งจะเป็นที่ยอมรับในการจัดตั้งสังคมสมัยใหม่โดยรอบได้อย่างไร ขณะที่เขายังหนุ่ม ก็ได้เขียนผลงานขึ้นมาสองชิ้น — โดยเล่มหนึ่งกล่าวถึงนักปรัชญาชาวเยอรมันซึ่งมีชื่อว่า เฟดเดอริช จูเลียส สตาห์ล กับเรื่อง "คำถามของชาวยิวในเยอรมัน" (The Jewish Question in Germany) — ซึ่งได้ถูกสั่งเผาและระงับการจัดพิมพ์โดยฝ่ายนาซี ปี ค.ศ. 1993 ได้เดินทางออกจากเยอรมันไปยังอังกฤษ ในกรุงลอนดอน เขาได้ทำงานในบริษัทประกัน หลังจากนั้นเขาได้เป็นผู้นำนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญในธนาคารอย่างเป็นการส่วนตัว เขายังได้ติดต่อกับ ดอริส ชมิตซ์ ผู้ซึ่งเป็นคนรู้จักจากมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ตอีกครั้ง ทั้งคู่ได้แต่งงานกันใน ค.ศ. 1934 (ทั้งนี้ รายชื่อในใบรับรองระบุชื่อของเขาว่า ปีเตอร์ จอร์จ ดรักเกอร์ ) และสองสามีภรรยาก็ได้ย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา โดยเขาได้มาเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย รวมถึงเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ (ดรักเกอร์ไม่ยอมรับกับคำว่า "กูรู" ซึ่งคนทั่วไปยอมรับในตัวเขา โดยเขายังกล่าวย้ำอีกด้วยว่า "ผมพูดมาหลายปีแล้ว เราจะใช้คำว่า "กูรู" ก็คงเสมือนกับว่าเราเป็น "นักต้มตุ๋น" จนอาจต้องถูกพาดหัวข่าวที่ยาวมาก") ในปี ค.ศ. 1943 ดรักเกอร์โอนสัญชาติเป็นพลเมืองของอเมริกา เป็นผู้สอนที่วิทยาลัยเบนนิงตัน ช่วงปี ค.ศ. 1942 ถึง 1949 หลังจากนั้น เขาได้เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ช่วงปี ค.ศ. 1950 ถึง 1971 ดรักเกอร์เดินทางสู่แคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1971 ซึ่งได้พัฒนาหลักสูตรเอ็มบีเอด้านการบริหาร สำหรับฝึกอาชีพที่ มหาวิทยาลัยแคลมอนต์ เกรดูเอท (หลังจากนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ โรงเรียนแคลมอนต์ เกรดูเอท) ช่วงปี ค.ศ. 1971 จนถึงช่วงที่เขาเสียชีวิต เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษด้านสังคมศาสตร์ กับ การจัดการ ที่มหาวิทยาลัยแคลมอนต์ เกรดูเอท และได้ตั้งชื่อมหาวิทยาลัยขึ้นมาว่า "ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ เกรดูเอทสคูล ออฟ เมเนจเมนท์" (หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นชื่อในที่รู้จักกันว่า "ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ แอนด์ มาซาโตชิ อิโต้ เกรดูเอทสคูล ออฟ เมเนจเมนท์") เพื่อเป็นการให้เกียรติ เมื่อปี ค.ศ. 1987 เขาสอนในชั้นเรียนครั้งสุดท้ายเมื่อปีค.ศ. 2002 ในขณะที่มีอายุได้ 92 ปีการทำงาน การทำงาน. อาชีพของเขาในฐานะนักคิดทางธุรกิจได้หยุดพักลงในค.ศ. 1942 เมื่อช่วงที่เขาได้เริ่มงานเขียนด้านสังคมและการเมืองซึ่งทำให้เขามีส่วนร่วมในการทำงานภายใน เจนเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลกในสมัยนั้น จากประสบการณ์ในยุโรปได้สร้างความตะลึงใจต่อผู้บริหาร เขาได้แบ่งความประทับใจนี้ต่อโดนัลด์สัน บราวด์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการบริหารควบคุมของจีเอ็ม ในค.ศ. 1943 เขาได้รับการเชื้อเชิญจากบราวน์ให้เขาร่วมปฏิบัติการที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น "การตรวจสอบทางการเมือง": การวิเคราะห์ทางสังคมศาสตร์สองปีของบริษัท ดรักเกอร์ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการกระประชุมทุกครั้ง, สัมภาษณ์ลูกจ้าง และวิเคราะห์ถึงการผลิตตลอดจนมีส่วนในการสินใจผลิตเชิงปฏิบัติ หนังสือเกี่ยวกับผลลัพธ์ คอนเซ็ปท์ ออฟ เดอะ คอร์ปอเรชั่น ก็ยังเป็นที่นิยมในองค์กรจีเอ็มนี้ด้วย ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างหลายส่วนและนำมาซึ่งหลายหัวข้อ, การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำงาน และหนังสือเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามทางจีเอ็มรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกับสินค้าตัวสุดท้าย ดรักเกอร์ให้นึกถึงยักษ์ผู้มีอำนาจที่ต้องการนโยบายบนตำแหน่งสร้างความสัมพันธ์ต่อลูกค้า, ความสัมพันธ์ของผู้กระจายหน้าที่, ความสัมพันธ์ต่อลูกจ้าง และอื่นๆ ภายในบริษัท ดรักเกอร์ได้เสนอแนะถึงสิ่งที่มากกว่าการพิจารณา ประธานจีเอ็มคนสำคัญ อัลเฟรด สโลน รู้สึกสับสนกับหนังสือ "จะเป็นการปฏิบัติอย่างง่ายๆถ้ามันไม่มีอยู่" โดยดรักเกอร์ได้เรียกในภายหลังว่า "ไม่เคยกล่าวถึงมันและไม่เคยมีการรับรองการได้กล่าวถึงในทัศนะของเขา" ดรักเกอร์ได้สอนคณะผู้บริหารว่าเป็น "ศิลปะแห่งเสรีนิยม" และเขาได้ทำให้รู้สึกว่าข้อมูลการจัดการของเขาเกิดจากการบูรณาการบทเรียนจากประวัติศาสตร์, สังคมวิทยา, จิตวิทยา, ปรัชญา, ศาสนาและวัฒนธรรม เข้าไว้ด้วยกัน เขายังเชื่ออีกด้วยว่าความแข็งแกร่งนั้นมาจากทุกส่วนของสถาบัน อันประกอบด้วย ภาคเอกชน, มีความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งหมด "ความจริงคือ," ดรักเกอร์ได้เขียนไว้ในปี ค.ศ. 1973 การจัดการ: ถือเป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก, มีความรับผิดชอบ, และต้องฝึกฝน, "ซึ่งในสังคมสมัยใหม่นั้นจะไม่มีกลุ่มผู้นำอื่นเว้นแต่ผู้จัดการ ถ้าผู้จัดการสถาบันหลักและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ ไม่สามารถทำหน้าที่โดยรวมให้ดีได้ ก็จะไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ดีได้อีกเลย" ดรักเกอร์สนใจในผลของการเติบโตของผู้คนซึ่งทำงานด้วยใจมากกว่าการทำงานด้วยมือ เขาได้ก่อให้เกิดความสนใจโดยชี้ประเด็นถึงลูกจ้างบางคนผู้ซึ่งรู้เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่แน่นอนมากกว่าเจ้านายของพวกเขาหรือผู้ร่วมงาน และยังได้ร่วมมือกับองค์กรขนาดใหญ่อื่นๆด้วย ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจอย่างง่ายๆก็คือเป็นการยกย่องถึงความก้าวหน้าของมนุษย์เรานั่นเอง ดรักเกอร์ได้วิเคราะห์และอธิบายถึงการทำอย่างไรจึงจะเกิดการเปลี่ยนความคิดร่วมกันเกี่ยวกับการขับเคลื่อนองค์กรได้ งานเขียนของเขาได้เข้าถึงมากยิ่งขึ้นในโลกธุรกิจที่กำลังเติบโตในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ โดยในเวลานั้น บริษัทขนาดใหญ่ได้พัฒนาประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมการผลิตขั้นพื้นฐานกับกระบวนการการจัดการของผลิตผลมวลชน ผู้บริหารหลายรายได้สอนให้คนงานของพวกเขาได้รู้ถึงการขับเคลื่อนในบริษัท และดรักเกอร์ได้นำมันมาอยู่บนความเชื่อของพวกเขาเหล่านั้น ด้วยเกรงว่าองค์กรจะล้าสมัย แต่เขาก็ยังแสดงความเห็นใจ เขาได้คาดว่าผู้อ่านของเขาคงจะเป็นผู้ฉลาด, มีเหตุผล, ทำงานหนักและเข้ากับคนได้ ถ้าองค์กรมีความพยายาม เขาเชื่อว่ามันคงเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นแนวคิดที่อาจล้าสมัย, ทั้งความคิดแคบๆเกี่ยวกับปัญหา หรือความขัดแย้งภายใน กระทั่งเขาได้เป็นผู้ให้คำปรึกษา ดรักเกอร์ได้ทำงานกับหลายๆบริษัท ซึ่งได้แก่ เจนเนอรอล อิเล็คทริก, โคคา-โคล่า, ซิตี้คอร์ป, ไอบีเอ็ม และอินเทล เขาได้ให้คำปรึกษาแก่ผู้นำธุรกิจที่เรารู้จักกันดี ตั้งแต่ แจ็ค เวลช์ จากจีอี, เอ.จี.แลฟลี่ย์ จาก พรอกเตอร์แอนด์แกมเบิล, แอนดี้ กรูฟ จากอินเทล, จอห์น เบกแมน จากเอ็ดเวิร์ด โจนส์, โชอิจิโร่ โทโยดะ ประธานผู้ทรงเกียรติแห่งโตโยต้า มอเตอร์ กับมาซาโตชิ อิโต้ ประธานผู้ทรงเกียรติแห่ง อิโต้-โยคาโด้ กรุ๊ป ซึ่งเป็นองค์กรขายตรงที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก แม้ว่าเขาจะได้ช่วยสร้างคความสำเร็จให้กับผู้บริหารองค์กร เขาได้ทำให้เกิดความกลัวเมื่อ อันดับฟอร์จูน 500 ซีอีโอ ได้ทำให้ค่าเฉลี่ยคนงานเกิดภาวะลอยตัวซึ่งมีอัตราเกินกว่า 100 ช่วงเวลา เขาได้ให้เหตุผลในปี 1984 โดยพยายามระบุว่าการชดเชยควรจะลดอัตราลงให้เหลือไม่เกิน 20 ช่วงเวลา โดยการจัดลำดับและการทำแฟ้มบันทึก — โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ลูกจ้างได้ถูกเลิกจ้างงานนับพันคน "มันคือสิ่งที่ไม่อาจยกโทษให้ทั้งทางศีลธรรมและทางสังคม," ดรักเกอร์ได้เขียนเอาไว้ "และเราจะชดใช้อย่างหนักสำหรับมัน" ดรักเกอร์ได้ให้คำปรึกษาสำหรับตัวแทนรัฐบาลหลายแห่งทั้งจากสหรัฐอเมริกา, แคนาดา และญี่ปุ่น เขาได้ทำงานในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและได้ช่วยให้องค์กรเหล่านั้นประสบผลสำเร็จ บ่อยครั้งที่ให้คำปรึกษาระดับอาชีพ ท่ามกลางหน่วยกลุ่มสังคม เขายังได้พิจารณาถึงองค์กรที่มีชื่อว่า Salvation Army, the Girl Scouts of the USA, C.A.R.E., กาชาดอเมริกัน, และ Navajo Nation (ซึ่งเป็นคณะกรรมการของชนเผ่าอินเดียนแดง) ด้วยเช่นกัน โดยแท้จริงแล้ว ดรักเกอร์ ได้คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการเติบโตของหน่วยสังคมในอเมริกา ซึ่งดำเนินต่อไป ด้วยการอาสาโดยไม่หวังผลกำไร ประชาชนต่างค้นหาถึงการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเขาเป็นต้นตำรับในการคิดโดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการวางตำแหน่งในงานของพวกเขา แต่นั่นก็เป็นการยากที่จะหาแหล่งทดสอบจากสนามแข่งจริง "ความเป็นพลเมือง และการคิดว่าหน่วยสังคมจะไม่สามารถรักษาความผิดปกติที่มีอยู่ได้ทุกอาการ ทั้งงที่มีอยู่ในเบื้องหลังของนายทุน กับเบื้องหลังของการปกครอง แต่บางทีสิ่งที่ต้องมาก่อนการแก้ปัญหากลับผิดปกติไปด้วย" ดรักเกอร์เขียนเอาไว้ "มันได้ช่วยฟื้นฟูหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีอยู่ในตัวเมือง ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพลเมือง กับความภาคภูมิใจที่เป็นเครื่องหมายแห่งสังคม"งานเขียน งานเขียน. ปีเตอร์ ดรักเกอร์ มีงานเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นจำนวนมาก และได้รับการแปลมาแล้วกว่า 30 ภาษาทั่วโลก โดยมีงานเขียนสองเรื่องเป็นนิยาย และอีกหนึ่งเรื่องเป็นอัตชีวประวัติ นอกจากนี้ มีบทความหลายชิ้นที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารชั้นนำอย่าง ฮาวาร์ด บิสิเนส รีวิว, ดิ แอตแลนติค มันธ์ลี่ และ ดิ อีโคโนมิสต์ ด้วยเช่นกัน และเขายังได้มีส่วนร่วมเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในช่วงวัยเก้าสิบต่างหากด้วย ดรักเกอร์ดรักเกอร์ถึงแก่กรรม ที่ เคลมอนต์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 สิริอายุได้ 95 ปีแนวคิดพื้นฐาน แนวคิดพื้นฐาน. แนวคิดในการบริหารจัดการหลายประการมาจากงานเขียนของดรักเกอร์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น: การกระจายอำนาจและการทำให้เข้าใจง่าย ดรักเกอร์ได้ลดคำสั่งกับรูปแบบการควบคุม และกล่าวว่าบริษัทที่มีการทำงานที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีการกระจายอำนาจ ตามแนวคิดของดรักเกอร์คือ บริษัทมักจะมีแนวโน้มที่จะผลิตสินค้ามากเกินไป รวมทั้งมีการจ้างพนักงานที่ไม่จำเป็น และมักขยายสู่ภาคเศรษฐกิจที่ควรหลีกเลี่ยง, ความสงสัยลึกซึ้งของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาค ดรักเกอร์ได้โต้แย้งว่าเศรษฐศาสตร์ที่จัดสอนภายในโรงเรียนทั้งหมดไม่สามารถอธิบายถึงลักษณะสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้แต่อย่างใด, จากการแสดงความเคารพต่อคนงาน ดรักเกอร์เชื่อว่าพนักงานทั้งหลายต่างเป็นทรัพย์สิน และไม่ได้เป็นหนี้สิน เขาสอนให้รู้ว่าความรู้ของคนงานเป็นส่วนประกอบสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ใจความสำคัญของแนวปรัชญานี้เป็นมุมมองว่าผู้คนต่างเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร และหน้าที่ของผู้จัดการก็คือการเตรียมการและให้ความเป็นเสรีต่อบุคลากรในการดำเนินการ ความเชื่อในสิ่งที่เขาเรียกว่า "อาการป่วยของรัฐบาล" ดรักเกอร์ไม่ได้มีความลำเอียงต่อรัฐบาล โดยอ้างว่ารัฐบาลอาจไม่สามารถหรือไม่เต็มใจให้บริการใหม่ต่อสิ่งที่ผู้คนมีความจำเป็นหรือต้องการได้ แต่เขาก็เชื่อว่าอาการนี้มิใช่ของรัฐบาลโดยเนื้อแท้ ซึ่งมีอยู่ในบทความ The Sickness of Government (อาการป่วยของรัฐบาล) ในหนังสือ The Age of Discontinuity โดยเป็นพื้นฐานของ New Public Management ซึ่งเป็นทฤษฎีในการรัฐประศาสน์ที่เป็นระเบียบวินัยครอบคลุมในช่วงยุค 1980 กับ 1990 , แนวคิดเกี่ยวกับการละทิ้งต่อแผนการ โดยทั้งภาคธุรกิจและรัฐบาลมักมีแนวโน้มที่จะยึดติดกับความสำเร็จในวันวาน มากกว่าที่จะเห็นถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ในระยะยาว, ความเชื่อของดรักเกอร์ ว่าการดำเนินการโดยปราศจากความคิด ย่อมเป็นสาเหตุของความล้มเหลวทุกประการ สิ่งจำเป็นสำหรับชุมชน สำหรับในช่วงแรกเริ่มอาชีพของดรักเกอร์ เขาได้ทำนายถึง "จุดจบของมนุษย์เศรษฐกิจ" และสนับสนุนการสร้าง "ชุมชนโรงงาน" เมื่อบุคคลของสังคมมีความจำเป็นและต้องการที่จะพบเห็น ซึ่งต่อมาภายหลังเขาก็ได้รู้ว่าลักษณะชุมชนโรงงานมิได้มีลักษณะเป็นตัวตน และในช่วงยุค 1980 เขาได้ชี้ให้เห็นว่าในภาคของอาสาสมัครไม่แสวงหาผลกำไรเป็นกุญแจในการช่วยเหลือด้านสุขภาพสังคม ที่ผู้พบเห็นจะบังเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เขายังให้แนวคิดด้านความจำเป็นในการบริหารธุรกิจ โดยให้ความสำคัญต่อหลายความต้องการและเป้าหมาย มากกว่าการอยู่ใต้คำบังคับบัญชาเพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้เป็นการบริหารจัดการที่มีรูปแบบวัตถุประสงค์จากประเด็นสำคัญของเขาในปี ค.ศ. 1954 ซึ่งปรากฏในหนังสือ The Practice of Management (การปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร) , ในด้านความรับผิดชอบหลักของบริษัท คือการให้บริการต่อลูกค้า โดยที่กำไรไม่ใช่เป้าหมายหลัก หากแต่เป็นเงื่อนไขสำหรับการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของบริษัท, องค์กรควรมีวิธีการที่เหมาะสมในการดำเนินการธุรกิจทุกกระบวนการ และมีความเชื่อในแนวคิดที่ว่าบริษัทยอดเยี่ยมควรจะมีอยู่ในการสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดของมนุษย์รางวัลเกียรติคุณรางวัลเกียรติคุณ. - 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 ได้รับรางวัล Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช - ได้รับเกียรติจากรัฐบาลญี่ปุ่น และออสเตรีย ให้เป็นประธาน มูลนิธิปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ เพื่อการบริหารจัดการโดยไม่แสวงหาผลกำไร - สถาบัน Leader to Leader Institute ได้มอบรางวัล ผู้มีเกียรติสูงสุดแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, ตามคำกล่าวอ้างของประธานแห่ง NYU - ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย 25 แห่งทั่วโลก ทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกา, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็ก, อังกฤษ, สเปน และสวิสเซอร์แลนด์บทวิเคราะห์ บทวิเคราะห์. วอลสตรีทเจอนัล ได้วิเคราะห์ถึงงานบรรยายของเขาหลายรายการในปีค.ศ. 1987 และได้รายงานว่าเขาได้พลาดไปจากความจริงในบางครั้ง ดรักเกอร์ได้ออกจากความน่าจะเป็น ตัวอย่างเช่น เมื่อเขาพูดให้กับผู้เข้ารับฟังคำบรรยายให้กับเจ้าหน้าที่กลุ่มบริษัทมิตสึอิที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษ (คำให้การของดรักเกอร์: "ผมใช้เรื่องราวเพื่อสร้างประเด็น ไม่ใช่เพื่อเขียนประวัติศาสตร์) และขณะที่เขาเริ่มรู้ล่วงหน้า เขาก็ไม่ค่อยได้ทำนายออกมาอย่างถูกต้องเท่าใดนัก โดยเขาได้คาดการณ์ แล้วยกตัวอย่าง ถึงด้านศูนย์กลางการเงินของประเทศว่าจะเคลื่อนย้ายจากนิวยอร์กมายังวอชิงตัน การรักษาใจความสำคัญของดรักเกอร์—“การบริหารจัดการโดยอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง”—คือข้อบกพร่องและไม่เคยทดสอบถึงประสิทธิผลที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิจารณ์กล่าวว่าระบบนั้นยากแก่การทำให้เกิดผล และบริษัทเหล่านั้นได้ควบคุมการเน้นย้ำขึ้นอยู่บ่อยๆ โดยต่อต้านถึงความคิดสร้างสรรค์แบบเด็กๆถึงการพบเป้าหมายของพวกเขาเหล่านั้นผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์. - Friedrich Julius Stahl: konservative Staatslehre und geschichtliche Entwicklung (1932) - The End of Economic Man: The Origins of Totalitarianism (1939) - The Future of Industrial Man (1942) - Concept of the Corporation (1945) (A study of General Motors) - The New Society (1950) - The Practice of Management (1954) - America's Next 20 Years (1957) - Landmarks of Tomorrow: A Report on the New 'Post-Modern' World (1959) - Power and Democracy in America (1961) - Managing for Results: Economic Tasks and Risk-Taking Decisions (1964) - The Effective Executive (1966) - The Age of Discontinuity (1968) - Technology, Management and Society (1970) - Men, Ideas and Politics (1971) - Management: Tasks, Responsibilities and Practices (1973) - "Managing Oneself" (1999) - The Unseen Revolution: How Pension Fund Socialism Came to America (1976) - An Introductory View of Management (1977) - Adventures of a Bystander (1979) (อัตชีวประวัติ) - Song of the Brush: Japanese Paintings from the Sanso Collection (1979) - Managing in Turbulent Times (1980) - Toward the Next Economics and Other Essays (1981) - The Changing World of the Executive (1982) - The Last of All Possible Worlds (1982) - The Temptation to Do Good (1984) - Innovation and Entrepreneurship: Practice and Principles (1985) - The Discipline of Innovation, Harvard Business Review, 1985 - The Frontiers of Management (1986) - The New Realities (1989) - Managing the Non-Profit Organization: Practices and Principles (1990) - Managing for the Future: The 1990s and Beyond (1992) - The Post-Capitalist Society (1993) - The Ecological Vision: Reflections on the American Condition (1993) - The Theory of the Business, Harvard Business Review, September-October 1994 - Managing in a Time of Great Change (1995) - Drucker on Asia: A Dialogue Between Peter Drucker and Isao Nakauchi (1997) - Peter Drucker on the Profession of Management (1998) - Management Challenges for the 21st century (1999) - Managing Oneself, Harvard Business Review, March-April 1999 - The Essential Drucker: The Best of Sixty Years of Peter Drucker's Essential Writings on Management (2001) - Leading in a Time of Change: What it Will Take to Lead Tomorrow (2001; with Peter Senge) - The Effective Executive Revised (2002) - They're Not Employees, They're People, Harvard Business Review, February 2002 - Managing in the Next Society (2002) - A Functioning Society (2003) - The Daily Drucker: 366 Days of Insight and Motivation for Getting the Right Things Done (2004) - What Makes An Effective Executive, Harvard Business Review, June 2004. - The Effective Executive in Action (2005) - Classic Drucker (2006)มรดกตกทอด มรดกตกทอด. ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ได้มอบ
92 ปี
3,850
3,855
393
1
ฌ็อง-ปอล ซาทร์เป็นนักเขียนนวนิยาย นักบทละคร นักปรัชญา มีตาชื่อว่าอะไร
ฌ็อง-ปอล ซาทร์ ฌ็อง-ปอล ซาทร์ (, 21 มิถุนายน พ.ศ. 2448 กรุงปารีส, ประเทศฝรั่งเศส - 15 เมษายน พ.ศ. 2523 ที่กรุงปารีส) เป็นนักเขียนนวนิยาย, นักบทละคร, นักปรัชญา และผู้มีบทบาทสำคัญในแนวคิดอัตถิภาวนิยมหรือทฤษฎีที่ว่าทุกคนนั้นอิสระและรับผิดชอบในการกระทำของตน (Existentialism) เป็นนักปรัชญาผู้ประกาศเสรีภาพของมนุษย์ในแง่ปัจเจกชน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) แต่ไม่ยอมรับรางวัลดังกล่าวประวัติ ประวัติ. ฌ็อง-ปอล ซาทร์ เข้ารับการศึกษาที่ เอโกล นอร์มาล ซูเปรีเยอร์ ระหว่างปี ค.ศ. 1924 – ค.ศ. 1929 เมื่อเรียนจบ ก็ได้เป็นอาจารย์สาขาปรัชญาที่ เลอ แอร์ฟ เมื่อปี ค.ศ. 1931 ซาทร์สูญเสียบิดาตั้งแต่วัยเยาว์ และเติบโตในบ้านของตา ชื่อ คาร์ล ชไวทเซอร์ (ผู้เป็นลุงของอัลเบิร์ต ชไวทเซอร์) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ภาษาเยอรมันที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ระหว่างปี 1931 - 1945 ซาทร์ได้สอนหนังสือหลายที่ รวมทั้งในอังกฤษ และสุดท้ายก็กลับมาที่ปารีส มีสองครั้งที่อาชีพของเขาถูกขัดขวาง ครั้งหนึ่ง เมื่อต้องศึกษาเป็นเวลา 1 ปี ในกรุงเบอร์ลิน และครั้งที่สองเมื่อต้องเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1939 ครั้นปีต่อมาถูกจับเป็นเชลย และอีกปีถัดมาก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วงเวลาที่สอนหนังสือนั้น ซาทร์ได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง La Nausee, 1938 เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขามีชื่อเสียง นวนิยายเรื่องนี้เขียนในรูปบันทึกประจำวัน เล่าถึงความรู้สึกชิงชัง เมื่อเผชิญหน้ากับโลกของทางวัตถุ ไม่เพียงแต่โลกของคนอื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการรับรู้ถึงตัวของเขาด้วย ซาทร์ได้รับอิทธิพลจากนักปรัชญาเยอรมัน ชื่อเอดมุนด์ ฮุสเซล และนำมาใช้ด้วยทักษะอันเลิศในผลงานพิมพ์ 3 เล่ม คือ L'Imagination (1936; จินตนาการ), Esquisse d'une théorie des émotions (1939; ร่างทฤษฎีแห่งอารมณ์) และ L'Imaginaire : Psychologie phénoménologique de l'imagination (1940; จิตวิทยาแห่งจินตนาการ) แต่ทว่าใน L'Être et le néant (1943; ความมีอยู่ และความไม่มีอะไร)ซาทร์กำหนดฐานะของจิตสำนึกมนุษย์ หรือความไม่มีอะไร (néant) ไว้ตรงข้ามความมีอยู่ หรือความเป็นสิ่งของ (être) ซาทร์เริ่มเขียนนวนิยายชุด 4 เล่ม เมื่อปี 1945 ชื่อ Les Chemins de la liberté อีก 3 เล่ม คือ L'Âge de raison (1945; ยุคแห่งเหตุผล), Le Sursis (1945; ) และ La Mort dans l'âme (1949;เหล็กในวิญญาณ) หลังพิมพ์ครั้งที่ 3 ซาทร์ก็เปลี่ยนใจหันกลับไปสู่บทละครอีก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซาทร์เขียนโจมตีความยะโสของมนุษย์ และเสรีภาพของปัจเจกชน ซาทร์ได้เปลี่ยนความสดใสไปสู่แนวคิดของความรับผิดชอบของสังคมหลายปีแล้ว ที่เขาแสดงความใสใจคนรวย และคนที่ไม่มีมรดกทุกชนิด ขณะเป็นครูเขาปฏิเสธไม่ยอมผูกเน็คไท ราวกับเขาจะเช็ดชนชั้นทางสังคมให้สลายไปด้วยเน็คไท และเข้าใกล้พวกคนใช้แรงงานมากขึ้น ในงานเรื่อง L'Existentialisme est un humanisme (1946;) ตอนนี้เสรีภาพแสดงนัยของความรับผิดชอบทางสังคม ในนวนิยายและบทละครเรื่องต่างๆ ของเขา ซาทร์ได้พยายามแสดงความคิดเห็นในสื่อของเขาระหว่างช่วงสงคราม และบทละครใหม่ ก็ตามติดมาเรื่อยๆ ได้แก่ Les Mouches (ออกแสดง 1943), Huis- clos (1944) Les Mains Sales (1948) Le Diable et le bon dieu (1951) และ Les Séquestres d'Altona (1959)บทละครทั้งหมด จะเน้นที่พฤติกรรมก้าวร้าวดั้งเดิมของมนุษย์ต่อมนุษย์ ซึ่งดูเหมือนมีแต่การมองโลกในแง่ร้าย แต่ตามคำสารภาพของซาตร์เอง จุดมุ่งหมายนั้นไม่มีเรื่องศีลธรรมของการใช้ทาสเลย กิจกรรมทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซาทร์มีความสนใจอย่างกระตือรือร้นต่อชนวนการทางการเมืองในฝรั่งเศส และโน้มเอียงไปทางฝ่ายซ้าย ก็ประกาศชัดมากขึ้น เขาเป็นผู้นิยมสหภาพโซเวียตอย่างยิ่ง แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ก็ตาม ในปี 1954 ซาตร์เดินทางไปโซเวียต ประเภทแถบสแกนดิเนเวีย แอฟริกา สหรัฐอเมริกา และคิวบา เมื่อรัสเซียนำรถถังบุกกรุงบูดาเปส ในปี 1956 ความหวังของซาทร์ที่มีต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ก็พังครืนอย่างน่าเศร้า เขาเขียนบทความขนาดยาว ใน Les Temps Modernes เรื่อง Le Fantôme de Staline ซึ่งตำหนิการแทรกแซงของรัสเซีย และการยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส ซาทร์ได้ร่วมมือกับซีมอน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) เขียนเรื่อง Mémoires d'une jeune fille rangée,1958 และเรื่อง La Force de l'âge, 1960-2 โดยได้เล่าถึงชีวิตของซาทร์ จากสมัยนักเรียน จนถึงกลางศตวรรษที่ 50 ใน École Normale Supérieure ในภายหลังเขาได้พบผู้คนมากมาย ที่มีจุดมุ่งหมายจะเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง ในจำนวนนี้ได้แก่ แรมง อารง (Raymond Aron) มอริส แมร์โล-ปงตี (Maurice Merleau-Ponty), ซีมอน แวย์ (Simone Weil), แอมานุแอล มูนีเย (Emmanuel Mounier), ฌ็อง อีปอลิต (Jean Hippolyte) และโกลด เลวี-สโทรส (Claude Levi-Strauss) ผ่านไปหลายปี ทัศนคติเชิงวิจารณ์นี้เปิดทางสู่รูปแบบของสังคมนิยมแบบซาทร์ ซึ่งจะพบการแสดงออกในผลงานใหญ่ชิ้นใหม่ ชื่อ Critique de la raison dialectique (1960) ซาทร์ได้ดำเนินการตรวจสอบเชิงวิจารณ์ถึงวิภาษวิธีแบบมากซ์ และค้นพบว่า ไม่มีความยั่งยืนในรูปแบบที่โซเวียตใช้งานเขียนที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยงานเขียนที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย. 1. คนไม่มีเงา (กรุงเทพฯ: ดวงกมล, 2517). 2. เพียงความใกล้ชิด (Intimacy) แปลโดย น. ชญานุตม์ (กรุงเทพฯ: กอไผ่, 2526). 3. รวมเรื่องสั้น ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ บรรณาธิการโดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี (กรุงเทพฯ: ดวงกมลวรรณกรรม, 2536).
คาร์ล ชไวทเซอร์
734
749
394
1
เฝิง คุน เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีน เกิดที่ไหน
เฝิง คุน เฝิง คุน () เกิดวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1978 ที่กรุงปักกิ่ง เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีน ผู้ทำหน้าที่ในตำแหน่งมือเซต รวมถึงเคยเป็นกัปตันทีม โดยเธอได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าและมือเซตยอดเยี่ยมในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ที่ซึ่งทีมชาติจีนได้ชนะการแข่งขันวอลเลย์บอลชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ช่วงปลายปี ค.ศ. 2014 ได้มีการประกาศถึงมงคลสมรสระหว่างเฝิง คุน กับเกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย โดยทั้งคู่จะเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 4 ธันวาคม ของปีดังกล่าว
กรุงปักกิ่ง
140
151
395
1
เฝิง คุน สมรสกับโค้ชวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย คือใคร
เฝิง คุน เฝิง คุน () เกิดวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1978 ที่กรุงปักกิ่ง เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีน ผู้ทำหน้าที่ในตำแหน่งมือเซต รวมถึงเคยเป็นกัปตันทีม โดยเธอได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าและมือเซตยอดเยี่ยมในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ที่ซึ่งทีมชาติจีนได้ชนะการแข่งขันวอลเลย์บอลชีวิตส่วนตัว ชีวิตส่วนตัว. ช่วงปลายปี ค.ศ. 2014 ได้มีการประกาศถึงมงคลสมรสระหว่างเฝิง คุน กับเกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย โดยทั้งคู่จะเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 4 ธันวาคม ของปีดังกล่าว
เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
474
499
396
1
แดเนียล แด คิมเป็นนักแสดงชาวอเมริกัน ได้แสดงเป็นใครในซีรีส์เรื่อง อสุรกายดงดิบ
แดเนียล แด คิม แดเนียล แด คิม (Daniel Dae Kim) เกิดที่เมืองปูซานเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1968 เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน ย้ายจากเกาหลีใต้มาอยู่ในสหรัฐอเมริกากับครอบครัวตั้งแต่อายุ 2 ปี ถึงแม้เขายังมีผลงานในรายการโทรทัศน์หลายรายการ แต่คิมก็เป็นที่รู้จักดีในบทบาท จิน-ซู ควอน ในซีรีส์เรื่อง อสุรกายดงดิบ
จิน-ซู ควอน
350
361
397
1
สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นคอนโดหรูสูงกี่ชั้น
สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นตึกระฟ้าร้างในกรุงเทพมหานคร ซึ่งแรกเริ่มได้มีการวางแผนจะสร้างให้เป็นคอมเพล็กซ์ คอนโดมิเนียมระดับหรู แต่การก่อสร้างก็ต้องหยุดชะงักลงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 แม้จะเสร็จสิ้นไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม ปัจจุบันอาคาร สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ถือเป็นอาคารร้างที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร และเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่ชอบความท้าทายประวัติ ประวัติ. ได้มีการวางแผนให้สาธร ยูนีค เป็นคอนโดมิเนียมระดับหรูสูง 47 ชั้น รวม 600 ยูนิต ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดังและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้ออกแบบอาคารสเตท ทาวเวอร์ ที่ถือเป็นอาคารน้องของสาธร ยูนีค โครงการก่อสร้างนั้นเริ่มต้นขึ้นในปีพ.ศ. 2533 มีเจ้าของโครงการคือบริษัท สาธร ยูนีค จำกัด และได้รับการสนับสนุนเงินทุนส่วนมากจากบริษัทหลักทรัพย์ไทยแมกซ์ การก่อสร้างได้เริ่มต้นขึ้นปีเดียวกัน โดยมีบริษัทสี่พระยา จำกัด เป็นผู้รับเหมาการก่อสร้าง ในปีพ.ศ. 2536 ผศ.รังสรรค์ ได้ถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันวางแผนลอบฆาตกรรมนายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฎีกาในขณะนั้น แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากมือปืนถูกจับกุมได้ก่อน โดยในปีพ.ศ. 2551 ผศ.รังสรรค์ ได้ถูกพิพากษาว่ามีความผิด แต่สุดท้ายศาลอาญากรุงเทพใต้ก็ได้ทำการยกฟ้องในปีพ.ศ. 2553 คดีความดังกล่าวนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการรักษาเงินสนับสนุนโครงการของผศ.รังสรรค์เป็นอย่างมาก และการก่อสร้างอาคารสาธร ยูนีค ก็เผชิญกับปัญหาความล่าช้าหลายครั้งเนื่องจากขาดแคลนเงินทุน จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เกิดการล้มละลาย เช่นเดียวกันกับบริษัทไฟแนนซ์ต่างๆที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการซึ่งก็ประสบปัญหาหนี้สิน โครงการก่อสร้างอาคารต่างๆในกรุงเทพมหานครต่างพากันหยุดชะงัก โดยมีอาคารหรูกว่า 300 แห่งที่ถูกทิ้งร้าง แต่อาคารส่วนมากได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ในภายหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว (อาคารสเตท ทาวเวอร์ก็ถือเป็นหนึ่งในอาคารดังกล่าว) แต่อย่างไรก็ตาม อาคารสาธร ยูนีคกลับถูกทิ้งร้างไว้ในสภาพเดิมนับแต่นั้นจนเป็นที่รู้จักกันในหมู่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในชื่อของ "Ghost Tower" แม้ว่าจะมีความพยายามในเรื่องการตกลงในเรื่องการซื้อขายและการรีไฟแนนซ์อยู่หลายครั้งโดยนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ บุตรชายของผศ.รังสรรค์ที่เข้ามารับช่วงต่อจากบิดา แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากนายพรรษิษฐ์ต้องการที่จะขายอาคารในราคาที่จะสามารถชดเชยเงินต้นให้ผู้ร่วมลงทุนในโครงการตัวอาคาร ตัวอาคาร. อาคารสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ตั้งอยู่ในเขตสาธร ตัวอาคารใกล้กันกับถนนเจริญกรุง ซึ่งอยู่ระหว่างซอย 51 กับ 53 เยื้องกับวัดยานนาวา โดยเป็นบริเวณที่ใกล้กับจุดสิ้นสุดถนนสาธร ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน ตัวอาคารได้รับการออกแบบให้มีทั้งหมด 49 ชั้น (รวมชั้นใต้ดินสองชั้น) มีพื้นที่รวม 2 ไร่ เชื่อมติดกับอาคารที่จอดรถสูงสิบชั้น ในการออกแบบนั้น ผศ.รังสรรค์เป็นที่รู้จักจากรูปแบบการออกแบบอาคารที่มักจะใช้ โดยอาคารแห่งนี้ได้เลือกใช้องค์ประกอบของความเป็นศิลปะกรีก-โรมันสมัยใหม่เหมือนกับตึกสเตท ทาวเวอร์ โดยเฉพาะในส่วนของเสาและระเบียง ก่อนที่การก่อสร้างทั้งหมดจะหยุดชะงักลง การก่อสร้างได้เสร็จสิ้นไปกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ ตัวโครงสร้างหลักของอาคารที่เสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยและได้รับการยืนยันในเรื่องความปลอดภัยแข็งแรงของโครงสร้างแล้ว อย่างไรก็ตาม งานออกแบบภายในและการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานนั้นเพิ่งจะเริ่มต้นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และงานส่วนกำแพงและรายละเอียดต่างๆเองก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั้นบนของอาคาร อาคารแห่งนี้ได้กลายมาเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความท้าทาย และยังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย แม้จะมีการปิดไม่ให้บุคคลใดเข้าถึงตัวอาคาร แต่ก็มีรายงานว่าผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปในตัวอาคารได้ด้วยการให้สินบนกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใต้อาคาร และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 อาคารแห่งนี้กลับมาเป็นที่พูดถึงกันอีกครั้งหลังจากที่มีการพบศพชายชาวสวีเดนในสภาพแขวนคอ เสียชีวิตบนชั้นที่ 43 โดยสาเหตุการเสียชีวิตนั้นได้มีการยืนยันว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ซึ่งทางสำนักข่าวหลายแห่งก็ได้มีการตั้งข้อสงสัยถึงความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยของอาคารแห่งนี้ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ซึ่งได้เข้ามาเป็นหนึ่งสมาชิกบอร์ดบริหารของบริษัทสาธร ยูนีค จำกัด ได้เปิดเผยว่าได้ทำการแจ้งความข้อหาบุกรุกอาคารสถานที่แก่บุคคลทั้งหมด 5 คน ที่ได้โพสต์รูปและคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการเข้ามาในอาคารลงบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งในจำนวนนี้ยังรวมไปถึงชาวต่างชาติสองคนที่ได้ทำวิดีโอที่พวกเขาแสดงการวิ่งฟรีรันนิ่งบนตึกแห่งนี้ นายพรรษิษฐ์ได้กล่าว่าเขาต้องการให้การแจ้งความครั้งนี้เป็นตัวอย่างและหยุดยั้งคนที่จะเข้ามาปีนป่ายบนตึกที่มีความอันตราย เขาได้ระบุเพิ่มว่าจำนวนผู้เข้ามาในตัวอาคารอย่างผิดกฎหมายนั้นเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีการเผยแพร่เรื่องอาคารแห่งนี้ในโลกออนไลน์กันมากขึ้น โดยในบางสัปดาห์นั้นมีผู้เข้าไปยังตัวอาคารมากกว่าหนึ่งร้อยคน ซึ่งตนก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้ยามรับสินบนจากผู้เข้าชมตึกได้เนื่องจากไม่สามารถเฝ้าตึกด้วยตัวเองตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตาม ในปีพ.ศ. 2560 นายพรรษิษฐ์ได้อนุญาตให้มิวเซียมสยามจัดการสัมนาที่ตัวอาคาร ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการระลึก 20 ปีของวิกฤติเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังอนุมัติให้ จีดีเอช559 ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง เพื่อน..ที่ระลึก อีกด้วย นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะรู้จักและเรียกชื่ออาคารแห่งนี้กันว่า "Ghost Tower" นอกจากจะเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความท้าทายและต้องการถ่ายภาพมุมสูงแล้ว
สูง 47 ชั้น
553
564
398
1
สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องเพื่อน..ที่ระลึก ของค่ายหนังใด
สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นตึกระฟ้าร้างในกรุงเทพมหานคร ซึ่งแรกเริ่มได้มีการวางแผนจะสร้างให้เป็นคอมเพล็กซ์ คอนโดมิเนียมระดับหรู แต่การก่อสร้างก็ต้องหยุดชะงักลงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 แม้จะเสร็จสิ้นไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม ปัจจุบันอาคาร สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ถือเป็นอาคารร้างที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร และเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่ชอบความท้าทายประวัติ ประวัติ. ได้มีการวางแผนให้สาธร ยูนีค เป็นคอนโดมิเนียมระดับหรูสูง 47 ชั้น รวม 600 ยูนิต ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดังและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้ออกแบบอาคารสเตท ทาวเวอร์ ที่ถือเป็นอาคารน้องของสาธร ยูนีค โครงการก่อสร้างนั้นเริ่มต้นขึ้นในปีพ.ศ. 2533 มีเจ้าของโครงการคือบริษัท สาธร ยูนีค จำกัด และได้รับการสนับสนุนเงินทุนส่วนมากจากบริษัทหลักทรัพย์ไทยแมกซ์ การก่อสร้างได้เริ่มต้นขึ้นปีเดียวกัน โดยมีบริษัทสี่พระยา จำกัด เป็นผู้รับเหมาการก่อสร้าง ในปีพ.ศ. 2536 ผศ.รังสรรค์ ได้ถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันวางแผนลอบฆาตกรรมนายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฎีกาในขณะนั้น แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากมือปืนถูกจับกุมได้ก่อน โดยในปีพ.ศ. 2551 ผศ.รังสรรค์ ได้ถูกพิพากษาว่ามีความผิด แต่สุดท้ายศาลอาญากรุงเทพใต้ก็ได้ทำการยกฟ้องในปีพ.ศ. 2553 คดีความดังกล่าวนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการรักษาเงินสนับสนุนโครงการของผศ.รังสรรค์เป็นอย่างมาก และการก่อสร้างอาคารสาธร ยูนีค ก็เผชิญกับปัญหาความล่าช้าหลายครั้งเนื่องจากขาดแคลนเงินทุน จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เกิดการล้มละลาย เช่นเดียวกันกับบริษัทไฟแนนซ์ต่างๆที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการซึ่งก็ประสบปัญหาหนี้สิน โครงการก่อสร้างอาคารต่างๆในกรุงเทพมหานครต่างพากันหยุดชะงัก โดยมีอาคารหรูกว่า 300 แห่งที่ถูกทิ้งร้าง แต่อาคารส่วนมากได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ในภายหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว (อาคารสเตท ทาวเวอร์ก็ถือเป็นหนึ่งในอาคารดังกล่าว) แต่อย่างไรก็ตาม อาคารสาธร ยูนีคกลับถูกทิ้งร้างไว้ในสภาพเดิมนับแต่นั้นจนเป็นที่รู้จักกันในหมู่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในชื่อของ "Ghost Tower" แม้ว่าจะมีความพยายามในเรื่องการตกลงในเรื่องการซื้อขายและการรีไฟแนนซ์อยู่หลายครั้งโดยนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ บุตรชายของผศ.รังสรรค์ที่เข้ามารับช่วงต่อจากบิดา แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากนายพรรษิษฐ์ต้องการที่จะขายอาคารในราคาที่จะสามารถชดเชยเงินต้นให้ผู้ร่วมลงทุนในโครงการตัวอาคาร ตัวอาคาร. อาคารสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ตั้งอยู่ในเขตสาธร ตัวอาคารใกล้กันกับถนนเจริญกรุง ซึ่งอยู่ระหว่างซอย 51 กับ 53 เยื้องกับวัดยานนาวา โดยเป็นบริเวณที่ใกล้กับจุดสิ้นสุดถนนสาธร ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน ตัวอาคารได้รับการออกแบบให้มีทั้งหมด 49 ชั้น (รวมชั้นใต้ดินสองชั้น) มีพื้นที่รวม 2 ไร่ เชื่อมติดกับอาคารที่จอดรถสูงสิบชั้น ในการออกแบบนั้น ผศ.รังสรรค์เป็นที่รู้จักจากรูปแบบการออกแบบอาคารที่มักจะใช้ โดยอาคารแห่งนี้ได้เลือกใช้องค์ประกอบของความเป็นศิลปะกรีก-โรมันสมัยใหม่เหมือนกับตึกสเตท ทาวเวอร์ โดยเฉพาะในส่วนของเสาและระเบียง ก่อนที่การก่อสร้างทั้งหมดจะหยุดชะงักลง การก่อสร้างได้เสร็จสิ้นไปกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ ตัวโครงสร้างหลักของอาคารที่เสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยและได้รับการยืนยันในเรื่องความปลอดภัยแข็งแรงของโครงสร้างแล้ว อย่างไรก็ตาม งานออกแบบภายในและการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานนั้นเพิ่งจะเริ่มต้นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และงานส่วนกำแพงและรายละเอียดต่างๆเองก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั้นบนของอาคาร อาคารแห่งนี้ได้กลายมาเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความท้าทาย และยังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย แม้จะมีการปิดไม่ให้บุคคลใดเข้าถึงตัวอาคาร แต่ก็มีรายงานว่าผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปในตัวอาคารได้ด้วยการให้สินบนกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใต้อาคาร และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 อาคารแห่งนี้กลับมาเป็นที่พูดถึงกันอีกครั้งหลังจากที่มีการพบศพชายชาวสวีเดนในสภาพแขวนคอ เสียชีวิตบนชั้นที่ 43 โดยสาเหตุการเสียชีวิตนั้นได้มีการยืนยันว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ซึ่งทางสำนักข่าวหลายแห่งก็ได้มีการตั้งข้อสงสัยถึงความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยของอาคารแห่งนี้ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ซึ่งได้เข้ามาเป็นหนึ่งสมาชิกบอร์ดบริหารของบริษัทสาธร ยูนีค จำกัด ได้เปิดเผยว่าได้ทำการแจ้งความข้อหาบุกรุกอาคารสถานที่แก่บุคคลทั้งหมด 5 คน ที่ได้โพสต์รูปและคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการเข้ามาในอาคารลงบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งในจำนวนนี้ยังรวมไปถึงชาวต่างชาติสองคนที่ได้ทำวิดีโอที่พวกเขาแสดงการวิ่งฟรีรันนิ่งบนตึกแห่งนี้ นายพรรษิษฐ์ได้กล่าว่าเขาต้องการให้การแจ้งความครั้งนี้เป็นตัวอย่างและหยุดยั้งคนที่จะเข้ามาปีนป่ายบนตึกที่มีความอันตราย เขาได้ระบุเพิ่มว่าจำนวนผู้เข้ามาในตัวอาคารอย่างผิดกฎหมายนั้นเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีการเผยแพร่เรื่องอาคารแห่งนี้ในโลกออนไลน์กันมากขึ้น โดยในบางสัปดาห์นั้นมีผู้เข้าไปยังตัวอาคารมากกว่าหนึ่งร้อยคน ซึ่งตนก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้ยามรับสินบนจากผู้เข้าชมตึกได้เนื่องจากไม่สามารถเฝ้าตึกด้วยตัวเองตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตาม ในปีพ.ศ. 2560 นายพรรษิษฐ์ได้อนุญาตให้มิวเซียมสยามจัดการสัมนาที่ตัวอาคาร ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการระลึก 20 ปีของวิกฤติเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังอนุมัติให้ จีดีเอช559 ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง เพื่อน..ที่ระลึก อีกด้วย นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะรู้จักและเรียกชื่ออาคารแห่งนี้กันว่า "Ghost Tower" นอกจากจะเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความท้าทายและต้องการถ่ายภาพมุมสูงแล้ว
จีดีเอช559
4,712
4,722
399
1
พ่อของโรสแมรี่ คาฮันดิง เป็นคนชาติใด
โรสแมรี่ คาฮันดิง โรสแมรี่ คาฮันดิง () ชื่อเล่น โรส เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2519 เป็นศิลปินชาวไทย เจ้าของเพลงฮิต "ให้ทำอย่างไร"ประวัติ ประวัติ. โรสแมรี่ คาฮันดิง มีชื่อเล่นว่า โรส แต่สือและแฟนเพลงจดจำเธอในชื่อ โรสแมรี่ เธอเป็นลูกครึ่งไทย-ฟิลิปปินส์ (บิดาเป็นคนฟิลิปปินส์ ส่วนมารดาเป็นคนไทย) เธอมีน้องชาย 1 คน เธอเป็นบุตรสาวคนแรก บิดาของโรสเป็นนักดนตรี โรสจึงชอบการร้องเพลงและเล่นดนตรี เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่โรสได้เล่นคือ กีตาร์ก้าวสู่วงการ ก้าวสู่วงการ. เธอเข้าสู่วงการด้วยการออดิชั่นทางค่ายเพลงคีตา เรคคอร์ดส เพื่อเป็นหนึ่งในศิลปินวง ที-สเกิ๊ต ในขณะนั้นก็มี ทาทา ยัง ประกวดด้วย แต่เธอไม่ได้เป็นหนึ่งในศิลปินวงนั้น จากนั้นก็มีแมวมองมาติดต่อให้เล่นโฆษณา โอเลย์ และได้แสดงมิวสิควีดีโอเพลง "หลอกเด็ก" ของ ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี ตอนอายุ 13 ปี และเธอยังเคยแสดงละครเรื่อง "แม่เลี้ยงต่างดาว" ทางช่อง 3 เมื่อปี 2537 หลังจากนั้นโรสก็ได้ไปเทสเสียง ในขณะนั้นทำให้เธอได้เป็นศิลปินในสังกัดแลมด้าทรี จัดจำหน่ายโดย ONPA ใช้ชื่อชุดว่า "ROSEMARIE (โรสแมรี่)" เปิดตัวด้วยเพลง "ให้ทำอย่างไร" ในขณะที่เพลงถูกปล่อยในฮอตเวฟ หรือคลื่นวิทยุต่างๆ จึงทำให้เพลงฮิตติดชาร์ตอันดับ 1 และทำให้โรสเป็นที่รู้จักกันในฐานะนักร้องหน้าใหม่ ต่อมาโรสแมรี่ได้มีอัลบั้มพิเศษร่วมกับนักร้องชื่อดัง เช่น พีรสันติ จวบสมัย สบชัย ไกรยูรเสน ฯลฯ กับค่าย XL Music Entertainment ชื่ออัลบั้มว่า "บทเพลงจากหัวใจ Love 1997" โรสแมรี่ได้ขับร้องเพลง "ใจเป็นของเธอ" ซึ่งเพลงนี้ก็ฮิตติดชาร์ตเช่นกัน ต่อมาโรสแมรี่ได้ย้ายสังกัดไป จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีอัลบั้ม 1 ชุด ชื่อชุดว่า "Merry Rose" มีเพลงดังคือ เปล่ามีน้ำตา ในปีพ.ศ. 2558 โรสแมรี่ ได้กลับมาอีกครั้ง เธอได้ขึ้นคอนเสิร์ต "90's Concert First Album กำเนิดอินดี้ รุ่นพี่ออกเทป" เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ร่วมกับ โมเดิร์นด็อก, ป้าง นครินทร์, P.O.P, Friday, Ford & friends, สุกัญญา มิเกล, อัยย์ พรรณี, บานาน่า โบ๊ท, The Must, จุ๊บ วุฒินันต์, อู๋ ธรรพ์ณธร เป็นต้น โดยเธอกลับมาหลังจากที่ห่างหายจากวงการเพลงไปถึง 15 ปี ด้านชีวิตส่วนตัว เธอเป็นซิงเกิ้ลมัม โดยมีบุตรชาย 1 คน คือ "น้องดาวเหนือ" ปัจจุบันโรสแมรี่ผันตัวเองด้วยการลงทุนทำอาชีพเสริมด้วยการขายเครป ใช้ชื่อว่า ร้านเครปดาวเหนือ ,การศึกษา การศึกษา. โรสแมรี่จบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนสาธรวิทยา ต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนพระแม่มารี และเคยศึกษาระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แต่ไม่จบการศึกษาผลงานผลงานเพลงซิงเกิ้ลผลงาน. ซิงเกิ้ล. - เพลง "ตราบ" ศิลปิน เยื้อง Gentleman (โรสแมรี่มีส่วนร่วมในการ Featuring) ปี 2558สตูลดิโออัลบั้มอัลบั้มพิเศษอัลบั้มพิเศษ. - อัลบั้ม "บทเพลงจากหัวใจ Love 1997" เพลงที่ขับร้อง ใจเป็นของเธอ (2540)ละครโทรทัศน์ละครโทรทัศน์. - 2537 ละครเรื่อง แม่เลี้ยงต่างดาว ทางช่อง 3 - 2541 ละครเรื่อง หัวใจทระนง ทางช่อง 5มิวสิควีดีโอมิวสิควีดีโอ. - เพลง "คิดถึงเธอ" ของ แร็พเตอร์ - เพลง "หลอกเด็ก" ของ ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดีคอนเสิร์ตคอนเสิร์ต. - คอนเสิร์ต "Concert Earthday โลกสวยด้วยมือเรา" ร่วมกับศิลปินสังกักจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (พ.ศ. 2542) - คอนเสิร์ต " 90's Concert First Album 'กำเนิดอินดี้ รุ่นพี่ออกเทป' " (วันที่แสดง: วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2558)ผลงานอื่นๆผลงานอื่นๆ. - ถ่ายโฆษณา โอเลย์ - ถ่ายแบบนิตยสาร
ฟิลิปปินส์
361
371
400
1
โรสแมรี่ คาฮันดิงเป็นศิลปินชาวไทย มีลูกชายชื่อว่าอะไร
โรสแมรี่ คาฮันดิง โรสแมรี่ คาฮันดิง () ชื่อเล่น โรส เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2519 เป็นศิลปินชาวไทย เจ้าของเพลงฮิต "ให้ทำอย่างไร"ประวัติ ประวัติ. โรสแมรี่ คาฮันดิง มีชื่อเล่นว่า โรส แต่สือและแฟนเพลงจดจำเธอในชื่อ โรสแมรี่ เธอเป็นลูกครึ่งไทย-ฟิลิปปินส์ (บิดาเป็นคนฟิลิปปินส์ ส่วนมารดาเป็นคนไทย) เธอมีน้องชาย 1 คน เธอเป็นบุตรสาวคนแรก บิดาของโรสเป็นนักดนตรี โรสจึงชอบการร้องเพลงและเล่นดนตรี เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่โรสได้เล่นคือ กีตาร์ก้าวสู่วงการ ก้าวสู่วงการ. เธอเข้าสู่วงการด้วยการออดิชั่นทางค่ายเพลงคีตา เรคคอร์ดส เพื่อเป็นหนึ่งในศิลปินวง ที-สเกิ๊ต ในขณะนั้นก็มี ทาทา ยัง ประกวดด้วย แต่เธอไม่ได้เป็นหนึ่งในศิลปินวงนั้น จากนั้นก็มีแมวมองมาติดต่อให้เล่นโฆษณา โอเลย์ และได้แสดงมิวสิควีดีโอเพลง "หลอกเด็ก" ของ ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี ตอนอายุ 13 ปี และเธอยังเคยแสดงละครเรื่อง "แม่เลี้ยงต่างดาว" ทางช่อง 3 เมื่อปี 2537 หลังจากนั้นโรสก็ได้ไปเทสเสียง ในขณะนั้นทำให้เธอได้เป็นศิลปินในสังกัดแลมด้าทรี จัดจำหน่ายโดย ONPA ใช้ชื่อชุดว่า "ROSEMARIE (โรสแมรี่)" เปิดตัวด้วยเพลง "ให้ทำอย่างไร" ในขณะที่เพลงถูกปล่อยในฮอตเวฟ หรือคลื่นวิทยุต่างๆ จึงทำให้เพลงฮิตติดชาร์ตอันดับ 1 และทำให้โรสเป็นที่รู้จักกันในฐานะนักร้องหน้าใหม่ ต่อมาโรสแมรี่ได้มีอัลบั้มพิเศษร่วมกับนักร้องชื่อดัง เช่น พีรสันติ จวบสมัย สบชัย ไกรยูรเสน ฯลฯ กับค่าย XL Music Entertainment ชื่ออัลบั้มว่า "บทเพลงจากหัวใจ Love 1997" โรสแมรี่ได้ขับร้องเพลง "ใจเป็นของเธอ" ซึ่งเพลงนี้ก็ฮิตติดชาร์ตเช่นกัน ต่อมาโรสแมรี่ได้ย้ายสังกัดไป จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีอัลบั้ม 1 ชุด ชื่อชุดว่า "Merry Rose" มีเพลงดังคือ เปล่ามีน้ำตา ในปีพ.ศ. 2558 โรสแมรี่ ได้กลับมาอีกครั้ง เธอได้ขึ้นคอนเสิร์ต "90's Concert First Album กำเนิดอินดี้ รุ่นพี่ออกเทป" เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ร่วมกับ โมเดิร์นด็อก, ป้าง นครินทร์, P.O.P, Friday, Ford & friends, สุกัญญา มิเกล, อัยย์ พรรณี, บานาน่า โบ๊ท, The Must, จุ๊บ วุฒินันต์, อู๋ ธรรพ์ณธร เป็นต้น โดยเธอกลับมาหลังจากที่ห่างหายจากวงการเพลงไปถึง 15 ปี ด้านชีวิตส่วนตัว เธอเป็นซิงเกิ้ลมัม โดยมีบุตรชาย 1 คน คือ "น้องดาวเหนือ" ปัจจุบันโรสแมรี่ผันตัวเองด้วยการลงทุนทำอาชีพเสริมด้วยการขายเครป ใช้ชื่อว่า ร้านเครปดาวเหนือ ,การศึกษา การศึกษา. โรสแมรี่จบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนสาธรวิทยา ต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนพระแม่มารี และเคยศึกษาระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แต่ไม่จบการศึกษาผลงานผลงานเพลงซิงเกิ้ลผลงาน. ซิงเกิ้ล. - เพลง "ตราบ" ศิลปิน เยื้อง Gentleman (โรสแมรี่มีส่วนร่วมในการ Featuring) ปี 2558สตูลดิโออัลบั้มอัลบั้มพิเศษอัลบั้มพิเศษ. - อัลบั้ม "บทเพลงจากหัวใจ Love 1997" เพลงที่ขับร้อง ใจเป็นของเธอ (2540)ละครโทรทัศน์ละครโทรทัศน์. - 2537 ละครเรื่อง แม่เลี้ยงต่างดาว ทางช่อง 3 - 2541 ละครเรื่อง หัวใจทระนง ทางช่อง 5มิวสิควีดีโอมิวสิควีดีโอ. - เพลง "คิดถึงเธอ" ของ แร็พเตอร์ - เพลง "หลอกเด็ก" ของ ยุ้ย ปัทมวรรณ เค้ามูลคดีคอนเสิร์ตคอนเสิร์ต. - คอนเสิร์ต "Concert Earthday โลกสวยด้วยมือเรา" ร่วมกับศิลปินสังกักจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (พ.ศ. 2542) - คอนเสิร์ต " 90's Concert First Album 'กำเนิดอินดี้ รุ่นพี่ออกเทป' " (วันที่แสดง: วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2558)ผลงานอื่นๆผลงานอื่นๆ. - ถ่ายโฆษณา โอเลย์ - ถ่ายแบบนิตยสาร
น้องดาวเหนือ
1,973
1,985